ตำนานเทพกู้จักรวาล 562 ยากจะระวังป้องกัน

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 562 ยากจะระวังป้องกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ดวงตาฉินมู่เบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหู และหัวใจเขาก็สั่นสะท้าน จี้หยกนี้ถึงกับหลอมสร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือของภูติบดี?

จี้หยกของเขาน่าจะเป็นของตระกูลฉิน และเขาก็ได้สวมใส่มันมาตั้งแต่ยังเล็กๆ ดังนั้นมันจะเป็นสิ่งที่ภูติบดีสร้างขึ้นมาได้อย่างไร

มีความเกี่ยวข้องอะไรระหว่างจี้หยกกับภูติบดี

หรือว่าเพราะเขาได้ก่อกรรมทำชั่วมากเกินไป จนภูติบดีต้องปิดผนึกเขาเอาไว้ด้วยจี้หยก

แต่ทว่า ในตอนนั้นเขาน่าจะยังเป็นเด็กแบเบาะ แล้วเขาจะสร้างกรรมชั่วชั่วมากมายขนาดนั้นได้อย่างไรกัน

เขาไม่มีความทรงจำเรื่องพวกนั้นเลย ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งในสันตินิรันดร์ และสวรรค์ไท่หวง ใครกันจะไม่รู้ว่าจ้าวลัทธิฉินมีนิสัยใจคออันสูงส่ง เปี่ยมเมตตา และมีจิตใจอันกว้างขวาง ดังนั้นเขาจะเคยทำเรื่องชั่วร้ายมาก่อนได้อย่างไร

“ผนึกน่าจะหลวมคลายจริงๆ” ภูติบดีแมกม่ายังพลิกสมุดดูต่อ “เคยมีเทพและมารจำนวนหนึ่งที่พยายามจะทำลายผนึก แต่พวกเขาทำไม่สำเร็จ แต่ทว่า ผนึกดูเหมือนจะคลายลงไป และแทบจะปล่อยเจ้าหลุดออกมา แต่ไม่เป็นไร ไว้ข้าจะเสริมความแกร่งให้กับมันในภายหลัง”

ความเร็วในการอ่านของเขาเร็วอย่างยิ่งยวด และไม่นานเขาก็อ่านเรื่องราวการก่อกรรมทำเข็ญของฉินมู่ทั้งหมด เมื่อเขามาถึงหน้าสุดท้าย ก็กล่าว “ในแดนลางร้ายแห่งสวรรค์ไท่หวง บุตรแห่งตระกูลฉิน ฉินเฟิงชิงได้ใช้นำทางวิญญาณเพื่อทำลายความสงบของแดนใต้พิภพ ช่วงชิงดวงวิญญาณสี่หมื่นแปดพันดวงออกไปด้วยกำลัง ทำร้ายผู้นำทางความตาย…”

“ใช้นำทางวิญญาณเพื่อช่วงชิงวิญญาณสี่หมื่นแปดพันดวงเป็นฝีมือของข้าจริงๆ แต่การทำร้ายผู้นำทางความตายไม่ใช่ฝีมือข้า มันเป็นการกระทำของเทพครองดาวเจ็ดสังหารเว่ยเหลียวต่างหาก ดังนั้นท่านไปตามนับกับเขาเถอะ”

ภูติบดีแมกม่าหันไปมองผู้เฒ่านำทางความตายและถาม “เป็นเทพครองดาวเจ็ดสังหารเว่ยเหลียวหรือที่ทำร้ายผู้นำทางความตาย”

“เคยมีนามของเทพครองดาวเจ็ดสังหารเว่ยเหลียวในบันทึกเป็นตาย แต่หลังจากที่เขาสิ้นชีวิตและดวงวิญญาณก็กระจัดกระจาย นามของเขาก็ถูกจำหน่ายออกไป ดังนั้นเขาจึงไม่อยู่ในการกำกับดูแลของแดนใต้พิภพ สาเหตุที่ดวงวิญญาณสี่หมื่นแปดพันดวงหลบหนีไปได้ หลักใหญ่ใจความก็เพราะฉินเฟิงชิงช่วยเทพครองดาวเจ็ดสังหารกอบกู้ดวงวิญญาณเขากลับมาและปะติดปะต่อเศษวิญญาณเข้าด้วยกัน เพราะอย่างนี้ หนี้ที่ทำร้ายผู้นำทางความตายจึงต้องบันทึกเอาไว้ในสมุดของฉินเฟิงชิง เพราะถึงอย่างไร เขาก็ยังมีชีวิตอยู่และมีรายนามอยู่ในบันทึกเป็นตาย” ผู้เฒ่านำทางความตายที่เป็นร่างแยกของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์กล่าว

ภูติบดีมองไปที่ฉินมู่และกล่าว “เจ้ายอมรับหนี้ที่ก่อนี้ให้บันทึกไว้ใต้นามของเจ้าไหม”

“ข้าไม่ยอมรับ” ฉินมู่กล่าวทันที

“บันทึกไว้ในนามของเขา” ภูติบดีบอกแก่ผู้นำทางความตาย “ไว้สะสางกับเขาในอนาคต”

ฉินมู่สีหน้ามืดดำทันที “หากว่าท่านจะจดไว้ในชื่อของข้า ทำไมต้องเสียเวลาถามข้าด้วย” แต่ถึงอย่างไร เมื่อภูติบดีบอกว่าจะสะสางกับเขาในอนาคต ก็มีความหวังจุดติดในหัวใจของเขาทันที

คำพูดของเขานั้นหมายความว่าภูติบดีต้องการเพียงสนทนาถึงต้นสายปลายเหตุกับเขาเท่านั้น แต่มิได้จะให้เขาชดใช้เสียเดี๋ยวนี้

ภูติบดีแมกม่าปิดสมุดเล่มหนาลง และก้มหัวลงมองฉินมู่ตัวเล็กๆ ตรงหน้าเขา “ทำไมเจ้าถึงทำลายความสงบของแดนใต้พิภพ และอัญเชิญดวงวิญญาณเหล่านั้นเข้าไปในโลกคนเป็น หรือเจ้าจำอะไรบางอย่างได้ มีภาพของแดนใต้พิภพวูบวาบในความทรงจำเจ้าหรือไม่”

ฉินมู่จ้องไปด้วยสายตาว่างเปล่า จากนั้นก็ส่ายหัว “ตอนที่ข้าถูกส่ง…เนรเทศออกไปจากแดนใต้พิภพ ข้าน่าจะอายุได้เพียงเดือนสองเดือนใช่ไหม แล้วข้าจะมีภาพของแดนใต้พิภพวูบวาบในความทรงจำได้อย่างไร ส่วนการอัญเชิญดวงวิญญาณในแดนลางร้าย ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำเช่นนั้น”

เขาบอกเล่าเหตุผลว่าทำไมเขาถึงร่ายเวทมนตร์นำทางวิญญาณ จากนั้นก็ยืนนิ่ง รอการลงโทษของเขาอย่างเงียบเชียบ

ภูติบดีแมกม่ายังคงจ้องเขาไม่ลดละ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ถาม “ไม่มีภาพใดๆ วูบวาบในจิตของเจ้าจริงๆน่ะหรือ เจ้าไม่ได้หวนระลึกอะไรได้หรือ”

ฉินมู่ส่ายหัว ถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าควรจะหวนระลึกอะไรได้ล่ะ”

“หากว่าเจ้าหวนระลึกอะไรไม่ได้ แล้วเจ้าเชี่ยวชาญภาษาแดนใต้พิภพได้อย่างไร” ภูติบดีแมกม่ายังคงจ้องเขาราวกับว่าจะมองเห็นเขาทะลุปรุโปร่ง ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวด้วยเสียงอันเนิ่นช้ากว่าเดิม “เชี่ยวชาญในภาษาแดนใต้พิภพจะทำให้เจ้าสามารถฝึกปรือมรรคา วิชา และทักษะเทวะของแดนใต้พิภพได้ เพื่อเปิดประตูไปสู่สมบัติเทวะของมรรคามาร เจ้าไม่สงสัยใคร่รู้หรอกหรือว่าทำไมเจ้าถึงสามารถเปิดสมบัติเทวะแห่งมรรคามารได้น่ะ”

“เผ่ามารเป็นทายาทของมารเทวะในแดนใต้พิภพ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเปิดสมบัติเทวะของมรรคามาร เจ้าไม่สงสัยหรอกหรือว่าทำไมเจ้าก็ทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน” ผู้เฒ่านำทางความตายถามจากข้างๆ เขา

“สงสัยสิ!” ฉินมู่มองไปที่ผู้เฒ่าด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ข้าเกิดสมบัติเทวะแห่งมรรคามาร พร้อมๆ กับสมบัติเทวะแห่งมรรคาเทพได้อย่างไร”

“นั่นก็เพราะว่าเจ้าเป็นทายาทของหมู่บ้านไร้กังวล และยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดในแดนใต้พิภพ…”

ขณะที่ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าวอยู่นั่นเอง ภูติบดีแมกม่าก็ขัดจังหวะเขา “เขาไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมดนั่น และพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เขาฟัง เขาถูกเรียกตัวมาเพื่อไต่สวน ไม่ใช่ให้เขามาแงะหาข้อเท็จจริงจากพวกเราแทน”

ผู้เฒ่านำทางความตายพลันสำเหนียกตนเอง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขาถึงกับสามารถแงะหาข้อเท็จจริงออกจากปากข้าได้ สีหน้าของไอ้เด็กนี่นี่มันน่าชังเสียเหลือเกิน เขาทำให้ข้าตกหลุมพรางของเขา”

ฉินมู่หน้าแดงและกล่าวด้วยความเขินอาย “ความอยากรู้อยากเห็นของข้าถูกราชันย์ขุนนางแหย่ ดังนั้นข้าจึงได้แต่ถามเช่นนั้น ข้าไม่ได้พยายามแงะง้างข้อเท็จจริงออกมาจากท่านทั้งสองเสียหน่อย ข้าเป็นเพียงแค่เด็กตัวน้อยๆ ที่เพิ่งอายุย่างสิบแปดปี…”

ผู้เฒ่านำทางความตายส่ายหัว “มองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเขากำลังโกหกอยู่”

ภูติบดีแมกม่าผงกหัวและกล่าว “นี่คือความกลอกกลิ้งที่่ได้มาในภายหลัง เขาเรียนรู้มันจากพวกคนเป็น มันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติสันดานของเขา แต่เป็นสิ่งที่ได้จากการฝึกฝน”

“ถ้าเช่นนั้น แค่ไหนที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง และแค่ไหนที่เป็นเรื่องเท็จ”

ภูติบดีแมกม่ารู้จักฉินมู่ถึงไส้ถึงพุง ดังนั้นเขาจึงกล่าว “ตอนที่เขาพูดถึงสาเหตุที่จะนำดวงวิญญาณหวนคืนไปยังแดนลางร้าย ทุกๆ คำนั้นเป็นความจริง หลังจากนั้น เขาดูเหมือนจะพูดมากมาย แต่จริงๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรเป็นเนื้อหาเลยสักอย่างเดียว ในทางกลับกัน เขาพยายามแงะง้างความจริงออกจากพวกเรา”

ผู้เฒ่านำทางความตายใคร่ครวญอย่างละเอียด และตระหนักว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

“ธรรมชาติสันดานของข้าไม่ได้เป็นแบบนี้ ข้าเพียงแต่ถูกผู้เฒ่าในหมู่บ้านเสี้ยมสอนเรื่องร้ายๆ ทำให้ข้ากลายเป็นแบบนี้ ข้าไม่มีภาพความทรงจำจากแดนใต้พิภพจริงๆ นะ”

“ประโยคนี้จริง” ภูติบดีแมกม่ากล่าว “เวทปิดผนึกยังอยู่ที่นั่น ดังนั้นจึงน่าจะเป็นความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับภาษาตื่นขึ้นมา เขาไม่ได้ย้อนระลึกได้ถึงสิ่งที่เขาเคยประสบ”

ด้วยเหงื่อที่หยดลงจากหน้าผาก ฉินมู่ถามหยั่ง “ข้าได้สังหารผู้คนมากมายในอดีต นั่นจะทำให้บาปข้าหนักหนาขึ้นไหม”

“ประโยคนี้เท็จ เขากำลังพยายามแงะง้างข้อมูล” ภูติบดีแมกม่ากล่าว “แต่ทว่า สิ่งที่เขาต้องการจะถามนั้นไม่ใช่ความลับ ดังนั้นเจ้าจะตอบเขาก็ได้”

“ทุกความชั่วร้ายที่ก่อก่อนตายก็จะถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันหลังความตาย แดนใต้พิภพไม่ใช่สถานที่พิพากษา แต่เป็นสถานที่ที่คนตายต้องมาอยู่ เว้นก็แต่ผู้นั้นมีบาปผิดอย่างร้อยแรง หรือทำลายความสงบของแดนใต้พิภพ พวกเขาก็ก็จะถูกภูติบดีจับกิน”

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก แต่ผู้เฒ่านำทางความตายยังคงพูดไม่จบ

“พวกที่มีบาปผิดร้ายแรงและพัวพันไปด้วยบาปหนา ก็จะถูกไฟกรรมแผดเผาอันเจ็บปวดสาหัสเป็นอย่างยิ่ง ภูติบดีกินพวกเขาเข้าไปเพื่อดูดซับบาปผิดและไฟกรรมของพวกเขา ผู้คนอย่างเจ้าที่ทำลายความสงบของแดนใต้พิภพ และไม่ปล่อยให้คนตายได้พักผ่อนอย่างสงบ ก็จะถูกภูติบดีจับกินเช่นกัน”

ฉินมู่กระสับกระส่ายอีกครั้ง ผู้เฒ่านำทางความตายมองไปที่สีหน้าของเขา จากนั้นเผยรอยยิ้มพึงพอใจ “แต่ถึงอย่างไร แดนใต้พิภพไม่ยุ่งเกี่ยวกับธุระของโลกแห่งคนเป็น เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นพวกเราไม่อาจลงมือจัดการเข้าได้ และจะต้องรอตอนที่เจ้าตายแล้วเท่านั้น”

“ราชันย์ขุนนาง เจ้าถูกสีหน้าของเขาหลอกลวงอีกแล้ว” ภูติบดีแมกม่ากล่าว

อึ้งสักพัก ผู้เฒ่านำทางความตายร้องออกมา “เจตนาที่แท้จริงของเขาก็คือจะถามข้าว่าเขาจะถูกลงโทษตอนนี้หรือไม่ ยากที่จะระวังป้องกันเขา–”

ภูติบดีแมกม่าผงกหัว และสายตาของเขาจับจ้องที่ใบหน้าฉินมู่อีกครั้ง เขากล่าว “อย่าเพิ่งพูดก่อน ให้ข้าถามเขา”

ฉินมู่ยืนสงบเสงี่ยม

ภูติบดีแมกม่ามองไปที่สีหน้าเรียบร้อยเชื่อฟังของเขาและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่พูดอะไร และเพียงแค่ยกนิ้วขึ้นมาอย่างแผ่วเบา จี้หยกบนคอของฉินมู่ลอยขึ้นมาอย่างเชื่องช้า และตกลงบนฝ่ามือของเขา

ภูติบดีแมกม่าเด็ดเอาเขายาวข้างหนึ่งบนหัวของเขาออกมา และแทงมันเข้าไปในจี้หยก เขายาวทั้งแท่งจมเข้าไปข้างใน และหายวับไปโดยไร้ร่องรอย

วงแหวนไฟแผ่กระจายออกมาจากจี้หยก ก่อนที่จะค่อยๆ จางหายไป

จี้หยกลอยขึ้นมา และกลับไปคล้องที่คอของฉินมู่อีกครั้ง เขาซ่อนมันเอาไว้ใต้เสื้อ เก็บมันไว้แนบชิดกาย

ภูติบดีแมกม่าโบกมือและกล่าว “ข้าต้องการดูผนึกบนจี้หยก ในเมื่อมันมั่นคงสถาวรดีแล้ว ส่งเขากลับไป พวกเราจะสะสางทุกอย่างกันอีกทีหลังจากที่เขาตาย”

ผู้เฒ่านำทางความตายรีบกล่าว “หลังจากที่เขาตาย ก็ไม่ใช่ว่าเขาก็ยังคงเป็น–”

ภูติบดีแมกม่าปรายตามองเขา และราชันย์ขุนนางใต้พิภพก็พลันจดจำได้ว่าเขาถูกสั่งห้ามพูดจา เขารีบเก็บประโยคที่เหลือเอาไว้ในคอ

ร่างกายของภูติบดีหมุนเป็นเกลียว และเสียงของเขาก็ดังมาจากแมกม่า “อย่าปล่อยให้ใครแตะต้องจี้หยกของเจ้า! ราชันย์ขุนนาง ตอนที่เจ้าส่งเขาออกไป อย่าพูดคุยกับเขา!”

“ภูติบดี ข้าอยากพบแม่ของข้า นั่นพอจะทำได้ไหม” ฉินมู่รีบถาม

ภูติบดีแมกม่าหายไปแล้ว

ฉินมู่ยืนอยู่ด้วยสีหน้าอันว่างเปล่า ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็กล่าว “ข้าก็แค่อยากจะพบกับแม่ของข้า ข้าไม่เคยเห็นนางมาก่อน…ราชันย์ขุนนาง ท่านรู้ไหมว่านางหน้าตาเป็นอย่างไร”

ผู้เฒ่านำทางความตายขบคิดอยู่ครู่หนึ่งและผงกหัว

ฉินมู่มองไปที่เขาด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง ผู้เฒ่านำทางความตายยุ่งยากใจเป็นอย่างยิ่ง และเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ภูติบดีสั่งข้าไม่ให้พูดกับเจ้า”

“ราชันย์ขุนนาง แม่ของข้ายังมีชีวิตอยู่ไหม” เขาถามด้วยความตื่นเต้น

ผู้นำทางความตายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของฉินมู่มันเค้นหัวใจของเขาเสียเหลือเกิน ดังนั้นเขาจึงได้แต่ผงกหัว “เลิกถามนั่นนี่ได้แล้ว ข้าลำบากใจจริงๆ ตอนนี้ข้าก็ได้ขัดคำสั่งภูติบดีไปแล้วที่ว่าห้ามพูดกับเจ้า ไป นี่ยังไม่ถึงช่วงกลางวันในสวรรค์ไท่หวง ข้าจะส่งเจ้ากลับไปยังโลกแห่งคนเป็น”

ฉินมู่จึงได้แต่ติดตามเขาและขึ้นเรือน้อย เขาหุบปากเงียบระหว่างทาง

เรือน้อยแล่นไปอย่างอ้อยอิ่ง พวกเขาออกไปจากแผ่นธรณีขาดเป็นชั้นๆ บนเขาของภูติบดี และเดินทางเข้าไปในความมืด

ร่างที่แท้จริงของภูติบดีใหญ่โตมโหฬาร ฉินมู่ไม่รู้ว่ามันใหญ่สักเท่าใด แต่ว่าเรือน้อยต้องใช้เวลานานสองนานถึงแล่นออกไปพ้นน้ำพุเหลืองเก้าบิดสองเส้นนั้น

ผู้เฒ่านำทางความตายคอยมองไปรอบๆ และเขาก็ยกตะเกียงขึ้นฉายส่องเป็นระยะๆ พักหนึ่ง เขาก็โยนยันต์เหลืองให้แก่ฉินมู่ “เจ้าพวกที่ตามหาตัวเจ้านั้นไม่มีทางยอมละทิ้งโอกาสนี้ แปะยันต์กระดาษเหลืองเอาไว้บนหน้าของเจ้า และก็จะไม่มีมารหรือเทพตนใดที่สามารถมองเห็นใบหน้าของเจ้าได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเห็นอะไรก็จะเป็นภาพเท็จไปทั้งหมด เหมือนกับที่ข้าเป็นอยู่ในขณะนี้”

ฉินมู่แปะยันต์กระดาษเหลือบนใบหน้าของเขาและไม่กระดุกกระดิก

“ทำไมเจ้ายังไม่เจาะรูตาล่ะ” ผู้เฒ่านำทางความตายถามด้วยความใคร่รู้

ฉินมู่ชืดชาไม่อยากขยับและพูดอย่างกระฟัดกระเฟียด “ไม่อยาก”

“เด็กน้อยทำเป็นโมโห”

ในตอนนั้นเอง เรือน้อยก็หยุดลง

ผู้เฒ่านำทางความตายลุกขึ้นยืนชูตะเกียงขึ้นมาและกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “พวกเจ้ายังไม่ล้มเลิกอีกหรือ”

“ราชันย์ขุนนางโปรดให้ทางถอยแก่พวกเราด้วย!” เสียงหนึ่งดังมาจากความมืด แต่เนื้อเสียงของมันเหมือนกับว่าเป็นเสียงมากมายที่หลอมรวมกันเป็นหนึ่ง “พวกเราต้องการเพียงแค่ใบหน้าและตัวตนของเขาในโลกแห่งคนเป็นเท่านั้น! พวกเราไม่ได้ต้องการชีวิตของเขาในตอนนี้!”

“พวกเจ้ายุ่มย่ามมากเกินไปแล้ว ถอยไปเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นหากว่าร่างจริงของข้าจุติลงมา แม้แต่ผีพวกเจ้าก็จะไม่ได้เป็น!” ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าวอย่างเย็นชา

บนเรือ ฉินมู่ลอบนำเอาบันทึกเป็นตายที่แย่งมาจากราชาหมอผีขุยและฉายส่องมันไปในความมืด ร่างของเขาสั่นเทิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อชื่อปรากฏขึ้นมาบนหน้ากระดาษ

“ฮี่ๆๆๆ เจ้าก็พลาดเผยไต๋ออกมาจนได้…” เสียงประหลาดพิลึกในความมืด เคลื่อนที่ห่างไปอย่างรวดเร็ว

ผู้เฒ่านำทางความตายหันไปมอง และสายตาของเขาจ้องจับไปที่บันทึกเป็นตายในมือของฉินมู่ เขาถอนหายใจและกล่าว “ตอนนี้เจ้าก็รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่เขาเองก็รู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า ที่เจ้าใช้นั้นคือบันทึกเป็นตายแห่งสภาสวรรค์ และมีพวกมันไม่กี่ชิ้นกระจายไปในจักรวาล เขาจะค้นหาตัวเจ้าเจอในไม่ช้า เจ้า…ดูแลตัวเองล่ะกัน!”

เพียงครู่หนึ่ง ฉินมู่ก็ตกตะลึง เขาเพิ่งจะรู้ว่าไต๋ที่เขาเผยนั้นคืออะไร

……………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเทพกู้จักรวาล 562 ยากจะระวังป้องกัน

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 562 ยากจะระวังป้องกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ดวงตาฉินมู่เบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหู และหัวใจเขาก็สั่นสะท้าน จี้หยกนี้ถึงกับหลอมสร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือของภูติบดี?

จี้หยกของเขาน่าจะเป็นของตระกูลฉิน และเขาก็ได้สวมใส่มันมาตั้งแต่ยังเล็กๆ ดังนั้นมันจะเป็นสิ่งที่ภูติบดีสร้างขึ้นมาได้อย่างไร

มีความเกี่ยวข้องอะไรระหว่างจี้หยกกับภูติบดี

หรือว่าเพราะเขาได้ก่อกรรมทำชั่วมากเกินไป จนภูติบดีต้องปิดผนึกเขาเอาไว้ด้วยจี้หยก

แต่ทว่า ในตอนนั้นเขาน่าจะยังเป็นเด็กแบเบาะ แล้วเขาจะสร้างกรรมชั่วชั่วมากมายขนาดนั้นได้อย่างไรกัน

เขาไม่มีความทรงจำเรื่องพวกนั้นเลย ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งในสันตินิรันดร์ และสวรรค์ไท่หวง ใครกันจะไม่รู้ว่าจ้าวลัทธิฉินมีนิสัยใจคออันสูงส่ง เปี่ยมเมตตา และมีจิตใจอันกว้างขวาง ดังนั้นเขาจะเคยทำเรื่องชั่วร้ายมาก่อนได้อย่างไร

“ผนึกน่าจะหลวมคลายจริงๆ” ภูติบดีแมกม่ายังพลิกสมุดดูต่อ “เคยมีเทพและมารจำนวนหนึ่งที่พยายามจะทำลายผนึก แต่พวกเขาทำไม่สำเร็จ แต่ทว่า ผนึกดูเหมือนจะคลายลงไป และแทบจะปล่อยเจ้าหลุดออกมา แต่ไม่เป็นไร ไว้ข้าจะเสริมความแกร่งให้กับมันในภายหลัง”

ความเร็วในการอ่านของเขาเร็วอย่างยิ่งยวด และไม่นานเขาก็อ่านเรื่องราวการก่อกรรมทำเข็ญของฉินมู่ทั้งหมด เมื่อเขามาถึงหน้าสุดท้าย ก็กล่าว “ในแดนลางร้ายแห่งสวรรค์ไท่หวง บุตรแห่งตระกูลฉิน ฉินเฟิงชิงได้ใช้นำทางวิญญาณเพื่อทำลายความสงบของแดนใต้พิภพ ช่วงชิงดวงวิญญาณสี่หมื่นแปดพันดวงออกไปด้วยกำลัง ทำร้ายผู้นำทางความตาย…”

“ใช้นำทางวิญญาณเพื่อช่วงชิงวิญญาณสี่หมื่นแปดพันดวงเป็นฝีมือของข้าจริงๆ แต่การทำร้ายผู้นำทางความตายไม่ใช่ฝีมือข้า มันเป็นการกระทำของเทพครองดาวเจ็ดสังหารเว่ยเหลียวต่างหาก ดังนั้นท่านไปตามนับกับเขาเถอะ”

ภูติบดีแมกม่าหันไปมองผู้เฒ่านำทางความตายและถาม “เป็นเทพครองดาวเจ็ดสังหารเว่ยเหลียวหรือที่ทำร้ายผู้นำทางความตาย”

“เคยมีนามของเทพครองดาวเจ็ดสังหารเว่ยเหลียวในบันทึกเป็นตาย แต่หลังจากที่เขาสิ้นชีวิตและดวงวิญญาณก็กระจัดกระจาย นามของเขาก็ถูกจำหน่ายออกไป ดังนั้นเขาจึงไม่อยู่ในการกำกับดูแลของแดนใต้พิภพ สาเหตุที่ดวงวิญญาณสี่หมื่นแปดพันดวงหลบหนีไปได้ หลักใหญ่ใจความก็เพราะฉินเฟิงชิงช่วยเทพครองดาวเจ็ดสังหารกอบกู้ดวงวิญญาณเขากลับมาและปะติดปะต่อเศษวิญญาณเข้าด้วยกัน เพราะอย่างนี้ หนี้ที่ทำร้ายผู้นำทางความตายจึงต้องบันทึกเอาไว้ในสมุดของฉินเฟิงชิง เพราะถึงอย่างไร เขาก็ยังมีชีวิตอยู่และมีรายนามอยู่ในบันทึกเป็นตาย” ผู้เฒ่านำทางความตายที่เป็นร่างแยกของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์กล่าว

ภูติบดีมองไปที่ฉินมู่และกล่าว “เจ้ายอมรับหนี้ที่ก่อนี้ให้บันทึกไว้ใต้นามของเจ้าไหม”

“ข้าไม่ยอมรับ” ฉินมู่กล่าวทันที

“บันทึกไว้ในนามของเขา” ภูติบดีบอกแก่ผู้นำทางความตาย “ไว้สะสางกับเขาในอนาคต”

ฉินมู่สีหน้ามืดดำทันที “หากว่าท่านจะจดไว้ในชื่อของข้า ทำไมต้องเสียเวลาถามข้าด้วย” แต่ถึงอย่างไร เมื่อภูติบดีบอกว่าจะสะสางกับเขาในอนาคต ก็มีความหวังจุดติดในหัวใจของเขาทันที

คำพูดของเขานั้นหมายความว่าภูติบดีต้องการเพียงสนทนาถึงต้นสายปลายเหตุกับเขาเท่านั้น แต่มิได้จะให้เขาชดใช้เสียเดี๋ยวนี้

ภูติบดีแมกม่าปิดสมุดเล่มหนาลง และก้มหัวลงมองฉินมู่ตัวเล็กๆ ตรงหน้าเขา “ทำไมเจ้าถึงทำลายความสงบของแดนใต้พิภพ และอัญเชิญดวงวิญญาณเหล่านั้นเข้าไปในโลกคนเป็น หรือเจ้าจำอะไรบางอย่างได้ มีภาพของแดนใต้พิภพวูบวาบในความทรงจำเจ้าหรือไม่”

ฉินมู่จ้องไปด้วยสายตาว่างเปล่า จากนั้นก็ส่ายหัว “ตอนที่ข้าถูกส่ง…เนรเทศออกไปจากแดนใต้พิภพ ข้าน่าจะอายุได้เพียงเดือนสองเดือนใช่ไหม แล้วข้าจะมีภาพของแดนใต้พิภพวูบวาบในความทรงจำได้อย่างไร ส่วนการอัญเชิญดวงวิญญาณในแดนลางร้าย ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำเช่นนั้น”

เขาบอกเล่าเหตุผลว่าทำไมเขาถึงร่ายเวทมนตร์นำทางวิญญาณ จากนั้นก็ยืนนิ่ง รอการลงโทษของเขาอย่างเงียบเชียบ

ภูติบดีแมกม่ายังคงจ้องเขาไม่ลดละ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ถาม “ไม่มีภาพใดๆ วูบวาบในจิตของเจ้าจริงๆน่ะหรือ เจ้าไม่ได้หวนระลึกอะไรได้หรือ”

ฉินมู่ส่ายหัว ถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าควรจะหวนระลึกอะไรได้ล่ะ”

“หากว่าเจ้าหวนระลึกอะไรไม่ได้ แล้วเจ้าเชี่ยวชาญภาษาแดนใต้พิภพได้อย่างไร” ภูติบดีแมกม่ายังคงจ้องเขาราวกับว่าจะมองเห็นเขาทะลุปรุโปร่ง ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวด้วยเสียงอันเนิ่นช้ากว่าเดิม “เชี่ยวชาญในภาษาแดนใต้พิภพจะทำให้เจ้าสามารถฝึกปรือมรรคา วิชา และทักษะเทวะของแดนใต้พิภพได้ เพื่อเปิดประตูไปสู่สมบัติเทวะของมรรคามาร เจ้าไม่สงสัยใคร่รู้หรอกหรือว่าทำไมเจ้าถึงสามารถเปิดสมบัติเทวะแห่งมรรคามารได้น่ะ”

“เผ่ามารเป็นทายาทของมารเทวะในแดนใต้พิภพ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเปิดสมบัติเทวะของมรรคามาร เจ้าไม่สงสัยหรอกหรือว่าทำไมเจ้าก็ทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน” ผู้เฒ่านำทางความตายถามจากข้างๆ เขา

“สงสัยสิ!” ฉินมู่มองไปที่ผู้เฒ่าด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ข้าเกิดสมบัติเทวะแห่งมรรคามาร พร้อมๆ กับสมบัติเทวะแห่งมรรคาเทพได้อย่างไร”

“นั่นก็เพราะว่าเจ้าเป็นทายาทของหมู่บ้านไร้กังวล และยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดในแดนใต้พิภพ…”

ขณะที่ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าวอยู่นั่นเอง ภูติบดีแมกม่าก็ขัดจังหวะเขา “เขาไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมดนั่น และพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เขาฟัง เขาถูกเรียกตัวมาเพื่อไต่สวน ไม่ใช่ให้เขามาแงะหาข้อเท็จจริงจากพวกเราแทน”

ผู้เฒ่านำทางความตายพลันสำเหนียกตนเอง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขาถึงกับสามารถแงะหาข้อเท็จจริงออกจากปากข้าได้ สีหน้าของไอ้เด็กนี่นี่มันน่าชังเสียเหลือเกิน เขาทำให้ข้าตกหลุมพรางของเขา”

ฉินมู่หน้าแดงและกล่าวด้วยความเขินอาย “ความอยากรู้อยากเห็นของข้าถูกราชันย์ขุนนางแหย่ ดังนั้นข้าจึงได้แต่ถามเช่นนั้น ข้าไม่ได้พยายามแงะง้างข้อเท็จจริงออกมาจากท่านทั้งสองเสียหน่อย ข้าเป็นเพียงแค่เด็กตัวน้อยๆ ที่เพิ่งอายุย่างสิบแปดปี…”

ผู้เฒ่านำทางความตายส่ายหัว “มองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเขากำลังโกหกอยู่”

ภูติบดีแมกม่าผงกหัวและกล่าว “นี่คือความกลอกกลิ้งที่่ได้มาในภายหลัง เขาเรียนรู้มันจากพวกคนเป็น มันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติสันดานของเขา แต่เป็นสิ่งที่ได้จากการฝึกฝน”

“ถ้าเช่นนั้น แค่ไหนที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง และแค่ไหนที่เป็นเรื่องเท็จ”

ภูติบดีแมกม่ารู้จักฉินมู่ถึงไส้ถึงพุง ดังนั้นเขาจึงกล่าว “ตอนที่เขาพูดถึงสาเหตุที่จะนำดวงวิญญาณหวนคืนไปยังแดนลางร้าย ทุกๆ คำนั้นเป็นความจริง หลังจากนั้น เขาดูเหมือนจะพูดมากมาย แต่จริงๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรเป็นเนื้อหาเลยสักอย่างเดียว ในทางกลับกัน เขาพยายามแงะง้างความจริงออกจากพวกเรา”

ผู้เฒ่านำทางความตายใคร่ครวญอย่างละเอียด และตระหนักว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

“ธรรมชาติสันดานของข้าไม่ได้เป็นแบบนี้ ข้าเพียงแต่ถูกผู้เฒ่าในหมู่บ้านเสี้ยมสอนเรื่องร้ายๆ ทำให้ข้ากลายเป็นแบบนี้ ข้าไม่มีภาพความทรงจำจากแดนใต้พิภพจริงๆ นะ”

“ประโยคนี้จริง” ภูติบดีแมกม่ากล่าว “เวทปิดผนึกยังอยู่ที่นั่น ดังนั้นจึงน่าจะเป็นความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับภาษาตื่นขึ้นมา เขาไม่ได้ย้อนระลึกได้ถึงสิ่งที่เขาเคยประสบ”

ด้วยเหงื่อที่หยดลงจากหน้าผาก ฉินมู่ถามหยั่ง “ข้าได้สังหารผู้คนมากมายในอดีต นั่นจะทำให้บาปข้าหนักหนาขึ้นไหม”

“ประโยคนี้เท็จ เขากำลังพยายามแงะง้างข้อมูล” ภูติบดีแมกม่ากล่าว “แต่ทว่า สิ่งที่เขาต้องการจะถามนั้นไม่ใช่ความลับ ดังนั้นเจ้าจะตอบเขาก็ได้”

“ทุกความชั่วร้ายที่ก่อก่อนตายก็จะถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันหลังความตาย แดนใต้พิภพไม่ใช่สถานที่พิพากษา แต่เป็นสถานที่ที่คนตายต้องมาอยู่ เว้นก็แต่ผู้นั้นมีบาปผิดอย่างร้อยแรง หรือทำลายความสงบของแดนใต้พิภพ พวกเขาก็ก็จะถูกภูติบดีจับกิน”

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก แต่ผู้เฒ่านำทางความตายยังคงพูดไม่จบ

“พวกที่มีบาปผิดร้ายแรงและพัวพันไปด้วยบาปหนา ก็จะถูกไฟกรรมแผดเผาอันเจ็บปวดสาหัสเป็นอย่างยิ่ง ภูติบดีกินพวกเขาเข้าไปเพื่อดูดซับบาปผิดและไฟกรรมของพวกเขา ผู้คนอย่างเจ้าที่ทำลายความสงบของแดนใต้พิภพ และไม่ปล่อยให้คนตายได้พักผ่อนอย่างสงบ ก็จะถูกภูติบดีจับกินเช่นกัน”

ฉินมู่กระสับกระส่ายอีกครั้ง ผู้เฒ่านำทางความตายมองไปที่สีหน้าของเขา จากนั้นเผยรอยยิ้มพึงพอใจ “แต่ถึงอย่างไร แดนใต้พิภพไม่ยุ่งเกี่ยวกับธุระของโลกแห่งคนเป็น เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นพวกเราไม่อาจลงมือจัดการเข้าได้ และจะต้องรอตอนที่เจ้าตายแล้วเท่านั้น”

“ราชันย์ขุนนาง เจ้าถูกสีหน้าของเขาหลอกลวงอีกแล้ว” ภูติบดีแมกม่ากล่าว

อึ้งสักพัก ผู้เฒ่านำทางความตายร้องออกมา “เจตนาที่แท้จริงของเขาก็คือจะถามข้าว่าเขาจะถูกลงโทษตอนนี้หรือไม่ ยากที่จะระวังป้องกันเขา–”

ภูติบดีแมกม่าผงกหัว และสายตาของเขาจับจ้องที่ใบหน้าฉินมู่อีกครั้ง เขากล่าว “อย่าเพิ่งพูดก่อน ให้ข้าถามเขา”

ฉินมู่ยืนสงบเสงี่ยม

ภูติบดีแมกม่ามองไปที่สีหน้าเรียบร้อยเชื่อฟังของเขาและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่พูดอะไร และเพียงแค่ยกนิ้วขึ้นมาอย่างแผ่วเบา จี้หยกบนคอของฉินมู่ลอยขึ้นมาอย่างเชื่องช้า และตกลงบนฝ่ามือของเขา

ภูติบดีแมกม่าเด็ดเอาเขายาวข้างหนึ่งบนหัวของเขาออกมา และแทงมันเข้าไปในจี้หยก เขายาวทั้งแท่งจมเข้าไปข้างใน และหายวับไปโดยไร้ร่องรอย

วงแหวนไฟแผ่กระจายออกมาจากจี้หยก ก่อนที่จะค่อยๆ จางหายไป

จี้หยกลอยขึ้นมา และกลับไปคล้องที่คอของฉินมู่อีกครั้ง เขาซ่อนมันเอาไว้ใต้เสื้อ เก็บมันไว้แนบชิดกาย

ภูติบดีแมกม่าโบกมือและกล่าว “ข้าต้องการดูผนึกบนจี้หยก ในเมื่อมันมั่นคงสถาวรดีแล้ว ส่งเขากลับไป พวกเราจะสะสางทุกอย่างกันอีกทีหลังจากที่เขาตาย”

ผู้เฒ่านำทางความตายรีบกล่าว “หลังจากที่เขาตาย ก็ไม่ใช่ว่าเขาก็ยังคงเป็น–”

ภูติบดีแมกม่าปรายตามองเขา และราชันย์ขุนนางใต้พิภพก็พลันจดจำได้ว่าเขาถูกสั่งห้ามพูดจา เขารีบเก็บประโยคที่เหลือเอาไว้ในคอ

ร่างกายของภูติบดีหมุนเป็นเกลียว และเสียงของเขาก็ดังมาจากแมกม่า “อย่าปล่อยให้ใครแตะต้องจี้หยกของเจ้า! ราชันย์ขุนนาง ตอนที่เจ้าส่งเขาออกไป อย่าพูดคุยกับเขา!”

“ภูติบดี ข้าอยากพบแม่ของข้า นั่นพอจะทำได้ไหม” ฉินมู่รีบถาม

ภูติบดีแมกม่าหายไปแล้ว

ฉินมู่ยืนอยู่ด้วยสีหน้าอันว่างเปล่า ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็กล่าว “ข้าก็แค่อยากจะพบกับแม่ของข้า ข้าไม่เคยเห็นนางมาก่อน…ราชันย์ขุนนาง ท่านรู้ไหมว่านางหน้าตาเป็นอย่างไร”

ผู้เฒ่านำทางความตายขบคิดอยู่ครู่หนึ่งและผงกหัว

ฉินมู่มองไปที่เขาด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง ผู้เฒ่านำทางความตายยุ่งยากใจเป็นอย่างยิ่ง และเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ภูติบดีสั่งข้าไม่ให้พูดกับเจ้า”

“ราชันย์ขุนนาง แม่ของข้ายังมีชีวิตอยู่ไหม” เขาถามด้วยความตื่นเต้น

ผู้นำทางความตายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของฉินมู่มันเค้นหัวใจของเขาเสียเหลือเกิน ดังนั้นเขาจึงได้แต่ผงกหัว “เลิกถามนั่นนี่ได้แล้ว ข้าลำบากใจจริงๆ ตอนนี้ข้าก็ได้ขัดคำสั่งภูติบดีไปแล้วที่ว่าห้ามพูดกับเจ้า ไป นี่ยังไม่ถึงช่วงกลางวันในสวรรค์ไท่หวง ข้าจะส่งเจ้ากลับไปยังโลกแห่งคนเป็น”

ฉินมู่จึงได้แต่ติดตามเขาและขึ้นเรือน้อย เขาหุบปากเงียบระหว่างทาง

เรือน้อยแล่นไปอย่างอ้อยอิ่ง พวกเขาออกไปจากแผ่นธรณีขาดเป็นชั้นๆ บนเขาของภูติบดี และเดินทางเข้าไปในความมืด

ร่างที่แท้จริงของภูติบดีใหญ่โตมโหฬาร ฉินมู่ไม่รู้ว่ามันใหญ่สักเท่าใด แต่ว่าเรือน้อยต้องใช้เวลานานสองนานถึงแล่นออกไปพ้นน้ำพุเหลืองเก้าบิดสองเส้นนั้น

ผู้เฒ่านำทางความตายคอยมองไปรอบๆ และเขาก็ยกตะเกียงขึ้นฉายส่องเป็นระยะๆ พักหนึ่ง เขาก็โยนยันต์เหลืองให้แก่ฉินมู่ “เจ้าพวกที่ตามหาตัวเจ้านั้นไม่มีทางยอมละทิ้งโอกาสนี้ แปะยันต์กระดาษเหลืองเอาไว้บนหน้าของเจ้า และก็จะไม่มีมารหรือเทพตนใดที่สามารถมองเห็นใบหน้าของเจ้าได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเห็นอะไรก็จะเป็นภาพเท็จไปทั้งหมด เหมือนกับที่ข้าเป็นอยู่ในขณะนี้”

ฉินมู่แปะยันต์กระดาษเหลือบนใบหน้าของเขาและไม่กระดุกกระดิก

“ทำไมเจ้ายังไม่เจาะรูตาล่ะ” ผู้เฒ่านำทางความตายถามด้วยความใคร่รู้

ฉินมู่ชืดชาไม่อยากขยับและพูดอย่างกระฟัดกระเฟียด “ไม่อยาก”

“เด็กน้อยทำเป็นโมโห”

ในตอนนั้นเอง เรือน้อยก็หยุดลง

ผู้เฒ่านำทางความตายลุกขึ้นยืนชูตะเกียงขึ้นมาและกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “พวกเจ้ายังไม่ล้มเลิกอีกหรือ”

“ราชันย์ขุนนางโปรดให้ทางถอยแก่พวกเราด้วย!” เสียงหนึ่งดังมาจากความมืด แต่เนื้อเสียงของมันเหมือนกับว่าเป็นเสียงมากมายที่หลอมรวมกันเป็นหนึ่ง “พวกเราต้องการเพียงแค่ใบหน้าและตัวตนของเขาในโลกแห่งคนเป็นเท่านั้น! พวกเราไม่ได้ต้องการชีวิตของเขาในตอนนี้!”

“พวกเจ้ายุ่มย่ามมากเกินไปแล้ว ถอยไปเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นหากว่าร่างจริงของข้าจุติลงมา แม้แต่ผีพวกเจ้าก็จะไม่ได้เป็น!” ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าวอย่างเย็นชา

บนเรือ ฉินมู่ลอบนำเอาบันทึกเป็นตายที่แย่งมาจากราชาหมอผีขุยและฉายส่องมันไปในความมืด ร่างของเขาสั่นเทิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อชื่อปรากฏขึ้นมาบนหน้ากระดาษ

“ฮี่ๆๆๆ เจ้าก็พลาดเผยไต๋ออกมาจนได้…” เสียงประหลาดพิลึกในความมืด เคลื่อนที่ห่างไปอย่างรวดเร็ว

ผู้เฒ่านำทางความตายหันไปมอง และสายตาของเขาจ้องจับไปที่บันทึกเป็นตายในมือของฉินมู่ เขาถอนหายใจและกล่าว “ตอนนี้เจ้าก็รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่เขาเองก็รู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า ที่เจ้าใช้นั้นคือบันทึกเป็นตายแห่งสภาสวรรค์ และมีพวกมันไม่กี่ชิ้นกระจายไปในจักรวาล เขาจะค้นหาตัวเจ้าเจอในไม่ช้า เจ้า…ดูแลตัวเองล่ะกัน!”

เพียงครู่หนึ่ง ฉินมู่ก็ตกตะลึง เขาเพิ่งจะรู้ว่าไต๋ที่เขาเผยนั้นคืออะไร

……………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+