ตำนานเทพกู้จักรวาล 645 ทลายฝ่าพยุหะอีกาไฟ

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 645 ทลายฝ่าพยุหะอีกาไฟ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เรือเหาะใช้เวลากว่าสิบวันถึงจะแล่นพ้นแดนปริศนา ฉินมู่มองไปข้างหลังเขา และก็ยังมองไม่เห็นเรือนกายทั้งหมดของเทพสรรพชีวิตอยู่ดี เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง

ในตอนนั้นเอง เรือเหาะก็แล่นไปที่ขอบของดวงอาทิตย์ ฉินมู่มองไปยังดวงตะวันอันห่างออกไปดวงนี้ แม้ว่ามันจะห่างจากพวกเขาไปเป็นหลายร้อยหมื่นลี้ แต่ก็ดูใกล้ชิดเป็นอย่างยิ่ง

เปลวสุริยะพวยพุ่งออกมาจากดวงตะวัน และพวกมันก็ยาวร้อยหมื่นลี้ บ้างก็ดูเหมือนปีกนก และบ้างก็ดูเหมือนหูกลมๆ

เมื่อเข้าไปใกล้กับดวงอาทิตย์นี้ ฉินมู่ก็รู้สึกถึงรังสีประหลาดที่ออกมาจากคลื่นความร้อน ไม่ว่ารังสีนี้ไปโดนร่างเขาตรงไหน เขาก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับว่ามันแทงทะลุผ่านเขาไป

ในเวลาเดียวกันนั้น ลมสุริยะจากดวงตะวันก็ร้อนผ่าว หัวใจของเขาสะท้านหวั่นไหวเมื่อลมสุริยะพัดพุ่งมาด้วยความเร็วแทบคอหัก เขาจึงขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ เพื่อพยายามที่จะหยิบยืมลมและรังสีสุริยะในการขัดเกลาบ่มเพาะกายเนื้อ แสงรัศมีพุทธทุกสีสันสาดส่องข้างหลังศีรษะ พร้อมๆ กับรัศมีรูปมังกร เขาได้หลอมรวมแปดสุรเสียงมังกรบรรพกาลและเสียงพุทธเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว

ด้วยวิธีการฝึกปรือที่หลอมรวมมังกรและพุทธเจ้าเข้าเป็นหนึ่ง ผนวกกับพลานุภาพของลมและรังสีสุริยะ ความเร็วในการฝึกวิทยายุทธของเขาก็สูงลิ่วปานเทพยดา

เขาก็แค่ไม่อยากจะฝึกปรือเคล็ดลับศักดิ์สิทธิ์หฤทัยฟ้าดินของข้าเท่านั้น… กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกหดหู่

อีกฟากหนึ่ง หลิงอวี้จิวเห็นเช่นนี้ นางก็ขับเคลื่อนวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนา และใช้แปดสุรเสียงมังกรบรรพกาลเพื่อเคี่ยวกรำร่างกายบ้าง ถัดไปนั้น นางก็สกัดขัดขวางพลานุภาพของลมและรังสีสุริยะไปได้จำนวนหนึ่ง ส่วนผานกงสั่ว เขาขับเคลื่อนวิชาบู๊เทวะไม่รั่วไหลเพื่อบ่มเพาะกายเนื้อด้วยเช่นกัน

ส่วนชื่อซีนั้น เขาปรับแผนที่หมู่ดาวให้ถูกต้อง และยืมวงโคจรของดวงอาทิตย์ หลังจากที่เรือเหาะแล่นไปครึ่งรอบของดวงอาทิตย์ ชื่อซีก็ตั้งใบเรือขึ้น ใบเรือพลันพองขึ้นมาจากลมและรังสีสุริยะ เพิ่มพูนความเร็วของเรือเหาะอย่างฉับพลัน

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมอง และเขาเห็นว่าใบเรือทำขึ้นมาจากหนังของเทพเจ้า พวกมันก็ยังมีรอยประทับมากมายอยู่บนนั้น เมื่อรังสีสุริยะเข้าไปกระทบใบเรือ พวกมันก็พุ่งทะลุไปไม่ได้ และกลายเป็นผลักเพิ่มความเร็วให้กับเรือจนถึงขีดสุด

ไม่เพียงเท่านั้น เรือเหาะนั้นยังคงกระพือปีก และเพลิงไฟก็พวยพุ่งออกมาเพื่อเพิ่มพูนความเร็วเข้าอีกทบ!

ทันใดนั้นเอง ร่องรอยเพลิงมากกว่าสิบก็ปรากฏบนนภาประดับดาว เพลิงไฟในความมืดดูเหมือนจะเลือนราง และพวกมันก็เหมือนกับเส้นด้ายสีแดงที่พุ่งตรงไปยังดวงตะวัน

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมองไปยังเส้นสายสีแดงเหล่านั้นที่เข้าไปในดวงตะวัน และเขาก็ถามทันที “พี่ทางเต๋าชื่อซี เทพเจ้าแบบไหนกันที่สามารถเหาะตามเรือเหาะของเจ้าได้ทัน”

ชื่อซีมายังท้ายเรือและมองไปยังที่ไกลๆ “มีเทพหลายจำพวกที่สามารถตามเรือนี้ทันได้ ยกตัวอย่างเช่น เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งอย่างเผ่าหงส์เพลิง เผ่ามังกร และเผ่าหงส์แดง นอกจากนั้น เทพเจ้าบางพวกที่อยู่ใต้บัญชาของเทพครองดาวมหาตะวันก็ทำเช่นนั้นได้ ด้วยการหยิบยืมพลังของดวงอาทิตย์ในการพุ่งเหาะไปด้วยความเร็วมหากาฬ”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าว “ถ้าอย่างนั้น พวกที่กำลังมาน่าจะเป็นเทพเจ้าใต้บัญชาของเทพครองดาวมหาตะวัน ข้าสงสัยว่าเทพครองดาวมหาตะวันจะอยู่ท่ามกลางคนพวกนั้นหรือไม่”

หัวทั้งสามของชื่อซีจ้องเขม็งไปยังเส้นสีแดงที่มุดเข้าไปในดวงอาทิตย์ เขาพบว่าเส้นสีแดงเหล่านั้นเคลื่อนที่ไปยังอย่างรวดเร็วบนพื้นผิว และเปลวสุริยะอันน่าสะพรึงกลัวนั้นกลับเสริมส่งความเร็วของพวกเขาให้เร็วยิ่งขึ้นอีก!

“ไม่มีเทพครองดาวมหาตะวันอยู่ในบรรดาคนพวกนี้”

ชื่อซียกตึกแสงฉานสยบสวรรค์ของเขาขึ้นมาและยิ้มหยัน “หากว่าเทพครองดาวมหาตะวันอยู่ท่ามกลางเทพเจ้าพวกนี้ เขาก็คงจะขับเคลื่อนพลานุภาพของดวงอาทิตย์เพื่อโจมตีพวกเราไปแล้ว!”

ทั้งสองคนยืนอยู่ที่ท้ายเรือ และมองเห็นว่าความเร็วของเส้นสีแดงพวกนี้ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ชื่อซีมีสีหน้ากระวนกระวาย แต่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกนั้นสงบเยือกเย็น

ทันใดนั้น แสงสีแดงเส้นหนึ่งก็ยิงออกมาจากดวงอาทิตย์ และพุ่งตรงมายังเรือเหาะ

“ระวัง!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกตะโกน “เข้าไปซ่อนข้างใน และลั่นดาลประตูหน้าต่างเอาไว้!”

ฉินมู่รีบดึงหลิงอวี้จิวเข้าไปในห้องของเรือเหาะ และไม่ทันที่ผานกงสั่วจะได้เข้าไป ฉินมู่ก็ปิดประตูใส่หน้า

ผานกงสั่วยิ้มหยัน และร่างของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเงาที่เล็ดลอดผ่านรอยแยกของประตูเข้าไป

ในตอนนั้นเอง ก็มีเส้นสีแดงพุ่งมายังดวงอาทิตย์มากขึ้นอีก พวกมันดูราวกับสะเก็ดเพลิงสายยาว และในแต่ละเพลิงไฟ มีเทพเจ้าที่กำลังพุ่งทะยานเข้าไปในดวงตะวัน และวิ่งไปตามพื้นผิวของมันด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ!

ฉินมู่หมอบอยู่ข้างๆ หน้าต่าง เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะขับเคลื่อนวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้า เปิดไปตลอดทางจนถึงเนตรสวรรค์หยกเพื่อมองไปยังเส้นสีแดงอันไล่ล่าตามเรือมา เขาสามารถมองเห็นรูปเงารางๆ ของเทพเจ้าได้ และเห็นพวกเขาทั้งหลายลุกโหมด้วยเพลิงไฟ และมีขนนกสีแดงเพลิงปกคลุมตัว

เมื่อเทพเจ้าเหล่านั้นเหาะเข้ามาใกล้อีก เขาก็มองเห็นรูปลักษณ์อย่างชัดเจนได้ในที่สุด เทพเจ้าเหล่านั้นมีศีรษะอีกาดำยาวๆ และร่างกายของพวกเขาก็ห่อหุ้มไปด้วยเพลิงไฟที่ไหลเวียน แต่ละมือของพวกเขาถือขวดน้ำเต้ายักษ์เอาไว้ และกรงเล็บในขาทั้งสามของพวกเขาก็ขยุ้มคันธนูมา!

“พวกเขาเร็วกว่าท่านปู่เป๋มาก!”

ฉินมู่ตกตะลึง ไม่นานนัก เขาก็สังเกตพบว่าเทพเจ้าอีกาไฟเหล่านี้ไม่ได้รวดเร็วอย่างที่คิด แต่เป็นเพราะว่าในอวกาศนี้ไม่มีแรงต้านทานจากอากาศ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมีวิชาลับที่สามารถหยิบยืมพลานุภาพจากดวงอาทิตย์เพื่อเพิ่มพูนความเร็ว ดังนั้นมันจึงน่าแตกตื่นนัก

แต่ทว่า ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดก็คือว่ามีเทพเจ้าอีกาไฟมากมายเกินไป เดิมทีพวกเขามีแค่สิบกว่าตน แต่ในตอนนี้ มีเส้นสีแดงหลายพันเส้นที่กำลังพุ่งเหาะเข้าไปในดวงอาทิตย์!

เห็นได้ชัดว่าเทพอีกาไฟเหล่านี้มีวิธีการสื่อสารกันอย่างพิสดาร พวกเขานั้นกำลังส่งข่าวให้แก่สหายร่วมเผ่า ในทำให้มีเทพอีกาไฟพรั่งพรูเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด

เทพอีกาไฟหลายสิบตนข้างหน้านั้นจ่อเข้ามาใกล้เรืออย่างยิ่งแล้ว แต่พวกเขาก็ยังมาไม่ถึงระยะห่างที่สามารถจับเคลื่อนทักษะเทวะได้ อีกาไฟพวกนี้จึงชักลูกศรออกมาจากซองธนูและง้างคันธนูด้วยขาทั้งสาม ไม่กี่อึดใจ ลูกศรพวกนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงพวยพุ่ง!

อีกาไฟมีสามขาและสามกรงเล็บ ดังนั้นความเร็วในการง้างคันธนูจึงรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ แม้ว่าจะมีเทพอีกาไฟมากกว่าสิบตน แต่เทพเจ้าทุกคนก็สามารถยิงลูกศรออกมาได้หลายร้อยดอกภายในเสี้ยววินาที ในตอนนั้นเอง ลูกศรก็ถล่มลงมารวมกับฝูงตั๊กแตน!

ที่ท้ายเรือ เทพชื่อซียกตึกสยบสวรรค์ขึ้น สมบัติในแต่ละชั้นสาดส่องออกไปอย่างเจิดจ้า และเทพศาสตราทั้งหลายก็บินออกไปขัดขวางห่าฝนลูกศรนับร้อยหมื่น!

ในตอนนั้นเอง เทพอีกาไฟทั้งหลายก็เปิดน้ำเต้าแดงชาดของพวกเขา และเพลิงเทวะจากดวงตะวันก็พุ่งออกมาจากข้างในนั้น ยิงไปยังเรือเหาะ เพลิงเทวะโหมซัดจมเรือเหาะในเสี้ยววินาที

ชื่อซีคำราม และขว้างตึกสยบสวรรค์ขึ้นไป ตึกสยบสวรรค์พลันขยายใหญ่มหึมา และมันลอยอยู่บนอวกาศเหนือเรือเหาะ ภายใต้หลังคาชั้นตึก ระฆังใหญ่เริ่มส่งเสียงเหง่งหง่าง สั่นสะเทือนเพลิงเทวะ นี่ทำให้เพลิงเทวะเหล่านั้นเข้ามาใกล้เรือไม่ได้

เทพอีกาไฟฉวยโอกาสนี้ พุ่งทะยานเข้าไปในเรือ แต่ทันใดนั้นมีดเทวะหกเล่มก็ลอยออกมาจากตึกสยบสวรรค์ ชื่อซีควงมีดเทวะพลางเคลื่อนที่ไปรอบๆ เรือเหาะราวกับเหินบิน และภายในไม่ถึงอึดใจเดียว ศีรษะมากมายก็ร่วงกราวลงจากการสะบัดเหวี่ยงมีดของเขา

ในตอนนั้น เทพอีกาไฟหลายร้อยตนก็กระพือปีกบินเข้ามา ลูกศรยิ่งหนาแน่นขึ้นและหนาแน่นขึ้นเมื่อพวกเขายิงออกไปโดยพร้อมเพรียงกัน ชื่อซีขับเคลื่อนตึกสยบสวรรค์อีกครั้ง แต่เทพศาสตราหลายชิ้นถูกยิงจนร่วงตกลงกับดาดฟ้าเรือ

พลานุภาพของตึกสยบสวรรค์ถูกลดทอนไปอย่างมาก แม้ว่ามันจะเป็นสมบัติอันเหนือธรรมดาที่ใช้สะกดวังสวรรค์ แต่วรยุทธของชื่อซีนั้นยังไม่เพียงพอที่จะปลดปล่อยพลานุภาพอันแท้จริงของสมบัติชิ้นนี้

เทพอีกาไฟหลายร้อยตนเปิดขวดน้ำเต้า และเพลิงเทวะมากมายก็พวยพุ่งมา ข้างหลังเพลิงไฟ มีเทพเจ้าอีกาไฟอีกหลายพันที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

บรรพชนแรกขมวดคิ้ว เทพอีกาไฟพวกนี้กำลังใช้พยุหะกระบวนทัพที่ใช้ในสงคราม ในเมื่อชื่อซีเป็นเพียงเพชฌฆาตแห่งยุคสมัยแสงฉาย เขาจึงไม่มีประสบการณ์ในการรับมือกับพยุหะศึก ก็เพราะว่าเขาไม่เคยไปยังสนามรบมาก่อน

อีกด้านหนึ่ง บรรพชนแรกนั้นเป็นทหารหนีทัพ แม้ว่าเขาจะเคยเรียนวิธีการรับมือกับพยุหะศึก แต่เขาก็ไม่เคยใช้วิธีการพวกนี้มาก่อน เขาก็ไม่มีประสบการณ์เช่นกัน

เมื่อต้องเผชิญกับพยุหะศึกของเทพอีกาไฟ ทั้งสองคนต่างก็ทำอะไรไม่ถูก

เทพอีกาไฟกลุ่มหนึ่งระดมยิงธนูก่อนที่พวกเขาจะจุดไฟเผาเรือ ไม่นานชื่อซีก็เริ่มเหนื่อยล้าจากการพยายามป้องกันทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมๆ กัน ขณะที่เขาพยายามจะสกัดการโจมตีจากเทพอีกาไฟฝั่งหนึ่ง เทพอีกาไฟอีกฝั่งหนึ่งก็เริ่มโจมตีกราบเรือ มีเทพอีกาไฟมากมายที่มายังหางเรือ และคว้าจับเรือเพื่อชักลากถอยหลัง หมายที่จะดึงเรือไป

บางพวกก็ไปยังเสากระโดงและพยายามจะหักโค่นพวกมัน

เทพชื่อซีลนลานอย่างที่สุด และเขาก็ตะโกนไป “สหายเต๋า นี่มันคือพยุหะอีกาไฟ ข้าทลายฝ่าไปไม่ได้ มาช่วยข้า!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกจนปัญญาอย่างแท้จริง เขาก็ไม่เคยเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน

กองกำลังอีกาไฟที่มีมากมายหลายพันได้ทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรเอาไปต่อกรกับพวกนั้นได้ และเรือเหาะจะต้องถูกทำลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!

ฉินมู่เปิดหน้าต่างและตะโกน “บรรพชนแรก มุทราฟ้าและดิน หมุนสวรรค์ผันดินหฤทัยไม่เปลี่ยนแปลง!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกได้สติกลับมาทันที และมือของเขาก็ไขว้กันเพื่อขับเคลื่อนวิชามุทราฟ้าและดินของตน ห้วงอวกาศเคลื่อนสลับในทันที และเมื่อมุทราของเขาระเบิดออกไป ทั้งเรือเหาะก็กลายเป็นฟ้าและดิน บางครั้ง ฟ้าก็อยู่เบื้องบนและดินอยู่ต่ำใต้ ขณะที่บางทีฟ้าก็อยู่ต่ำใต้และดินก็อยู่เบื้องบน เดิมทีความเร็วของอีกาไฟทั้งหลายนั้นท่วมท้นยิ่งนัก และไม่มีใครหาโอกาสโจมตีพวกมันได้ แต่ตอนนี้เทพอีกาไฟทั้งหมดถูกตรึงเอาไว้ในห้วงอวกาศ พวกมันร่วงลงไปทุกหนทุกแห่ง อีกาไฟจำนวนหนึ่งหมุนวนไปอย่างไม่รู้จบ และเรือเหาะก็สลัดหลุดออกมา

เทพชื่อซีเวียนหัวจากการถูกเหวี่ยงหวือไปรอบๆ และเขาก็กอดเสากระโดงเอาไว้ด้วยความตื่นตระหนก

ฉินมู่ตะโกน “ขึ้นไปบนเสากระโดง!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกระโดดขึ้นไปเหยียบบนเสากระโดงด้วยขาข้างเดียว

เสียงของฉินมู่ดังมาจากห้องในเรือ “ตะวันกระหวัดรอบสวรรค์ไม่รู้จบ!”

กษัตริย์มนุษย์ขับเคลื่อนกระบวนท่านี้จากมุทราฟ้าและดินทันที ทันใดนั้น ห้วงอวกาศก็หมุนไป และพลานุภาพของวิชามุทราของเขาก็เคลื่อนขยับเทพอีกาไฟจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันพยายามจะทรงตัวให้ดี แต่ก็ถูกฉีกแยกออกจากกันด้วยพลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้พวกมันร้องกาๆ ดังลั่น

หอบอีกาไฟกลุ่มใหญ่ก่อขึ้นมารอบๆ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก และพวกมันหมุนวนไปอย่างดุเดือดรอบตัวเขา

“อะไรต่อ” กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกถามด้วยเสียงอันดัง

“หงส์เพลิงวสันต์กำสรดฟ้าดินพังภินท์!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกทำตามคำแนะนำของฉินมู่ และขับเคลื่อนมุทรานี้ ฟ้าถล่มลงมา และดินก็ทลายยุบลงไป สนามพลังอันน่าสะพรึงกลัวได้ถล่มยุบเข้ามายังฝ่ามือนี้ และพลังฝ่ามือของเขาก็เคลื่อนขยับเทพอีกาไฟอันเกลื่อนฟ้า พวกมันชนเข้าด้วยกันกลางอากาศ และกองสุมกันเป็นลูกกลมขนาดใหญ่

“เปิดแดนพิสุทธิ์ด้วยผังแปดทิศและฟ้าดิน กำหนดห้าธาตุแห่งดินน้ำลมไฟ”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกขับเคลื่อนวิชามุทราทั้งสองกระบวนท่านี้โดยไม่คิด ด้วยสองมุทราในสี่ฝ่ามือ ผังแปดทิศและผังฟ้าดินก็บดขยี้ลูกกลมเลือดเนื้อที่ก่อขึ้นมาจากเทพอีกาไฟเป็นพันๆ ตน หลังจากนั้น ดิน น้ำ ลม และไฟ ก็ปะทุขึ้นมาและพลานุภาพของธาตุทั้งห้าก็สะบั้นกระดูกและเส้นเอ็นของอีกาไฟจำนวนนับไม่ถ้วน ร่างของพวกมันถูกสั่นสะเทือนเป็นชิ้นๆ บดขยี้เป็นชิ้นๆ เฉือนตัดเป็นชิ้นๆ และเผาให้เป็นเถ้าถ่าน ผ่านไปจังหวะหนึ่ง หอบลมก็เป่ามา เปลี่ยนเถ้าถ่านอีกาไฟทั้งหลายให้เป็นฝุ่นผงอันลอยไหลเป็นทางจากหางเรือ

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาแทบไม่เชื่อสิ่งที่เขาได้ทำลงไป “ข้าทลายฝ่าพยุหะ?”

ในตอนนั้นเอง เสียงตื่นตระหนกของหลิงอวี้จิวและผานกงสั่วก็ดังมาจากห้องในเรือ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกสะดุ้งและเขารีบกระโดดลงไปจากเสากระโดง จากนั้นเขาก็เห็นเทพอีกาไฟตนหนึ่งหลบรอดไปจากมุทราฟ้าและดินของเขา มุดเข้าไปในหน้าต่างห้องเรือ

เมื่อฉินมู่ชี้แนะเขาในการทลายฝ่าพยุหะศึก เขาก็ได้เปิดหน้าต่าง เทพอีกาไฟตนนี้จะต้องอาศัยจังหวะดังกล่าวเพื่อเล็ดลอดเข้าไป หมายที่จะลงมือกับฉินมู่และคนอื่นๆ!

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกรีบรุดไปทางพวกเขา แต่ไม่ทันที่เขาจะไปถึงหน้าต่าง สองสายของแสงโลหิตก็พวยพุ่งออกมาจากข้างใน เส้นสายแสงโลหิตนี้มีกลิ่นอายเข่นฆ่าอันน่าสยดสยองเกินจะปานเปรียบ บรรพชนแรกถอยออกไปอย่างเร่งร้อน เทพอีกาไฟในห้องเรือถูกสะบั้นศีรษะ!

ฉินมู่ยืนอยู่ที่นั่นอย่างใจลอย ถือกล่องเล็กในมือ เขาดูเหมือนจะตกตะลึงกับพลานุภาพของมีดปริศนาประหารเทพ

บรรพชนแรกกระโดดเข้าไป เขาแตะดูเนื้อตัวของอีกฝ่ายไปทุกแห่งและถามด้วยความกังวล “มันโจมตีเจ้ากลับไป? หัวของเจ้าถูกตัดออกหรือเปล่า”

เขานั้นยกนิ้วขึ้นมาอย่างตื่นกลัว เขาหมายจะผลักศีรษะของฉินมู่ดู แต่ก็กลัวว่าถ้าผลักเบาๆ จะทำให้ศีรษะของฉินมู่ร่วงลงจากบ่า

ทันใดนั้น ฉินมู่ก็ผลักมือของเขาออกไป และร้องชม “กล่องทรงพลังอะไรอย่างนี้! มีดร้ายกาจอะไรอย่างนี้!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเทพกู้จักรวาล 645 ทลายฝ่าพยุหะอีกาไฟ

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 645 ทลายฝ่าพยุหะอีกาไฟ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เรือเหาะใช้เวลากว่าสิบวันถึงจะแล่นพ้นแดนปริศนา ฉินมู่มองไปข้างหลังเขา และก็ยังมองไม่เห็นเรือนกายทั้งหมดของเทพสรรพชีวิตอยู่ดี เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง

ในตอนนั้นเอง เรือเหาะก็แล่นไปที่ขอบของดวงอาทิตย์ ฉินมู่มองไปยังดวงตะวันอันห่างออกไปดวงนี้ แม้ว่ามันจะห่างจากพวกเขาไปเป็นหลายร้อยหมื่นลี้ แต่ก็ดูใกล้ชิดเป็นอย่างยิ่ง

เปลวสุริยะพวยพุ่งออกมาจากดวงตะวัน และพวกมันก็ยาวร้อยหมื่นลี้ บ้างก็ดูเหมือนปีกนก และบ้างก็ดูเหมือนหูกลมๆ

เมื่อเข้าไปใกล้กับดวงอาทิตย์นี้ ฉินมู่ก็รู้สึกถึงรังสีประหลาดที่ออกมาจากคลื่นความร้อน ไม่ว่ารังสีนี้ไปโดนร่างเขาตรงไหน เขาก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับว่ามันแทงทะลุผ่านเขาไป

ในเวลาเดียวกันนั้น ลมสุริยะจากดวงตะวันก็ร้อนผ่าว หัวใจของเขาสะท้านหวั่นไหวเมื่อลมสุริยะพัดพุ่งมาด้วยความเร็วแทบคอหัก เขาจึงขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ เพื่อพยายามที่จะหยิบยืมลมและรังสีสุริยะในการขัดเกลาบ่มเพาะกายเนื้อ แสงรัศมีพุทธทุกสีสันสาดส่องข้างหลังศีรษะ พร้อมๆ กับรัศมีรูปมังกร เขาได้หลอมรวมแปดสุรเสียงมังกรบรรพกาลและเสียงพุทธเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว

ด้วยวิธีการฝึกปรือที่หลอมรวมมังกรและพุทธเจ้าเข้าเป็นหนึ่ง ผนวกกับพลานุภาพของลมและรังสีสุริยะ ความเร็วในการฝึกวิทยายุทธของเขาก็สูงลิ่วปานเทพยดา

เขาก็แค่ไม่อยากจะฝึกปรือเคล็ดลับศักดิ์สิทธิ์หฤทัยฟ้าดินของข้าเท่านั้น… กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกหดหู่

อีกฟากหนึ่ง หลิงอวี้จิวเห็นเช่นนี้ นางก็ขับเคลื่อนวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนา และใช้แปดสุรเสียงมังกรบรรพกาลเพื่อเคี่ยวกรำร่างกายบ้าง ถัดไปนั้น นางก็สกัดขัดขวางพลานุภาพของลมและรังสีสุริยะไปได้จำนวนหนึ่ง ส่วนผานกงสั่ว เขาขับเคลื่อนวิชาบู๊เทวะไม่รั่วไหลเพื่อบ่มเพาะกายเนื้อด้วยเช่นกัน

ส่วนชื่อซีนั้น เขาปรับแผนที่หมู่ดาวให้ถูกต้อง และยืมวงโคจรของดวงอาทิตย์ หลังจากที่เรือเหาะแล่นไปครึ่งรอบของดวงอาทิตย์ ชื่อซีก็ตั้งใบเรือขึ้น ใบเรือพลันพองขึ้นมาจากลมและรังสีสุริยะ เพิ่มพูนความเร็วของเรือเหาะอย่างฉับพลัน

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมอง และเขาเห็นว่าใบเรือทำขึ้นมาจากหนังของเทพเจ้า พวกมันก็ยังมีรอยประทับมากมายอยู่บนนั้น เมื่อรังสีสุริยะเข้าไปกระทบใบเรือ พวกมันก็พุ่งทะลุไปไม่ได้ และกลายเป็นผลักเพิ่มความเร็วให้กับเรือจนถึงขีดสุด

ไม่เพียงเท่านั้น เรือเหาะนั้นยังคงกระพือปีก และเพลิงไฟก็พวยพุ่งออกมาเพื่อเพิ่มพูนความเร็วเข้าอีกทบ!

ทันใดนั้นเอง ร่องรอยเพลิงมากกว่าสิบก็ปรากฏบนนภาประดับดาว เพลิงไฟในความมืดดูเหมือนจะเลือนราง และพวกมันก็เหมือนกับเส้นด้ายสีแดงที่พุ่งตรงไปยังดวงตะวัน

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมองไปยังเส้นสายสีแดงเหล่านั้นที่เข้าไปในดวงตะวัน และเขาก็ถามทันที “พี่ทางเต๋าชื่อซี เทพเจ้าแบบไหนกันที่สามารถเหาะตามเรือเหาะของเจ้าได้ทัน”

ชื่อซีมายังท้ายเรือและมองไปยังที่ไกลๆ “มีเทพหลายจำพวกที่สามารถตามเรือนี้ทันได้ ยกตัวอย่างเช่น เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งอย่างเผ่าหงส์เพลิง เผ่ามังกร และเผ่าหงส์แดง นอกจากนั้น เทพเจ้าบางพวกที่อยู่ใต้บัญชาของเทพครองดาวมหาตะวันก็ทำเช่นนั้นได้ ด้วยการหยิบยืมพลังของดวงอาทิตย์ในการพุ่งเหาะไปด้วยความเร็วมหากาฬ”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าว “ถ้าอย่างนั้น พวกที่กำลังมาน่าจะเป็นเทพเจ้าใต้บัญชาของเทพครองดาวมหาตะวัน ข้าสงสัยว่าเทพครองดาวมหาตะวันจะอยู่ท่ามกลางคนพวกนั้นหรือไม่”

หัวทั้งสามของชื่อซีจ้องเขม็งไปยังเส้นสีแดงที่มุดเข้าไปในดวงอาทิตย์ เขาพบว่าเส้นสีแดงเหล่านั้นเคลื่อนที่ไปยังอย่างรวดเร็วบนพื้นผิว และเปลวสุริยะอันน่าสะพรึงกลัวนั้นกลับเสริมส่งความเร็วของพวกเขาให้เร็วยิ่งขึ้นอีก!

“ไม่มีเทพครองดาวมหาตะวันอยู่ในบรรดาคนพวกนี้”

ชื่อซียกตึกแสงฉานสยบสวรรค์ของเขาขึ้นมาและยิ้มหยัน “หากว่าเทพครองดาวมหาตะวันอยู่ท่ามกลางเทพเจ้าพวกนี้ เขาก็คงจะขับเคลื่อนพลานุภาพของดวงอาทิตย์เพื่อโจมตีพวกเราไปแล้ว!”

ทั้งสองคนยืนอยู่ที่ท้ายเรือ และมองเห็นว่าความเร็วของเส้นสีแดงพวกนี้ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ชื่อซีมีสีหน้ากระวนกระวาย แต่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกนั้นสงบเยือกเย็น

ทันใดนั้น แสงสีแดงเส้นหนึ่งก็ยิงออกมาจากดวงอาทิตย์ และพุ่งตรงมายังเรือเหาะ

“ระวัง!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกตะโกน “เข้าไปซ่อนข้างใน และลั่นดาลประตูหน้าต่างเอาไว้!”

ฉินมู่รีบดึงหลิงอวี้จิวเข้าไปในห้องของเรือเหาะ และไม่ทันที่ผานกงสั่วจะได้เข้าไป ฉินมู่ก็ปิดประตูใส่หน้า

ผานกงสั่วยิ้มหยัน และร่างของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเงาที่เล็ดลอดผ่านรอยแยกของประตูเข้าไป

ในตอนนั้นเอง ก็มีเส้นสีแดงพุ่งมายังดวงอาทิตย์มากขึ้นอีก พวกมันดูราวกับสะเก็ดเพลิงสายยาว และในแต่ละเพลิงไฟ มีเทพเจ้าที่กำลังพุ่งทะยานเข้าไปในดวงตะวัน และวิ่งไปตามพื้นผิวของมันด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ!

ฉินมู่หมอบอยู่ข้างๆ หน้าต่าง เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะขับเคลื่อนวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้า เปิดไปตลอดทางจนถึงเนตรสวรรค์หยกเพื่อมองไปยังเส้นสีแดงอันไล่ล่าตามเรือมา เขาสามารถมองเห็นรูปเงารางๆ ของเทพเจ้าได้ และเห็นพวกเขาทั้งหลายลุกโหมด้วยเพลิงไฟ และมีขนนกสีแดงเพลิงปกคลุมตัว

เมื่อเทพเจ้าเหล่านั้นเหาะเข้ามาใกล้อีก เขาก็มองเห็นรูปลักษณ์อย่างชัดเจนได้ในที่สุด เทพเจ้าเหล่านั้นมีศีรษะอีกาดำยาวๆ และร่างกายของพวกเขาก็ห่อหุ้มไปด้วยเพลิงไฟที่ไหลเวียน แต่ละมือของพวกเขาถือขวดน้ำเต้ายักษ์เอาไว้ และกรงเล็บในขาทั้งสามของพวกเขาก็ขยุ้มคันธนูมา!

“พวกเขาเร็วกว่าท่านปู่เป๋มาก!”

ฉินมู่ตกตะลึง ไม่นานนัก เขาก็สังเกตพบว่าเทพเจ้าอีกาไฟเหล่านี้ไม่ได้รวดเร็วอย่างที่คิด แต่เป็นเพราะว่าในอวกาศนี้ไม่มีแรงต้านทานจากอากาศ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมีวิชาลับที่สามารถหยิบยืมพลานุภาพจากดวงอาทิตย์เพื่อเพิ่มพูนความเร็ว ดังนั้นมันจึงน่าแตกตื่นนัก

แต่ทว่า ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดก็คือว่ามีเทพเจ้าอีกาไฟมากมายเกินไป เดิมทีพวกเขามีแค่สิบกว่าตน แต่ในตอนนี้ มีเส้นสีแดงหลายพันเส้นที่กำลังพุ่งเหาะเข้าไปในดวงอาทิตย์!

เห็นได้ชัดว่าเทพอีกาไฟเหล่านี้มีวิธีการสื่อสารกันอย่างพิสดาร พวกเขานั้นกำลังส่งข่าวให้แก่สหายร่วมเผ่า ในทำให้มีเทพอีกาไฟพรั่งพรูเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด

เทพอีกาไฟหลายสิบตนข้างหน้านั้นจ่อเข้ามาใกล้เรืออย่างยิ่งแล้ว แต่พวกเขาก็ยังมาไม่ถึงระยะห่างที่สามารถจับเคลื่อนทักษะเทวะได้ อีกาไฟพวกนี้จึงชักลูกศรออกมาจากซองธนูและง้างคันธนูด้วยขาทั้งสาม ไม่กี่อึดใจ ลูกศรพวกนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงพวยพุ่ง!

อีกาไฟมีสามขาและสามกรงเล็บ ดังนั้นความเร็วในการง้างคันธนูจึงรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ แม้ว่าจะมีเทพอีกาไฟมากกว่าสิบตน แต่เทพเจ้าทุกคนก็สามารถยิงลูกศรออกมาได้หลายร้อยดอกภายในเสี้ยววินาที ในตอนนั้นเอง ลูกศรก็ถล่มลงมารวมกับฝูงตั๊กแตน!

ที่ท้ายเรือ เทพชื่อซียกตึกสยบสวรรค์ขึ้น สมบัติในแต่ละชั้นสาดส่องออกไปอย่างเจิดจ้า และเทพศาสตราทั้งหลายก็บินออกไปขัดขวางห่าฝนลูกศรนับร้อยหมื่น!

ในตอนนั้นเอง เทพอีกาไฟทั้งหลายก็เปิดน้ำเต้าแดงชาดของพวกเขา และเพลิงเทวะจากดวงตะวันก็พุ่งออกมาจากข้างในนั้น ยิงไปยังเรือเหาะ เพลิงเทวะโหมซัดจมเรือเหาะในเสี้ยววินาที

ชื่อซีคำราม และขว้างตึกสยบสวรรค์ขึ้นไป ตึกสยบสวรรค์พลันขยายใหญ่มหึมา และมันลอยอยู่บนอวกาศเหนือเรือเหาะ ภายใต้หลังคาชั้นตึก ระฆังใหญ่เริ่มส่งเสียงเหง่งหง่าง สั่นสะเทือนเพลิงเทวะ นี่ทำให้เพลิงเทวะเหล่านั้นเข้ามาใกล้เรือไม่ได้

เทพอีกาไฟฉวยโอกาสนี้ พุ่งทะยานเข้าไปในเรือ แต่ทันใดนั้นมีดเทวะหกเล่มก็ลอยออกมาจากตึกสยบสวรรค์ ชื่อซีควงมีดเทวะพลางเคลื่อนที่ไปรอบๆ เรือเหาะราวกับเหินบิน และภายในไม่ถึงอึดใจเดียว ศีรษะมากมายก็ร่วงกราวลงจากการสะบัดเหวี่ยงมีดของเขา

ในตอนนั้น เทพอีกาไฟหลายร้อยตนก็กระพือปีกบินเข้ามา ลูกศรยิ่งหนาแน่นขึ้นและหนาแน่นขึ้นเมื่อพวกเขายิงออกไปโดยพร้อมเพรียงกัน ชื่อซีขับเคลื่อนตึกสยบสวรรค์อีกครั้ง แต่เทพศาสตราหลายชิ้นถูกยิงจนร่วงตกลงกับดาดฟ้าเรือ

พลานุภาพของตึกสยบสวรรค์ถูกลดทอนไปอย่างมาก แม้ว่ามันจะเป็นสมบัติอันเหนือธรรมดาที่ใช้สะกดวังสวรรค์ แต่วรยุทธของชื่อซีนั้นยังไม่เพียงพอที่จะปลดปล่อยพลานุภาพอันแท้จริงของสมบัติชิ้นนี้

เทพอีกาไฟหลายร้อยตนเปิดขวดน้ำเต้า และเพลิงเทวะมากมายก็พวยพุ่งมา ข้างหลังเพลิงไฟ มีเทพเจ้าอีกาไฟอีกหลายพันที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

บรรพชนแรกขมวดคิ้ว เทพอีกาไฟพวกนี้กำลังใช้พยุหะกระบวนทัพที่ใช้ในสงคราม ในเมื่อชื่อซีเป็นเพียงเพชฌฆาตแห่งยุคสมัยแสงฉาย เขาจึงไม่มีประสบการณ์ในการรับมือกับพยุหะศึก ก็เพราะว่าเขาไม่เคยไปยังสนามรบมาก่อน

อีกด้านหนึ่ง บรรพชนแรกนั้นเป็นทหารหนีทัพ แม้ว่าเขาจะเคยเรียนวิธีการรับมือกับพยุหะศึก แต่เขาก็ไม่เคยใช้วิธีการพวกนี้มาก่อน เขาก็ไม่มีประสบการณ์เช่นกัน

เมื่อต้องเผชิญกับพยุหะศึกของเทพอีกาไฟ ทั้งสองคนต่างก็ทำอะไรไม่ถูก

เทพอีกาไฟกลุ่มหนึ่งระดมยิงธนูก่อนที่พวกเขาจะจุดไฟเผาเรือ ไม่นานชื่อซีก็เริ่มเหนื่อยล้าจากการพยายามป้องกันทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมๆ กัน ขณะที่เขาพยายามจะสกัดการโจมตีจากเทพอีกาไฟฝั่งหนึ่ง เทพอีกาไฟอีกฝั่งหนึ่งก็เริ่มโจมตีกราบเรือ มีเทพอีกาไฟมากมายที่มายังหางเรือ และคว้าจับเรือเพื่อชักลากถอยหลัง หมายที่จะดึงเรือไป

บางพวกก็ไปยังเสากระโดงและพยายามจะหักโค่นพวกมัน

เทพชื่อซีลนลานอย่างที่สุด และเขาก็ตะโกนไป “สหายเต๋า นี่มันคือพยุหะอีกาไฟ ข้าทลายฝ่าไปไม่ได้ มาช่วยข้า!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกจนปัญญาอย่างแท้จริง เขาก็ไม่เคยเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน

กองกำลังอีกาไฟที่มีมากมายหลายพันได้ทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรเอาไปต่อกรกับพวกนั้นได้ และเรือเหาะจะต้องถูกทำลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!

ฉินมู่เปิดหน้าต่างและตะโกน “บรรพชนแรก มุทราฟ้าและดิน หมุนสวรรค์ผันดินหฤทัยไม่เปลี่ยนแปลง!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกได้สติกลับมาทันที และมือของเขาก็ไขว้กันเพื่อขับเคลื่อนวิชามุทราฟ้าและดินของตน ห้วงอวกาศเคลื่อนสลับในทันที และเมื่อมุทราของเขาระเบิดออกไป ทั้งเรือเหาะก็กลายเป็นฟ้าและดิน บางครั้ง ฟ้าก็อยู่เบื้องบนและดินอยู่ต่ำใต้ ขณะที่บางทีฟ้าก็อยู่ต่ำใต้และดินก็อยู่เบื้องบน เดิมทีความเร็วของอีกาไฟทั้งหลายนั้นท่วมท้นยิ่งนัก และไม่มีใครหาโอกาสโจมตีพวกมันได้ แต่ตอนนี้เทพอีกาไฟทั้งหมดถูกตรึงเอาไว้ในห้วงอวกาศ พวกมันร่วงลงไปทุกหนทุกแห่ง อีกาไฟจำนวนหนึ่งหมุนวนไปอย่างไม่รู้จบ และเรือเหาะก็สลัดหลุดออกมา

เทพชื่อซีเวียนหัวจากการถูกเหวี่ยงหวือไปรอบๆ และเขาก็กอดเสากระโดงเอาไว้ด้วยความตื่นตระหนก

ฉินมู่ตะโกน “ขึ้นไปบนเสากระโดง!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกระโดดขึ้นไปเหยียบบนเสากระโดงด้วยขาข้างเดียว

เสียงของฉินมู่ดังมาจากห้องในเรือ “ตะวันกระหวัดรอบสวรรค์ไม่รู้จบ!”

กษัตริย์มนุษย์ขับเคลื่อนกระบวนท่านี้จากมุทราฟ้าและดินทันที ทันใดนั้น ห้วงอวกาศก็หมุนไป และพลานุภาพของวิชามุทราของเขาก็เคลื่อนขยับเทพอีกาไฟจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันพยายามจะทรงตัวให้ดี แต่ก็ถูกฉีกแยกออกจากกันด้วยพลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้พวกมันร้องกาๆ ดังลั่น

หอบอีกาไฟกลุ่มใหญ่ก่อขึ้นมารอบๆ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก และพวกมันหมุนวนไปอย่างดุเดือดรอบตัวเขา

“อะไรต่อ” กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกถามด้วยเสียงอันดัง

“หงส์เพลิงวสันต์กำสรดฟ้าดินพังภินท์!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกทำตามคำแนะนำของฉินมู่ และขับเคลื่อนมุทรานี้ ฟ้าถล่มลงมา และดินก็ทลายยุบลงไป สนามพลังอันน่าสะพรึงกลัวได้ถล่มยุบเข้ามายังฝ่ามือนี้ และพลังฝ่ามือของเขาก็เคลื่อนขยับเทพอีกาไฟอันเกลื่อนฟ้า พวกมันชนเข้าด้วยกันกลางอากาศ และกองสุมกันเป็นลูกกลมขนาดใหญ่

“เปิดแดนพิสุทธิ์ด้วยผังแปดทิศและฟ้าดิน กำหนดห้าธาตุแห่งดินน้ำลมไฟ”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกขับเคลื่อนวิชามุทราทั้งสองกระบวนท่านี้โดยไม่คิด ด้วยสองมุทราในสี่ฝ่ามือ ผังแปดทิศและผังฟ้าดินก็บดขยี้ลูกกลมเลือดเนื้อที่ก่อขึ้นมาจากเทพอีกาไฟเป็นพันๆ ตน หลังจากนั้น ดิน น้ำ ลม และไฟ ก็ปะทุขึ้นมาและพลานุภาพของธาตุทั้งห้าก็สะบั้นกระดูกและเส้นเอ็นของอีกาไฟจำนวนนับไม่ถ้วน ร่างของพวกมันถูกสั่นสะเทือนเป็นชิ้นๆ บดขยี้เป็นชิ้นๆ เฉือนตัดเป็นชิ้นๆ และเผาให้เป็นเถ้าถ่าน ผ่านไปจังหวะหนึ่ง หอบลมก็เป่ามา เปลี่ยนเถ้าถ่านอีกาไฟทั้งหลายให้เป็นฝุ่นผงอันลอยไหลเป็นทางจากหางเรือ

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาแทบไม่เชื่อสิ่งที่เขาได้ทำลงไป “ข้าทลายฝ่าพยุหะ?”

ในตอนนั้นเอง เสียงตื่นตระหนกของหลิงอวี้จิวและผานกงสั่วก็ดังมาจากห้องในเรือ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกสะดุ้งและเขารีบกระโดดลงไปจากเสากระโดง จากนั้นเขาก็เห็นเทพอีกาไฟตนหนึ่งหลบรอดไปจากมุทราฟ้าและดินของเขา มุดเข้าไปในหน้าต่างห้องเรือ

เมื่อฉินมู่ชี้แนะเขาในการทลายฝ่าพยุหะศึก เขาก็ได้เปิดหน้าต่าง เทพอีกาไฟตนนี้จะต้องอาศัยจังหวะดังกล่าวเพื่อเล็ดลอดเข้าไป หมายที่จะลงมือกับฉินมู่และคนอื่นๆ!

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกรีบรุดไปทางพวกเขา แต่ไม่ทันที่เขาจะไปถึงหน้าต่าง สองสายของแสงโลหิตก็พวยพุ่งออกมาจากข้างใน เส้นสายแสงโลหิตนี้มีกลิ่นอายเข่นฆ่าอันน่าสยดสยองเกินจะปานเปรียบ บรรพชนแรกถอยออกไปอย่างเร่งร้อน เทพอีกาไฟในห้องเรือถูกสะบั้นศีรษะ!

ฉินมู่ยืนอยู่ที่นั่นอย่างใจลอย ถือกล่องเล็กในมือ เขาดูเหมือนจะตกตะลึงกับพลานุภาพของมีดปริศนาประหารเทพ

บรรพชนแรกกระโดดเข้าไป เขาแตะดูเนื้อตัวของอีกฝ่ายไปทุกแห่งและถามด้วยความกังวล “มันโจมตีเจ้ากลับไป? หัวของเจ้าถูกตัดออกหรือเปล่า”

เขานั้นยกนิ้วขึ้นมาอย่างตื่นกลัว เขาหมายจะผลักศีรษะของฉินมู่ดู แต่ก็กลัวว่าถ้าผลักเบาๆ จะทำให้ศีรษะของฉินมู่ร่วงลงจากบ่า

ทันใดนั้น ฉินมู่ก็ผลักมือของเขาออกไป และร้องชม “กล่องทรงพลังอะไรอย่างนี้! มีดร้ายกาจอะไรอย่างนี้!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+