ตำนานเทพกู้จักรวาล 577 กวางโรเซ่อซ่า

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 577 กวางโรเซ่อซ่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนและคนอื่นลิงโลดใจ นักพรตฉานำเอามงกฎรัดเกล้าเต๋าออกมาจากศีรษะของตน และหมุนปั่นผังหยินหยางไท่จี่บนนั้น เขานำเอาหนังสือจำนวนหนึ่ง ส้อม และส่วนกำแพงหินที่มีรอยกระบี่อยู่บนนั้น ส้อมน่าจะเป็นเทพศาสตราของเขา

“ข้าเก็บหนังสือพวกนี้ไว้กับตัวตลอดเวลา แต่ข้าไม่เข้าใจความหมายของสัญลักษณ์ประหลาดๆ ในนั้น” เขากล่าว

เส้นผมขาวหนางอกออกจากด้านหน้าของเขาไปจนถึงข้างหลัง ขณะที่เส้นกลางหน้าผากของเขาขึ้นไปเป็นสีดำ ไม่เหมือนกับนักพรตคนอื่นๆ ที่เกล้าผมไว้เป็นมวย เส้นผมสีขาวบนยอดหัวของเขาถูกตัดเป็นลานเรียบเหมือนซังข้าวที่มัดเป็นฟ่อน ทำให้เขาดูคึกคักเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ

นักพรตเต๋าผมทรงซังข้าวเสียบส้อมกลับเข้าไปในมงกุฎเต๋าของเขา และปิดผนึกมันด้วยเวทผนึกไท่จี่ก่อนที่จะวางมงกุฎไว้บนศีรษะตามเดิม

เจ้าสำนักเต๋าเปิดพลิกหนังสือเหล่านั้น และเพ่งพิศดูร่องรอยกระบี่บนแผ่นหิน หัวใจเขาต้นตึกตักอย่างรุนแรง และเขาก็ปาดป้ายน้ำตาอย่างกลั้นไม่อยู่ “อาจารย์ของข้าและเจ้าสำนักเต๋าคนอื่นๆ ในอดีต ได้คร่ำเคร่งศึกษากระบี่ที่สิบสี่มาตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่อาจตรึกตรองเข้าใจมันได้อย่างครบสมบูรณ์ กลายเป็นว่าทฤษฎีอันลึกลับนี้ไม่ได้อยู่ในกระบี่ แต่อยู่ในปรากฏการณ์บนฟากฟ้า หากว่าอาจารย์ของข้ายังมีชีวิตอยู่ เขาคงจะต้องยินดีเป็นอย่างยิ่ง…”

นักพรตหลายคนหวนระลึกถึงเจ้าสำนักเต๋าคนก่อนและก็ร่ำไห้ออกมา

เมื่อเจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนกวาดอ่านหนังสือพวกนั้นอย่างคร่าวๆ แล้ว เขาก็ส่งพวกมันให้กับทุกๆ คน พวกมันบันทึกวิชาเซียนเถียนบรมปริศนา และการเรียนรู้ของนักพรตเทียนชิงหลังจากที่เขาได้ศึกษาเพลงกระบี่ขั้นถัดๆ ไปของกระบี่เต๋า

นักพรตเทียนชิงได้บันทึกทุกสิ่งทุกอย่างไว้อย่างละเอียดยิบ และการคำนวณของเขาก็เพริศแพร้วพิสดาร ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนักพรตฉาถึงอ่านไม่รู้เรื่อง

“อาจารย์อาชิงโยว นครหยกน้อยของพวกเรามีมรดกยุทธอันลึกล้ำกว่านี้บ้างหรือไม่” หวางมู่หรันถามด้วยเสียงเบา

ผู้สันโดษชิงโยวส่ายหัว “พวกเราไม่มี”

“ไม่ใช่ว่านครหยกน้อยของพวกเราเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งในสันตินิรันดร์หรอกหรือ สำนักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคำรามต่างก็มีมรดกยุทธที่ลึกล้ำกว่าเดิม แต่นครหยกน้อยของพวกเราไม่มี เช่นนั้นพวกเราจะไปสู้พวกเขาได้อย่างไร แม้แต่ลัทธินักบุญสวรรค์ก็ยังมีครูบาสวรรค์ เช่นนั้นนครหยกน้อยของพวกเราจะไม่มีวิชาฝึกปรือระดับเทพเจ้าสืบทอดกันมาจากยอดฝีมืออย่างจักรพรรดิหยกหรือตัวตนทำนองนั้นได้อย่างไร” หวางมู่หรันพูดด้วยความเดือดดาลในน้ำเสียง

“นครหยกน้อยของพวกเรานั้นยืนอยู่เหนือโลกียวิสัยและไม่เคยต่อสู้เพื่อตำแหน่งแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่ง นักพรตชิงโยวกล่าวอย่างใจเย็น “มันเป็นชื่อเสียงจอมปลอมที่ผู้คนในโลกหล้ามอบให้พวกเรา ถ้าพวกเราไม่มีจะดีเสียกว่า”

หวางมู่หรันโมโหจนพูดไม่ออก และเขาก็ได้แต่หันไปถามนักพรตฉาด้วยความจนปัญญา “นักพรต ขอถามได้หรือไม่ว่าจ้าวลัทธิอยู่ที่ใด”

“จ้าวลัทธิฉิน? วันนี้มีหลายคนมาตามหาตัวเขา และพวกเขาทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นคนพิลึกพิลั่น มีแม้กระทั่งคนหนึ่งที่ขี่วัวมา แต่ทว่าในตอนนี้จ้าวลัทธิไม่ได้อยู่ในเมืองหลี เขาได้ออกไปก่อนหน้านี้สักพัก กล่าวว่าเขาจะไปฝึกฝนสัตว์ขี่ของเขาที่เขตแดนมาร”

หวางมู่หรันร้องออกมาด้วยความแตกตื่น “เขาไปที่เขตแดนมารแต่ลำพังหรือ”

“ไม่เชิงอย่างนั้น สวรรค์ไท่หวงของข้าได้ยึดครองเขตแดนกลับมาบางส่วน และพวกเราก็ก่อสร้างหอคอยสังเกตการณ์ในซากเมืองไร้โอหัง เทพซังเย่ประจำการอยู่ที่นั่น ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงและสันตินิรันดร์มากมาย กำลังไล่ล่าทหารมารที่แตกฉานซ่านเซ็นอยู่ในบริเวณนั้น” นักพรตฉาอธิบาย

“ช่วงนี้ไม่มีการศึกสงคราม ดังนั้นมันจึงค่อนข้างสงบสันติ กองทัพทั้งหลายยังไม่ทันออกไปต่อสู้ ดังนั้นจึงมีแต่ผู้ฝึกวิชาเทวะของมนุษย์และมารที่ท้าทายกันไปมาที่ชายแดน จ้าวลัทธิฉินไม่เป็นอะไรหรอก”

ที่เขากำลังกล่าวถึงอยู่นั้นคือกฎกติกาอันมิได้เป็นลายลักษณ์อักษรของสวรรค์ไท่หวง ทั้งมนุษย์และมารต่างก็ยกย่องกำลังฝีมือ เมื่อไม่มีการต่อสู้ขนาดใหญ่ ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งสองฝ่ายก็จะตระเวนไปทั่ว และผู้ฝึกวิชาเทวะมนุษย์และมารรุ่นเยาว์ก็จะแลกเปลี่ยนซัดหมัดกัน

เทพและมารแทบจะไม่เข้าไปสอดมือยุ่งเกี่ยว ปล่อยให้ผู้ฝึกยุทธทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน นี่คือวิธีการอันสุดโต่งในการฝึกฝนรุ่นเยาว์ ที่นี่รู้เรื่องนี้ดี แต่ในเมื่อหวางมู่หรันมาถึงสวรรค์ไท่หวงเป็นครั้งแรก เขาจึงยังไม่รู้เรื่องนี้

“จ้าวลัทธิได้ผ่านการทดสอบของเจดีย์สยบเทพหรือยัง” หวางมู่หรันถาม

“ทำไมเขาต้องไปผ่านการทดสอบด้วยล่ะ” สีหน้าของนักพรตฉาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส “ตั้งแต่ตอนแรกที่เขามายังสวรรค์ไท่หวง เขาสังหารสี่สุดยอดฝีมือในการท้าพนันชิงเมืองหลี และบีบให้ศิษย์เอกที่ภาคภูมิใจที่สุดของฟู่ยื่อลัวต้องออกปากยอมแพ้ หลังจากนั้น เขาก็กลายเป็นตำนาน”

“ในภายหลัง เขาถูกฟู่ยื่อลัวลักพาตัวไป หลบหนีและวิ่งมาตลอดระยะทางหนึ่งแสนลี้ พลางสังหารศิษย์ของมารเทวะในขั้นหกทิศและเจ็ดดาวไปเกือบหมดสิ้น! ทั้งยังมีศิษย์ขั้นชาวสวรรค์หลายคนที่ตกตายในน้ำมือของเขา! ด้วยฝีมือความสามารถของจ้าวลัทธิฉิน ก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องเข้าไปผ่านการทดสอบจากเจดีย์สยบเทพ”

หวางมู่หรันร่างสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงขณะที่สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อหู เขาพลันหันหัวกลับไป “อาาจารย์อา พวกเราไม่มีมรดกยุทธอันลึกล้ำจริงๆ น่ะหรือ”

ผู้สันโดษชิงโยวแย้มยิ้มให้แก่เขา “มรดกยุทธของนครหยกน้อยพวกเรายังไม่ดีพออีกหรือ แม้ว่ามันจะมีช่องโหว่ แต่มันก็เป็นวิชาฝึกปรือระดับสุดยอด ตราบเท่าที่ซ่อมแซมช่องโหว่เหล่านั้น เจ้าก็จะไม่ด้อยไปกว่าเจ้าสำนักเต๋า อีกทั้งสวรรค์ไท่หวงยังเป็นสถานที่อันเหมาะที่จะทำเช่นนั้น เจ้าสามารถเรียนรู้จุดแข็งจากคนอื่นๆ และหลอมรวมพวกมันเข้ากับฝึกวิชาฝึกปรือแห่งนครหยกน้อยพวกเรา”

“มีวิชาฝึกปรือมากมายในนครหยกน้อย จะหลอมรวมพวกมันเข้าด้วยกันจะเป็นเรื่องง่ายได้อย่างไร” หวางมู่หรันพึมพำกับตนเอง

ผู้สันโดษชิงโยวมองไปที่เขาด้วยสายตาให้กำลังใจ “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า! หลังจากที่เจ้าตรึกตรองทำความเข้าใจมันไว้ดีแล้ว ก็สอนพวกมันให้ข้าก่อน ข้าแก่แล้วและจิตคิดของข้าก็ไม่ปราดเปรียวเฉลียวฉลาดเท่ากับคนหนุ่มอย่างเจ้า”

“คุณชาย ทำไมมังกรอ้วนไม่แปลงร่างเป็นคนได้แบบเจียงเหมี่ยว” ระหว่างเมืองไร้จองหองและเมืองหลี มีพื้นที่ห่างจากกันสองร้อยลี้ ฮู่หลิงเอ๋อติดตามไปข้างๆ ฉินมู่และเฝ้ามองกิเลนมังกรต่อสู้กับยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์ “เจียงเหมี่ยงแปลงร่างได้ เช่นนั้นมังกรอ้วนก็ต้องทำได้เช่นกัน!”

ฉินมู่สูดลมหายใจลึก และวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะก็โคจรในร่างกายของเขาขณะที่ปราณชีวิตเปล่งเสียงคำรามมังกรออกมา “ข้าก็ไม่รู้ หรือว่าเขาอ้วนเกินไปจึงแปลงร่างไม่ได้ แต่ก็ดูเหมือนไม่ใช่…”

“ข้าคิดว่าเพราะเขายังเกียจคร้านเกินไป”

ลูกแก้วกิเลนนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นวรยุทธของเขาจึงไม่ด้อยไปกว่ายอดฝีมือขั้นเป็นตายอีกต่อไป แต่กระนั้นพลังการต่อสู้โดยรวมของเขาก็มิได้สูงนัก เขานั้นเต็มไปด้วยบาดแผลจากการต่อสู้กับยอดฝีมือมารเพียงคนเดียว

ฉินมู่ไม่เข้าไปช่วยและยืนอยู่ข้างๆ เพื่อชมดู ยอดฝีมือเผ่ามารคนอื่นๆ ก็ไม่สอดมือยุ่งเกี่ยว พวกเขายืนอยู่เฉยๆ และเฝ้ามองการศึก

กติกาของสวรรค์ไท่หวงนั้นแปลกประหลาดอย่างสุดๆ ตราบเท่าที่ผู้ฝึกวิชาเทวะของแต่ละฝ่ายมาพบหน้ากัน พวกเขาก็มักจะต่อสู้กันตัวต่อตัว และยากนักที่จะกลุ้มรุมโจมตี แต่เมื่อฉินมู่หลบหนีเอาชีวิตรอดระหว่างเส้นทางหนึ่งแสนลี้ และถูกไล่ล่าโดยยอดฝีมือมารจำนวนมากมายนั้นแตกต่างออกไป สาเหตุที่เผ่ามารไม่กระทำตามกติกา และเข้ามากลุ้มรุมโจมตีเขาตลอดนั่นก็เพราะว่ามารเทวะทั้งหลายได้ประกาศจับตายตัวเขา

กิเลนมังกรสู้อย่างหนัก และในไม่กี่จังหวะให้หลัง เขาก็ตรึกตรองเข้าใจแง่อัศจรรย์ของวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนา จากนั้นก็ก็รีบขับเคลื่อนลูกแก้วกิเลน และแปรเปลี่ยนเพลิงกิเลนให้เป็นมังกรอัคคีจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันพุ่งเข้าซัดกวาดศัตรู

ถัดไปนั่น ร่างของเขาก็สั่นเทิ้ม และเกล็ดมังกรลอยขึ้นไป แปรเปลี่ยนเป็นกระจกกระจ่างที่สะท้อนทักษะเทวะของศัตรู

ยอดฝีมือมารผู้นี้ว้าวุ่นสับสนจากการต้องทั้งเผชิญกับทักษะเทวะที่ถูกสะท้อนกลับมาของตนเองและมังกรอัคคีทั้งหลาย ทันใดนั้น เกล็ดมังกรหนึ่งก็พลิกไปและหมุนวนรอบตัวเขาอย่างดุเดือด

ยอดฝีมือมารไม่อาจปลดปล่อยการโจมตีใดได้ ในเมื่อทักษะเทวะทั้งหมดของเขาถูกเกล็ดเหล่านั้นสะท้อนกลับมา พื้นที่ที่เกล็ดหมุนวนเริ่มหดแคบลงทุกทีๆ ลูกแก้วกิเลนบินเข้าไปในพื้นที่ที่ถูกปิดล้อม และสาดเพลิงอย่างเจิดจ้า เสียงร้องโหยหวนดังมาจากข้างใน และยอดฝีมือมารก็ถูกแผดเผาเป็นเถ้าถ่าน

กิเลนมังกรสลัดร่างของเขาและเรียกเกล็ดมังกรกลับมา เขากลืนลูกแก้วกิเลนกลับไปด้วยความประหลาดใจแกมยินดี “จ้าวลัทธิ ข้าชนะแล้ว! ในที่สุดข้าก็ชนะเป็นครั้งแรก!”

ฉินมู่สงสัยขึ้นมา “หลิงเอ๋อ ตอนที่มังกรอ้วนออกไปฝึกฝนวิชาฝีมือกับศิษย์พี่เสือ เขาไม่เคยชนะเลยสักครั้งหรือ”

ฮู่หลิงเอ๋อผงกหัว “ไม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว ตอนแรกเทพเสือขนดำก็ขายหน้าและให้เขาคุกเข่ากล่าวขออภัยแก่พวกมารที่เอาชนะเขาได้ แต่หลังจากนั้นเทพเสือขนดำก็ชิน มังกรอ้วนเองก็ชิน”

ฉินมู่อึ้งกิมกี่

กิเลนมังกรยกเท้าย่างเหยาะอย่างหยิ่งผยองหางของเขาชูขึ้นสูง เขาเดินรอบฉินมู่และฮู่หลิงเอ๋อสองสามรอบ ภูมิอกภูมิใจในตนเองเป็นอย่างยิ่ง

ยอดฝีมือมารคนหนึ่งเดินเข้ามายังฝั่งตรงข้ามและเรียกออกมา “เจ้าคือจ้าวลัทธิฉินมู่งั้นหรือ”

“ข้าเอง ไม่ทราบว่าเจ้าคือใคร” ฉินมู่กล่าว

“ผู้ไร้ชื่อเสียงเรียงนามคนหนึ่ง ลาก่อน!”

ยอดฝีมือมากทั้งหลายแยกย้ายออกจากกันและรีบรุดจากไปด้วยความเร่งร้อน ฉินมู่ขมวดคิ้วน้อยๆ มารพวกนี้ล้วนแต่เป็นยอดยุทธแห่งขั้นชาวสวรรค์ ดังนั้นคงยากที่เขาจะเอาชนะทั้งหมดด้วยตนเอง กระนั้นพวกเขาก็ได้ตัดสินใจอย่างไม่ชาญฉลาดด้วยการแยกกลุ่มกระจาย นี่มิใช่เปิดโอกาสให้เขากำจัดอย่างน้อยก็หนึ่งคนหรอกหรือ

“คุณชาย เหมือนกับว่ามารพวกนี้กำลังหนีเอาชีวิตรอดอย่างนั้นเลย” ฮู่หลิงเอ๋อนำชามใหญ่ออกมาให้เขาผลิตน้ำลายมังกรอันนางก็จะใช้มันทาแผลบนตัวเขาอีกที “หากว่าพวกเขารวมพลังกัน กำลังฝีมือของพวกเขาก็อาจจะสูงกว่าพวกเรา กระนั้นพวกเขากลับหนีกระเจิงไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หรือว่าพวกเขาตั้งใจจะไปส่งข่าวสาร เพื่อความปลอดภัย พวกเราจะต้องรีบกลับไปเมืองหลีโดยทันที!”

ฉินมู่เลิกคิ้ว “หากว่าพวกเราเดินต่อไป พวกเราก็จะไปถึงหอคอยสังเกตการณ์เมืองไร้โอหัง พวกเราอยู่ไกลจากเมืองหลีมากเกินไป หอคอยสังเกตการณ์อยู่ใกล้กว่า ด้วยมีเทพซังเย่ มารทั่วๆ ไปไม่กล้าเข้ามาหรอก”

เขากระโดดขึ้นไปบนหลังกิเลนมังกร และฮู่หลิงเอ๋อก็กระโดดขึ้นไปพร้อมกับอ่างของนาง กิเลนมังกรรีบวิ่งตะบึงตรงไปยังเมืองไร้โอหังทันที

ยังมีระยะทางเหลืออีกสองร้อยลี้ แต่ฉินมู่สามารถเห็นรัศมีเทวะของเทพซังเย่แต่ไกลๆ มันเป็นแสงเทวะที่สาดส่องจากเทพซังเย่ และมันพวยพุ่งไปถึงเมฆราวกับเสาแสง

นั่นคือเป้าหมายของหอสังเกตการณ์ เพื่อแสดงจุดปลอดภัยสำหรับผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงทั้งหลายที่อยู่ในแดนเถื่อน หากว่าพวกเขาอยู่ในอันตราย ก็สามารถมุ่งหน้าไปที่นั่นเพื่อรับการคุ้มครองได้

ทันใดนั้นเสียงหนึ่งที่เต็มไปด้วยความยินดีก็ดังขึ้นมา “เจ้าคือจ้าวลัทธิฉินหรือ”

หมูู่บ้านเล็กๆ นี้เป็นหมู่บ้านเพียงหนึ่งเดียวในแดนเถื่อนรอบๆ พวกเขา มารผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงจำนวนหนึ่งพักเท้าอยู่ที่นั่น พวกเขาเป็นกลุ่มคนเดียวที่อยู่แถวๆ นี้

กลุ่มนี้มีใบหน้าที่คุ้นตาอยู่ด้วย หนึ่งในพวกสาวๆ มีชื่อว่ากวนเหอ ซึ่งอวี่เหอเคยแนะนำให้ฉินมู่รู้จัก และนางเป็นยอดฝีมือในขั้นชาวสวรรค์ นางจัดอยู่ในลำดับที่เก้าในสวรรค์ไท่หวงในขั้นวรยุทธเดียวกัน และกำลังฝีมือของนางก็สูงล้ำแข็งแกร่ง

นางเป็นศิษย์ของเทพเจ้าที่เชี่ยวชาญในวิชากระบี่

เพราะว่าฉินมู่กำลังขยายสาขาของลัทธินักบุญสวรรค์ในสวรรค์ไท่หวง เขาจึงแต่งตั้งกวนเหอให้เป็นหัวหน้าโถงแห่งโถงกระบี่ในสาขาใหม่นี้

“กวนเหอ ทำไมพวกเจ้าอยู่ที่นี่” ฉินมู่กระโดดลงจากหลังกิเลนมังกรและมองไปยังผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นๆ พวกเขาก็เป็นหัวหน้าโถงกับหัวหน้าธูปแห่งลัทธินักบุญสวรรค์สาขาสวรรค์ไท่หวงเช่นกัน

“เป็นจ้าวลัทธิจริงๆ” กวนเหอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเรากำลังฝึกอยู่แถวๆ นี้และจู่ๆ ก็พบกับยอดฝีมือมาร หนึ่งในนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าจะต้องทุ่มเททุกอย่างที่มีเพื่อสังหารเขา”

ฉินมู่มองไปยังทิศทางที่นางชี้ไปและจดจำได้ว่ายอดฝีมือมารคนนั้นก็คือคนที่เพิ่งหนีไป และยังมีร่องรอยการต่อสู้ดุเดือดในบริเวณโดยรอบ

“เข้าใจล่ะ” ฉินมู่ยิ้มให้แก่นาง “หัวหน้าโถงกวน นับว่าลำบากเจ้าแล้ว ท้องฟ้าใกล้จะมืด และข้าก็วางแผนว่าจะมุ่งหน้าไปยังหอคอยสังเกตการณ์ พวกเจ้าจะตามไปด้วยไหม”

กวนเหอตาเป็นประกาย และนางเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “พวกเราก็กะว่าจะกลับไปเช่นกัน!”

คนอื่นๆ ก็ตามมาด้วย และฉินมู่เดินทางนำหน้าคณะมุ่งไปยังหอสังเกตการณ์ในเมืองไร้โอหัง

กวนเหอรีบมายังข้างๆ เขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทำไมจ้าวลัทธิถึงรีบนักล่ะ พวกเราล้วนแต่เป็นยอดฝีมือของลัทธิ แล้วทำไมจะต้องกริ่งเกรงผู้ใดด้วย”

“ข้าถูกมารจดจำได้ และข้าเกรงว่าพวกเขาจะไปรายงานยอดฝีมือแข็งแกร่งมาขัดขวางข้าข้างหน้า” ฉินมู่จึงยิ้มให้แก่หญิงสาว “หัวหน้าโถงกวน อาจารย์ของเจ้าคือใครนะ ตอนที่อวี่เหอแนะนำเจ้าให้แก่ข้า ข้าลืมถาม”

“อาจารย์ของข้าคือเทียนเฟิงโก้ว จ้าวลัทธิเคยพบนางมาก่อน”

“ที่แท้ก็เป็นเทพนารีเทียนเฟิงโก้ว” ฉินมู่ผงกหัวและหันไปยังคนอื่นๆ ด้วยความสนใจใคร่รู้ “หัวหน้าโถงและหัวหน้าธูปทั้งหลาย อาจารย์ของพวกเจ้าล่ะ?”

“พวกเราก็เป็นศิษย์ของเทียนเฟิงโก้ว” เด็กหนุ่มคนหนึ่งกล่าว

ฉินมู่ผงกหัวอีกครั้งและตบคอหนาๆ ของกิเลนมังกรข้างๆ เขาพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หัวหน้าโถงกวน ตอนที่พวกเจ้าต่อสู้กับยอดฝีมือมารขั้นชาวสวรรค์คนนั้น เจ้าคงจะได้ปิดการต่อสู้ลงอย่างรวดเร็ว ดูจากร่องรอยทักษะเทวะที่พวกเจ้าหลงเหลือเอาไว้ พวกมันไม่อาจสร้างการโจมตีถึงตายได้ ต่อให้เป็นทักษะเทวะอันเหนือธรรมดา”

“การจู่โจมสังหารที่แท้จริงคือกระบี่ที่ทะลวงจากข้างหลังมารคนนี้ สังหารจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาไปโดยพลัน ในตอนนั้นระยะห่างระหว่างหัวหน้าโถงกวนและยอดฝีมือมารคงจะชิดใกล้เท่ากับพวกเราในขณะนี้ จากระยะประชิดขนาดนั้น หัวหน้าโถงกวนได้สังหารเขา”

สีหน้าของกวนเหอแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย และทันใดนั้น ลูกแก้วกิเลนขนาดใหญ่ก็พลันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ในเสี้ยวพริบตา เพลิงกิเลนร้อนแรงก็โหมไหม้ไปทั่วบริเวณ แผดเผาทุกอย่างจนเป็นจุณ!

ท่ามกลางเพลิงไฟ กระบี่บินเล่มหนึ่งพุ่งออกมา ขณะที่หญิงสาวร่ายรำเพลงกระบี่ของนาง ฉินมู่ก็แตะนิ้วกระบี่ที่หว่างคิ้วของเขา ไจกระบี่ของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแสงกระบี่เจิดจ้าที่กวาดซัดไปข้างหน้า บดขยี้เพลงกระบี่ของกวนเหอและหว่างคิ้วของนาง!

ฉินมู่รั้งกระบี่กลับและเฝ้ามองรอบๆ ข้างอันหัวหน้าโถงและหัวหน้าธูปแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวช ในพริบตาถัดมา ศีรษะของพวกเขาก็ถูกเกล็ดมังกรขนาดยักษ์ตัดสะบั้น!

กิเลนมังกรเขย่าตัว และเกล็ดมังกรพวกนั้นก็บินกลับมา

ฉินมู่จับไจกระบี่ของเขา และกล่าวอย่างอ่อนโยน “มังกรอ้วน เจ้าได้ชนะอีกหลายศึกเรียบร้อยแล้ว”

“คุณชาย พวกเขาคือผู้คนที่พวกมารจะเรียกมาอย่างนั้นหรือ” ฮู่หลิงเอ๋อโผล่หัวของนางออกจากใบหูของกิเลนมังกร “ถ้าอย่างนั้น เทพนารีเทียนเฟิงโก้ว…”

ฉินมู่กำลังจะพูด แต่ทันใดหูเขาก็กระดิก และเขาหันขวับไปข้างหลัง “ใครอยู่ตรงนั้น”

กวางโรตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากป่า และกระดิกหางเล็กๆ ของมันไปมาพลางจ้องมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น จากนั้นก็ตามมาด้วยฝูงกวางโรที่วิ่งออกมาจากป่าเพื่อจ้องมองคณะเดินทางด้วยความสงสัยใคร่รู้

“ที่แท้ก็เป็นกวางโรเซ่อซ่าฝูงหนึ่ง” ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก

กวางโรเซ่อซ่าพวกนั้นก้าวเข้ามาข้างหน้าเงยหัวของพวกมันมองไปที่เขาอย่างใจกล้า ฉินมู่สั่นเทิ้มเล็กน้อย และทันใดนั้นเสียงสดใสกังวานก็ดังมาจากข้างหน้าพวกเขา “จ้าวลัทธิฉิน เจ้าเพิ่งสังหารศิษย์ของข้า เจ้าไม่คิดว่าควรจะมีคำอธิบายให้ข้าสักหน่อยหรือ”

………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเทพกู้จักรวาล 577 กวางโรเซ่อซ่า

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 577 กวางโรเซ่อซ่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนและคนอื่นลิงโลดใจ นักพรตฉานำเอามงกฎรัดเกล้าเต๋าออกมาจากศีรษะของตน และหมุนปั่นผังหยินหยางไท่จี่บนนั้น เขานำเอาหนังสือจำนวนหนึ่ง ส้อม และส่วนกำแพงหินที่มีรอยกระบี่อยู่บนนั้น ส้อมน่าจะเป็นเทพศาสตราของเขา

“ข้าเก็บหนังสือพวกนี้ไว้กับตัวตลอดเวลา แต่ข้าไม่เข้าใจความหมายของสัญลักษณ์ประหลาดๆ ในนั้น” เขากล่าว

เส้นผมขาวหนางอกออกจากด้านหน้าของเขาไปจนถึงข้างหลัง ขณะที่เส้นกลางหน้าผากของเขาขึ้นไปเป็นสีดำ ไม่เหมือนกับนักพรตคนอื่นๆ ที่เกล้าผมไว้เป็นมวย เส้นผมสีขาวบนยอดหัวของเขาถูกตัดเป็นลานเรียบเหมือนซังข้าวที่มัดเป็นฟ่อน ทำให้เขาดูคึกคักเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ

นักพรตเต๋าผมทรงซังข้าวเสียบส้อมกลับเข้าไปในมงกุฎเต๋าของเขา และปิดผนึกมันด้วยเวทผนึกไท่จี่ก่อนที่จะวางมงกุฎไว้บนศีรษะตามเดิม

เจ้าสำนักเต๋าเปิดพลิกหนังสือเหล่านั้น และเพ่งพิศดูร่องรอยกระบี่บนแผ่นหิน หัวใจเขาต้นตึกตักอย่างรุนแรง และเขาก็ปาดป้ายน้ำตาอย่างกลั้นไม่อยู่ “อาจารย์ของข้าและเจ้าสำนักเต๋าคนอื่นๆ ในอดีต ได้คร่ำเคร่งศึกษากระบี่ที่สิบสี่มาตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่อาจตรึกตรองเข้าใจมันได้อย่างครบสมบูรณ์ กลายเป็นว่าทฤษฎีอันลึกลับนี้ไม่ได้อยู่ในกระบี่ แต่อยู่ในปรากฏการณ์บนฟากฟ้า หากว่าอาจารย์ของข้ายังมีชีวิตอยู่ เขาคงจะต้องยินดีเป็นอย่างยิ่ง…”

นักพรตหลายคนหวนระลึกถึงเจ้าสำนักเต๋าคนก่อนและก็ร่ำไห้ออกมา

เมื่อเจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนกวาดอ่านหนังสือพวกนั้นอย่างคร่าวๆ แล้ว เขาก็ส่งพวกมันให้กับทุกๆ คน พวกมันบันทึกวิชาเซียนเถียนบรมปริศนา และการเรียนรู้ของนักพรตเทียนชิงหลังจากที่เขาได้ศึกษาเพลงกระบี่ขั้นถัดๆ ไปของกระบี่เต๋า

นักพรตเทียนชิงได้บันทึกทุกสิ่งทุกอย่างไว้อย่างละเอียดยิบ และการคำนวณของเขาก็เพริศแพร้วพิสดาร ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนักพรตฉาถึงอ่านไม่รู้เรื่อง

“อาจารย์อาชิงโยว นครหยกน้อยของพวกเรามีมรดกยุทธอันลึกล้ำกว่านี้บ้างหรือไม่” หวางมู่หรันถามด้วยเสียงเบา

ผู้สันโดษชิงโยวส่ายหัว “พวกเราไม่มี”

“ไม่ใช่ว่านครหยกน้อยของพวกเราเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งในสันตินิรันดร์หรอกหรือ สำนักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคำรามต่างก็มีมรดกยุทธที่ลึกล้ำกว่าเดิม แต่นครหยกน้อยของพวกเราไม่มี เช่นนั้นพวกเราจะไปสู้พวกเขาได้อย่างไร แม้แต่ลัทธินักบุญสวรรค์ก็ยังมีครูบาสวรรค์ เช่นนั้นนครหยกน้อยของพวกเราจะไม่มีวิชาฝึกปรือระดับเทพเจ้าสืบทอดกันมาจากยอดฝีมืออย่างจักรพรรดิหยกหรือตัวตนทำนองนั้นได้อย่างไร” หวางมู่หรันพูดด้วยความเดือดดาลในน้ำเสียง

“นครหยกน้อยของพวกเรานั้นยืนอยู่เหนือโลกียวิสัยและไม่เคยต่อสู้เพื่อตำแหน่งแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่ง นักพรตชิงโยวกล่าวอย่างใจเย็น “มันเป็นชื่อเสียงจอมปลอมที่ผู้คนในโลกหล้ามอบให้พวกเรา ถ้าพวกเราไม่มีจะดีเสียกว่า”

หวางมู่หรันโมโหจนพูดไม่ออก และเขาก็ได้แต่หันไปถามนักพรตฉาด้วยความจนปัญญา “นักพรต ขอถามได้หรือไม่ว่าจ้าวลัทธิอยู่ที่ใด”

“จ้าวลัทธิฉิน? วันนี้มีหลายคนมาตามหาตัวเขา และพวกเขาทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นคนพิลึกพิลั่น มีแม้กระทั่งคนหนึ่งที่ขี่วัวมา แต่ทว่าในตอนนี้จ้าวลัทธิไม่ได้อยู่ในเมืองหลี เขาได้ออกไปก่อนหน้านี้สักพัก กล่าวว่าเขาจะไปฝึกฝนสัตว์ขี่ของเขาที่เขตแดนมาร”

หวางมู่หรันร้องออกมาด้วยความแตกตื่น “เขาไปที่เขตแดนมารแต่ลำพังหรือ”

“ไม่เชิงอย่างนั้น สวรรค์ไท่หวงของข้าได้ยึดครองเขตแดนกลับมาบางส่วน และพวกเราก็ก่อสร้างหอคอยสังเกตการณ์ในซากเมืองไร้โอหัง เทพซังเย่ประจำการอยู่ที่นั่น ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงและสันตินิรันดร์มากมาย กำลังไล่ล่าทหารมารที่แตกฉานซ่านเซ็นอยู่ในบริเวณนั้น” นักพรตฉาอธิบาย

“ช่วงนี้ไม่มีการศึกสงคราม ดังนั้นมันจึงค่อนข้างสงบสันติ กองทัพทั้งหลายยังไม่ทันออกไปต่อสู้ ดังนั้นจึงมีแต่ผู้ฝึกวิชาเทวะของมนุษย์และมารที่ท้าทายกันไปมาที่ชายแดน จ้าวลัทธิฉินไม่เป็นอะไรหรอก”

ที่เขากำลังกล่าวถึงอยู่นั้นคือกฎกติกาอันมิได้เป็นลายลักษณ์อักษรของสวรรค์ไท่หวง ทั้งมนุษย์และมารต่างก็ยกย่องกำลังฝีมือ เมื่อไม่มีการต่อสู้ขนาดใหญ่ ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งสองฝ่ายก็จะตระเวนไปทั่ว และผู้ฝึกวิชาเทวะมนุษย์และมารรุ่นเยาว์ก็จะแลกเปลี่ยนซัดหมัดกัน

เทพและมารแทบจะไม่เข้าไปสอดมือยุ่งเกี่ยว ปล่อยให้ผู้ฝึกยุทธทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน นี่คือวิธีการอันสุดโต่งในการฝึกฝนรุ่นเยาว์ ที่นี่รู้เรื่องนี้ดี แต่ในเมื่อหวางมู่หรันมาถึงสวรรค์ไท่หวงเป็นครั้งแรก เขาจึงยังไม่รู้เรื่องนี้

“จ้าวลัทธิได้ผ่านการทดสอบของเจดีย์สยบเทพหรือยัง” หวางมู่หรันถาม

“ทำไมเขาต้องไปผ่านการทดสอบด้วยล่ะ” สีหน้าของนักพรตฉาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส “ตั้งแต่ตอนแรกที่เขามายังสวรรค์ไท่หวง เขาสังหารสี่สุดยอดฝีมือในการท้าพนันชิงเมืองหลี และบีบให้ศิษย์เอกที่ภาคภูมิใจที่สุดของฟู่ยื่อลัวต้องออกปากยอมแพ้ หลังจากนั้น เขาก็กลายเป็นตำนาน”

“ในภายหลัง เขาถูกฟู่ยื่อลัวลักพาตัวไป หลบหนีและวิ่งมาตลอดระยะทางหนึ่งแสนลี้ พลางสังหารศิษย์ของมารเทวะในขั้นหกทิศและเจ็ดดาวไปเกือบหมดสิ้น! ทั้งยังมีศิษย์ขั้นชาวสวรรค์หลายคนที่ตกตายในน้ำมือของเขา! ด้วยฝีมือความสามารถของจ้าวลัทธิฉิน ก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องเข้าไปผ่านการทดสอบจากเจดีย์สยบเทพ”

หวางมู่หรันร่างสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงขณะที่สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อหู เขาพลันหันหัวกลับไป “อาาจารย์อา พวกเราไม่มีมรดกยุทธอันลึกล้ำจริงๆ น่ะหรือ”

ผู้สันโดษชิงโยวแย้มยิ้มให้แก่เขา “มรดกยุทธของนครหยกน้อยพวกเรายังไม่ดีพออีกหรือ แม้ว่ามันจะมีช่องโหว่ แต่มันก็เป็นวิชาฝึกปรือระดับสุดยอด ตราบเท่าที่ซ่อมแซมช่องโหว่เหล่านั้น เจ้าก็จะไม่ด้อยไปกว่าเจ้าสำนักเต๋า อีกทั้งสวรรค์ไท่หวงยังเป็นสถานที่อันเหมาะที่จะทำเช่นนั้น เจ้าสามารถเรียนรู้จุดแข็งจากคนอื่นๆ และหลอมรวมพวกมันเข้ากับฝึกวิชาฝึกปรือแห่งนครหยกน้อยพวกเรา”

“มีวิชาฝึกปรือมากมายในนครหยกน้อย จะหลอมรวมพวกมันเข้าด้วยกันจะเป็นเรื่องง่ายได้อย่างไร” หวางมู่หรันพึมพำกับตนเอง

ผู้สันโดษชิงโยวมองไปที่เขาด้วยสายตาให้กำลังใจ “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า! หลังจากที่เจ้าตรึกตรองทำความเข้าใจมันไว้ดีแล้ว ก็สอนพวกมันให้ข้าก่อน ข้าแก่แล้วและจิตคิดของข้าก็ไม่ปราดเปรียวเฉลียวฉลาดเท่ากับคนหนุ่มอย่างเจ้า”

“คุณชาย ทำไมมังกรอ้วนไม่แปลงร่างเป็นคนได้แบบเจียงเหมี่ยว” ระหว่างเมืองไร้จองหองและเมืองหลี มีพื้นที่ห่างจากกันสองร้อยลี้ ฮู่หลิงเอ๋อติดตามไปข้างๆ ฉินมู่และเฝ้ามองกิเลนมังกรต่อสู้กับยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์ “เจียงเหมี่ยงแปลงร่างได้ เช่นนั้นมังกรอ้วนก็ต้องทำได้เช่นกัน!”

ฉินมู่สูดลมหายใจลึก และวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะก็โคจรในร่างกายของเขาขณะที่ปราณชีวิตเปล่งเสียงคำรามมังกรออกมา “ข้าก็ไม่รู้ หรือว่าเขาอ้วนเกินไปจึงแปลงร่างไม่ได้ แต่ก็ดูเหมือนไม่ใช่…”

“ข้าคิดว่าเพราะเขายังเกียจคร้านเกินไป”

ลูกแก้วกิเลนนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นวรยุทธของเขาจึงไม่ด้อยไปกว่ายอดฝีมือขั้นเป็นตายอีกต่อไป แต่กระนั้นพลังการต่อสู้โดยรวมของเขาก็มิได้สูงนัก เขานั้นเต็มไปด้วยบาดแผลจากการต่อสู้กับยอดฝีมือมารเพียงคนเดียว

ฉินมู่ไม่เข้าไปช่วยและยืนอยู่ข้างๆ เพื่อชมดู ยอดฝีมือเผ่ามารคนอื่นๆ ก็ไม่สอดมือยุ่งเกี่ยว พวกเขายืนอยู่เฉยๆ และเฝ้ามองการศึก

กติกาของสวรรค์ไท่หวงนั้นแปลกประหลาดอย่างสุดๆ ตราบเท่าที่ผู้ฝึกวิชาเทวะของแต่ละฝ่ายมาพบหน้ากัน พวกเขาก็มักจะต่อสู้กันตัวต่อตัว และยากนักที่จะกลุ้มรุมโจมตี แต่เมื่อฉินมู่หลบหนีเอาชีวิตรอดระหว่างเส้นทางหนึ่งแสนลี้ และถูกไล่ล่าโดยยอดฝีมือมารจำนวนมากมายนั้นแตกต่างออกไป สาเหตุที่เผ่ามารไม่กระทำตามกติกา และเข้ามากลุ้มรุมโจมตีเขาตลอดนั่นก็เพราะว่ามารเทวะทั้งหลายได้ประกาศจับตายตัวเขา

กิเลนมังกรสู้อย่างหนัก และในไม่กี่จังหวะให้หลัง เขาก็ตรึกตรองเข้าใจแง่อัศจรรย์ของวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนา จากนั้นก็ก็รีบขับเคลื่อนลูกแก้วกิเลน และแปรเปลี่ยนเพลิงกิเลนให้เป็นมังกรอัคคีจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันพุ่งเข้าซัดกวาดศัตรู

ถัดไปนั่น ร่างของเขาก็สั่นเทิ้ม และเกล็ดมังกรลอยขึ้นไป แปรเปลี่ยนเป็นกระจกกระจ่างที่สะท้อนทักษะเทวะของศัตรู

ยอดฝีมือมารผู้นี้ว้าวุ่นสับสนจากการต้องทั้งเผชิญกับทักษะเทวะที่ถูกสะท้อนกลับมาของตนเองและมังกรอัคคีทั้งหลาย ทันใดนั้น เกล็ดมังกรหนึ่งก็พลิกไปและหมุนวนรอบตัวเขาอย่างดุเดือด

ยอดฝีมือมารไม่อาจปลดปล่อยการโจมตีใดได้ ในเมื่อทักษะเทวะทั้งหมดของเขาถูกเกล็ดเหล่านั้นสะท้อนกลับมา พื้นที่ที่เกล็ดหมุนวนเริ่มหดแคบลงทุกทีๆ ลูกแก้วกิเลนบินเข้าไปในพื้นที่ที่ถูกปิดล้อม และสาดเพลิงอย่างเจิดจ้า เสียงร้องโหยหวนดังมาจากข้างใน และยอดฝีมือมารก็ถูกแผดเผาเป็นเถ้าถ่าน

กิเลนมังกรสลัดร่างของเขาและเรียกเกล็ดมังกรกลับมา เขากลืนลูกแก้วกิเลนกลับไปด้วยความประหลาดใจแกมยินดี “จ้าวลัทธิ ข้าชนะแล้ว! ในที่สุดข้าก็ชนะเป็นครั้งแรก!”

ฉินมู่สงสัยขึ้นมา “หลิงเอ๋อ ตอนที่มังกรอ้วนออกไปฝึกฝนวิชาฝีมือกับศิษย์พี่เสือ เขาไม่เคยชนะเลยสักครั้งหรือ”

ฮู่หลิงเอ๋อผงกหัว “ไม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว ตอนแรกเทพเสือขนดำก็ขายหน้าและให้เขาคุกเข่ากล่าวขออภัยแก่พวกมารที่เอาชนะเขาได้ แต่หลังจากนั้นเทพเสือขนดำก็ชิน มังกรอ้วนเองก็ชิน”

ฉินมู่อึ้งกิมกี่

กิเลนมังกรยกเท้าย่างเหยาะอย่างหยิ่งผยองหางของเขาชูขึ้นสูง เขาเดินรอบฉินมู่และฮู่หลิงเอ๋อสองสามรอบ ภูมิอกภูมิใจในตนเองเป็นอย่างยิ่ง

ยอดฝีมือมารคนหนึ่งเดินเข้ามายังฝั่งตรงข้ามและเรียกออกมา “เจ้าคือจ้าวลัทธิฉินมู่งั้นหรือ”

“ข้าเอง ไม่ทราบว่าเจ้าคือใคร” ฉินมู่กล่าว

“ผู้ไร้ชื่อเสียงเรียงนามคนหนึ่ง ลาก่อน!”

ยอดฝีมือมากทั้งหลายแยกย้ายออกจากกันและรีบรุดจากไปด้วยความเร่งร้อน ฉินมู่ขมวดคิ้วน้อยๆ มารพวกนี้ล้วนแต่เป็นยอดยุทธแห่งขั้นชาวสวรรค์ ดังนั้นคงยากที่เขาจะเอาชนะทั้งหมดด้วยตนเอง กระนั้นพวกเขาก็ได้ตัดสินใจอย่างไม่ชาญฉลาดด้วยการแยกกลุ่มกระจาย นี่มิใช่เปิดโอกาสให้เขากำจัดอย่างน้อยก็หนึ่งคนหรอกหรือ

“คุณชาย เหมือนกับว่ามารพวกนี้กำลังหนีเอาชีวิตรอดอย่างนั้นเลย” ฮู่หลิงเอ๋อนำชามใหญ่ออกมาให้เขาผลิตน้ำลายมังกรอันนางก็จะใช้มันทาแผลบนตัวเขาอีกที “หากว่าพวกเขารวมพลังกัน กำลังฝีมือของพวกเขาก็อาจจะสูงกว่าพวกเรา กระนั้นพวกเขากลับหนีกระเจิงไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หรือว่าพวกเขาตั้งใจจะไปส่งข่าวสาร เพื่อความปลอดภัย พวกเราจะต้องรีบกลับไปเมืองหลีโดยทันที!”

ฉินมู่เลิกคิ้ว “หากว่าพวกเราเดินต่อไป พวกเราก็จะไปถึงหอคอยสังเกตการณ์เมืองไร้โอหัง พวกเราอยู่ไกลจากเมืองหลีมากเกินไป หอคอยสังเกตการณ์อยู่ใกล้กว่า ด้วยมีเทพซังเย่ มารทั่วๆ ไปไม่กล้าเข้ามาหรอก”

เขากระโดดขึ้นไปบนหลังกิเลนมังกร และฮู่หลิงเอ๋อก็กระโดดขึ้นไปพร้อมกับอ่างของนาง กิเลนมังกรรีบวิ่งตะบึงตรงไปยังเมืองไร้โอหังทันที

ยังมีระยะทางเหลืออีกสองร้อยลี้ แต่ฉินมู่สามารถเห็นรัศมีเทวะของเทพซังเย่แต่ไกลๆ มันเป็นแสงเทวะที่สาดส่องจากเทพซังเย่ และมันพวยพุ่งไปถึงเมฆราวกับเสาแสง

นั่นคือเป้าหมายของหอสังเกตการณ์ เพื่อแสดงจุดปลอดภัยสำหรับผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงทั้งหลายที่อยู่ในแดนเถื่อน หากว่าพวกเขาอยู่ในอันตราย ก็สามารถมุ่งหน้าไปที่นั่นเพื่อรับการคุ้มครองได้

ทันใดนั้นเสียงหนึ่งที่เต็มไปด้วยความยินดีก็ดังขึ้นมา “เจ้าคือจ้าวลัทธิฉินหรือ”

หมูู่บ้านเล็กๆ นี้เป็นหมู่บ้านเพียงหนึ่งเดียวในแดนเถื่อนรอบๆ พวกเขา มารผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงจำนวนหนึ่งพักเท้าอยู่ที่นั่น พวกเขาเป็นกลุ่มคนเดียวที่อยู่แถวๆ นี้

กลุ่มนี้มีใบหน้าที่คุ้นตาอยู่ด้วย หนึ่งในพวกสาวๆ มีชื่อว่ากวนเหอ ซึ่งอวี่เหอเคยแนะนำให้ฉินมู่รู้จัก และนางเป็นยอดฝีมือในขั้นชาวสวรรค์ นางจัดอยู่ในลำดับที่เก้าในสวรรค์ไท่หวงในขั้นวรยุทธเดียวกัน และกำลังฝีมือของนางก็สูงล้ำแข็งแกร่ง

นางเป็นศิษย์ของเทพเจ้าที่เชี่ยวชาญในวิชากระบี่

เพราะว่าฉินมู่กำลังขยายสาขาของลัทธินักบุญสวรรค์ในสวรรค์ไท่หวง เขาจึงแต่งตั้งกวนเหอให้เป็นหัวหน้าโถงแห่งโถงกระบี่ในสาขาใหม่นี้

“กวนเหอ ทำไมพวกเจ้าอยู่ที่นี่” ฉินมู่กระโดดลงจากหลังกิเลนมังกรและมองไปยังผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นๆ พวกเขาก็เป็นหัวหน้าโถงกับหัวหน้าธูปแห่งลัทธินักบุญสวรรค์สาขาสวรรค์ไท่หวงเช่นกัน

“เป็นจ้าวลัทธิจริงๆ” กวนเหอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเรากำลังฝึกอยู่แถวๆ นี้และจู่ๆ ก็พบกับยอดฝีมือมาร หนึ่งในนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าจะต้องทุ่มเททุกอย่างที่มีเพื่อสังหารเขา”

ฉินมู่มองไปยังทิศทางที่นางชี้ไปและจดจำได้ว่ายอดฝีมือมารคนนั้นก็คือคนที่เพิ่งหนีไป และยังมีร่องรอยการต่อสู้ดุเดือดในบริเวณโดยรอบ

“เข้าใจล่ะ” ฉินมู่ยิ้มให้แก่นาง “หัวหน้าโถงกวน นับว่าลำบากเจ้าแล้ว ท้องฟ้าใกล้จะมืด และข้าก็วางแผนว่าจะมุ่งหน้าไปยังหอคอยสังเกตการณ์ พวกเจ้าจะตามไปด้วยไหม”

กวนเหอตาเป็นประกาย และนางเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “พวกเราก็กะว่าจะกลับไปเช่นกัน!”

คนอื่นๆ ก็ตามมาด้วย และฉินมู่เดินทางนำหน้าคณะมุ่งไปยังหอสังเกตการณ์ในเมืองไร้โอหัง

กวนเหอรีบมายังข้างๆ เขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทำไมจ้าวลัทธิถึงรีบนักล่ะ พวกเราล้วนแต่เป็นยอดฝีมือของลัทธิ แล้วทำไมจะต้องกริ่งเกรงผู้ใดด้วย”

“ข้าถูกมารจดจำได้ และข้าเกรงว่าพวกเขาจะไปรายงานยอดฝีมือแข็งแกร่งมาขัดขวางข้าข้างหน้า” ฉินมู่จึงยิ้มให้แก่หญิงสาว “หัวหน้าโถงกวน อาจารย์ของเจ้าคือใครนะ ตอนที่อวี่เหอแนะนำเจ้าให้แก่ข้า ข้าลืมถาม”

“อาจารย์ของข้าคือเทียนเฟิงโก้ว จ้าวลัทธิเคยพบนางมาก่อน”

“ที่แท้ก็เป็นเทพนารีเทียนเฟิงโก้ว” ฉินมู่ผงกหัวและหันไปยังคนอื่นๆ ด้วยความสนใจใคร่รู้ “หัวหน้าโถงและหัวหน้าธูปทั้งหลาย อาจารย์ของพวกเจ้าล่ะ?”

“พวกเราก็เป็นศิษย์ของเทียนเฟิงโก้ว” เด็กหนุ่มคนหนึ่งกล่าว

ฉินมู่ผงกหัวอีกครั้งและตบคอหนาๆ ของกิเลนมังกรข้างๆ เขาพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หัวหน้าโถงกวน ตอนที่พวกเจ้าต่อสู้กับยอดฝีมือมารขั้นชาวสวรรค์คนนั้น เจ้าคงจะได้ปิดการต่อสู้ลงอย่างรวดเร็ว ดูจากร่องรอยทักษะเทวะที่พวกเจ้าหลงเหลือเอาไว้ พวกมันไม่อาจสร้างการโจมตีถึงตายได้ ต่อให้เป็นทักษะเทวะอันเหนือธรรมดา”

“การจู่โจมสังหารที่แท้จริงคือกระบี่ที่ทะลวงจากข้างหลังมารคนนี้ สังหารจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาไปโดยพลัน ในตอนนั้นระยะห่างระหว่างหัวหน้าโถงกวนและยอดฝีมือมารคงจะชิดใกล้เท่ากับพวกเราในขณะนี้ จากระยะประชิดขนาดนั้น หัวหน้าโถงกวนได้สังหารเขา”

สีหน้าของกวนเหอแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย และทันใดนั้น ลูกแก้วกิเลนขนาดใหญ่ก็พลันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ในเสี้ยวพริบตา เพลิงกิเลนร้อนแรงก็โหมไหม้ไปทั่วบริเวณ แผดเผาทุกอย่างจนเป็นจุณ!

ท่ามกลางเพลิงไฟ กระบี่บินเล่มหนึ่งพุ่งออกมา ขณะที่หญิงสาวร่ายรำเพลงกระบี่ของนาง ฉินมู่ก็แตะนิ้วกระบี่ที่หว่างคิ้วของเขา ไจกระบี่ของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแสงกระบี่เจิดจ้าที่กวาดซัดไปข้างหน้า บดขยี้เพลงกระบี่ของกวนเหอและหว่างคิ้วของนาง!

ฉินมู่รั้งกระบี่กลับและเฝ้ามองรอบๆ ข้างอันหัวหน้าโถงและหัวหน้าธูปแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวช ในพริบตาถัดมา ศีรษะของพวกเขาก็ถูกเกล็ดมังกรขนาดยักษ์ตัดสะบั้น!

กิเลนมังกรเขย่าตัว และเกล็ดมังกรพวกนั้นก็บินกลับมา

ฉินมู่จับไจกระบี่ของเขา และกล่าวอย่างอ่อนโยน “มังกรอ้วน เจ้าได้ชนะอีกหลายศึกเรียบร้อยแล้ว”

“คุณชาย พวกเขาคือผู้คนที่พวกมารจะเรียกมาอย่างนั้นหรือ” ฮู่หลิงเอ๋อโผล่หัวของนางออกจากใบหูของกิเลนมังกร “ถ้าอย่างนั้น เทพนารีเทียนเฟิงโก้ว…”

ฉินมู่กำลังจะพูด แต่ทันใดหูเขาก็กระดิก และเขาหันขวับไปข้างหลัง “ใครอยู่ตรงนั้น”

กวางโรตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากป่า และกระดิกหางเล็กๆ ของมันไปมาพลางจ้องมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น จากนั้นก็ตามมาด้วยฝูงกวางโรที่วิ่งออกมาจากป่าเพื่อจ้องมองคณะเดินทางด้วยความสงสัยใคร่รู้

“ที่แท้ก็เป็นกวางโรเซ่อซ่าฝูงหนึ่ง” ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก

กวางโรเซ่อซ่าพวกนั้นก้าวเข้ามาข้างหน้าเงยหัวของพวกมันมองไปที่เขาอย่างใจกล้า ฉินมู่สั่นเทิ้มเล็กน้อย และทันใดนั้นเสียงสดใสกังวานก็ดังมาจากข้างหน้าพวกเขา “จ้าวลัทธิฉิน เจ้าเพิ่งสังหารศิษย์ของข้า เจ้าไม่คิดว่าควรจะมีคำอธิบายให้ข้าสักหน่อยหรือ”

………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+