ตำนานเทพกู้จักรวาล 609 เผือกร้อน

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 609 เผือกร้อน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สายตาของเจ๋อหัวหลีวูบวาบ เขาสำรวจดูหีบและพยายามจะเปิดมันออก แต่ทว่า รอยงับของมันถูกปิดผนึกเอาไว้แน่นหนา ไม่มีจุดที่จะใช้แงะกล่องออกมาได้ แม้ว่าเขาจะใช้ดาบมารของตนฟาดฟันมัน ก็ไม่อาจทิ้งรอยขีดข่วนเลยแม้แต่นิด

เหงื่อเย็นเยียบตกลงมาจากหน้าผากของเจ๋อหัวหลีเมื่อเขาทดลองทักษะเทวะทุกชนิดเพื่อทำลายผนึก เขาถึงกับใช้ทักษะเทวะมรรคามารที่ฟู่ยื่อลัวสอนให้เขา ลองเปิดกล่องดูหนหนึ่ง

เขาเงยศีรษะขึ้นและเห็นขนนกหงส์เพลิงร่วงพราวลงมาราวกับใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง แทนที่จะเป็นใบไม้เหี่ยวแห้ง มันเหมือนกับใบเมเปิ้ลสีแดงเลือด

ฉินมู่ขี่ฉีเจี่ยวอี๋อยู่บนอากาศและทึ้งถอนขน ทุบตีเขาจนกระทั่งตัวท่วมเลือด

ฉีเจี่ยวอี๋เองก็ดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะถูกฟันลงไปที่หัวทั้งเก้า แต่เขาก็บิดคอกลับมาเพื่อพ่นลำแสงปริศนาฟาดฟันใส่ฉินมู่

ฉินมู่เอาแต่เน้นซัดกำปั้นทุบตีเขา มีดเชือดหมู่บนหัวหงส์เพลิงพลันบินออกมา ทิ้งไว้แต่กระบี่บินเก้าเล่มที่ยังปักอยู่บนหัวของเขา

กระบี่บินเล่มอื่นๆ ร่ายรำกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ ก่อขึ้นมาเป็นภาพวาดของขุนเขาและแม่น้ำตรงหน้าฉินมู่ นี่ทำให้หัวทั้งเก้าพ่นลำแสงใส่เขาได้ตามสบาย แต่ภาพวาดนั้นไม่แตกทำลายไปแม้แต่น้อย

การทุบตีของฉินมู่นั้นไร้ปรานี เขาไม่เพียงแต่ใช้ทักษะเทวะกายเนื้อ แต่ยังใช้ทักษะเทวะอย่างมือหยินหยางพลิกสวรรค์ และระฆังห้าอัสนียกสวรรค์กับฉีเจี่ยวอี๋ ถึงกับมีดวงดาวหนับหมื่นปรากฏข้างหลังเขาเป็นระยะๆ เมื่อเขาร่ายรำพลังฝ่ามือหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา

ไม่ว่าทักษะเทวะใดก็เหมือนถูกภูเขาถูกแยกทำลาย และมันไม่ใช่เพียงแค่ทักษะเทวะแห่งมรรคาเทพ ฉินมู่ยังขับเคลื่อนทักษะเทวะประหลาดชั่วร้ายแห่งมรรคามารเป็นระยะ แม้ว่าพลานุภาพของมันจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับมรรคาเทพ แต่เพราะว่าฉินมู่ไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ในการร่ายมันออกมา และทักษะเทวะแห่งมรรคามารยังสามารถกัดกร่อนร่ายกายของฉีเจี่ยวอี๋ได้ มันกัดกร่อนกายเนื้อ กัดกร่อนจิตวิญญาณดั้งเดิม และทำให้ความต้านทานกายเนื้อของเขาลดลงไปอย่างมีนัยสำคัญ!

นี่คือประเด็นที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด

เจ๋อหัวหลีเห็นทั้งหมดนี้และตัวสั่นเทิ้มอย่างระงับไม่อยู่ หากว่าทักษะเทวะของฉินมู่กระทบร่างของเขา เนื้อหนังของเขาคงปริแตกและจิตวิญญาณดั้งเดิมก็คงจะถูกทำลายภายในไม่กี่ท่า กายเนื้อของเขาก็คงจะเละเป็นเนื้อบด!

“ขนาดถูกทุบตีขนาดนี้ ฉีเจี่ยวอี๋ก็ยังไม่ตายอีก เขาแข็งแกร่งกว่าข้าจริงๆ กายเนื้อของเขามีความสามารถในการซ่อมแซมตนเองอย่างประหลาด ทั้งยังทนทานได้นานกว่า แต่ทว่า ไม่นานเขาก็จะถูกฉินมู่กระทืบจนตาย! หากว่าฉีเจี่ยวอี๋ตาย และข้าก็ยังไม่สามารถเปิดกล่องนี้เพื่อนำมีดปริศนาประหารเทพออกมาได้ คนถัดไปที่ฉินมู่จะสังหารก็คงจะเป็น…”

เจ๋อหัวหลีสูดลมหายใจลึก และเหาะเหินขึ้นไปบนอากาศ เขาชักดาบมารจากหลังของตนและเขวี้ยงมันขึ้นไปบนท้องฟ้า ดาบมารพลันสั่นเทิ้ม และดวงตามารมหึมาก็ปรากฏอยู่ข้างหลังมัน

ด้วยการปรากฏของดวงตามารนี้ แสงมีดก็สาดส่องเข้าไปในดวงตา แสงมีดพลันพุ่งออกไปเต็มฟากฟ้า โถมซัดไปยังฉินมู่และฉีเจี่ยวอี๋

ดาบยาวของเขาทั้งไพศาลและแข็งแกร่ง เพลงมีดของเจ๋อหัวหลีแตกต่างไปจากเก้าวิชาดาบสวรรค์ของคนแล่เนื้อ เก้าวิชาดาบสวรรค์นั้นดำเนินไปแนวทางฝ่ายเที่ยงธรรม และไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการคำนวณ แต่ทว่ามันเสาะแสวงความยิ่งใหญ่ยืนยง ความเที่ยงแท้ และพลานุภาพอันไร้ขอบเขต แปรเปลี่ยนความเจิดจรัสของวีรบุรุษในบทกวีให้กลายเป็นแสงมีดเพื่อร่ายรำมันออกมา!

เพลงมีดของเจ๋อหัวหลีนั้นสืบทอดมาจากลั่วอู๋ชวงเสียเป็นส่วนใหญ่ อันเพลงมีดของเขานั้นเชี่ยวชาญด้านการคำนวณ มันค่อนข้างคล้ายคลึงกับกระบี่เต๋าแห่งสำนักเต๋า แต่ทว่า สำนักเต๋าใช้พีชคณิตเพื่อคำนวณเต๋าอันยิ่งใหญ่ ขณะที่เพลงมีดของดาบเทวะลั่วอู๋ชวงใช้หลักกฎเพื่อก่อตั้งเต๋าอันยิ่งใหญ่ขึ้นมา

นี่คือความแตกต่างที่มากที่สุดระหว่างสองเพลงอาวุธ

เจ๋อหัวหลียกมีดขึ้นมาและหัวเราะ “ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกเราลืมเรื่องที่ผ่านมาวันนี้กันเถอะ ให้ข้าช่วยคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างพวกเจ้าทั้งสอง พวกเราล้วนแต่อยู่ที่นี่ในต่างดาว ดังนั้นพวกเราควรจะร่วมมือกันและคิดหาหนทางออกไปจากที่นี่ ทำไมพวกเจ้าถึงต้องมาสู้กันด้วยล่ะ”

แม้ว่าเขาจะกล่าวเช่นนั้น แต่เพลงมีดของเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายความขัดแย้ง พลังส่วนใหญ่ของเพลงมีดจู่โจมไปยังฉินมู่ ขณะที่แสงมีดจำนวนน้อยพุ่งไปยังฉีเจี่ยวอี๋

เพราะถึงอย่างไร ฉีเจี่ยวอี๋ก็กำลังบาดเจ็บสาหัส หากว่าเขาเสริมมีดฟันไปอีกแรง ฉีเจี่ยวอี๋ก็คงไม่อาจทานทนได้ ในทางตรงข้าม ฉินมู่ยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ดังนั้นเขาจึงต้องซัดฉินมู่ให้คว่ำไปก่อน และบีบให้ฝ่ายนั้นล่าถอยไปเมื่อพบเจอความยุ่งยาก

เมื่อแสงมีดของเขาพุ่งเข้าไป ฉินมู่พลันยื่นมือออกเพื่อคว้าจับ ภาพวาดของภูเขาและแม่น้ำอันก่อขึ้นมาจากกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ พลันย่อหดลงไปในมือของเขาและแปรเปลี่ยนเป็นไจกระบี่

ฉินมู่สะบัดกระบี่ของตน จากไจกระบี่นั้น แสงกระบี่อันหนาเท่าถังน้ำก็ปรากฏ เสากระบี่เข้าไปปะทะกับดาบมารของเจ๋อหัวหลี ฉินมู่ถูกซัดกระแทกด้วยแรงปะทะนั้น เขากระเด็นหลุดออกไปจากบนหลังของฉีเจี่ยวอี๋

เขาใช้มหาทักษะเทวะมากมายอย่างซ้ำๆ และทักษะเทวะทั้งหมดก็กระจายไปทั่วราวพิรุณพร่างพรม เขาไม่มีปราณชีวิตเหลือมากนัก ดังนั้นจึงไม่อาจเผชิญหน้าเจ๋อหัวหลีได้

เจ๋อหัวหลีลอบทอดถอนใจเมื่อพบว่าเขาไม่อาจสังหารฉินมู่ด้วยดาบเดียวได้ เขาจึงเก็บแสงมีดอันเกลื่อนฟ้ากลับมา

แสงมีดนับหมื่นเข้ามารวมกันและแปรเปลี่ยนกลับเป็นดาบมารอันโบยบินกลับมา จากนั้นมันก็ปักเข้าไปในฝักดาบข้างหลังเจ๋อหัวหลี

เพราะถึงอย่างไร เจ๋อหัวหลีก็เพิ่งพ่ายแพ้ให้แก่ฉีเจี่ยวอี๋ และยังเต็มไปด้วยบาดแผล แม้ว่าพลังวัตรที่หลงเหลืออยู่ของเขาจะเข้มข้นกว่าฉินมู่ แต่หากว่าพวกเขาสู้กันจริงๆ เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะฉินมู่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าเขาสังหารฉินมู่ได้ เขาก็จะต้องเผชิญกับฉีเจี่ยวอี๋ตามลำพัง กำลังฝีมือของฉีเจี่ยวอี๋นั้นก็เหนือกว่าเขาด้วยเช่นกัน ไม่งั้นเขาคงไม่ถูกยัดเยียดความพ่ายแพ้ไปเมื่อก่อนหน้านี้หรอก

เจ๋อหัวหลีเก็บดาบและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกเรายังต้องพบเจอหน้ากันอีกนาน ดังนั้นทำไมพวกเจ้าไม่ต่างถอยกันคนละก้าวและเลิกรากันก่อนล่ะ”

ฉีเจี่ยวอี๋ร่วงลงกับพื้น และร่างกายของเขาก็สั่นเทิ้ม เขาร้องด้วยความเจ็บวด และค่อยๆ แปลงร่างกลับเป็นมนุษย์ ยังคงมีกระบี่เก้าเล่มที่ปักอยู่บนหัวของเขา เมื่อเก้าหัวของเขาหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง กระบี่เก้าเล่มก็ไม่หลอมรวมกันเลยแม้แต่น้อย พวกมันแทบจะตัดหัวเขาฉีกเป็นชิ้นๆ

ฉีเจี่ยวอี๋ดึงกระบี่พวกนั้นออกไปอย่างบ้าคลั่ง หลังของเขาโชกเลือดไปหมดและกระดูกเขาก็หักไปหลายท่อน ซี่โครงเขายุบไปหลายซี่ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ยืนตัวงอ

เดิมทีเขาเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาและสง่างาม แต่หลังจากถูกฉินมู่กระทืบในครั้งนี้ เขาก็ยิ่งน่าอนาถกว่าตอนที่ถูกฉินมู่กับเจ๋อหัวหลีรุมสกรัมในครั้งก่อน เขาไม่อาจเป็นต้นไม้หยกกลางสายลมได้อีกต่อไป

โชคยังดีว่า ความเร็วในการฟื้นฟูตนเองของเขาน่าแตกตื่น ตราบเท่าที่เขาไม่ตาย ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่

ฉินมู่เดินเข้าไป และทั้งสามคนยืนอยู่เป็นสามเหลี่ยม

ฉินมู่มองไปยังกระบี่บินเก้าเล่ม และถามอย่างหน้าชื่นตาบาน “กำลังฝีมือของพี่ฉีนั้นแข็งแกร่ง หากว่าเจ้าไม่ยืนกรานที่จะใช้กระจกมาตรึงข้าไว้กับที่ เจ้าก็คงไม่แพ้หรอก หากว่าพวกเราสู้กันอย่างหมายชีวิตจริงๆ มันก็คงจะมีโอกาสครึ่งต่อครึ่ง พี่ฉี ไม่ทราบว่าจะคืนกระบี่บินพวกนั้นให้ข้าได้หรือไม่”

ฉีเจี่ยวอี๋ยิ้มหยันขณะที่กำกระบี่เก้าเล่มแน่น “โอกาสครึ่งต่อครึ่ง? นี่เจ้าประเมินทักษะเทวะแห่งสภาสวรรค์ต่ำไปหรือเปล่า พี่ฉิน ไม่ทราบว่าจะคืนกระจกให้ข้าได้ไหมล่ะ”

“ไม่”

ฉินมู่โบกมือไล่และบอก “เจ้าเก็บกระบี่เก้าเล่มของข้าเอาไว้ก่อนได้ เดี๋ยวข้าค่อยเก็บคืนมาหลังจากสังหารเจ้าแล้ว ศิษย์พี่หลี ไม่ทราบว่าจะคืนกล่องเล็กนั้นให้ข้าได้หรือไม่ ข้าได้เสี่ยงชีวิตไปเอามันมา ทั้งสองคนได้ขวางประตูเอาไว้ด้วยทักษะเทวะ หากไม่ใช่เพราะข้ามีไหวพริบ ข้าก็คงจะตายไปแล้ว”

เจ๋อหัวหลีหัวเราะฝืดๆ และกล่าวอย่างเที่ยงธรรม “ศิษย์พี่ฉินค่อยเอามันคืนไปหลังจากสังหารข้าสิ”

“ข้าจะทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน” ฉินมู่มีใบหน้าเกลื่อนยิ้ม

ฉีเจี๋ยวอี๋เองก็จ้องไปยังกล่องเล็กในมือของเจ๋อหัวหลี สายตาของเจ๋อหัวหลีวูบวาบก่อนที่จะถามหยั่ง “ตัวตนของพี่ฉีนั้นเป็นน่าเลื่อมใสและศักดิ์ฐานะอาจารย์ของเจ้าก็สูงส่งเลิศล้ำในสภาสวรรค์ เจ้าน่าจะรู้วิธีการกระตุ้นให้กล่องนี่ทำงานสินะ เจ้าบอกข้าสักหน่อยได้หรือไม่”

ฉีเจี๋ยวอี๋ไออย่างรุนแรง และพ่นเอาเศษกระดูกแตกออกมา ร่างที่ก้มงอของเขาตรงขึ้นมาเล็กน้อย และรอยแผลกระบี่ที่ฉินมู่ฝากไว้บนหน้าผากของเขาก็ค่อยสมานเข้าหากัน นี่ทำให้ทั้งเจ๋อหัวหลีและฉินมู่กระวนกระวาย

ความเร็วในการฟื้นฟูตนเองของฉีเจี่ยวอี๋นั้นทรงพลังเกินไป เขานั้นไม่ต่างอะไรกับร่างอมตะฆ่าไม่ตาย ขนาดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสแบบนี้ยังสามารถฟื้นฟูได้รวดเร็วอีก

สาเหตุที่เขาพ่นเศษกระดูกแตกหักออกมา ก็เพราะว่ามีซี่โครงใหม่งอกเงยขึ้นมาในหน้าอก

ฉินมู่อิจฉาอย่างแรง ร่างอมตะเช่นนี้มีประโยชน์จริงๆ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่านี่เป็นผลจากวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิ หรือว่ามันเป็นพรสวรรค์แต่กำเนิดของเผ่าหงส์เพลิงเก้าหัว

หลังจากไอเสร็จฉีเจี่ยวอี๋ก็รู้สึกดีขึ้น และหอบหายใจอย่างรุนแรง “เอากล่องเล็กให้ข้าสิ ให้ข้าเปิดให้พวกเจ้า” เห็นได้ชัดว่า แม้บาดแผลของเขาจะเยียวยาได้อย่างรวดเร็ว แต่มันก็สร้างภาระหนักหนาแก่ร่างกาย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เหนื่อยอ่อนขนาดนี้

เจ๋อหัวหลีส่ายหัวและกล่าว “หลังจากที่กล่องเล็กนี้ตกในมือของเจ้า และเจ้าก็เปิดมันเพื่อเผยแสดงมีดปริศนาประหารเทพ ศีรษะของพี่ฉินและข้าก็คงหลุดออกจากบ่า”

ฉินมู่เสนอ “พี่หลี ทำไมเราไม่ทำแบบนี้ล่ะ ก่อนอื่นก็กำจัดพี่ฉีเสียก่อน แล้วพวกเราก็จะสามารถศึกษาวิธีการเปิดกล่องเล็กนี่ได้ ด้วยสติปัญญาของพวกเราสองคนร่วมแรงกัน จะต้องเปิดมันได้อย่างแน่นอน”

เจ๋อหัวหลีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าข้าเชื่อเจ้า ข้าก็คงเป็นไอ้งั่ง”

ทั้งสามคนคนประจันหน้ากันอย่างไม่ยอมใคร

ทันใดนั้น เสียงแหบแห้งก็ดังมาข้างหลังพวกเขา “พวกเจ้าเอาแต่สู้กันไปๆ มาๆ แต่เจ้าได้ถามข้า…เจ้าของเดิมของมันก่อนหรือไม่ จงคืนกล่องเล็กนี้ให้กับเจ้าของโดยชอบธรรม”

ฉินมู่และคนอื่นๆ สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เขารีบมองไปยังแหล่งที่มาของเสียง เขาเห็นชื่อซีผู้ซึ่งผอมแห้งราวก้านไม้ขีด เดินตรงมาทางพวกเขาด้วยขาที่ไม่ต่างจากไม้ฟืน เขาอยู่ไม่ไกลแล้ว!

เพรฌฆาตแห่งยุคสมัยแสงฉานผู้นี้มีสามหัวอันเหี่ยวซูบราวกับมะเขือเทศแห้งสีดำ เบ้าตาของเขาลึกโหล และลูกตาเขาก็เหมือนกับอินทผลัมที่ตากจนเหี่ยว

คอของเขาที่รองรับหัวทั้งสามก็ย่นยู่ ราวกับว่ามันไม่อาจรับน้ำหนักศีรษะได้

เขาตัวงอเหมือนกุ้งที่มีสามหัว แขนซ้ายสามข้างของเขาเกาะอยู่บนไม้เท้า เขาคงจะใช้ไม้แท่งนี้ค้ำยันร่างตัวเองมาที่นี่ด้วยความยากลำบาก

ฉินมู่และฉีเจี่ยวอี๋ต่อสู้กันอย่างดุเดือดที่นี่ และความเคลื่อนไหวก็มากมายเกินไป จึงไม่ยากที่ชื่อซีจะสามารถเสาะหาพวกเขาพบ แต่ทว่า ดูจากการที่เขายักแย่ยักยันมาบนไม้เท้าด้วยความยากลำบาก ก็ทำให้ผู้คนต้องนึกฉงนว่าเขากระเสือกกระสนมาถึงที่นี่ได้อย่างไร เพราะถึงอย่างไร ฉินมู่ก็ได้หลบหนีมาจากเขาเป็นเวลานานแล้ว ก่อนที่จะมาปะเข้ากับฉีเจี่ยวอี๋

ชื่อซีจะต้องมีกำลังฝีมืออันไม่ธรรมดา และนั่นจึงเป็นเหตุว่าแม้การเดินเหินของเขาจะยากลำบาก แต่เขาก็ยังคงสามารถใช้สอยพลังวัตรได้

เส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาบนหน้าผากฉินมู่ เขาพึมพำกับตนเองก่อนจะกล่าว “ฝนตกงั้นหรือ”

“ใช่แล้ว ฝนตก”

ชื่อซีมีท่าทีราวกับว่าเขาอาจจะล้มลงไปตายได้ทุกขณะ เขากล่าวอย่างอ่อนแรง “หลังจากที่เจ้าไปได้ไม่นาน ฝนก็ตกลงมา สวรรค์เมตตาข้า และในที่สุดข้าก็ได้ดื่มน้ำที่ไม่มียาพิษเจือปน”

ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับ ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีค่อยๆ ถอยไปแล้ว และทันใดพวกเขาทั้งสองก็หันกายวิ่งหนี

ตึง ตึง

ทั้งสองคนปะทะเข้ากับกำแพงล่องหนและกระเด็นกลับมา

ชื่อซีกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ในโลกนี้ไม่มีใครที่หลบรอดไปจากเงื้อมมือของข้าได้…ใช่ล่ะ เจ้าคือคนแรก เจ้าหลบหนีไปได้ ควรจะภูมิใจในตนเอง”

คนที่เขากล่าวถึงคือฉินมู่ และฉินมู่ก็ส่งยิ้มสัตย์ซื่อกลับไป

ทันใดนั้น เจ๋อหัวหลีก็โยนกล่องเล็กไปยังฉินมู่และตะโกน “พี่ฉิน ข้าจะคืนสมบัติล้ำค่าให้กับเจ้า! รักษาขุนเขาเขียวไว้ย่อมไม่กลัวไร้ฟืนไฟ!” เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็พุ่งไปและปะทะกับกำแพงล่องหนอีกครั้ง

เจ๋อหัวหลีจึงได้แต่หันกลับมาและยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเชื่อฟัง

อีกฟากหนึ่ง รอยยิ้มใสซื่อของฉินมู่แข็งค้าง เขาโยนกล่องที่เขาเพิ่งได้รับมาไปยังฉีเจี่ยวอี๋ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ฉี เจ้าเปิดกล่องนี่เป็น ดังนั้นกล่องนี่ก็เป็นของเจ้าล่ะ!”

“ก็แค่ศพแห้งจากยุคสมัยแสงฉาน ถึงกับกล้าท้าทายสภาสวรรค์ ข้าจะสังหารเขาเอง!”

ฉีเจี่ยวอี๋ยิ้มบางและนิ้วของเขาก็ขยับขึ้นๆ ลงๆ อักษรรูนไหลออกมาอย่างต่อเนื่องจากนิ้วทั้งสิบของเขา ขณะที่เขาพยายามเปิดกล่องออกมา

ผ่านไปสักพัก ใบหน้าของเขาก็ดำทะมึน เขาเปิดกล่องนี้ไม่ได้เลยสักนิด!

กล่องอันบรรจุมีดปริศนาประหารเทพในสภาสวรรค์เองก็มีเวทปิดผนึกเอาไว้ เขารู้การจัดเรียงอักษรรูนของเวทปิดผนึกดังกล่าว แต่ทว่าการจัดเรียงอักษรรูนที่ต้องใช้เพื่อเปิดกล่องนี้เห็นได้ชัดว่าแตกต่างจากอันที่อยู่ในสภาสวรรค์!

หางตาของฉีเจี่ยวอี๋กระตุก และเขามองไปยังฉินมู่ด้วยความสิ้นหวัง ฉินมู่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาตบปลายเท้ากับพื้นเบาๆ ขณะที่เสแสร้งชื่นชมก้อนเมฆบนท้องฟ้า

ฉีเจี่ยวอี๋มองไปที่เจ๋อหัวหลีด้วยความจนปัญญา เจ๋อหัวหลีมองไปที่เล็บมือของตนเองอย่างจริงจัง ก่อนจะกัดเล็บหัวแม่โป้งของตนเล่น

ฉีเจี่ยวอี๋มองไปยัง ‘ศพแห้ง’ สามเศียรหกกร ที่กำลังเดินตรงมายังเขา เขาพลันมีแรงบันดาลใจพลุ่งพล่าน จึงรีบคุกเข่าลงและเทิดกล่องขึ้นเหนือหัว “ผู้อาวุโส ไว้ชีวิตข้าด้วย!”

ชื่อซียิ้มหยัน เดินเข้ามาด้วยแข้งขาสั่นพั่บบนไม้เท้า “กล่องนี้ย่อมมีการจัดเรียงอักษรรูนของยุคสมัยแสงฉาน เมื่อเจ้าใช้อักษรรูนของสภาสวรรค์ที่ว่าๆ กันเพื่อไขมันออก นี่ไม่ใช่การสีซอให้ควายฟังหรอกหรือ พวกเจ้าไม่เล่นกล่องนี้อีกแล้วหรืออย่างไร ออกจะสนุกเมื่อเห็นพวกเจ้าทั้งหลายต่อสู้แย่งชิงกัน ทำต่อไปสิ”

ฉินมู่กะพริบตาปริบและมองไปยังเจ๋อหัวหลี

เจ๋อหัวหลีมองไปที่เขาและคิดในใจ เขาคงกำลังคิดเรื่องเดียวกัน หากว่าเขาจะคุกเข่าและวิงวอนขอชีวิต ข้าควรคุกเข่าด้วยหรือไม่

เขานั้นกำลังตัดสินใจไม่ถูก

ฉินมู่คิดในใจ ดูเหมือนว่าเจ๋อหัวหลีจะเป็นคู่อาฆาตของข้าอย่างแท้จริง ถึงกับคิดเรื่องเดียวกันกับข้า ไม่ว่าจะอย่างไร ชื่อซีก็จะปลิดชีวิตพวกเราทั้งหมดและใช้โลหิตของพวกเราเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายของเขา เจ๋อหัวหลีคงจะต้องคิดที่จะยอมหักไม่ยอมงอเหมือนอย่างข้าเป็นแน่

“งั้น ไม่มีใครต่อสู้แย่งกล่องนี้อีกแล้วหรือ”

ชื่อซียิ้มหยันและเดินเข้าไปด้วยไม้ค้ำ “ในเมื่อไม่มีใครต้องการ ข้าก็จะ–”

เสียงหนึ่งพลันดังออกมา “ข้าต้องการ!”

มือหนึ่งยื่นออก และหยิบกล่องเล็กออกจากมือของฉีเจี่ยวอี๋ไปอย่างนุ่มนวล

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเทพกู้จักรวาล 609 เผือกร้อน

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 609 เผือกร้อน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สายตาของเจ๋อหัวหลีวูบวาบ เขาสำรวจดูหีบและพยายามจะเปิดมันออก แต่ทว่า รอยงับของมันถูกปิดผนึกเอาไว้แน่นหนา ไม่มีจุดที่จะใช้แงะกล่องออกมาได้ แม้ว่าเขาจะใช้ดาบมารของตนฟาดฟันมัน ก็ไม่อาจทิ้งรอยขีดข่วนเลยแม้แต่นิด

เหงื่อเย็นเยียบตกลงมาจากหน้าผากของเจ๋อหัวหลีเมื่อเขาทดลองทักษะเทวะทุกชนิดเพื่อทำลายผนึก เขาถึงกับใช้ทักษะเทวะมรรคามารที่ฟู่ยื่อลัวสอนให้เขา ลองเปิดกล่องดูหนหนึ่ง

เขาเงยศีรษะขึ้นและเห็นขนนกหงส์เพลิงร่วงพราวลงมาราวกับใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง แทนที่จะเป็นใบไม้เหี่ยวแห้ง มันเหมือนกับใบเมเปิ้ลสีแดงเลือด

ฉินมู่ขี่ฉีเจี่ยวอี๋อยู่บนอากาศและทึ้งถอนขน ทุบตีเขาจนกระทั่งตัวท่วมเลือด

ฉีเจี่ยวอี๋เองก็ดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะถูกฟันลงไปที่หัวทั้งเก้า แต่เขาก็บิดคอกลับมาเพื่อพ่นลำแสงปริศนาฟาดฟันใส่ฉินมู่

ฉินมู่เอาแต่เน้นซัดกำปั้นทุบตีเขา มีดเชือดหมู่บนหัวหงส์เพลิงพลันบินออกมา ทิ้งไว้แต่กระบี่บินเก้าเล่มที่ยังปักอยู่บนหัวของเขา

กระบี่บินเล่มอื่นๆ ร่ายรำกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ ก่อขึ้นมาเป็นภาพวาดของขุนเขาและแม่น้ำตรงหน้าฉินมู่ นี่ทำให้หัวทั้งเก้าพ่นลำแสงใส่เขาได้ตามสบาย แต่ภาพวาดนั้นไม่แตกทำลายไปแม้แต่น้อย

การทุบตีของฉินมู่นั้นไร้ปรานี เขาไม่เพียงแต่ใช้ทักษะเทวะกายเนื้อ แต่ยังใช้ทักษะเทวะอย่างมือหยินหยางพลิกสวรรค์ และระฆังห้าอัสนียกสวรรค์กับฉีเจี่ยวอี๋ ถึงกับมีดวงดาวหนับหมื่นปรากฏข้างหลังเขาเป็นระยะๆ เมื่อเขาร่ายรำพลังฝ่ามือหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา

ไม่ว่าทักษะเทวะใดก็เหมือนถูกภูเขาถูกแยกทำลาย และมันไม่ใช่เพียงแค่ทักษะเทวะแห่งมรรคาเทพ ฉินมู่ยังขับเคลื่อนทักษะเทวะประหลาดชั่วร้ายแห่งมรรคามารเป็นระยะ แม้ว่าพลานุภาพของมันจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับมรรคาเทพ แต่เพราะว่าฉินมู่ไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ในการร่ายมันออกมา และทักษะเทวะแห่งมรรคามารยังสามารถกัดกร่อนร่ายกายของฉีเจี่ยวอี๋ได้ มันกัดกร่อนกายเนื้อ กัดกร่อนจิตวิญญาณดั้งเดิม และทำให้ความต้านทานกายเนื้อของเขาลดลงไปอย่างมีนัยสำคัญ!

นี่คือประเด็นที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด

เจ๋อหัวหลีเห็นทั้งหมดนี้และตัวสั่นเทิ้มอย่างระงับไม่อยู่ หากว่าทักษะเทวะของฉินมู่กระทบร่างของเขา เนื้อหนังของเขาคงปริแตกและจิตวิญญาณดั้งเดิมก็คงจะถูกทำลายภายในไม่กี่ท่า กายเนื้อของเขาก็คงจะเละเป็นเนื้อบด!

“ขนาดถูกทุบตีขนาดนี้ ฉีเจี่ยวอี๋ก็ยังไม่ตายอีก เขาแข็งแกร่งกว่าข้าจริงๆ กายเนื้อของเขามีความสามารถในการซ่อมแซมตนเองอย่างประหลาด ทั้งยังทนทานได้นานกว่า แต่ทว่า ไม่นานเขาก็จะถูกฉินมู่กระทืบจนตาย! หากว่าฉีเจี่ยวอี๋ตาย และข้าก็ยังไม่สามารถเปิดกล่องนี้เพื่อนำมีดปริศนาประหารเทพออกมาได้ คนถัดไปที่ฉินมู่จะสังหารก็คงจะเป็น…”

เจ๋อหัวหลีสูดลมหายใจลึก และเหาะเหินขึ้นไปบนอากาศ เขาชักดาบมารจากหลังของตนและเขวี้ยงมันขึ้นไปบนท้องฟ้า ดาบมารพลันสั่นเทิ้ม และดวงตามารมหึมาก็ปรากฏอยู่ข้างหลังมัน

ด้วยการปรากฏของดวงตามารนี้ แสงมีดก็สาดส่องเข้าไปในดวงตา แสงมีดพลันพุ่งออกไปเต็มฟากฟ้า โถมซัดไปยังฉินมู่และฉีเจี่ยวอี๋

ดาบยาวของเขาทั้งไพศาลและแข็งแกร่ง เพลงมีดของเจ๋อหัวหลีแตกต่างไปจากเก้าวิชาดาบสวรรค์ของคนแล่เนื้อ เก้าวิชาดาบสวรรค์นั้นดำเนินไปแนวทางฝ่ายเที่ยงธรรม และไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการคำนวณ แต่ทว่ามันเสาะแสวงความยิ่งใหญ่ยืนยง ความเที่ยงแท้ และพลานุภาพอันไร้ขอบเขต แปรเปลี่ยนความเจิดจรัสของวีรบุรุษในบทกวีให้กลายเป็นแสงมีดเพื่อร่ายรำมันออกมา!

เพลงมีดของเจ๋อหัวหลีนั้นสืบทอดมาจากลั่วอู๋ชวงเสียเป็นส่วนใหญ่ อันเพลงมีดของเขานั้นเชี่ยวชาญด้านการคำนวณ มันค่อนข้างคล้ายคลึงกับกระบี่เต๋าแห่งสำนักเต๋า แต่ทว่า สำนักเต๋าใช้พีชคณิตเพื่อคำนวณเต๋าอันยิ่งใหญ่ ขณะที่เพลงมีดของดาบเทวะลั่วอู๋ชวงใช้หลักกฎเพื่อก่อตั้งเต๋าอันยิ่งใหญ่ขึ้นมา

นี่คือความแตกต่างที่มากที่สุดระหว่างสองเพลงอาวุธ

เจ๋อหัวหลียกมีดขึ้นมาและหัวเราะ “ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกเราลืมเรื่องที่ผ่านมาวันนี้กันเถอะ ให้ข้าช่วยคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างพวกเจ้าทั้งสอง พวกเราล้วนแต่อยู่ที่นี่ในต่างดาว ดังนั้นพวกเราควรจะร่วมมือกันและคิดหาหนทางออกไปจากที่นี่ ทำไมพวกเจ้าถึงต้องมาสู้กันด้วยล่ะ”

แม้ว่าเขาจะกล่าวเช่นนั้น แต่เพลงมีดของเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายความขัดแย้ง พลังส่วนใหญ่ของเพลงมีดจู่โจมไปยังฉินมู่ ขณะที่แสงมีดจำนวนน้อยพุ่งไปยังฉีเจี่ยวอี๋

เพราะถึงอย่างไร ฉีเจี่ยวอี๋ก็กำลังบาดเจ็บสาหัส หากว่าเขาเสริมมีดฟันไปอีกแรง ฉีเจี่ยวอี๋ก็คงไม่อาจทานทนได้ ในทางตรงข้าม ฉินมู่ยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ดังนั้นเขาจึงต้องซัดฉินมู่ให้คว่ำไปก่อน และบีบให้ฝ่ายนั้นล่าถอยไปเมื่อพบเจอความยุ่งยาก

เมื่อแสงมีดของเขาพุ่งเข้าไป ฉินมู่พลันยื่นมือออกเพื่อคว้าจับ ภาพวาดของภูเขาและแม่น้ำอันก่อขึ้นมาจากกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ พลันย่อหดลงไปในมือของเขาและแปรเปลี่ยนเป็นไจกระบี่

ฉินมู่สะบัดกระบี่ของตน จากไจกระบี่นั้น แสงกระบี่อันหนาเท่าถังน้ำก็ปรากฏ เสากระบี่เข้าไปปะทะกับดาบมารของเจ๋อหัวหลี ฉินมู่ถูกซัดกระแทกด้วยแรงปะทะนั้น เขากระเด็นหลุดออกไปจากบนหลังของฉีเจี่ยวอี๋

เขาใช้มหาทักษะเทวะมากมายอย่างซ้ำๆ และทักษะเทวะทั้งหมดก็กระจายไปทั่วราวพิรุณพร่างพรม เขาไม่มีปราณชีวิตเหลือมากนัก ดังนั้นจึงไม่อาจเผชิญหน้าเจ๋อหัวหลีได้

เจ๋อหัวหลีลอบทอดถอนใจเมื่อพบว่าเขาไม่อาจสังหารฉินมู่ด้วยดาบเดียวได้ เขาจึงเก็บแสงมีดอันเกลื่อนฟ้ากลับมา

แสงมีดนับหมื่นเข้ามารวมกันและแปรเปลี่ยนกลับเป็นดาบมารอันโบยบินกลับมา จากนั้นมันก็ปักเข้าไปในฝักดาบข้างหลังเจ๋อหัวหลี

เพราะถึงอย่างไร เจ๋อหัวหลีก็เพิ่งพ่ายแพ้ให้แก่ฉีเจี่ยวอี๋ และยังเต็มไปด้วยบาดแผล แม้ว่าพลังวัตรที่หลงเหลืออยู่ของเขาจะเข้มข้นกว่าฉินมู่ แต่หากว่าพวกเขาสู้กันจริงๆ เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะฉินมู่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าเขาสังหารฉินมู่ได้ เขาก็จะต้องเผชิญกับฉีเจี่ยวอี๋ตามลำพัง กำลังฝีมือของฉีเจี่ยวอี๋นั้นก็เหนือกว่าเขาด้วยเช่นกัน ไม่งั้นเขาคงไม่ถูกยัดเยียดความพ่ายแพ้ไปเมื่อก่อนหน้านี้หรอก

เจ๋อหัวหลีเก็บดาบและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกเรายังต้องพบเจอหน้ากันอีกนาน ดังนั้นทำไมพวกเจ้าไม่ต่างถอยกันคนละก้าวและเลิกรากันก่อนล่ะ”

ฉีเจี่ยวอี๋ร่วงลงกับพื้น และร่างกายของเขาก็สั่นเทิ้ม เขาร้องด้วยความเจ็บวด และค่อยๆ แปลงร่างกลับเป็นมนุษย์ ยังคงมีกระบี่เก้าเล่มที่ปักอยู่บนหัวของเขา เมื่อเก้าหัวของเขาหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง กระบี่เก้าเล่มก็ไม่หลอมรวมกันเลยแม้แต่น้อย พวกมันแทบจะตัดหัวเขาฉีกเป็นชิ้นๆ

ฉีเจี่ยวอี๋ดึงกระบี่พวกนั้นออกไปอย่างบ้าคลั่ง หลังของเขาโชกเลือดไปหมดและกระดูกเขาก็หักไปหลายท่อน ซี่โครงเขายุบไปหลายซี่ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ยืนตัวงอ

เดิมทีเขาเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาและสง่างาม แต่หลังจากถูกฉินมู่กระทืบในครั้งนี้ เขาก็ยิ่งน่าอนาถกว่าตอนที่ถูกฉินมู่กับเจ๋อหัวหลีรุมสกรัมในครั้งก่อน เขาไม่อาจเป็นต้นไม้หยกกลางสายลมได้อีกต่อไป

โชคยังดีว่า ความเร็วในการฟื้นฟูตนเองของเขาน่าแตกตื่น ตราบเท่าที่เขาไม่ตาย ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่

ฉินมู่เดินเข้าไป และทั้งสามคนยืนอยู่เป็นสามเหลี่ยม

ฉินมู่มองไปยังกระบี่บินเก้าเล่ม และถามอย่างหน้าชื่นตาบาน “กำลังฝีมือของพี่ฉีนั้นแข็งแกร่ง หากว่าเจ้าไม่ยืนกรานที่จะใช้กระจกมาตรึงข้าไว้กับที่ เจ้าก็คงไม่แพ้หรอก หากว่าพวกเราสู้กันอย่างหมายชีวิตจริงๆ มันก็คงจะมีโอกาสครึ่งต่อครึ่ง พี่ฉี ไม่ทราบว่าจะคืนกระบี่บินพวกนั้นให้ข้าได้หรือไม่”

ฉีเจี่ยวอี๋ยิ้มหยันขณะที่กำกระบี่เก้าเล่มแน่น “โอกาสครึ่งต่อครึ่ง? นี่เจ้าประเมินทักษะเทวะแห่งสภาสวรรค์ต่ำไปหรือเปล่า พี่ฉิน ไม่ทราบว่าจะคืนกระจกให้ข้าได้ไหมล่ะ”

“ไม่”

ฉินมู่โบกมือไล่และบอก “เจ้าเก็บกระบี่เก้าเล่มของข้าเอาไว้ก่อนได้ เดี๋ยวข้าค่อยเก็บคืนมาหลังจากสังหารเจ้าแล้ว ศิษย์พี่หลี ไม่ทราบว่าจะคืนกล่องเล็กนั้นให้ข้าได้หรือไม่ ข้าได้เสี่ยงชีวิตไปเอามันมา ทั้งสองคนได้ขวางประตูเอาไว้ด้วยทักษะเทวะ หากไม่ใช่เพราะข้ามีไหวพริบ ข้าก็คงจะตายไปแล้ว”

เจ๋อหัวหลีหัวเราะฝืดๆ และกล่าวอย่างเที่ยงธรรม “ศิษย์พี่ฉินค่อยเอามันคืนไปหลังจากสังหารข้าสิ”

“ข้าจะทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน” ฉินมู่มีใบหน้าเกลื่อนยิ้ม

ฉีเจี๋ยวอี๋เองก็จ้องไปยังกล่องเล็กในมือของเจ๋อหัวหลี สายตาของเจ๋อหัวหลีวูบวาบก่อนที่จะถามหยั่ง “ตัวตนของพี่ฉีนั้นเป็นน่าเลื่อมใสและศักดิ์ฐานะอาจารย์ของเจ้าก็สูงส่งเลิศล้ำในสภาสวรรค์ เจ้าน่าจะรู้วิธีการกระตุ้นให้กล่องนี่ทำงานสินะ เจ้าบอกข้าสักหน่อยได้หรือไม่”

ฉีเจี๋ยวอี๋ไออย่างรุนแรง และพ่นเอาเศษกระดูกแตกออกมา ร่างที่ก้มงอของเขาตรงขึ้นมาเล็กน้อย และรอยแผลกระบี่ที่ฉินมู่ฝากไว้บนหน้าผากของเขาก็ค่อยสมานเข้าหากัน นี่ทำให้ทั้งเจ๋อหัวหลีและฉินมู่กระวนกระวาย

ความเร็วในการฟื้นฟูตนเองของฉีเจี่ยวอี๋นั้นทรงพลังเกินไป เขานั้นไม่ต่างอะไรกับร่างอมตะฆ่าไม่ตาย ขนาดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสแบบนี้ยังสามารถฟื้นฟูได้รวดเร็วอีก

สาเหตุที่เขาพ่นเศษกระดูกแตกหักออกมา ก็เพราะว่ามีซี่โครงใหม่งอกเงยขึ้นมาในหน้าอก

ฉินมู่อิจฉาอย่างแรง ร่างอมตะเช่นนี้มีประโยชน์จริงๆ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่านี่เป็นผลจากวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิ หรือว่ามันเป็นพรสวรรค์แต่กำเนิดของเผ่าหงส์เพลิงเก้าหัว

หลังจากไอเสร็จฉีเจี่ยวอี๋ก็รู้สึกดีขึ้น และหอบหายใจอย่างรุนแรง “เอากล่องเล็กให้ข้าสิ ให้ข้าเปิดให้พวกเจ้า” เห็นได้ชัดว่า แม้บาดแผลของเขาจะเยียวยาได้อย่างรวดเร็ว แต่มันก็สร้างภาระหนักหนาแก่ร่างกาย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เหนื่อยอ่อนขนาดนี้

เจ๋อหัวหลีส่ายหัวและกล่าว “หลังจากที่กล่องเล็กนี้ตกในมือของเจ้า และเจ้าก็เปิดมันเพื่อเผยแสดงมีดปริศนาประหารเทพ ศีรษะของพี่ฉินและข้าก็คงหลุดออกจากบ่า”

ฉินมู่เสนอ “พี่หลี ทำไมเราไม่ทำแบบนี้ล่ะ ก่อนอื่นก็กำจัดพี่ฉีเสียก่อน แล้วพวกเราก็จะสามารถศึกษาวิธีการเปิดกล่องเล็กนี่ได้ ด้วยสติปัญญาของพวกเราสองคนร่วมแรงกัน จะต้องเปิดมันได้อย่างแน่นอน”

เจ๋อหัวหลีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าข้าเชื่อเจ้า ข้าก็คงเป็นไอ้งั่ง”

ทั้งสามคนคนประจันหน้ากันอย่างไม่ยอมใคร

ทันใดนั้น เสียงแหบแห้งก็ดังมาข้างหลังพวกเขา “พวกเจ้าเอาแต่สู้กันไปๆ มาๆ แต่เจ้าได้ถามข้า…เจ้าของเดิมของมันก่อนหรือไม่ จงคืนกล่องเล็กนี้ให้กับเจ้าของโดยชอบธรรม”

ฉินมู่และคนอื่นๆ สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เขารีบมองไปยังแหล่งที่มาของเสียง เขาเห็นชื่อซีผู้ซึ่งผอมแห้งราวก้านไม้ขีด เดินตรงมาทางพวกเขาด้วยขาที่ไม่ต่างจากไม้ฟืน เขาอยู่ไม่ไกลแล้ว!

เพรฌฆาตแห่งยุคสมัยแสงฉานผู้นี้มีสามหัวอันเหี่ยวซูบราวกับมะเขือเทศแห้งสีดำ เบ้าตาของเขาลึกโหล และลูกตาเขาก็เหมือนกับอินทผลัมที่ตากจนเหี่ยว

คอของเขาที่รองรับหัวทั้งสามก็ย่นยู่ ราวกับว่ามันไม่อาจรับน้ำหนักศีรษะได้

เขาตัวงอเหมือนกุ้งที่มีสามหัว แขนซ้ายสามข้างของเขาเกาะอยู่บนไม้เท้า เขาคงจะใช้ไม้แท่งนี้ค้ำยันร่างตัวเองมาที่นี่ด้วยความยากลำบาก

ฉินมู่และฉีเจี่ยวอี๋ต่อสู้กันอย่างดุเดือดที่นี่ และความเคลื่อนไหวก็มากมายเกินไป จึงไม่ยากที่ชื่อซีจะสามารถเสาะหาพวกเขาพบ แต่ทว่า ดูจากการที่เขายักแย่ยักยันมาบนไม้เท้าด้วยความยากลำบาก ก็ทำให้ผู้คนต้องนึกฉงนว่าเขากระเสือกกระสนมาถึงที่นี่ได้อย่างไร เพราะถึงอย่างไร ฉินมู่ก็ได้หลบหนีมาจากเขาเป็นเวลานานแล้ว ก่อนที่จะมาปะเข้ากับฉีเจี่ยวอี๋

ชื่อซีจะต้องมีกำลังฝีมืออันไม่ธรรมดา และนั่นจึงเป็นเหตุว่าแม้การเดินเหินของเขาจะยากลำบาก แต่เขาก็ยังคงสามารถใช้สอยพลังวัตรได้

เส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาบนหน้าผากฉินมู่ เขาพึมพำกับตนเองก่อนจะกล่าว “ฝนตกงั้นหรือ”

“ใช่แล้ว ฝนตก”

ชื่อซีมีท่าทีราวกับว่าเขาอาจจะล้มลงไปตายได้ทุกขณะ เขากล่าวอย่างอ่อนแรง “หลังจากที่เจ้าไปได้ไม่นาน ฝนก็ตกลงมา สวรรค์เมตตาข้า และในที่สุดข้าก็ได้ดื่มน้ำที่ไม่มียาพิษเจือปน”

ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับ ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีค่อยๆ ถอยไปแล้ว และทันใดพวกเขาทั้งสองก็หันกายวิ่งหนี

ตึง ตึง

ทั้งสองคนปะทะเข้ากับกำแพงล่องหนและกระเด็นกลับมา

ชื่อซีกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ในโลกนี้ไม่มีใครที่หลบรอดไปจากเงื้อมมือของข้าได้…ใช่ล่ะ เจ้าคือคนแรก เจ้าหลบหนีไปได้ ควรจะภูมิใจในตนเอง”

คนที่เขากล่าวถึงคือฉินมู่ และฉินมู่ก็ส่งยิ้มสัตย์ซื่อกลับไป

ทันใดนั้น เจ๋อหัวหลีก็โยนกล่องเล็กไปยังฉินมู่และตะโกน “พี่ฉิน ข้าจะคืนสมบัติล้ำค่าให้กับเจ้า! รักษาขุนเขาเขียวไว้ย่อมไม่กลัวไร้ฟืนไฟ!” เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็พุ่งไปและปะทะกับกำแพงล่องหนอีกครั้ง

เจ๋อหัวหลีจึงได้แต่หันกลับมาและยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเชื่อฟัง

อีกฟากหนึ่ง รอยยิ้มใสซื่อของฉินมู่แข็งค้าง เขาโยนกล่องที่เขาเพิ่งได้รับมาไปยังฉีเจี่ยวอี๋ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ฉี เจ้าเปิดกล่องนี่เป็น ดังนั้นกล่องนี่ก็เป็นของเจ้าล่ะ!”

“ก็แค่ศพแห้งจากยุคสมัยแสงฉาน ถึงกับกล้าท้าทายสภาสวรรค์ ข้าจะสังหารเขาเอง!”

ฉีเจี่ยวอี๋ยิ้มบางและนิ้วของเขาก็ขยับขึ้นๆ ลงๆ อักษรรูนไหลออกมาอย่างต่อเนื่องจากนิ้วทั้งสิบของเขา ขณะที่เขาพยายามเปิดกล่องออกมา

ผ่านไปสักพัก ใบหน้าของเขาก็ดำทะมึน เขาเปิดกล่องนี้ไม่ได้เลยสักนิด!

กล่องอันบรรจุมีดปริศนาประหารเทพในสภาสวรรค์เองก็มีเวทปิดผนึกเอาไว้ เขารู้การจัดเรียงอักษรรูนของเวทปิดผนึกดังกล่าว แต่ทว่าการจัดเรียงอักษรรูนที่ต้องใช้เพื่อเปิดกล่องนี้เห็นได้ชัดว่าแตกต่างจากอันที่อยู่ในสภาสวรรค์!

หางตาของฉีเจี่ยวอี๋กระตุก และเขามองไปยังฉินมู่ด้วยความสิ้นหวัง ฉินมู่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาตบปลายเท้ากับพื้นเบาๆ ขณะที่เสแสร้งชื่นชมก้อนเมฆบนท้องฟ้า

ฉีเจี่ยวอี๋มองไปที่เจ๋อหัวหลีด้วยความจนปัญญา เจ๋อหัวหลีมองไปที่เล็บมือของตนเองอย่างจริงจัง ก่อนจะกัดเล็บหัวแม่โป้งของตนเล่น

ฉีเจี่ยวอี๋มองไปยัง ‘ศพแห้ง’ สามเศียรหกกร ที่กำลังเดินตรงมายังเขา เขาพลันมีแรงบันดาลใจพลุ่งพล่าน จึงรีบคุกเข่าลงและเทิดกล่องขึ้นเหนือหัว “ผู้อาวุโส ไว้ชีวิตข้าด้วย!”

ชื่อซียิ้มหยัน เดินเข้ามาด้วยแข้งขาสั่นพั่บบนไม้เท้า “กล่องนี้ย่อมมีการจัดเรียงอักษรรูนของยุคสมัยแสงฉาน เมื่อเจ้าใช้อักษรรูนของสภาสวรรค์ที่ว่าๆ กันเพื่อไขมันออก นี่ไม่ใช่การสีซอให้ควายฟังหรอกหรือ พวกเจ้าไม่เล่นกล่องนี้อีกแล้วหรืออย่างไร ออกจะสนุกเมื่อเห็นพวกเจ้าทั้งหลายต่อสู้แย่งชิงกัน ทำต่อไปสิ”

ฉินมู่กะพริบตาปริบและมองไปยังเจ๋อหัวหลี

เจ๋อหัวหลีมองไปที่เขาและคิดในใจ เขาคงกำลังคิดเรื่องเดียวกัน หากว่าเขาจะคุกเข่าและวิงวอนขอชีวิต ข้าควรคุกเข่าด้วยหรือไม่

เขานั้นกำลังตัดสินใจไม่ถูก

ฉินมู่คิดในใจ ดูเหมือนว่าเจ๋อหัวหลีจะเป็นคู่อาฆาตของข้าอย่างแท้จริง ถึงกับคิดเรื่องเดียวกันกับข้า ไม่ว่าจะอย่างไร ชื่อซีก็จะปลิดชีวิตพวกเราทั้งหมดและใช้โลหิตของพวกเราเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายของเขา เจ๋อหัวหลีคงจะต้องคิดที่จะยอมหักไม่ยอมงอเหมือนอย่างข้าเป็นแน่

“งั้น ไม่มีใครต่อสู้แย่งกล่องนี้อีกแล้วหรือ”

ชื่อซียิ้มหยันและเดินเข้าไปด้วยไม้ค้ำ “ในเมื่อไม่มีใครต้องการ ข้าก็จะ–”

เสียงหนึ่งพลันดังออกมา “ข้าต้องการ!”

มือหนึ่งยื่นออก และหยิบกล่องเล็กออกจากมือของฉีเจี่ยวอี๋ไปอย่างนุ่มนวล

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+