ตำนานเทพกู้จักรวาล 626 เพลงขิมล่าชีวิต

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 626 เพลงขิมล่าชีวิต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฉินมู่เห็นเขายิ้มฝืด รอยยิ้มของเขามีวี่แววของความขมขื่น ดังนั้นเขาจึงไม่หยั่งลึกอีกต่อไป ทุกคนล้วนแต่มีความลับของตนเอง และพวกเขาก็ไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องเปิดเผยทุกสิ่งเกี่ยวกับอดีตของตน

ไม่ว่าพุทธเจ้าท้าวสักกะจะมีแซ่ในโลกฆราวาสว่าอย่างไร แต่เขาไม่ใช่คนชั่วร้าย เขามีศักดิ์ฐานะของพุทธเจ้า แต่ก็ยังมีจิตใจอุ่นระอุ เพื่อกอบกู้พุทธเกษตร เขายินดีที่จะถูกก่นด่า และแบกรับขี้ทั้งหมดเอาไว้บนหัวของตนเอง

แม้ว่าบุคคลเช่นนี้จะไม่ยินดีที่จะสนทนาถึงอดีตของเขา แต่ก็ยังคงให้ความรู้สึกน่าไว้เนื้อเชื่อใจ

ทั้งสองคนง่วนกับงาน และใช้เวลาครึ่งวันเพื่อหลอมสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณได้สำเร็จในที่สุด ฉินมู่ตรวจดูอย่างละเอียด และไม่พบความผิดพลาดในสะพาน

“ยังมีโลหะเทวะมากมายที่ยังไม่ได้ใช้ สหายน้อยฉิน รายการที่เจ้าให้ข้ามาดูเหมือนจะผิดนะ”

พุทธเจ้าท้าวสักกะมองไปยังวัสดุเทวะที่กองอยู่ข้างๆ แท่นสังเวยสูงเท่าภูเขา โลหะเทวะเหล่านี้เรียกว่าโครเมี่ยมแดงพุทธชีวา และยังคงมีไม้จำนวนหนึ่งที่มาจากต้นขนนกพุทธมารดา เขาได้ให้ประเทศทั้งหมดในสวรรค์ชั้นสักกะบรรณาการวัสดุตามรายการ และหลังจากที่สร้างแท่นสังเวยเสร็จแล้ว ก็ยังคงมีวัสดุเหลืออยู่จำนวนมาก

ในรายการที่ฉินมู่ให้เขามา วัสดุสองอย่างนี้ไม่ถูกแตะต้องเลยแม้แต่น้อย

พุทธเจ้าท้าวสักกะมองไปที่ฉินมู่อย่างจับพิรุธและถามหยั่ง “งั้นพวกเราจะทำอย่างไรกับวัสดุพวกนี้”

ฉินมู่เปิดถุงเต๋าตี้ของเขาอย่างรีบเร่งและกล่าว “พวกเรากำลังหนีเอาชีวิตรอด พวกเราอาจจะได้ใช้พวกมันในอนาคต! เอาพวกมันเข้าไปในถุงเต๋าตี้ของข้าก่อน!”

พุทธเจ้าท้าวสักกะจ้องไปที่เขา ฉินมู่ทำหน้าตายระหว่างที่เก็บโครเมี่ยมแดงพุทธชีวาและไม้ขนนกพุทธมารดาเข้าไปในถุงเต๋าตี้ จากนั้นฉินมู่ก็เอาถุงเต๋าตี้ออกมาอีกถุง และบรรจุวัสดุที่เหลือทั้งหมดแล้วผูกถุงเต๋าตี้ไว้ที่เอวของตนอย่างระมัดระวัง

สองถุงพองเป่งและดูเหมือนว่าจะบรรจุอัดไว้แน่นเอี๊ยด

พุทธเจ้าท้าวสักกะยิ้มหยัน “สหายน้อยฉิน วัสดุที่เหลือที่มันเติมถุงเต๋าตี้ทั้งสองของเจ้าเต็มพอดิบพอดีเลยนะ นี่มันเหมือนกับการคิดคำนวณไว้ล่างหน้า”

“มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ”

ฉินมู่ตกตะลึงและร้องออกมา “ข้าคงไม่ทันสังเกตหากว่าท่านไม่พูด พวกมันเติมถุงเต๋าตี้ทั้งสองใบของข้าเต็มเปรี๊ยะพอดิบพอดี! แปลกเสียจริง แปลกเสียจริง! สวรรค์ยี่สิบชั้นแห่งพุทธเกษตรช่างเหนือธรรมดา นี่จะต้องเป็นจิตวิญญาณแห่งพุทธเกษตรที่รู้ว่าข้าแบกรับความผิดของพุทธเกษตร ดังนั้นมันถึงมอบสิ่งนี้คืนให้กับข้า! ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม นี่ทำให้ข้าอยากจะนับถือลัทธิพุทธด้วยเช่นกัน…”

พุทธเจ้าท้าวสักกะจ้องเขาเขม็ง จนฉินมู่นึกหาข้ออ้างไม่ออกอีกต่อไป จากนั้นเขาถึงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ผู้คนสายตากระจ่างย่อมมองออกเพียงแค่ปราดเดียว สหายน้อยฉินไม่จำเป็นต้องอธิบายข้าอีกต่อไป ข้าจะฝังทักษะเทวะของข้าก่อนที่จะกระตุ้นการทำงานของสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ เจ้าจงปรับแต่งมันและเชื่อมต่อมันเข้ากับสวรรค์ไท่หวง”

ฉินมู่หน้าแดงสดใส และเขาก็รับคำเสียงอ่อย เขาไปยังจุดสูงสุดของแท่นสังเวยและกดฝ่ามือลงไปบนพื้นราบตรงใจกลาง ด้วยเสียงหึ่งฮัม พื้นราบเรียบก็พลันกลายเป็นลูกบาศก์เล็กจำนวนมาก และลูกบาศก์เหล่านั้นก็เข้ามาประกอบกันอย่างต่อเนื่องจนก่อขึ้นมาเป็นทรงกลม บนทรงกลมนั้น มีอักษรรูนไหลวนและกระโดดไปมา

เขากางมือออก ทรงกลมนี้ก็ขยายขนาด และลูกบาศก์เล็กละเอียดก็แยกออกจากกันและกัน ระหว่างลูกบาศก์เหล่านั้น มีแสงไหลอันก่อจากอักษรรูนที่เชื่อมต่อลูกบาศก์ต่างๆ เข้าด้วยกัน

เขานำเอาอาวุธวิญญาณคิดคำนวณออกมาและทำการคำนวณเพื่อปรับแต่งค้นหาตำแหน่งของสวรรค์ไท่หวง แสงค่อยๆ เข้าไปรวบรวมในใจกลางทรงกลม และแปรเปลี่ยนเป็นจุดเล็กๆ ที่จุดศูนย์กลาง

เมื่อฉินมู่ยืนยันตำแหน่งพิกัดของสวรรค์ไท่หวงแล้ว เขาก็หุบมือลง ลูกกลมย่อหดลงไปและแปรเปลี่ยนไปเป็นพื้นราบ อันถูกกดจมกลับลงไปในแท่นสังเวย

พุทธเจ้าท้าวสักกะได้ฝังทักษะเทวะของเขาเสร็จแล้ว และก็มายังจุดสูงสุดของแท่นสังเวย พุทธเจ้าที่ดูหนุ่มแน่นผู้นี้กวาดสายตามองสวรรค์ชั้นสักกะอันกว้างไกล เขาดูเหมือนจะอาลัยอาวรณ์ที่จะจากที่นี่

“พุทธเจ้า ยิ่งพวกเราถ่วงช้านานเท่าไร ก็ยิ่งตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงมากเท่านั้น” ฉินมู่บอกเตือนเขา

พุทธเจ้าท้าวสักกะผงกหัวเบาๆ และความหดหู่บนสีหน้าของเขาก็สลายไป เขายิ้มอย่างสดใสและกล่าว “เมื่อขี้ของข้าล้างออกจนสะอาดแล้ว ข้าก็จะสามารถกลับมาที่นี่ได้ใหม่อีกครั้ง ข้าจะมาเป็นพุทธเจ้าอีกหน งั้นทำไมข้าต้องมาทำตัวปวกเปียกด้วยล่ะ สหายน้อยฉิน พวกเราไปกันเถอะ!”

ปราณชีวิตของฉินมู่ไหลออกมา และเข้าไปในอักษรรูนที่ใช้เริ่มการทำงานของแท่นสังเวย แสงพลันไหลรี่และอักษรรูนก็ถูกจุดแสงไปทีละตัวๆ ทั้งแท่นสังเวยดูเหมือนกับสัตว์ยักษ์ที่กำลังลืมตาตื่น ขณะที่ดวงดาวหมุนวนและแปรเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ในท้ายที่สุด สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณก็เดินเครื่องและลำแสงลำใหญ่ก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อทะลวงไปยังเหนือฟ้า!

“พวกเราจะไม่รู้สึกถึงการผันผ่านของเวลาระหว่างการเดินทาง แต่ข้าได้คำนวณมาก่อนแล้ว จากสวรรค์ไท่หวงไปยังแดนโบราณวินาศ จะต้องใช้เวลาหนึ่งก้านธูป”

ฉินมู่และพุทธเจ้าท้าวสักกะเดินเคียงกันเข้าไปในลำแสง ฉินมู่เพิ่มเสียงเขาให้ดังขึ้น “จากพุทธเกษตรไปยังสวรรค์ไท่หวง อาจจะต้องใช้เวลานานกว่านั้นสักหน่อย! หนึ่งทิวาและราตรีมีระยะเวลาทั้งหมดเก้าสิบหกก้านธูป ดังนั้นระยะเวลาที่สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณจะถูกทำลายนั้นจะต้องเป็นหลังจากที่พวกเราเคลื่อนย้ายไปถึงสวรรค์ไท่หวงแล้ว! ไม่ทราบว่าเวลาหนึ่งก้านธูปที่พุทธเจ้าใช้นั้นคล้ายคลึงกับแดนโบราณวินาศหรือไม่”

“คล้ายสิ!”

พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ทักษะเทวะของข้าจะระเบิดออกหลังจากเวลาสามก้านธูปเพื่อทำลายสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณนี้!”

ทั้งสองคนหายวับเข้าไปในแสงไหล

ในขณะเดียวกันที่สวรรค์ชั้นพรหม ปราณมารแดนใต้พิภพไหลเวียนไปรอบๆ สถานที่นี้ได้กลายเป็นทะเลมารไปแล้ว สันดานมารและปราณมารแห่งแดนใต้พิภพได้รุกรานเข้ามา และสิ่งมีชีวิตแดนใต้พิภพก็ค่อยๆ ปรากฏมาแหวกว่ายไปรอบๆ ในทะเลอันดำทมิฬ พวกมันก็จะเผยร่างยาวๆ และเกล็ดสีดำเป็นระยะๆ

ทันใดนั้น ทะเลมารก็ปูดนูนขึ้นและไหลวนเป็นวัง วังน้ำวนขนาดใหญ่ปรากฏในทะเล และเขาสีดำสนิทขนาดยักษ์คู่หนึ่งก็ค่อยๆ ลอยออกมาจากในนั้น

เสียงปะทะกันของคลื่นดังมากขึ้นทุกทีๆ ในจังหวะนั้นเอง จากเกาะที่อยู่ใจกลางสวรรค์ชั้นพรหม พุทธเจ้าปางไสยาสน์ตนหนึ่งก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากวัดซอมซ่อและเปล่งรัศมีเจิดจ้า

พุทธเจ้าไสยาสน์นั้นนอนอยู่บนดอกบัวอันใหญ่มหึมาอย่างเหลือเชื่อ เขานั้นลอยอยู่เหนือวัดอันซอมซ่อ และวัดนี้ก็ดูเหมือนจะแปรเปลี่ยนเป็นน้ำพุทองคำที่เต็มไปด้วยใบบัวและดอกบัวอันแกว่งไกว

พุทธเจ้าไสยาสน์ตื่นขึ้นมาและเงยศีรษะขึ้นมองดูเทพเจ้าสีดำที่กำลังผุดขึ้นมาจากทะเลมาร เทพเจ้าตนนี้มีเขาและร่างกายของวัว ดวงตาของเสือ และมีดวงตาที่สามที่ใจกลางหว่างคิ้ว

“พี่ทางเต๋า!”

พุทธเจ้าพรหมรีบคารวะทักทายเขา “สิ่งที่เกิดขึ้นในสวรรค์ชั้นพรหมของข้าถึงกับรบกวนให้พี่ทางเต๋าแตกตื่น และจุติลงมาด้วยร่างแยกของท่าน ข้านี้ตัวสั่นไปด้วยความหวาดผวา”

เทพเจ้าเขาวัวศีรษะพยัคฆ์นี้มิใช่ใครอื่นนอกเสียจากภูติบดี เขามองไปรอบๆ และเสียงของเขากึกก้องไปทั่ว “พุทธเจ้าพรหม สวรรค์ของเจ้าได้กลายเป็นแดนใต้พิภพ การขจัดปราณมารแดนใต้พิภพไม่ใช่เรื่องยาก ทำไมเจ้าถึงไม่กำจัดมันเสียล่ะ เจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้าหรือไม่”

พุทธเจ้าพรหมแย้มยิ้มและกล่าว “ข้ามิกล้ารบกวนพี่ทางเต๋า! อีกอย่าง แดนใต้พิภพในสวรรค์ของข้านั้นเป็นหลักฐานที่ข้าต้องการ เพื่อป้องกันไม่ให้สภาสวรรค์มากล่าวโทษใส่ตัวข้า ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าพุทธเกษตรมีแค่แสงสว่างโดยปราศจากความมืด ก็คงยากที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าได้ มีก็แต่อยู่ร่วมกับความมืด ธรรมะจึงจะก้าวหน้าพัฒนา แดนใต้พิภพกระผีกนี้ ปล่อยให้มันอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ”

“ข้าเข้าใจล่ะ”

ภูติบดีได้ยินคำพูดของเขา และพลันเข้าใจต้นสายปลายเหตุ “ข้าไม่เข้มงวดในการดูแล และปล่อยให้โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพมาก่อความวุ่นวายที่นี่ อภัยให้ข้าด้วย”

“มิกล้า”

ขณะที่ตัวตนทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น ท้องฟ้าก็พลันสาดแสงเจิดจ้า และเรือเหาะโบราณลำหนึ่งก็แล่นลอยข้ามเวหามา เรือนั้นมีแสงหลากสีเรืองรอง และมันถึงกับมีปีกคู่หนึ่งที่สมมาตรกันทั้งฝั่งซ้ายและขวา ในขณะเดียวกันนั้น ที่หัวเรือก็ไม่ใช่หัวมังกรหรือป้าเซี่ย อย่างที่เขานิยมกัน แต่เป็นหัวนกหงส์เพลิง

เรือเหาะนั้นโดดเด่นสะดุดตา แล่นลอยมาเหนือท้องฟ้าสวรรค์ชั้นพรหม มันค่อยๆ ชะลอหยุดลง มีเทพเจ้าทองคำจำนวนมากยืนอยู่บนกราบเรือ และพวกเขาก็ล้วนแต่สวมชุดเกราะเต็มยศ แม้ว่าเมื่อพวกเขาเห็นภูติบดีและพุทธเจ้า ก็ไม่ปริปากหรือคารวะทักทาย

“ที่แท้ก็เป็นจักรพรรดิเทพแห่งแดนใต้พิภพ และพุทธเจ้าพรหม พี่ทางเต๋าสองท่าน”

เสียงอันปราศจากวี่แววของโลกปุถุชนดังมาจากเรือ หญิงผู้หนึ่ง ซึ่งใบหน้ามิอาจเห็นได้ชัดและมีกงล้อรัศมีสี่กงอยู่ข้างหลังนาง เดินออกมาจากเรือเหาะ สวมใส่อาภรณ์อันหรูหราน่าเกรงขาม นางมองไปยังพุทธเจ้าพรหมและภูติบดีในระดับสายตาเดียวกัน และคารวะทักทาย “เสียอวี๋พบพี่ทางเต๋าพุทธเจ้าเฒ่าและพี่ทางเต๋าภูติบดี”

พุทธเจ้าพรหมคารวะทักทายนาง และภูติบดีก็ค้อมศีรษะเล็กน้อย

“ที่แท้ก็เป็นจักรพรรดิแดงแห่งสวรรค์ทักษิณ ศิษย์พี่หญิงฉี”

พุทธเจ้าพรหมรีบกล่าว “ไม่นึกเลยว่าสวรรค์ยี่สิบชั้นแห่งพุทธเกษตรอันต่ำต้อยของข้าจะถึงกับทำให้ศิษย์พี่หญิงฉีแตกตื่น พุทธเจ้าน้อยผู้นี้เต็มไปด้วยความหวาดผวา!”

“พุทธเจ้าเฒ่าสุภาพเกินไปแล้ว”

หญิงผู้นั้น จักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋กล่าว “สวรรค์แห่งทิศใต้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของข้า ดังนั้นข้าจึงยากที่จะได้ไปไหนต่อไหน สาเหตุที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะว่าพุทธเกษตรกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ข้าได้ข่าวมาว่าวันก่อนเกิดความโกลาหลในพุทธเกษตร ขอถามได้หรือไม่ว่า พุทธเจ้าเฒ่าทราบรายละเอียดหรือไม่”

พุทธเจ้าพรหมกล่าว “ข้ากำลังสนทนากับภูติบดีเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พอดี ข้าได้ละเลยความเข้มงวดกวดขัน และความคิดชั่วก็พลันเกิดขึ้นในหัวใจของศิษย์น้องท้าวสักกะ เขาปลดปล่อยโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ และโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพก็สังหารพุทธเจ้าและพุทธบุตรไปมากมาย เขาถึงกับเปลี่ยนสวรรค์ชั้นพรหมของข้าให้เป็นแดนใต้พิภพ พี่ทางเต๋าภูติบดีอยู่ที่นี่ ศิษย์พี่หญิงฉีสามารถถามเขาได้”

ฉีเสียอวี๋มองไปยังภูติบดี ภูติบดีผงกศีรษะ “มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผู้ที่สังหารผู้คนทั้งหลายคือโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ ข้าได้ปิดผนึกโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพเอาไว้ และเขาไม่มีทางหลบหนีออกไปได้โดยไม่มีพลังวัตรอันยิ่งใหญ่เกื้อหนุน จะต้องมีใครที่มีพลังวัตรมาหศาลที่ได้ปลดปล่อยเขาออกมา”

จักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋แย้มยิ้มและกล่าว “ที่แท้ก็เป็นอย่างนั้น ท้าวสักกะเองเดิมทีก็ไม่ใช่คนที่รู้จักความเหมาะควรอยู่แล้ว ข้าคิดว่าเขาจะสงบเสงี่ยมลงหน่อยหลังจากที่มาอยู่กับพุทธเจ้าเฒ่า และไม่ยินดียินร้ายกับความเย้ายวนทางโลกอีกต่อไป ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะก่อกบฏ! พุทธเจ้าเฒ่าก็พลอยได้รับเคราะห์ ดังนั้นข้าไม่อาจกล่าวโทษท่านหรือแดนใต้พิภพ มีก็แต่ท้าวสักกะที่ควรแก่การกล่าวโทษ ในเมื่อเรื่องนี้กระจ่างแล้ว ข้าก็จะไปยังสวรรค์ชั้นสักกะเพื่อจับกุมตัวเขาและส่งไปยังแท่นประหารเทพเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติผู้คน ข้าขอตัวและลาก่อน”

พุทธเจ้าพรหมกล่าวทันที “ศิษย์พี่หญิง เชิญเถอะ”

เรือเหาะนั้นพลันกระพือปีกและหายวับไปจากสวรรค์ชั้นพรหม

พุทธเจ้าพรหมเลิกคิ้วของเขาและไม่กล่าววาจาสักคำ ร่างมหึมาของภูติบดีค่อยๆ จมลงไปในทะเลมารและหายสาบสูญไป

ในเวลาเดียวกันนั้น ในสวรรค์ชั้นสักกะ เรือเหาะพลันปรากฏขึ้นมา เมื่อฉีเสียอวี๋มองไปยังท้องฟ้า สีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าจากเรือเหาะและผ่านแสงหลากสีของเรือเพื่อวิ่งตะบึงไปยังสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ “หนี! แต่ถึงอย่างไร เจ้าก็หนีไม่รอด!”

ขณะที่นางกำลังจะเข้าไปในสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ สะพานก็พลันสะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง ทักษะเทวะที่พุทธเจ้าท้าวสักกะทิ้งเอาไว้พลันระเบิด แท่นสังเวยใหญ่ปานขุนเขาพลันบิดเบี้ยวและยุบเข้าไปยังแกนกลาง!

“คิดจะจากไปเรอะ?”

จักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋พลันแปลงร่างเป็นหงส์เพลิงขนรุ้งเก้าหัวและไล่ล่าแสงที่กำลังจะหายลับไปในท้องฟ้า นางพยายามที่จะตามให้ทันแสงของสะพานอันกำลังจางหายไป

ฟิ้ววว

ร่างของนางหายลับไปในแสง แต่ก็ถูกดีดออกมาจากห้วงอวกาศในเสี้ยววินาทีถัดมา แสงนั้นหายลับไปโดยสิ้นเชิง

“เรือ มานี่!”

นางกู่ร้องเสียงเบา และเรือมีปีกก็โบยบินเข้ามา ฉีเสียอวี๋ลงไปเหยียบบนเรือและนั่งลงไป นางนำเอาขิมหงส์เพลิงออกมา และวางมันพาดเข่าเอาไว้ “โจรน้อยที่หลบหนีไปมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิก่อตั้ง วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหลุดมือข้าไปได้”

หลังจากกล่าวเช่นนั้น นางก็กรีดนิ้วลงบนขิมและเล่นทำนองเพลงหนึ่ง เสียงของขิมแปรเปลี่ยนเป็นสสารที่จับต้องได้ ก่อนที่จะหายวับไป

นางเล่นเพลงหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นแล้วกล่าว “เขาไม่มีทางหลบหนีเพลงขิมล่าชีวิตของข้าไปได้ หากว่าเขาทำสำเร็จ ข้าคงได้แต่ยอมรับนับถือ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเทพกู้จักรวาล 626 เพลงขิมล่าชีวิต

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 626 เพลงขิมล่าชีวิต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฉินมู่เห็นเขายิ้มฝืด รอยยิ้มของเขามีวี่แววของความขมขื่น ดังนั้นเขาจึงไม่หยั่งลึกอีกต่อไป ทุกคนล้วนแต่มีความลับของตนเอง และพวกเขาก็ไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องเปิดเผยทุกสิ่งเกี่ยวกับอดีตของตน

ไม่ว่าพุทธเจ้าท้าวสักกะจะมีแซ่ในโลกฆราวาสว่าอย่างไร แต่เขาไม่ใช่คนชั่วร้าย เขามีศักดิ์ฐานะของพุทธเจ้า แต่ก็ยังมีจิตใจอุ่นระอุ เพื่อกอบกู้พุทธเกษตร เขายินดีที่จะถูกก่นด่า และแบกรับขี้ทั้งหมดเอาไว้บนหัวของตนเอง

แม้ว่าบุคคลเช่นนี้จะไม่ยินดีที่จะสนทนาถึงอดีตของเขา แต่ก็ยังคงให้ความรู้สึกน่าไว้เนื้อเชื่อใจ

ทั้งสองคนง่วนกับงาน และใช้เวลาครึ่งวันเพื่อหลอมสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณได้สำเร็จในที่สุด ฉินมู่ตรวจดูอย่างละเอียด และไม่พบความผิดพลาดในสะพาน

“ยังมีโลหะเทวะมากมายที่ยังไม่ได้ใช้ สหายน้อยฉิน รายการที่เจ้าให้ข้ามาดูเหมือนจะผิดนะ”

พุทธเจ้าท้าวสักกะมองไปยังวัสดุเทวะที่กองอยู่ข้างๆ แท่นสังเวยสูงเท่าภูเขา โลหะเทวะเหล่านี้เรียกว่าโครเมี่ยมแดงพุทธชีวา และยังคงมีไม้จำนวนหนึ่งที่มาจากต้นขนนกพุทธมารดา เขาได้ให้ประเทศทั้งหมดในสวรรค์ชั้นสักกะบรรณาการวัสดุตามรายการ และหลังจากที่สร้างแท่นสังเวยเสร็จแล้ว ก็ยังคงมีวัสดุเหลืออยู่จำนวนมาก

ในรายการที่ฉินมู่ให้เขามา วัสดุสองอย่างนี้ไม่ถูกแตะต้องเลยแม้แต่น้อย

พุทธเจ้าท้าวสักกะมองไปที่ฉินมู่อย่างจับพิรุธและถามหยั่ง “งั้นพวกเราจะทำอย่างไรกับวัสดุพวกนี้”

ฉินมู่เปิดถุงเต๋าตี้ของเขาอย่างรีบเร่งและกล่าว “พวกเรากำลังหนีเอาชีวิตรอด พวกเราอาจจะได้ใช้พวกมันในอนาคต! เอาพวกมันเข้าไปในถุงเต๋าตี้ของข้าก่อน!”

พุทธเจ้าท้าวสักกะจ้องไปที่เขา ฉินมู่ทำหน้าตายระหว่างที่เก็บโครเมี่ยมแดงพุทธชีวาและไม้ขนนกพุทธมารดาเข้าไปในถุงเต๋าตี้ จากนั้นฉินมู่ก็เอาถุงเต๋าตี้ออกมาอีกถุง และบรรจุวัสดุที่เหลือทั้งหมดแล้วผูกถุงเต๋าตี้ไว้ที่เอวของตนอย่างระมัดระวัง

สองถุงพองเป่งและดูเหมือนว่าจะบรรจุอัดไว้แน่นเอี๊ยด

พุทธเจ้าท้าวสักกะยิ้มหยัน “สหายน้อยฉิน วัสดุที่เหลือที่มันเติมถุงเต๋าตี้ทั้งสองของเจ้าเต็มพอดิบพอดีเลยนะ นี่มันเหมือนกับการคิดคำนวณไว้ล่างหน้า”

“มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ”

ฉินมู่ตกตะลึงและร้องออกมา “ข้าคงไม่ทันสังเกตหากว่าท่านไม่พูด พวกมันเติมถุงเต๋าตี้ทั้งสองใบของข้าเต็มเปรี๊ยะพอดิบพอดี! แปลกเสียจริง แปลกเสียจริง! สวรรค์ยี่สิบชั้นแห่งพุทธเกษตรช่างเหนือธรรมดา นี่จะต้องเป็นจิตวิญญาณแห่งพุทธเกษตรที่รู้ว่าข้าแบกรับความผิดของพุทธเกษตร ดังนั้นมันถึงมอบสิ่งนี้คืนให้กับข้า! ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม นี่ทำให้ข้าอยากจะนับถือลัทธิพุทธด้วยเช่นกัน…”

พุทธเจ้าท้าวสักกะจ้องเขาเขม็ง จนฉินมู่นึกหาข้ออ้างไม่ออกอีกต่อไป จากนั้นเขาถึงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ผู้คนสายตากระจ่างย่อมมองออกเพียงแค่ปราดเดียว สหายน้อยฉินไม่จำเป็นต้องอธิบายข้าอีกต่อไป ข้าจะฝังทักษะเทวะของข้าก่อนที่จะกระตุ้นการทำงานของสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ เจ้าจงปรับแต่งมันและเชื่อมต่อมันเข้ากับสวรรค์ไท่หวง”

ฉินมู่หน้าแดงสดใส และเขาก็รับคำเสียงอ่อย เขาไปยังจุดสูงสุดของแท่นสังเวยและกดฝ่ามือลงไปบนพื้นราบตรงใจกลาง ด้วยเสียงหึ่งฮัม พื้นราบเรียบก็พลันกลายเป็นลูกบาศก์เล็กจำนวนมาก และลูกบาศก์เหล่านั้นก็เข้ามาประกอบกันอย่างต่อเนื่องจนก่อขึ้นมาเป็นทรงกลม บนทรงกลมนั้น มีอักษรรูนไหลวนและกระโดดไปมา

เขากางมือออก ทรงกลมนี้ก็ขยายขนาด และลูกบาศก์เล็กละเอียดก็แยกออกจากกันและกัน ระหว่างลูกบาศก์เหล่านั้น มีแสงไหลอันก่อจากอักษรรูนที่เชื่อมต่อลูกบาศก์ต่างๆ เข้าด้วยกัน

เขานำเอาอาวุธวิญญาณคิดคำนวณออกมาและทำการคำนวณเพื่อปรับแต่งค้นหาตำแหน่งของสวรรค์ไท่หวง แสงค่อยๆ เข้าไปรวบรวมในใจกลางทรงกลม และแปรเปลี่ยนเป็นจุดเล็กๆ ที่จุดศูนย์กลาง

เมื่อฉินมู่ยืนยันตำแหน่งพิกัดของสวรรค์ไท่หวงแล้ว เขาก็หุบมือลง ลูกกลมย่อหดลงไปและแปรเปลี่ยนไปเป็นพื้นราบ อันถูกกดจมกลับลงไปในแท่นสังเวย

พุทธเจ้าท้าวสักกะได้ฝังทักษะเทวะของเขาเสร็จแล้ว และก็มายังจุดสูงสุดของแท่นสังเวย พุทธเจ้าที่ดูหนุ่มแน่นผู้นี้กวาดสายตามองสวรรค์ชั้นสักกะอันกว้างไกล เขาดูเหมือนจะอาลัยอาวรณ์ที่จะจากที่นี่

“พุทธเจ้า ยิ่งพวกเราถ่วงช้านานเท่าไร ก็ยิ่งตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงมากเท่านั้น” ฉินมู่บอกเตือนเขา

พุทธเจ้าท้าวสักกะผงกหัวเบาๆ และความหดหู่บนสีหน้าของเขาก็สลายไป เขายิ้มอย่างสดใสและกล่าว “เมื่อขี้ของข้าล้างออกจนสะอาดแล้ว ข้าก็จะสามารถกลับมาที่นี่ได้ใหม่อีกครั้ง ข้าจะมาเป็นพุทธเจ้าอีกหน งั้นทำไมข้าต้องมาทำตัวปวกเปียกด้วยล่ะ สหายน้อยฉิน พวกเราไปกันเถอะ!”

ปราณชีวิตของฉินมู่ไหลออกมา และเข้าไปในอักษรรูนที่ใช้เริ่มการทำงานของแท่นสังเวย แสงพลันไหลรี่และอักษรรูนก็ถูกจุดแสงไปทีละตัวๆ ทั้งแท่นสังเวยดูเหมือนกับสัตว์ยักษ์ที่กำลังลืมตาตื่น ขณะที่ดวงดาวหมุนวนและแปรเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ในท้ายที่สุด สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณก็เดินเครื่องและลำแสงลำใหญ่ก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อทะลวงไปยังเหนือฟ้า!

“พวกเราจะไม่รู้สึกถึงการผันผ่านของเวลาระหว่างการเดินทาง แต่ข้าได้คำนวณมาก่อนแล้ว จากสวรรค์ไท่หวงไปยังแดนโบราณวินาศ จะต้องใช้เวลาหนึ่งก้านธูป”

ฉินมู่และพุทธเจ้าท้าวสักกะเดินเคียงกันเข้าไปในลำแสง ฉินมู่เพิ่มเสียงเขาให้ดังขึ้น “จากพุทธเกษตรไปยังสวรรค์ไท่หวง อาจจะต้องใช้เวลานานกว่านั้นสักหน่อย! หนึ่งทิวาและราตรีมีระยะเวลาทั้งหมดเก้าสิบหกก้านธูป ดังนั้นระยะเวลาที่สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณจะถูกทำลายนั้นจะต้องเป็นหลังจากที่พวกเราเคลื่อนย้ายไปถึงสวรรค์ไท่หวงแล้ว! ไม่ทราบว่าเวลาหนึ่งก้านธูปที่พุทธเจ้าใช้นั้นคล้ายคลึงกับแดนโบราณวินาศหรือไม่”

“คล้ายสิ!”

พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ทักษะเทวะของข้าจะระเบิดออกหลังจากเวลาสามก้านธูปเพื่อทำลายสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณนี้!”

ทั้งสองคนหายวับเข้าไปในแสงไหล

ในขณะเดียวกันที่สวรรค์ชั้นพรหม ปราณมารแดนใต้พิภพไหลเวียนไปรอบๆ สถานที่นี้ได้กลายเป็นทะเลมารไปแล้ว สันดานมารและปราณมารแห่งแดนใต้พิภพได้รุกรานเข้ามา และสิ่งมีชีวิตแดนใต้พิภพก็ค่อยๆ ปรากฏมาแหวกว่ายไปรอบๆ ในทะเลอันดำทมิฬ พวกมันก็จะเผยร่างยาวๆ และเกล็ดสีดำเป็นระยะๆ

ทันใดนั้น ทะเลมารก็ปูดนูนขึ้นและไหลวนเป็นวัง วังน้ำวนขนาดใหญ่ปรากฏในทะเล และเขาสีดำสนิทขนาดยักษ์คู่หนึ่งก็ค่อยๆ ลอยออกมาจากในนั้น

เสียงปะทะกันของคลื่นดังมากขึ้นทุกทีๆ ในจังหวะนั้นเอง จากเกาะที่อยู่ใจกลางสวรรค์ชั้นพรหม พุทธเจ้าปางไสยาสน์ตนหนึ่งก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากวัดซอมซ่อและเปล่งรัศมีเจิดจ้า

พุทธเจ้าไสยาสน์นั้นนอนอยู่บนดอกบัวอันใหญ่มหึมาอย่างเหลือเชื่อ เขานั้นลอยอยู่เหนือวัดอันซอมซ่อ และวัดนี้ก็ดูเหมือนจะแปรเปลี่ยนเป็นน้ำพุทองคำที่เต็มไปด้วยใบบัวและดอกบัวอันแกว่งไกว

พุทธเจ้าไสยาสน์ตื่นขึ้นมาและเงยศีรษะขึ้นมองดูเทพเจ้าสีดำที่กำลังผุดขึ้นมาจากทะเลมาร เทพเจ้าตนนี้มีเขาและร่างกายของวัว ดวงตาของเสือ และมีดวงตาที่สามที่ใจกลางหว่างคิ้ว

“พี่ทางเต๋า!”

พุทธเจ้าพรหมรีบคารวะทักทายเขา “สิ่งที่เกิดขึ้นในสวรรค์ชั้นพรหมของข้าถึงกับรบกวนให้พี่ทางเต๋าแตกตื่น และจุติลงมาด้วยร่างแยกของท่าน ข้านี้ตัวสั่นไปด้วยความหวาดผวา”

เทพเจ้าเขาวัวศีรษะพยัคฆ์นี้มิใช่ใครอื่นนอกเสียจากภูติบดี เขามองไปรอบๆ และเสียงของเขากึกก้องไปทั่ว “พุทธเจ้าพรหม สวรรค์ของเจ้าได้กลายเป็นแดนใต้พิภพ การขจัดปราณมารแดนใต้พิภพไม่ใช่เรื่องยาก ทำไมเจ้าถึงไม่กำจัดมันเสียล่ะ เจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้าหรือไม่”

พุทธเจ้าพรหมแย้มยิ้มและกล่าว “ข้ามิกล้ารบกวนพี่ทางเต๋า! อีกอย่าง แดนใต้พิภพในสวรรค์ของข้านั้นเป็นหลักฐานที่ข้าต้องการ เพื่อป้องกันไม่ให้สภาสวรรค์มากล่าวโทษใส่ตัวข้า ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าพุทธเกษตรมีแค่แสงสว่างโดยปราศจากความมืด ก็คงยากที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าได้ มีก็แต่อยู่ร่วมกับความมืด ธรรมะจึงจะก้าวหน้าพัฒนา แดนใต้พิภพกระผีกนี้ ปล่อยให้มันอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ”

“ข้าเข้าใจล่ะ”

ภูติบดีได้ยินคำพูดของเขา และพลันเข้าใจต้นสายปลายเหตุ “ข้าไม่เข้มงวดในการดูแล และปล่อยให้โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพมาก่อความวุ่นวายที่นี่ อภัยให้ข้าด้วย”

“มิกล้า”

ขณะที่ตัวตนทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น ท้องฟ้าก็พลันสาดแสงเจิดจ้า และเรือเหาะโบราณลำหนึ่งก็แล่นลอยข้ามเวหามา เรือนั้นมีแสงหลากสีเรืองรอง และมันถึงกับมีปีกคู่หนึ่งที่สมมาตรกันทั้งฝั่งซ้ายและขวา ในขณะเดียวกันนั้น ที่หัวเรือก็ไม่ใช่หัวมังกรหรือป้าเซี่ย อย่างที่เขานิยมกัน แต่เป็นหัวนกหงส์เพลิง

เรือเหาะนั้นโดดเด่นสะดุดตา แล่นลอยมาเหนือท้องฟ้าสวรรค์ชั้นพรหม มันค่อยๆ ชะลอหยุดลง มีเทพเจ้าทองคำจำนวนมากยืนอยู่บนกราบเรือ และพวกเขาก็ล้วนแต่สวมชุดเกราะเต็มยศ แม้ว่าเมื่อพวกเขาเห็นภูติบดีและพุทธเจ้า ก็ไม่ปริปากหรือคารวะทักทาย

“ที่แท้ก็เป็นจักรพรรดิเทพแห่งแดนใต้พิภพ และพุทธเจ้าพรหม พี่ทางเต๋าสองท่าน”

เสียงอันปราศจากวี่แววของโลกปุถุชนดังมาจากเรือ หญิงผู้หนึ่ง ซึ่งใบหน้ามิอาจเห็นได้ชัดและมีกงล้อรัศมีสี่กงอยู่ข้างหลังนาง เดินออกมาจากเรือเหาะ สวมใส่อาภรณ์อันหรูหราน่าเกรงขาม นางมองไปยังพุทธเจ้าพรหมและภูติบดีในระดับสายตาเดียวกัน และคารวะทักทาย “เสียอวี๋พบพี่ทางเต๋าพุทธเจ้าเฒ่าและพี่ทางเต๋าภูติบดี”

พุทธเจ้าพรหมคารวะทักทายนาง และภูติบดีก็ค้อมศีรษะเล็กน้อย

“ที่แท้ก็เป็นจักรพรรดิแดงแห่งสวรรค์ทักษิณ ศิษย์พี่หญิงฉี”

พุทธเจ้าพรหมรีบกล่าว “ไม่นึกเลยว่าสวรรค์ยี่สิบชั้นแห่งพุทธเกษตรอันต่ำต้อยของข้าจะถึงกับทำให้ศิษย์พี่หญิงฉีแตกตื่น พุทธเจ้าน้อยผู้นี้เต็มไปด้วยความหวาดผวา!”

“พุทธเจ้าเฒ่าสุภาพเกินไปแล้ว”

หญิงผู้นั้น จักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋กล่าว “สวรรค์แห่งทิศใต้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของข้า ดังนั้นข้าจึงยากที่จะได้ไปไหนต่อไหน สาเหตุที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะว่าพุทธเกษตรกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ข้าได้ข่าวมาว่าวันก่อนเกิดความโกลาหลในพุทธเกษตร ขอถามได้หรือไม่ว่า พุทธเจ้าเฒ่าทราบรายละเอียดหรือไม่”

พุทธเจ้าพรหมกล่าว “ข้ากำลังสนทนากับภูติบดีเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พอดี ข้าได้ละเลยความเข้มงวดกวดขัน และความคิดชั่วก็พลันเกิดขึ้นในหัวใจของศิษย์น้องท้าวสักกะ เขาปลดปล่อยโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ และโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพก็สังหารพุทธเจ้าและพุทธบุตรไปมากมาย เขาถึงกับเปลี่ยนสวรรค์ชั้นพรหมของข้าให้เป็นแดนใต้พิภพ พี่ทางเต๋าภูติบดีอยู่ที่นี่ ศิษย์พี่หญิงฉีสามารถถามเขาได้”

ฉีเสียอวี๋มองไปยังภูติบดี ภูติบดีผงกศีรษะ “มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผู้ที่สังหารผู้คนทั้งหลายคือโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ ข้าได้ปิดผนึกโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพเอาไว้ และเขาไม่มีทางหลบหนีออกไปได้โดยไม่มีพลังวัตรอันยิ่งใหญ่เกื้อหนุน จะต้องมีใครที่มีพลังวัตรมาหศาลที่ได้ปลดปล่อยเขาออกมา”

จักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋แย้มยิ้มและกล่าว “ที่แท้ก็เป็นอย่างนั้น ท้าวสักกะเองเดิมทีก็ไม่ใช่คนที่รู้จักความเหมาะควรอยู่แล้ว ข้าคิดว่าเขาจะสงบเสงี่ยมลงหน่อยหลังจากที่มาอยู่กับพุทธเจ้าเฒ่า และไม่ยินดียินร้ายกับความเย้ายวนทางโลกอีกต่อไป ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะก่อกบฏ! พุทธเจ้าเฒ่าก็พลอยได้รับเคราะห์ ดังนั้นข้าไม่อาจกล่าวโทษท่านหรือแดนใต้พิภพ มีก็แต่ท้าวสักกะที่ควรแก่การกล่าวโทษ ในเมื่อเรื่องนี้กระจ่างแล้ว ข้าก็จะไปยังสวรรค์ชั้นสักกะเพื่อจับกุมตัวเขาและส่งไปยังแท่นประหารเทพเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติผู้คน ข้าขอตัวและลาก่อน”

พุทธเจ้าพรหมกล่าวทันที “ศิษย์พี่หญิง เชิญเถอะ”

เรือเหาะนั้นพลันกระพือปีกและหายวับไปจากสวรรค์ชั้นพรหม

พุทธเจ้าพรหมเลิกคิ้วของเขาและไม่กล่าววาจาสักคำ ร่างมหึมาของภูติบดีค่อยๆ จมลงไปในทะเลมารและหายสาบสูญไป

ในเวลาเดียวกันนั้น ในสวรรค์ชั้นสักกะ เรือเหาะพลันปรากฏขึ้นมา เมื่อฉีเสียอวี๋มองไปยังท้องฟ้า สีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าจากเรือเหาะและผ่านแสงหลากสีของเรือเพื่อวิ่งตะบึงไปยังสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ “หนี! แต่ถึงอย่างไร เจ้าก็หนีไม่รอด!”

ขณะที่นางกำลังจะเข้าไปในสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ สะพานก็พลันสะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง ทักษะเทวะที่พุทธเจ้าท้าวสักกะทิ้งเอาไว้พลันระเบิด แท่นสังเวยใหญ่ปานขุนเขาพลันบิดเบี้ยวและยุบเข้าไปยังแกนกลาง!

“คิดจะจากไปเรอะ?”

จักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋พลันแปลงร่างเป็นหงส์เพลิงขนรุ้งเก้าหัวและไล่ล่าแสงที่กำลังจะหายลับไปในท้องฟ้า นางพยายามที่จะตามให้ทันแสงของสะพานอันกำลังจางหายไป

ฟิ้ววว

ร่างของนางหายลับไปในแสง แต่ก็ถูกดีดออกมาจากห้วงอวกาศในเสี้ยววินาทีถัดมา แสงนั้นหายลับไปโดยสิ้นเชิง

“เรือ มานี่!”

นางกู่ร้องเสียงเบา และเรือมีปีกก็โบยบินเข้ามา ฉีเสียอวี๋ลงไปเหยียบบนเรือและนั่งลงไป นางนำเอาขิมหงส์เพลิงออกมา และวางมันพาดเข่าเอาไว้ “โจรน้อยที่หลบหนีไปมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิก่อตั้ง วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหลุดมือข้าไปได้”

หลังจากกล่าวเช่นนั้น นางก็กรีดนิ้วลงบนขิมและเล่นทำนองเพลงหนึ่ง เสียงของขิมแปรเปลี่ยนเป็นสสารที่จับต้องได้ ก่อนที่จะหายวับไป

นางเล่นเพลงหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นแล้วกล่าว “เขาไม่มีทางหลบหนีเพลงขิมล่าชีวิตของข้าไปได้ หากว่าเขาทำสำเร็จ ข้าคงได้แต่ยอมรับนับถือ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเทพกู้จักรวาล 626 เพลงขิมล่าชีวิต

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 626 เพลงขิมล่าชีวิต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฉินมู่เห็นเขายิ้มฝืด รอยยิ้มของเขามีวี่แววของความขมขื่น ดังนั้นเขาจึงไม่หยั่งลึกอีกต่อไป ทุกคนล้วนแต่มีความลับของตนเอง และพวกเขาก็ไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องเปิดเผยทุกสิ่งเกี่ยวกับอดีตของตน

ไม่ว่าพุทธเจ้าท้าวสักกะจะมีแซ่ในโลกฆราวาสว่าอย่างไร แต่เขาไม่ใช่คนชั่วร้าย เขามีศักดิ์ฐานะของพุทธเจ้า แต่ก็ยังมีจิตใจอุ่นระอุ เพื่อกอบกู้พุทธเกษตร เขายินดีที่จะถูกก่นด่า และแบกรับขี้ทั้งหมดเอาไว้บนหัวของตนเอง

แม้ว่าบุคคลเช่นนี้จะไม่ยินดีที่จะสนทนาถึงอดีตของเขา แต่ก็ยังคงให้ความรู้สึกน่าไว้เนื้อเชื่อใจ

ทั้งสองคนง่วนกับงาน และใช้เวลาครึ่งวันเพื่อหลอมสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณได้สำเร็จในที่สุด ฉินมู่ตรวจดูอย่างละเอียด และไม่พบความผิดพลาดในสะพาน

“ยังมีโลหะเทวะมากมายที่ยังไม่ได้ใช้ สหายน้อยฉิน รายการที่เจ้าให้ข้ามาดูเหมือนจะผิดนะ”

พุทธเจ้าท้าวสักกะมองไปยังวัสดุเทวะที่กองอยู่ข้างๆ แท่นสังเวยสูงเท่าภูเขา โลหะเทวะเหล่านี้เรียกว่าโครเมี่ยมแดงพุทธชีวา และยังคงมีไม้จำนวนหนึ่งที่มาจากต้นขนนกพุทธมารดา เขาได้ให้ประเทศทั้งหมดในสวรรค์ชั้นสักกะบรรณาการวัสดุตามรายการ และหลังจากที่สร้างแท่นสังเวยเสร็จแล้ว ก็ยังคงมีวัสดุเหลืออยู่จำนวนมาก

ในรายการที่ฉินมู่ให้เขามา วัสดุสองอย่างนี้ไม่ถูกแตะต้องเลยแม้แต่น้อย

พุทธเจ้าท้าวสักกะมองไปที่ฉินมู่อย่างจับพิรุธและถามหยั่ง “งั้นพวกเราจะทำอย่างไรกับวัสดุพวกนี้”

ฉินมู่เปิดถุงเต๋าตี้ของเขาอย่างรีบเร่งและกล่าว “พวกเรากำลังหนีเอาชีวิตรอด พวกเราอาจจะได้ใช้พวกมันในอนาคต! เอาพวกมันเข้าไปในถุงเต๋าตี้ของข้าก่อน!”

พุทธเจ้าท้าวสักกะจ้องไปที่เขา ฉินมู่ทำหน้าตายระหว่างที่เก็บโครเมี่ยมแดงพุทธชีวาและไม้ขนนกพุทธมารดาเข้าไปในถุงเต๋าตี้ จากนั้นฉินมู่ก็เอาถุงเต๋าตี้ออกมาอีกถุง และบรรจุวัสดุที่เหลือทั้งหมดแล้วผูกถุงเต๋าตี้ไว้ที่เอวของตนอย่างระมัดระวัง

สองถุงพองเป่งและดูเหมือนว่าจะบรรจุอัดไว้แน่นเอี๊ยด

พุทธเจ้าท้าวสักกะยิ้มหยัน “สหายน้อยฉิน วัสดุที่เหลือที่มันเติมถุงเต๋าตี้ทั้งสองของเจ้าเต็มพอดิบพอดีเลยนะ นี่มันเหมือนกับการคิดคำนวณไว้ล่างหน้า”

“มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ”

ฉินมู่ตกตะลึงและร้องออกมา “ข้าคงไม่ทันสังเกตหากว่าท่านไม่พูด พวกมันเติมถุงเต๋าตี้ทั้งสองใบของข้าเต็มเปรี๊ยะพอดิบพอดี! แปลกเสียจริง แปลกเสียจริง! สวรรค์ยี่สิบชั้นแห่งพุทธเกษตรช่างเหนือธรรมดา นี่จะต้องเป็นจิตวิญญาณแห่งพุทธเกษตรที่รู้ว่าข้าแบกรับความผิดของพุทธเกษตร ดังนั้นมันถึงมอบสิ่งนี้คืนให้กับข้า! ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม นี่ทำให้ข้าอยากจะนับถือลัทธิพุทธด้วยเช่นกัน…”

พุทธเจ้าท้าวสักกะจ้องเขาเขม็ง จนฉินมู่นึกหาข้ออ้างไม่ออกอีกต่อไป จากนั้นเขาถึงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ผู้คนสายตากระจ่างย่อมมองออกเพียงแค่ปราดเดียว สหายน้อยฉินไม่จำเป็นต้องอธิบายข้าอีกต่อไป ข้าจะฝังทักษะเทวะของข้าก่อนที่จะกระตุ้นการทำงานของสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ เจ้าจงปรับแต่งมันและเชื่อมต่อมันเข้ากับสวรรค์ไท่หวง”

ฉินมู่หน้าแดงสดใส และเขาก็รับคำเสียงอ่อย เขาไปยังจุดสูงสุดของแท่นสังเวยและกดฝ่ามือลงไปบนพื้นราบตรงใจกลาง ด้วยเสียงหึ่งฮัม พื้นราบเรียบก็พลันกลายเป็นลูกบาศก์เล็กจำนวนมาก และลูกบาศก์เหล่านั้นก็เข้ามาประกอบกันอย่างต่อเนื่องจนก่อขึ้นมาเป็นทรงกลม บนทรงกลมนั้น มีอักษรรูนไหลวนและกระโดดไปมา

เขากางมือออก ทรงกลมนี้ก็ขยายขนาด และลูกบาศก์เล็กละเอียดก็แยกออกจากกันและกัน ระหว่างลูกบาศก์เหล่านั้น มีแสงไหลอันก่อจากอักษรรูนที่เชื่อมต่อลูกบาศก์ต่างๆ เข้าด้วยกัน

เขานำเอาอาวุธวิญญาณคิดคำนวณออกมาและทำการคำนวณเพื่อปรับแต่งค้นหาตำแหน่งของสวรรค์ไท่หวง แสงค่อยๆ เข้าไปรวบรวมในใจกลางทรงกลม และแปรเปลี่ยนเป็นจุดเล็กๆ ที่จุดศูนย์กลาง

เมื่อฉินมู่ยืนยันตำแหน่งพิกัดของสวรรค์ไท่หวงแล้ว เขาก็หุบมือลง ลูกกลมย่อหดลงไปและแปรเปลี่ยนไปเป็นพื้นราบ อันถูกกดจมกลับลงไปในแท่นสังเวย

พุทธเจ้าท้าวสักกะได้ฝังทักษะเทวะของเขาเสร็จแล้ว และก็มายังจุดสูงสุดของแท่นสังเวย พุทธเจ้าที่ดูหนุ่มแน่นผู้นี้กวาดสายตามองสวรรค์ชั้นสักกะอันกว้างไกล เขาดูเหมือนจะอาลัยอาวรณ์ที่จะจากที่นี่

“พุทธเจ้า ยิ่งพวกเราถ่วงช้านานเท่าไร ก็ยิ่งตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงมากเท่านั้น” ฉินมู่บอกเตือนเขา

พุทธเจ้าท้าวสักกะผงกหัวเบาๆ และความหดหู่บนสีหน้าของเขาก็สลายไป เขายิ้มอย่างสดใสและกล่าว “เมื่อขี้ของข้าล้างออกจนสะอาดแล้ว ข้าก็จะสามารถกลับมาที่นี่ได้ใหม่อีกครั้ง ข้าจะมาเป็นพุทธเจ้าอีกหน งั้นทำไมข้าต้องมาทำตัวปวกเปียกด้วยล่ะ สหายน้อยฉิน พวกเราไปกันเถอะ!”

ปราณชีวิตของฉินมู่ไหลออกมา และเข้าไปในอักษรรูนที่ใช้เริ่มการทำงานของแท่นสังเวย แสงพลันไหลรี่และอักษรรูนก็ถูกจุดแสงไปทีละตัวๆ ทั้งแท่นสังเวยดูเหมือนกับสัตว์ยักษ์ที่กำลังลืมตาตื่น ขณะที่ดวงดาวหมุนวนและแปรเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ในท้ายที่สุด สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณก็เดินเครื่องและลำแสงลำใหญ่ก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อทะลวงไปยังเหนือฟ้า!

“พวกเราจะไม่รู้สึกถึงการผันผ่านของเวลาระหว่างการเดินทาง แต่ข้าได้คำนวณมาก่อนแล้ว จากสวรรค์ไท่หวงไปยังแดนโบราณวินาศ จะต้องใช้เวลาหนึ่งก้านธูป”

ฉินมู่และพุทธเจ้าท้าวสักกะเดินเคียงกันเข้าไปในลำแสง ฉินมู่เพิ่มเสียงเขาให้ดังขึ้น “จากพุทธเกษตรไปยังสวรรค์ไท่หวง อาจจะต้องใช้เวลานานกว่านั้นสักหน่อย! หนึ่งทิวาและราตรีมีระยะเวลาทั้งหมดเก้าสิบหกก้านธูป ดังนั้นระยะเวลาที่สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณจะถูกทำลายนั้นจะต้องเป็นหลังจากที่พวกเราเคลื่อนย้ายไปถึงสวรรค์ไท่หวงแล้ว! ไม่ทราบว่าเวลาหนึ่งก้านธูปที่พุทธเจ้าใช้นั้นคล้ายคลึงกับแดนโบราณวินาศหรือไม่”

“คล้ายสิ!”

พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ทักษะเทวะของข้าจะระเบิดออกหลังจากเวลาสามก้านธูปเพื่อทำลายสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณนี้!”

ทั้งสองคนหายวับเข้าไปในแสงไหล

ในขณะเดียวกันที่สวรรค์ชั้นพรหม ปราณมารแดนใต้พิภพไหลเวียนไปรอบๆ สถานที่นี้ได้กลายเป็นทะเลมารไปแล้ว สันดานมารและปราณมารแห่งแดนใต้พิภพได้รุกรานเข้ามา และสิ่งมีชีวิตแดนใต้พิภพก็ค่อยๆ ปรากฏมาแหวกว่ายไปรอบๆ ในทะเลอันดำทมิฬ พวกมันก็จะเผยร่างยาวๆ และเกล็ดสีดำเป็นระยะๆ

ทันใดนั้น ทะเลมารก็ปูดนูนขึ้นและไหลวนเป็นวัง วังน้ำวนขนาดใหญ่ปรากฏในทะเล และเขาสีดำสนิทขนาดยักษ์คู่หนึ่งก็ค่อยๆ ลอยออกมาจากในนั้น

เสียงปะทะกันของคลื่นดังมากขึ้นทุกทีๆ ในจังหวะนั้นเอง จากเกาะที่อยู่ใจกลางสวรรค์ชั้นพรหม พุทธเจ้าปางไสยาสน์ตนหนึ่งก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากวัดซอมซ่อและเปล่งรัศมีเจิดจ้า

พุทธเจ้าไสยาสน์นั้นนอนอยู่บนดอกบัวอันใหญ่มหึมาอย่างเหลือเชื่อ เขานั้นลอยอยู่เหนือวัดอันซอมซ่อ และวัดนี้ก็ดูเหมือนจะแปรเปลี่ยนเป็นน้ำพุทองคำที่เต็มไปด้วยใบบัวและดอกบัวอันแกว่งไกว

พุทธเจ้าไสยาสน์ตื่นขึ้นมาและเงยศีรษะขึ้นมองดูเทพเจ้าสีดำที่กำลังผุดขึ้นมาจากทะเลมาร เทพเจ้าตนนี้มีเขาและร่างกายของวัว ดวงตาของเสือ และมีดวงตาที่สามที่ใจกลางหว่างคิ้ว

“พี่ทางเต๋า!”

พุทธเจ้าพรหมรีบคารวะทักทายเขา “สิ่งที่เกิดขึ้นในสวรรค์ชั้นพรหมของข้าถึงกับรบกวนให้พี่ทางเต๋าแตกตื่น และจุติลงมาด้วยร่างแยกของท่าน ข้านี้ตัวสั่นไปด้วยความหวาดผวา”

เทพเจ้าเขาวัวศีรษะพยัคฆ์นี้มิใช่ใครอื่นนอกเสียจากภูติบดี เขามองไปรอบๆ และเสียงของเขากึกก้องไปทั่ว “พุทธเจ้าพรหม สวรรค์ของเจ้าได้กลายเป็นแดนใต้พิภพ การขจัดปราณมารแดนใต้พิภพไม่ใช่เรื่องยาก ทำไมเจ้าถึงไม่กำจัดมันเสียล่ะ เจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้าหรือไม่”

พุทธเจ้าพรหมแย้มยิ้มและกล่าว “ข้ามิกล้ารบกวนพี่ทางเต๋า! อีกอย่าง แดนใต้พิภพในสวรรค์ของข้านั้นเป็นหลักฐานที่ข้าต้องการ เพื่อป้องกันไม่ให้สภาสวรรค์มากล่าวโทษใส่ตัวข้า ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าพุทธเกษตรมีแค่แสงสว่างโดยปราศจากความมืด ก็คงยากที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าได้ มีก็แต่อยู่ร่วมกับความมืด ธรรมะจึงจะก้าวหน้าพัฒนา แดนใต้พิภพกระผีกนี้ ปล่อยให้มันอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ”

“ข้าเข้าใจล่ะ”

ภูติบดีได้ยินคำพูดของเขา และพลันเข้าใจต้นสายปลายเหตุ “ข้าไม่เข้มงวดในการดูแล และปล่อยให้โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพมาก่อความวุ่นวายที่นี่ อภัยให้ข้าด้วย”

“มิกล้า”

ขณะที่ตัวตนทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น ท้องฟ้าก็พลันสาดแสงเจิดจ้า และเรือเหาะโบราณลำหนึ่งก็แล่นลอยข้ามเวหามา เรือนั้นมีแสงหลากสีเรืองรอง และมันถึงกับมีปีกคู่หนึ่งที่สมมาตรกันทั้งฝั่งซ้ายและขวา ในขณะเดียวกันนั้น ที่หัวเรือก็ไม่ใช่หัวมังกรหรือป้าเซี่ย อย่างที่เขานิยมกัน แต่เป็นหัวนกหงส์เพลิง

เรือเหาะนั้นโดดเด่นสะดุดตา แล่นลอยมาเหนือท้องฟ้าสวรรค์ชั้นพรหม มันค่อยๆ ชะลอหยุดลง มีเทพเจ้าทองคำจำนวนมากยืนอยู่บนกราบเรือ และพวกเขาก็ล้วนแต่สวมชุดเกราะเต็มยศ แม้ว่าเมื่อพวกเขาเห็นภูติบดีและพุทธเจ้า ก็ไม่ปริปากหรือคารวะทักทาย

“ที่แท้ก็เป็นจักรพรรดิเทพแห่งแดนใต้พิภพ และพุทธเจ้าพรหม พี่ทางเต๋าสองท่าน”

เสียงอันปราศจากวี่แววของโลกปุถุชนดังมาจากเรือ หญิงผู้หนึ่ง ซึ่งใบหน้ามิอาจเห็นได้ชัดและมีกงล้อรัศมีสี่กงอยู่ข้างหลังนาง เดินออกมาจากเรือเหาะ สวมใส่อาภรณ์อันหรูหราน่าเกรงขาม นางมองไปยังพุทธเจ้าพรหมและภูติบดีในระดับสายตาเดียวกัน และคารวะทักทาย “เสียอวี๋พบพี่ทางเต๋าพุทธเจ้าเฒ่าและพี่ทางเต๋าภูติบดี”

พุทธเจ้าพรหมคารวะทักทายนาง และภูติบดีก็ค้อมศีรษะเล็กน้อย

“ที่แท้ก็เป็นจักรพรรดิแดงแห่งสวรรค์ทักษิณ ศิษย์พี่หญิงฉี”

พุทธเจ้าพรหมรีบกล่าว “ไม่นึกเลยว่าสวรรค์ยี่สิบชั้นแห่งพุทธเกษตรอันต่ำต้อยของข้าจะถึงกับทำให้ศิษย์พี่หญิงฉีแตกตื่น พุทธเจ้าน้อยผู้นี้เต็มไปด้วยความหวาดผวา!”

“พุทธเจ้าเฒ่าสุภาพเกินไปแล้ว”

หญิงผู้นั้น จักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋กล่าว “สวรรค์แห่งทิศใต้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของข้า ดังนั้นข้าจึงยากที่จะได้ไปไหนต่อไหน สาเหตุที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะว่าพุทธเกษตรกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ข้าได้ข่าวมาว่าวันก่อนเกิดความโกลาหลในพุทธเกษตร ขอถามได้หรือไม่ว่า พุทธเจ้าเฒ่าทราบรายละเอียดหรือไม่”

พุทธเจ้าพรหมกล่าว “ข้ากำลังสนทนากับภูติบดีเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พอดี ข้าได้ละเลยความเข้มงวดกวดขัน และความคิดชั่วก็พลันเกิดขึ้นในหัวใจของศิษย์น้องท้าวสักกะ เขาปลดปล่อยโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ และโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพก็สังหารพุทธเจ้าและพุทธบุตรไปมากมาย เขาถึงกับเปลี่ยนสวรรค์ชั้นพรหมของข้าให้เป็นแดนใต้พิภพ พี่ทางเต๋าภูติบดีอยู่ที่นี่ ศิษย์พี่หญิงฉีสามารถถามเขาได้”

ฉีเสียอวี๋มองไปยังภูติบดี ภูติบดีผงกศีรษะ “มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผู้ที่สังหารผู้คนทั้งหลายคือโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ ข้าได้ปิดผนึกโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพเอาไว้ และเขาไม่มีทางหลบหนีออกไปได้โดยไม่มีพลังวัตรอันยิ่งใหญ่เกื้อหนุน จะต้องมีใครที่มีพลังวัตรมาหศาลที่ได้ปลดปล่อยเขาออกมา”

จักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋แย้มยิ้มและกล่าว “ที่แท้ก็เป็นอย่างนั้น ท้าวสักกะเองเดิมทีก็ไม่ใช่คนที่รู้จักความเหมาะควรอยู่แล้ว ข้าคิดว่าเขาจะสงบเสงี่ยมลงหน่อยหลังจากที่มาอยู่กับพุทธเจ้าเฒ่า และไม่ยินดียินร้ายกับความเย้ายวนทางโลกอีกต่อไป ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะก่อกบฏ! พุทธเจ้าเฒ่าก็พลอยได้รับเคราะห์ ดังนั้นข้าไม่อาจกล่าวโทษท่านหรือแดนใต้พิภพ มีก็แต่ท้าวสักกะที่ควรแก่การกล่าวโทษ ในเมื่อเรื่องนี้กระจ่างแล้ว ข้าก็จะไปยังสวรรค์ชั้นสักกะเพื่อจับกุมตัวเขาและส่งไปยังแท่นประหารเทพเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติผู้คน ข้าขอตัวและลาก่อน”

พุทธเจ้าพรหมกล่าวทันที “ศิษย์พี่หญิง เชิญเถอะ”

เรือเหาะนั้นพลันกระพือปีกและหายวับไปจากสวรรค์ชั้นพรหม

พุทธเจ้าพรหมเลิกคิ้วของเขาและไม่กล่าววาจาสักคำ ร่างมหึมาของภูติบดีค่อยๆ จมลงไปในทะเลมารและหายสาบสูญไป

ในเวลาเดียวกันนั้น ในสวรรค์ชั้นสักกะ เรือเหาะพลันปรากฏขึ้นมา เมื่อฉีเสียอวี๋มองไปยังท้องฟ้า สีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าจากเรือเหาะและผ่านแสงหลากสีของเรือเพื่อวิ่งตะบึงไปยังสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ “หนี! แต่ถึงอย่างไร เจ้าก็หนีไม่รอด!”

ขณะที่นางกำลังจะเข้าไปในสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ สะพานก็พลันสะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง ทักษะเทวะที่พุทธเจ้าท้าวสักกะทิ้งเอาไว้พลันระเบิด แท่นสังเวยใหญ่ปานขุนเขาพลันบิดเบี้ยวและยุบเข้าไปยังแกนกลาง!

“คิดจะจากไปเรอะ?”

จักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋พลันแปลงร่างเป็นหงส์เพลิงขนรุ้งเก้าหัวและไล่ล่าแสงที่กำลังจะหายลับไปในท้องฟ้า นางพยายามที่จะตามให้ทันแสงของสะพานอันกำลังจางหายไป

ฟิ้ววว

ร่างของนางหายลับไปในแสง แต่ก็ถูกดีดออกมาจากห้วงอวกาศในเสี้ยววินาทีถัดมา แสงนั้นหายลับไปโดยสิ้นเชิง

“เรือ มานี่!”

นางกู่ร้องเสียงเบา และเรือมีปีกก็โบยบินเข้ามา ฉีเสียอวี๋ลงไปเหยียบบนเรือและนั่งลงไป นางนำเอาขิมหงส์เพลิงออกมา และวางมันพาดเข่าเอาไว้ “โจรน้อยที่หลบหนีไปมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิก่อตั้ง วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหลุดมือข้าไปได้”

หลังจากกล่าวเช่นนั้น นางก็กรีดนิ้วลงบนขิมและเล่นทำนองเพลงหนึ่ง เสียงของขิมแปรเปลี่ยนเป็นสสารที่จับต้องได้ ก่อนที่จะหายวับไป

นางเล่นเพลงหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นแล้วกล่าว “เขาไม่มีทางหลบหนีเพลงขิมล่าชีวิตของข้าไปได้ หากว่าเขาทำสำเร็จ ข้าคงได้แต่ยอมรับนับถือ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+