ตำนานเทพกู้จักรวาล 530 สาวงามประดุจหยก กระบี่ประดุจรุ้ง

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 530 สาวงามประดุจหยก กระบี่ประดุจรุ้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซังฮั่วลุกขึ้นและหันหลังให้ฉินมู่ นางปลดกระดุมเสื้อเพื่อดูบาดแผลของนางที่ใต้คออันขาวสล้าง นางนำเอาขวดหยกออกมา และรีดไล่เลือดคั่งในบาดแผลออก ก่อนที่จะทายาลงไปให้ตนเอง

“คืนนั้นข้าบอกเจ้าไปตั้งหลายอย่าง จนข้าเองก็จำพวกมันไม่ได้อีกต่อไป” ใบหูของนางเป็นสีแดงขึ้นเล็กน้อย

อันที่จริงแล้ว ในคืนนั้นที่นางรู้สึกว่าอาจจะหลบหนีไม่ได้อีกต่อไป นางบอกฉินมู่หลายสิ่งหลายอย่าง และถ้อยคำเหล่านั้นแม้แต่เด็กหนุ่มรับฟังก็คงต้องหน้าแดง แต่ทว่านางพูดอย่างกล้าหาญชาญชัยก็เพราะว่าถึงอย่างไรฉินมู่ก็ไม่มีทางได้ยินอยู่ดี

โดยไม่คาดคิด นางรอดผ่านค่ำคืนนั้นมาได้ และเมื่อนางคิดว่าคงจะไม่มีโอกาสได้พบกับฉินมู่อีกครั้ง คำพูดเหลวไหลที่นางพูดในคืนนั้นก็ได้กลายเป็นอีกอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งในความทรงจำ นางไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นเด็กหนุ่มในความมืดอีกครั้ง ผู้ซึ่งนางได้แบ่งปันความคิดมากมายอันคั่งค้างอยู่ในใจ

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมองดวงตะวัน และพอกัดฟันอดใจไว้ไม่ให้เหาะขึ้นไปทุบทำลายดวงตะวันนี้ให้เป็นผุยผง เขาจึงเดินอ้อมเด็กสาวไป และยื่นมือไปช่วยนางทายา

ซังฮั่วรีบปิดเนื้อตัวเอาไว้ “ชายและหญิงไม่ควรสัมผัสกัน…”

“ข้าเป็นหมอยา และข้าเพียงแต่ต้องการช่วยเจ้าทายาเท่านั้น ข้าปฏิบัติต่อคนไข้ราวกับบิดามารดาพึงกระทำ และไม่มีความคิดไม่บริสุทธิ์ใดๆ”

ตอนนี้ซังฮั่วถึงเพิ่งจำได้ที่เขาบอกว่าเขาเป็นหมอยาที่มีชื่อเสียงโด่งดัง นางจึงค่อนคลายใจลง นางมองไปอย่างสนใจใคร่รู้ถึงวิธีการที่เขาทายาให้แก่นาง พบว่าวิชามือของเขานั้นได้ฝึกปรือมาเป็นอย่างดี นางถามอย่างฉงนใจ “ความสำเร็จของเจ้าในพีชคณิตก็สูงล้ำแล้ว ทำไมเจ้ายังมีความเชี่ยวชาญในด้านการเยียวยาอีก”

ฉินมู่ตรวจดูบาดแผลบนหน้าอกของนางอย่างละเอียด “ข้าได้ร่ำเรียนศาสตร์แห่งการเยียวยามาสิบกว่าปี ขณะที่ข้าศึกษาพีชคณิตมาเพียงแค่สามปี หากว่าจะพูดแล้ว ข้าเก่งด้านการเยียวยามากกว่า”

“เจ้าจะมองดูอีกนานแค่ไหน” ซังฮั่วกล่าวอย่างโกรธขึ้งและยกมือขึ้นเพื่อปิดบังเอาไว้

ฉินมู่รีบหยุดนางเอาไว้ และค่อยๆ ปลดเสื้อของนางมาถึงหัวไหล่ เขากล่าว “ข้ารักษาคนไข้เหมือนบิดามารดาพึงทำ อืม ผิวเจ้าขาวดีจริงๆ แถมหัวไหล่เจ้าก็เนียนยิ่งนัก…ช้าก่อน!”

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย บาดแผลของซังฮั่วนั้นเกิดจากน้ำมือของยอดฝีมือมาร และมันมีทักษะเทวะและปราณมารอยู่ข้างในนั้น กัดกร่อนเลือดเนื้อและปราณชีวิตของนาง

ยากอย่างยิ่งที่จะห้ามเลือดจากบาดแผลเช่นนี้ และก็ยิ่งยากที่จะกำจัดปราณมารออกไปด้วยเช่นกัน ขี้ผึ้งยาที่ทาลงไปบนแผลนั้นได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสีดำไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าฤทธิ์พลังยาของมันถูกปราณมารแปดเปื้อน

ฉินมู่บีบไล่ขี้ผึ้งที่กลายเป็นสีดำออกและดมฟุดฟิด เขาส่ายหัว

ขี้ผึ้งยาเช่นนี้ไม่มีผล

“โอ๊ย! ขี้ผึ้งนี้ใช้เพื่อดึงพิษออก หลังจากทาลงไปแล้ว มันจะรวบรวมปราณมารเข้ามาและเปลี่ยนสีไป” ซังฮั่วร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และนำขวดขี้ผึ้งยาออกมาอีกหลายขวด “สำหรับบาดแผลเช่นนี้ ข้าก็จะต้องทามันซ้ำๆ ไปกว่าสิบหนเพื่อดึงเอาพิษออกมาให้หมด…สายตาของเจ้าเอาแต่คอยแอบมองดู ให้ข้าทำเองดีกว่า!”

ฉินมู่นำส่วนผสมของตัวยาออกมาจากถุงเต๋าตี้ และใช้วิธีการหลอมปรุงยาของเขาเพื่อหลอมปรุงยาจำนวนหนึ่ง “พิษมารนั้นมิใช่พิษ ปัญหานั้นอยู่ในการที่ปราณชีวิตในมรรคาเทพที่เจ้าฝึกปรือนั้นไปปะทะกับวิชามรรคามาร ขี้ผึ้งที่เจ้าใช้มิใช่ขี้ผึ้งสำหรับดูดพิษออกมา แต่เป็นสิ่งที่แปรผันไปจากยาเม็ดวิญญาณอันมิได้ถูกหลอมปรุงจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ดังนั้นมันจึงอยู่ในรูปของขี้ผึ้ง ขี้ผึ้งชนิดนี้ก็มีแต่จะแปดเปื้อนปราณมารเท่านั้น ดังนั้นจึงหมดเปลืองไปเปล่าๆ ที่จะใช้มันดูดซับปราณมารออกมา”

ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เตาหลอมยาอันก่อขึ้นมาจากปราณชีวิตของเขาก็ปรากฏอยู่บนฝ่ามือและเขาก็หลอมปรุงยาวิญญาณข้างในนั้น เขาย้อนพลิกน้ำและไฟ ผสมผสานพวกมัน และใช้วิธีหลอมปรุงยาอีกมากมายอันละลานตาซังฮั่ว

ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินมู่ก็สลายปราณชีวิต และยาเม็ดกว่าสิบเม็ดก็ร่วงลงมาใส่อุ้งมือของเขา

เขาบดหนึ่งเม็ดให้เป็นผงและทามันลงไปบนบาดแผลของซังฮั่ว “ในโลกของข้า ข้าคือจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์อันถูกเรียกว่าจ้าวลัทธิมารฟ้าโดยผู้คน ข้ามีความเข้าใจอันเลิศล้ำต่อมรรคามาร มารนั้นกำเนิดขึ้นมาในหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมาร ก็ล้วนแต่กำเนิดขึ้นในหัวใจ ถึงอย่างไร ข้าก็มีประสบการณ์ในการรักษาบาดแผลอันเกิดจากทักษะเทวะของมรรคามาร”

ไม่นานนัก ซังฮั่วก็รู้สึกว่าบาดแผลของนางเริ่มรู้สึกเย็น และปราณมารก็ถูกดึงออกไปทั้งหมด บาดแผลนางเริ่มที่จะคันยิบๆ อันเป็นสัญญาณว่ามันเริ่มจะสมานฟื้นฟู

“แผลของข้าหายเร็วขนาดนี้เชียวหรือ เจ้าเพิ่งบอกไปว่าเจ้าแค่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างในโลกของเจ้าไม่ใช่หรือ” ซังฮั่วจ้องไปด้วยดวงตาเบิกกว้าง ก่อนที่จะลอบนำเปียของนางมาปิดบังหน้าอกเอาไว้ นางถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “หมอยาที่มีชื่อเสียงนิดหน่อยสามารถหลอมปรุงยาเพื่อต่อต้านปราณมารได้เร็วขนาดนี้เลย”

ฉินมู่ยื่นยาวิญญาณที่เหลือให้แก่นางและยิ้มแฉ่ง “ข้าถ่อมตนอย่างไรเล่า จริงๆ แล้วข้าไม่ได้มีชื่อเสียงนิดหน่อย แต่โด่งดังอย่างสุดๆ ในโลกนั้น แต่เจ้าคงไม่ข้าใจมันได้จากเพียงแค่คำพูดของข้าหรอก จริงไหม” เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพึงใจในตนเอง “คนส่วนใหญ่ไม่อาจจะได้ยินมัน!”

ซังฮั่วฉงนฉงาย “เจ้าไม่ช่วยข้าทายาแล้วหรือ”

ฉินมู่เดินไปยังคนอื่นๆ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขา “เมื่อครู่นี้ข้าเพียงแต่จะตรวจดูบาดแผลเท่านั้น เจ้าทายาเองได้ คนอื่นก็ต้องได้รับการช่วยชีวิตเช่นกัน”

ซังฮั่วดึงเสื้อของนางขึ้นและมองไปที่เขารีบวิ่งไปทางนั้นทีทางนี้ที นางคิดในใจ เขาปฏิบัติต่อคนไข้เหมือนที่บิดามารดาพึงทำจริงๆ และไม่มีความคิดไม่บริสุทธิ์ใดๆ บุคคลนี้เป็นสุภาพบุรุษที่หาได้ยาก เพียงแต่ว่าสายตาของเขาชอบสอดส่ายไปทั่วเท่านั้น…

ฉินมู่รักษาอาการบาดเจ็บให้แก่ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายบนแท่นสังเวย ก่อนที่จะมองลงไปยังผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน และทหารฝูงมารฟ้ามากมายที่นอนก่ายกองในสนามรบ มีผู้คนที่ออกมาเคลื่อนย้ายคนเจ็บ และมีบางกลุ่มที่มาปลิดชีวิตพวกมารที่ยังคงไม่ตายสนิท

สนามรบกว้างใหญ่เต็มไปด้วยเพลิงไฟอันหลงเหลือจากทักษะเทวะ พวกมันเผาไม้รถศึก ซากร่างที่ล้มร่วง ธง และอาวุธวิญญาณอันปักตั้งอยู่กับพื้น

ไกลออกไปลิบๆ การสังหารเข่นฆ่ายังคงดำเนินต่อ

โลกที่ฉินมู่ได้เข้ามานี้ช่างโหดร้ายทารุณอย่างประหลาด แม้ว่าเขาจะเคยผ่านสนามรบมาแล้วหลายแห่ง แต่ภาพตรงหน้าเขาก็ยังคงทำให้เขาสะท้านใจ

“ศาสตร์วิชาแพทย์มิอาจกู้โลกแห่งนี้ได้หรือ”

ฉินมู่ส่ายหัว การรักษาเยียวยาของเขาสามารถช่วยชีวิตคนได้เพียงไม่กี่คน หากว่าเขาต้องการจะช่วยเหลือทุกคนที่บาดเจ็บในสนามรบแห่งนี้ เขาก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ ที่นี่มีศึกเล็กทุกสามวันและศึกใหญ่ทุกห้าวัน เขาไม่มีความสามารถที่จะรักษาเยียวยาทุกๆ คนได้ทัน

เขาเงยหน้าขึ้นมาท้องฟ้า ดวงตะวันอันพิกลพิการมืดมัวลงและกลายเป็นสีแดง

ดวงตะวันสองดวงคาอยู่กับที่และไม่เคลื่อนไหว มันคงจะถูกตั้งเวลาเอาไว้ว่าทุกๆ กี่ชั่วโมงมันจะเริ่มหรี่แสง

‘เทพเจ้าที่สร้างดวงตะวันมีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี แต่ความสำเร็จเชิงพีชคณิตของเขาไม่ค่อยสูงเท่าไร… ฉินมู่เบือนสายตาออกไปไกล รู้สึกเหมือนดวงตะวันนี้กำลังเผาดวงตาของเขา น่าเกลียดเหลือเกิน! หากว่าข้ายังมองพวกมันอยู่ ข้าคงอดไม่ได้ที่จะขึ้นไปซ่อมพวกมัน…

เขาเคลื่อนที่ไปรอบๆ แท่นสังเวย พลางโคจรปราณชีวิตของเขาเพื่อขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ทารกวิญญาณและดวงวิญญาณของเขาหลอมรวมกันเพื่อก่อขึ้นมาเป็นจิตวิญญาณดั้งเดิม หลอมรวมจิตวิญญาณและร่างเนื้อเข้าเป็นหนึ่งเดียว

จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเหยียบอยู่บนแท่นวิญญาณ และผสานทิศทั้งหก ด้วยดวงตะวันและจันทราเหนือหัวของเขา ปราณชีวิตก็เคลื่อนคล้อย ไหลผ่านทุกส่วนของร่างกาย เส้นผมเขาปลิวไสวขึ้นมาเล็กน้อย

ในการต่อสู้ เขาได้เห็นสิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกวิชาเทวะในโลกแห่งนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก ผ่านประสบการณ์เป็นตายบนสนามรบ ได้เปลี่ยนกรอบคิดจิตใจของเขาให้ดีขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ตั้งแต่การต่อสู้กับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก เขาก็ได้หดหู่ซึมเศร้ามาตลอด เมื่อต่อสู้ เขาถึงกับไม่สามารถร่ายรำกระบวนท่าออกไปได้ และถูกคนแล่เนื้อดุด่าอย่างหนัก

ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าออกกระบวนท่าไป เขาเพียงแต่รู้สึกว่าไม่ว่ากระบวนท่าหรือทักษะเทวะใดที่เขาใช้ออกมา มันก็ผิดไปทั้งหมด

สาเหตุที่มันผิดไปทั้งหมดนั้นมิใช่เพราะว่าความมั่นใจของเขาสูญเสียไปจากการเผชิญหน้ากับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ปัญหาอยู่ที่ว่าการปะทะกันครั้งนั้นได้ถ่างขยายขอบฟ้าวิสัยทัศน์และนำเขาไปอยู่บนจุดที่มองลงมาสูงกว่าที่เคยจะคิดฝัน

เมื่อมองลงมาจากบนนั้นดูทักษะเทวะและกระบวนท่าที่เขาได้เรียนมาก่อน เขาก็เห็นแต่ช่องโหว่เต็มไปหมด!

ขอบฟ้าวิสัยทัศน์ของเขาสูง แต่รากฐานของเขาไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองและก้าวย่างไปสู่เขตขั้นถัดไป ดังนั้นเขาจึงไม่อาจร่ายรำกระบวนท่าหรือทักษะเทวะใดๆ เขารู้สึกว่ามันก็จะถูกทำลายไปอยู่ดี และเขาก็คงจะตายในพริบตาถัดมา

เขาได้ถือเอาคู่ต่อสู้เป็นกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก อันทำให้เขามีความรู้สึกเช่นนี้

กระนั้นเมื่ออยู่บนสนามรบ ฉินมู่ไม่มีเวลามาคิดเรื่องทั้งหมดนั่น สถานการณ์ที่นั่นเปลี่ยนแปลงไปทุกๆ เสี้ยววินาที ดังนั้นเขาจึงไม่อาจมัวมาใส่ใจว่ากระบวนท่าของเขาจะมีช่องโหว่หรือไม่ เขาได้แต่ขับเคลื่อนมันออกไปเพื่อสังหารศัตรูที่ทรงพลังหรือเช่นนั้นก็จะต้องตาย

หลังจากการต่อสู้ ฉินมู่รู้สึกว่าเขาได้ย่างสู่เขตริมขอบที่กำลังจะไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ตราบเท่าที่เขาผ่านประตูนั้นไป เขาก็จะมองเห็นท้องฟ้าผืนใหม่อย่างแน่นอน ถนนสายกว้างรออยู่ตรงหน้าเขา!

ร่างกายของเขาเริ่มเปล่งแสงสุกสกาวของดวงอาทิตย์เมื่อปราณชีวิตเคลื่อนคล้อยไปข้างในตัวเขา เชื่อมต่อทารกวิญญาณ ห้าธาตุ และหกทิศ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลายเปล่งแสงจำรัสออกมาส่องสว่างสมบัติเทวะ เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นมนุษย์แสง

แม้แต่สมบัติเทวะชาวสวรรค์ของเขาก็ฉายโชนจนกระทั่งมองเห็นประตูของมัน

ในขณะเดียวกันนั้น ข้างใต้สมบัติเทวะหกทิศ ประตูอันลึกล้ำและมืดมิดก็มองเห็นอยู่ลางเลือน มันคือประตูแห่งขั้นวรยุทธเป็นตายที่เชื่อมโยงไปยังแดนใต้พิภพ

ฉินมู่เดินไปด้วยฝีเท้าอันมั่นคง ในนครหยกน้อย เขาได้สังเกตดูสมบัติเทวะของเทพเที่ยงแท้ฉินชงหมิง แห่งนครหยกน้อยเป็นเวลานาน

จากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ได้เริ่มต้นยกเครื่องสมบัติเทวะของเขา และซ่อมปะในสิ่งที่เขาบกพร่อง

โฮกกก!

ปราณชีวิตในร่างกายของเขาเขย่าและส่งเสียงคำรามมังกรออกมาระลอกหนึ่ง ปราณมังกรกระหวัดพันรอบกายเขา มุดเข้าและออกเพื่อเคี่ยวกรำบ่มเพาะมัน ทันใดนั้น ด้วยฝ่ามือของเขาต่างมีด ฉินมู่ก็โจมตีระหว่างที่เดินไปรอบๆ ขอบแท่นสังเวย

ลมเริ่มพัดอื้ออึง และมีดก็ร่วงกราวลงมาราวห่าฝน ลมฝนราตรีทลายเมือง!

ดวงตะวันโผล่ขึ้นและกระโดดออกมาจากผิวมหาสมุทร ตะวันทะเลบูรพา คลื่นซัดพันระลอก!

มีดทองประดับด้วยหยกขาว แสงวาบวาวเสียดราตรีทะลุบานเกล็ด ชายวัยห้าสิบไร้ความสำเร็จ ด้วยใจเด็ด…แบกมีดเดี่ยวท่องแดนดิน!

หลังเผชิญวิกฤตการณ์อันกริ่งเกรง ความหวังคนย่อมมาเองและผลิบาน เหลียวมองดูน่านฟ้าทะเลไกล การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่เป็นเพียงควัน!

ในสนามรบอันกว้างใหญ่และนองเลือด เพลงมีดของคนแล่เนื้อพลันกลายเป็นพลุ่งพล่านและเปี่ยมชีวิตชีวา สะท้อนภัยพิบัติในโลกหล้า

เพลงมีดของฉินมู่เร็วขึ้นและเร็วขึ้น ทันใดนั้น แสงมีดทั้งหมดก็หายวับ ลม ฝน ดวงตะวัน มหาสมุทร ทั้งหมดหายสาบสูญไปเช่นกัน ฉินมู่คีบนิ้วเป็นกระบี่ และปราณชีวิตของเขาก็สั่นสะเทือนเพื่อก่อขึ้นมาเป็นเส้นด้ายกระบี่ เขาพลิกและเฉียดมันเบาๆ เพลงกระบี่ของเขาเพริศแพร้วอย่างอัศจรรย์ ทันใดนั้น พวกมันก็เร็วขึ้นและเร็วขึ้น ในพริบตาเดียว กระบี่ยาวของเขาก็กรีดพุ่งผ่านอากาศและเริงระบำบนเวหาเหนือแท่นสังเวยราวกับมังกรไร้เขาสีเงินตัวหนึ่ง

ฉินมู่เดินไปรอบๆ แท่นสังเวยขณะที่แสงกระบี่ของเขากวาดซัดผ่านอากาศ กลายเป็นว่องไวขึ้นและว่องไวขึ้น เร่งร้อนขึ้นและเร่งร้อนขึ้น

ภัยพิบัติของสวรรค์ไท่หวงทำให้เขาได้รับมรรคผลบางอย่าง และเขาก็ปลดปล่อยอารมณ์ทั้งหมดออกไปโดยไม่รู้คัว เขาเรียนรู้มันผ่านเพลงกระบี่ของเขา ผ่านปราณชีวิตของเขา

กระบวนท่าที่สามของภาพกระบี่ ภัยพิบัติจักรพรรดิสูงส่ง

กระนั้นเมื่อภัยพิบัติมาถึงจุดที่ร้ายกาจดุดันที่สุด ฉินมู่ก็พลันสลายแสงกระบี่ทั้งหมด และนิ้วกระบี่ของเขาก็พลันแตะไปที่หว่างคิ้วของตนเอง มันไม่เพียงแต่แตะลงไปยังตำแหน่งทางกายภาพของร่างกายเขาเท่านั้น แต่ยังแตะลงไปบนหว่างคิ้วของทารกวิญญาณเขาอีกด้วย

จิตวิญญาณทั้งหมดของเขา และปราณกระบี่ทั้งหมดเข้ามารวบรวมอยู่ในนิ้วของเขา

เขาได้ตรึกตรองเข้าใจแล้วว่าภัยพิบัติหมายถึงอะไร

ภัยพิบัติหมายถึงภัยอันตรายอันแผ่กว้างที่ผู้คนต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด อันเหมือนกับแสวงหาความหวังในขุมนรก วีรบุรุษอย่างคนแล่เนื้อใช้มีดของเขาเพื่อสลักเสลาความหวังออกมาให้แก่ผู้คน กษัตริย์มนุษย์อย่างผู้ใหญ่บ้าน แบกรับความยากลำบาก และภาระความรับผิดชอบให้แก่ทุกคนมาตลอดทั้งชีวิต และยังมีการดิ้นรนต่อสู้ของผู้คนที่อยู่ข้างหลังวีรชนเหล่านี้อีกด้วย

มันคือชีวิตที่ต้องกลบฝังให้แก่ญาติมิตรของตนเองในทุกๆ วัน

สองนิ้วกระบี่ของฉินมู่แทงไปข้างหน้า และกระบี่พรรณรายดุจสายรุ้งก็พวยพุ่งไปไกลกว่าสิบลี้

บนนภากาศ ดวงตะวันครึ่งซีกหนึ่งหรี่มัวลง มีก็แต่แสงกระบี่ที่ปรากฏ

ระหว่างที่แสงกระบี่สาดส่องอยู่บนฟากฟ้า ฉินมู่ก็ยืนอยู่บนแท่นสังเวยด้วยความตะลึงงัน กระบวนท่านั้นมิได้เกี่ยวข้องกับภาพกระบี่ของผู้ใหญ่บ้าน ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าเขาเสาะพบมรรคาของตนเอง

…………..

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเทพกู้จักรวาล 530 สาวงามประดุจหยก กระบี่ประดุจรุ้ง

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 530 สาวงามประดุจหยก กระบี่ประดุจรุ้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซังฮั่วลุกขึ้นและหันหลังให้ฉินมู่ นางปลดกระดุมเสื้อเพื่อดูบาดแผลของนางที่ใต้คออันขาวสล้าง นางนำเอาขวดหยกออกมา และรีดไล่เลือดคั่งในบาดแผลออก ก่อนที่จะทายาลงไปให้ตนเอง

“คืนนั้นข้าบอกเจ้าไปตั้งหลายอย่าง จนข้าเองก็จำพวกมันไม่ได้อีกต่อไป” ใบหูของนางเป็นสีแดงขึ้นเล็กน้อย

อันที่จริงแล้ว ในคืนนั้นที่นางรู้สึกว่าอาจจะหลบหนีไม่ได้อีกต่อไป นางบอกฉินมู่หลายสิ่งหลายอย่าง และถ้อยคำเหล่านั้นแม้แต่เด็กหนุ่มรับฟังก็คงต้องหน้าแดง แต่ทว่านางพูดอย่างกล้าหาญชาญชัยก็เพราะว่าถึงอย่างไรฉินมู่ก็ไม่มีทางได้ยินอยู่ดี

โดยไม่คาดคิด นางรอดผ่านค่ำคืนนั้นมาได้ และเมื่อนางคิดว่าคงจะไม่มีโอกาสได้พบกับฉินมู่อีกครั้ง คำพูดเหลวไหลที่นางพูดในคืนนั้นก็ได้กลายเป็นอีกอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งในความทรงจำ นางไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นเด็กหนุ่มในความมืดอีกครั้ง ผู้ซึ่งนางได้แบ่งปันความคิดมากมายอันคั่งค้างอยู่ในใจ

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมองดวงตะวัน และพอกัดฟันอดใจไว้ไม่ให้เหาะขึ้นไปทุบทำลายดวงตะวันนี้ให้เป็นผุยผง เขาจึงเดินอ้อมเด็กสาวไป และยื่นมือไปช่วยนางทายา

ซังฮั่วรีบปิดเนื้อตัวเอาไว้ “ชายและหญิงไม่ควรสัมผัสกัน…”

“ข้าเป็นหมอยา และข้าเพียงแต่ต้องการช่วยเจ้าทายาเท่านั้น ข้าปฏิบัติต่อคนไข้ราวกับบิดามารดาพึงกระทำ และไม่มีความคิดไม่บริสุทธิ์ใดๆ”

ตอนนี้ซังฮั่วถึงเพิ่งจำได้ที่เขาบอกว่าเขาเป็นหมอยาที่มีชื่อเสียงโด่งดัง นางจึงค่อนคลายใจลง นางมองไปอย่างสนใจใคร่รู้ถึงวิธีการที่เขาทายาให้แก่นาง พบว่าวิชามือของเขานั้นได้ฝึกปรือมาเป็นอย่างดี นางถามอย่างฉงนใจ “ความสำเร็จของเจ้าในพีชคณิตก็สูงล้ำแล้ว ทำไมเจ้ายังมีความเชี่ยวชาญในด้านการเยียวยาอีก”

ฉินมู่ตรวจดูบาดแผลบนหน้าอกของนางอย่างละเอียด “ข้าได้ร่ำเรียนศาสตร์แห่งการเยียวยามาสิบกว่าปี ขณะที่ข้าศึกษาพีชคณิตมาเพียงแค่สามปี หากว่าจะพูดแล้ว ข้าเก่งด้านการเยียวยามากกว่า”

“เจ้าจะมองดูอีกนานแค่ไหน” ซังฮั่วกล่าวอย่างโกรธขึ้งและยกมือขึ้นเพื่อปิดบังเอาไว้

ฉินมู่รีบหยุดนางเอาไว้ และค่อยๆ ปลดเสื้อของนางมาถึงหัวไหล่ เขากล่าว “ข้ารักษาคนไข้เหมือนบิดามารดาพึงทำ อืม ผิวเจ้าขาวดีจริงๆ แถมหัวไหล่เจ้าก็เนียนยิ่งนัก…ช้าก่อน!”

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย บาดแผลของซังฮั่วนั้นเกิดจากน้ำมือของยอดฝีมือมาร และมันมีทักษะเทวะและปราณมารอยู่ข้างในนั้น กัดกร่อนเลือดเนื้อและปราณชีวิตของนาง

ยากอย่างยิ่งที่จะห้ามเลือดจากบาดแผลเช่นนี้ และก็ยิ่งยากที่จะกำจัดปราณมารออกไปด้วยเช่นกัน ขี้ผึ้งยาที่ทาลงไปบนแผลนั้นได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสีดำไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าฤทธิ์พลังยาของมันถูกปราณมารแปดเปื้อน

ฉินมู่บีบไล่ขี้ผึ้งที่กลายเป็นสีดำออกและดมฟุดฟิด เขาส่ายหัว

ขี้ผึ้งยาเช่นนี้ไม่มีผล

“โอ๊ย! ขี้ผึ้งนี้ใช้เพื่อดึงพิษออก หลังจากทาลงไปแล้ว มันจะรวบรวมปราณมารเข้ามาและเปลี่ยนสีไป” ซังฮั่วร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และนำขวดขี้ผึ้งยาออกมาอีกหลายขวด “สำหรับบาดแผลเช่นนี้ ข้าก็จะต้องทามันซ้ำๆ ไปกว่าสิบหนเพื่อดึงเอาพิษออกมาให้หมด…สายตาของเจ้าเอาแต่คอยแอบมองดู ให้ข้าทำเองดีกว่า!”

ฉินมู่นำส่วนผสมของตัวยาออกมาจากถุงเต๋าตี้ และใช้วิธีการหลอมปรุงยาของเขาเพื่อหลอมปรุงยาจำนวนหนึ่ง “พิษมารนั้นมิใช่พิษ ปัญหานั้นอยู่ในการที่ปราณชีวิตในมรรคาเทพที่เจ้าฝึกปรือนั้นไปปะทะกับวิชามรรคามาร ขี้ผึ้งที่เจ้าใช้มิใช่ขี้ผึ้งสำหรับดูดพิษออกมา แต่เป็นสิ่งที่แปรผันไปจากยาเม็ดวิญญาณอันมิได้ถูกหลอมปรุงจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ดังนั้นมันจึงอยู่ในรูปของขี้ผึ้ง ขี้ผึ้งชนิดนี้ก็มีแต่จะแปดเปื้อนปราณมารเท่านั้น ดังนั้นจึงหมดเปลืองไปเปล่าๆ ที่จะใช้มันดูดซับปราณมารออกมา”

ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เตาหลอมยาอันก่อขึ้นมาจากปราณชีวิตของเขาก็ปรากฏอยู่บนฝ่ามือและเขาก็หลอมปรุงยาวิญญาณข้างในนั้น เขาย้อนพลิกน้ำและไฟ ผสมผสานพวกมัน และใช้วิธีหลอมปรุงยาอีกมากมายอันละลานตาซังฮั่ว

ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินมู่ก็สลายปราณชีวิต และยาเม็ดกว่าสิบเม็ดก็ร่วงลงมาใส่อุ้งมือของเขา

เขาบดหนึ่งเม็ดให้เป็นผงและทามันลงไปบนบาดแผลของซังฮั่ว “ในโลกของข้า ข้าคือจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์อันถูกเรียกว่าจ้าวลัทธิมารฟ้าโดยผู้คน ข้ามีความเข้าใจอันเลิศล้ำต่อมรรคามาร มารนั้นกำเนิดขึ้นมาในหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมาร ก็ล้วนแต่กำเนิดขึ้นในหัวใจ ถึงอย่างไร ข้าก็มีประสบการณ์ในการรักษาบาดแผลอันเกิดจากทักษะเทวะของมรรคามาร”

ไม่นานนัก ซังฮั่วก็รู้สึกว่าบาดแผลของนางเริ่มรู้สึกเย็น และปราณมารก็ถูกดึงออกไปทั้งหมด บาดแผลนางเริ่มที่จะคันยิบๆ อันเป็นสัญญาณว่ามันเริ่มจะสมานฟื้นฟู

“แผลของข้าหายเร็วขนาดนี้เชียวหรือ เจ้าเพิ่งบอกไปว่าเจ้าแค่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างในโลกของเจ้าไม่ใช่หรือ” ซังฮั่วจ้องไปด้วยดวงตาเบิกกว้าง ก่อนที่จะลอบนำเปียของนางมาปิดบังหน้าอกเอาไว้ นางถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “หมอยาที่มีชื่อเสียงนิดหน่อยสามารถหลอมปรุงยาเพื่อต่อต้านปราณมารได้เร็วขนาดนี้เลย”

ฉินมู่ยื่นยาวิญญาณที่เหลือให้แก่นางและยิ้มแฉ่ง “ข้าถ่อมตนอย่างไรเล่า จริงๆ แล้วข้าไม่ได้มีชื่อเสียงนิดหน่อย แต่โด่งดังอย่างสุดๆ ในโลกนั้น แต่เจ้าคงไม่ข้าใจมันได้จากเพียงแค่คำพูดของข้าหรอก จริงไหม” เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพึงใจในตนเอง “คนส่วนใหญ่ไม่อาจจะได้ยินมัน!”

ซังฮั่วฉงนฉงาย “เจ้าไม่ช่วยข้าทายาแล้วหรือ”

ฉินมู่เดินไปยังคนอื่นๆ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขา “เมื่อครู่นี้ข้าเพียงแต่จะตรวจดูบาดแผลเท่านั้น เจ้าทายาเองได้ คนอื่นก็ต้องได้รับการช่วยชีวิตเช่นกัน”

ซังฮั่วดึงเสื้อของนางขึ้นและมองไปที่เขารีบวิ่งไปทางนั้นทีทางนี้ที นางคิดในใจ เขาปฏิบัติต่อคนไข้เหมือนที่บิดามารดาพึงทำจริงๆ และไม่มีความคิดไม่บริสุทธิ์ใดๆ บุคคลนี้เป็นสุภาพบุรุษที่หาได้ยาก เพียงแต่ว่าสายตาของเขาชอบสอดส่ายไปทั่วเท่านั้น…

ฉินมู่รักษาอาการบาดเจ็บให้แก่ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายบนแท่นสังเวย ก่อนที่จะมองลงไปยังผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน และทหารฝูงมารฟ้ามากมายที่นอนก่ายกองในสนามรบ มีผู้คนที่ออกมาเคลื่อนย้ายคนเจ็บ และมีบางกลุ่มที่มาปลิดชีวิตพวกมารที่ยังคงไม่ตายสนิท

สนามรบกว้างใหญ่เต็มไปด้วยเพลิงไฟอันหลงเหลือจากทักษะเทวะ พวกมันเผาไม้รถศึก ซากร่างที่ล้มร่วง ธง และอาวุธวิญญาณอันปักตั้งอยู่กับพื้น

ไกลออกไปลิบๆ การสังหารเข่นฆ่ายังคงดำเนินต่อ

โลกที่ฉินมู่ได้เข้ามานี้ช่างโหดร้ายทารุณอย่างประหลาด แม้ว่าเขาจะเคยผ่านสนามรบมาแล้วหลายแห่ง แต่ภาพตรงหน้าเขาก็ยังคงทำให้เขาสะท้านใจ

“ศาสตร์วิชาแพทย์มิอาจกู้โลกแห่งนี้ได้หรือ”

ฉินมู่ส่ายหัว การรักษาเยียวยาของเขาสามารถช่วยชีวิตคนได้เพียงไม่กี่คน หากว่าเขาต้องการจะช่วยเหลือทุกคนที่บาดเจ็บในสนามรบแห่งนี้ เขาก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ ที่นี่มีศึกเล็กทุกสามวันและศึกใหญ่ทุกห้าวัน เขาไม่มีความสามารถที่จะรักษาเยียวยาทุกๆ คนได้ทัน

เขาเงยหน้าขึ้นมาท้องฟ้า ดวงตะวันอันพิกลพิการมืดมัวลงและกลายเป็นสีแดง

ดวงตะวันสองดวงคาอยู่กับที่และไม่เคลื่อนไหว มันคงจะถูกตั้งเวลาเอาไว้ว่าทุกๆ กี่ชั่วโมงมันจะเริ่มหรี่แสง

‘เทพเจ้าที่สร้างดวงตะวันมีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี แต่ความสำเร็จเชิงพีชคณิตของเขาไม่ค่อยสูงเท่าไร… ฉินมู่เบือนสายตาออกไปไกล รู้สึกเหมือนดวงตะวันนี้กำลังเผาดวงตาของเขา น่าเกลียดเหลือเกิน! หากว่าข้ายังมองพวกมันอยู่ ข้าคงอดไม่ได้ที่จะขึ้นไปซ่อมพวกมัน…

เขาเคลื่อนที่ไปรอบๆ แท่นสังเวย พลางโคจรปราณชีวิตของเขาเพื่อขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ทารกวิญญาณและดวงวิญญาณของเขาหลอมรวมกันเพื่อก่อขึ้นมาเป็นจิตวิญญาณดั้งเดิม หลอมรวมจิตวิญญาณและร่างเนื้อเข้าเป็นหนึ่งเดียว

จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเหยียบอยู่บนแท่นวิญญาณ และผสานทิศทั้งหก ด้วยดวงตะวันและจันทราเหนือหัวของเขา ปราณชีวิตก็เคลื่อนคล้อย ไหลผ่านทุกส่วนของร่างกาย เส้นผมเขาปลิวไสวขึ้นมาเล็กน้อย

ในการต่อสู้ เขาได้เห็นสิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกวิชาเทวะในโลกแห่งนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก ผ่านประสบการณ์เป็นตายบนสนามรบ ได้เปลี่ยนกรอบคิดจิตใจของเขาให้ดีขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ตั้งแต่การต่อสู้กับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก เขาก็ได้หดหู่ซึมเศร้ามาตลอด เมื่อต่อสู้ เขาถึงกับไม่สามารถร่ายรำกระบวนท่าออกไปได้ และถูกคนแล่เนื้อดุด่าอย่างหนัก

ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าออกกระบวนท่าไป เขาเพียงแต่รู้สึกว่าไม่ว่ากระบวนท่าหรือทักษะเทวะใดที่เขาใช้ออกมา มันก็ผิดไปทั้งหมด

สาเหตุที่มันผิดไปทั้งหมดนั้นมิใช่เพราะว่าความมั่นใจของเขาสูญเสียไปจากการเผชิญหน้ากับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ปัญหาอยู่ที่ว่าการปะทะกันครั้งนั้นได้ถ่างขยายขอบฟ้าวิสัยทัศน์และนำเขาไปอยู่บนจุดที่มองลงมาสูงกว่าที่เคยจะคิดฝัน

เมื่อมองลงมาจากบนนั้นดูทักษะเทวะและกระบวนท่าที่เขาได้เรียนมาก่อน เขาก็เห็นแต่ช่องโหว่เต็มไปหมด!

ขอบฟ้าวิสัยทัศน์ของเขาสูง แต่รากฐานของเขาไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองและก้าวย่างไปสู่เขตขั้นถัดไป ดังนั้นเขาจึงไม่อาจร่ายรำกระบวนท่าหรือทักษะเทวะใดๆ เขารู้สึกว่ามันก็จะถูกทำลายไปอยู่ดี และเขาก็คงจะตายในพริบตาถัดมา

เขาได้ถือเอาคู่ต่อสู้เป็นกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก อันทำให้เขามีความรู้สึกเช่นนี้

กระนั้นเมื่ออยู่บนสนามรบ ฉินมู่ไม่มีเวลามาคิดเรื่องทั้งหมดนั่น สถานการณ์ที่นั่นเปลี่ยนแปลงไปทุกๆ เสี้ยววินาที ดังนั้นเขาจึงไม่อาจมัวมาใส่ใจว่ากระบวนท่าของเขาจะมีช่องโหว่หรือไม่ เขาได้แต่ขับเคลื่อนมันออกไปเพื่อสังหารศัตรูที่ทรงพลังหรือเช่นนั้นก็จะต้องตาย

หลังจากการต่อสู้ ฉินมู่รู้สึกว่าเขาได้ย่างสู่เขตริมขอบที่กำลังจะไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ตราบเท่าที่เขาผ่านประตูนั้นไป เขาก็จะมองเห็นท้องฟ้าผืนใหม่อย่างแน่นอน ถนนสายกว้างรออยู่ตรงหน้าเขา!

ร่างกายของเขาเริ่มเปล่งแสงสุกสกาวของดวงอาทิตย์เมื่อปราณชีวิตเคลื่อนคล้อยไปข้างในตัวเขา เชื่อมต่อทารกวิญญาณ ห้าธาตุ และหกทิศ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลายเปล่งแสงจำรัสออกมาส่องสว่างสมบัติเทวะ เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นมนุษย์แสง

แม้แต่สมบัติเทวะชาวสวรรค์ของเขาก็ฉายโชนจนกระทั่งมองเห็นประตูของมัน

ในขณะเดียวกันนั้น ข้างใต้สมบัติเทวะหกทิศ ประตูอันลึกล้ำและมืดมิดก็มองเห็นอยู่ลางเลือน มันคือประตูแห่งขั้นวรยุทธเป็นตายที่เชื่อมโยงไปยังแดนใต้พิภพ

ฉินมู่เดินไปด้วยฝีเท้าอันมั่นคง ในนครหยกน้อย เขาได้สังเกตดูสมบัติเทวะของเทพเที่ยงแท้ฉินชงหมิง แห่งนครหยกน้อยเป็นเวลานาน

จากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ได้เริ่มต้นยกเครื่องสมบัติเทวะของเขา และซ่อมปะในสิ่งที่เขาบกพร่อง

โฮกกก!

ปราณชีวิตในร่างกายของเขาเขย่าและส่งเสียงคำรามมังกรออกมาระลอกหนึ่ง ปราณมังกรกระหวัดพันรอบกายเขา มุดเข้าและออกเพื่อเคี่ยวกรำบ่มเพาะมัน ทันใดนั้น ด้วยฝ่ามือของเขาต่างมีด ฉินมู่ก็โจมตีระหว่างที่เดินไปรอบๆ ขอบแท่นสังเวย

ลมเริ่มพัดอื้ออึง และมีดก็ร่วงกราวลงมาราวห่าฝน ลมฝนราตรีทลายเมือง!

ดวงตะวันโผล่ขึ้นและกระโดดออกมาจากผิวมหาสมุทร ตะวันทะเลบูรพา คลื่นซัดพันระลอก!

มีดทองประดับด้วยหยกขาว แสงวาบวาวเสียดราตรีทะลุบานเกล็ด ชายวัยห้าสิบไร้ความสำเร็จ ด้วยใจเด็ด…แบกมีดเดี่ยวท่องแดนดิน!

หลังเผชิญวิกฤตการณ์อันกริ่งเกรง ความหวังคนย่อมมาเองและผลิบาน เหลียวมองดูน่านฟ้าทะเลไกล การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่เป็นเพียงควัน!

ในสนามรบอันกว้างใหญ่และนองเลือด เพลงมีดของคนแล่เนื้อพลันกลายเป็นพลุ่งพล่านและเปี่ยมชีวิตชีวา สะท้อนภัยพิบัติในโลกหล้า

เพลงมีดของฉินมู่เร็วขึ้นและเร็วขึ้น ทันใดนั้น แสงมีดทั้งหมดก็หายวับ ลม ฝน ดวงตะวัน มหาสมุทร ทั้งหมดหายสาบสูญไปเช่นกัน ฉินมู่คีบนิ้วเป็นกระบี่ และปราณชีวิตของเขาก็สั่นสะเทือนเพื่อก่อขึ้นมาเป็นเส้นด้ายกระบี่ เขาพลิกและเฉียดมันเบาๆ เพลงกระบี่ของเขาเพริศแพร้วอย่างอัศจรรย์ ทันใดนั้น พวกมันก็เร็วขึ้นและเร็วขึ้น ในพริบตาเดียว กระบี่ยาวของเขาก็กรีดพุ่งผ่านอากาศและเริงระบำบนเวหาเหนือแท่นสังเวยราวกับมังกรไร้เขาสีเงินตัวหนึ่ง

ฉินมู่เดินไปรอบๆ แท่นสังเวยขณะที่แสงกระบี่ของเขากวาดซัดผ่านอากาศ กลายเป็นว่องไวขึ้นและว่องไวขึ้น เร่งร้อนขึ้นและเร่งร้อนขึ้น

ภัยพิบัติของสวรรค์ไท่หวงทำให้เขาได้รับมรรคผลบางอย่าง และเขาก็ปลดปล่อยอารมณ์ทั้งหมดออกไปโดยไม่รู้คัว เขาเรียนรู้มันผ่านเพลงกระบี่ของเขา ผ่านปราณชีวิตของเขา

กระบวนท่าที่สามของภาพกระบี่ ภัยพิบัติจักรพรรดิสูงส่ง

กระนั้นเมื่อภัยพิบัติมาถึงจุดที่ร้ายกาจดุดันที่สุด ฉินมู่ก็พลันสลายแสงกระบี่ทั้งหมด และนิ้วกระบี่ของเขาก็พลันแตะไปที่หว่างคิ้วของตนเอง มันไม่เพียงแต่แตะลงไปยังตำแหน่งทางกายภาพของร่างกายเขาเท่านั้น แต่ยังแตะลงไปบนหว่างคิ้วของทารกวิญญาณเขาอีกด้วย

จิตวิญญาณทั้งหมดของเขา และปราณกระบี่ทั้งหมดเข้ามารวบรวมอยู่ในนิ้วของเขา

เขาได้ตรึกตรองเข้าใจแล้วว่าภัยพิบัติหมายถึงอะไร

ภัยพิบัติหมายถึงภัยอันตรายอันแผ่กว้างที่ผู้คนต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด อันเหมือนกับแสวงหาความหวังในขุมนรก วีรบุรุษอย่างคนแล่เนื้อใช้มีดของเขาเพื่อสลักเสลาความหวังออกมาให้แก่ผู้คน กษัตริย์มนุษย์อย่างผู้ใหญ่บ้าน แบกรับความยากลำบาก และภาระความรับผิดชอบให้แก่ทุกคนมาตลอดทั้งชีวิต และยังมีการดิ้นรนต่อสู้ของผู้คนที่อยู่ข้างหลังวีรชนเหล่านี้อีกด้วย

มันคือชีวิตที่ต้องกลบฝังให้แก่ญาติมิตรของตนเองในทุกๆ วัน

สองนิ้วกระบี่ของฉินมู่แทงไปข้างหน้า และกระบี่พรรณรายดุจสายรุ้งก็พวยพุ่งไปไกลกว่าสิบลี้

บนนภากาศ ดวงตะวันครึ่งซีกหนึ่งหรี่มัวลง มีก็แต่แสงกระบี่ที่ปรากฏ

ระหว่างที่แสงกระบี่สาดส่องอยู่บนฟากฟ้า ฉินมู่ก็ยืนอยู่บนแท่นสังเวยด้วยความตะลึงงัน กระบวนท่านั้นมิได้เกี่ยวข้องกับภาพกระบี่ของผู้ใหญ่บ้าน ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าเขาเสาะพบมรรคาของตนเอง

…………..

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+