ตำนานเทพกู้จักรวาล 721 วิญญาณบู๊สถิตร่าง

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 721 วิญญาณบู๊สถิตร่าง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในที่สุด ฉินมู่ก็พาทุกคนออกมาจากประตูสวรรค์ทักษิณ แรงกดดันพลันปลาสนาการไป และทุกคนก็ดูเหมือนจะยกภูเขาออกจากบ่า

“ศิษย์พี่ท่านนี้มาจากไหน” ชายคนหนึ่งที่ดูใกล้เคียงกับเผ่ามนุษย์ที่สุดก้าวเข้ามาและถาม

“ข้าคือหูปู้กุยแห่งเผ่าเทพสามตา ข้าไม่เคยพบกับศิษย์พี่ท่านในวังสู้วัวมาก่อน ข้าเห็นท่านสนทนากับครูบาสวรรค์อยู่เมื่อครู่ ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าก้าวเข้าไปพบปะ”

“ฉินมู่ ฉินเฟิงชิง”

ฉินมู่สำรวจตรวจตาดูชายจากเผ่าเทพสามตา เห็นพบว่าอีกฝ่ายมีมือและเท้าอันใหญ่โต หัวไหล่ของเขาก็กว้างใหญ่ และกล้ามเนื้อบนหัวไหลก็หดปูดเป็นก้อน กระนั้นท่อนแขนบนของเขาก็เล็กบางและดูผิดสัดส่วน เมื่อมาถึงท่อนแขนปลายของเขามันก็ดูบึกบึนอีกครั้ง แต่เมื่อมาถึงข้อมือก็กลายเป็นเล็กบางแทบไม่มีกล้ามเนื้อ

เช่นเดียวกับสะเอวของเขา เขามีแผ่นหลังอันกว้างใหญ่และเอวคอดเล็กอันก่อขึ้นมาเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม กล้ามเนื้อน่องของเขาหนาใหญ่เป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อมาถึงหัวเข่า มันก็คอดเล็กอีกครั้ง ส่วนบนของน่องของเขาหนาอย่างมาก แต่เมื่อมาถึงข้อเท้า มันก็กลับเพรียวบางอีกหน

เขาได้ฝึกฝนกล้ามเนื้อเพื่อแสดงถึงพละกำลังระเบิดอันแตกต่างไปจากฉินมู่

ร่างกายของฉินมู่ได้สัดส่วน ขณะที่หูปู้กุยฝึกฝนกล้ามเนื้อเขาเป็นกระเปาะๆ พลานุภาพของกายเนื้อของเขาสามารถระเบิดออกมาได้ในเสี้ยวพริบตา และพวยพุ่งปะทะพละกำลังอันน่าสะพรึงกลัว

อีกด้านหนึ่ง กล้ามเนื้อของฉินมู่กระจายไปถ้วนทั่ว และนั่นก็เพิ่มความอึดทนให้แก่เขา เขาไม่มีกล้ามเนื้อที่ปูดโปนออกมาอย่างชัดเจน และทุกครั้งที่ฉินมู่ต้องการจะรีดเร้นพละกำลังออกมา เขาก็จะต้องน้าวร่างทั้งหมดเหมือนง้างคันธนู เขาจะสะสมพละกำลังให้เต็มพิกัดเสียก่อนที่จะระเบิดออกไปในพริบตา

จากวิธีการขับเคลื่อนพละกำลัง หูปู้กุยนั้นรวดเร็วกว่า และการโจมตีของเขาจะต้องรวดเร็วประดุจสายฟ้า การจู่โจมรัวเร็วที่สามารถโจมตีคู่ต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วนในชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่กระนั้นเมื่อมองจากพละกำลังทั้งหมด พลังอำนาจที่ฉินมู่สะสมไว้ด้วยกล้ามเนื้อกระชับอันเกลี่ยกระจายนั้นจะยิ่งใหญ่กว่าหลังจากที่สะสมกำลังไว้พร้อมพรักแล้ว แต่ทว่า ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาจะเชื่องช้ากว่า

“ข้ามาจากแดนโบราณวินาศ และนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้มาพบกับศิษย์พี่หญิงและชายทั้งหลาย”

ฉินมู่ถามด้วยความฉงน “ความหมายของหูปู้กุยคือว่า ทำไมจึงไม่กลับบ้าน หรือว่านามของศิษย์พี่หูปู้กุยมีเรื่องราวเบื้องหลัง”

หูปู้กุยเดินตามทุกๆ คนไปข้างหน้าและเงียบงันไปพักหนึ่ง “พ่อแม่ของข้าออกจากวังสู้วัวไปและให้กำเนิดข้าในโลกภายนอก พวกเขาพยายามจะเสาะหาวิธีที่จะทลายฝ่าขั้นวรยุทธในโลกภายนอกเพื่อแก้ไขปัญหาการไม่มีสะพานเทวะของสหายร่วมเผ่าพันธุ์ แต่ทว่า พวกเขาไม่เคยทำสำเร็จ และเมื่อพวกเขาต้องการจะกลับมา ก็พบว่าไม่อาจกลับมาได้อีกต่อไป ต่อให้พวกเขากลับมา หัวใจของพวกเขาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งชื่อให้ข้าว่าหูปู้กุย”

เขาเผยรอยยิ้ม “ทำไมจึงไม่กลับบ้าน เหตุผลที่พ่อแม่ของข้าตั้งชื่อนี้ให้ข้าก็เพื่อให้พวกเขามีความรู้สึกผูกพันอยู่ในหัวใจ ศิษย์พี่หญิงและชายแห่งวังสู้วัวมักจะหัวเราะชื่อข้าอยู่เสมอ แต่บัดนี้พวกเขาเรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่”

ฉินมู่ผงกศีรษะ เขาได้เห็นแล้วก่อนหน้านี้ หูปู้กุยเป็นหนึ่งในผู้ที่มีวรยุทธสูงที่สุดท่ามกลางผู้ฝึกวิชาบู๊ขั้นเป็นตาย ที่ใต้ประตูสวรรค์ทักษิณร่างของเขาสูงใหญ่กว่าคนอื่นๆ ภายใต้แรงกดดัน

ฉินมู่ทำให้จิตมุ่งมั่นของทุกคนเชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งกลายกลายเป็นป้อมปราการไร้พ่ายเพื่อต่อสู้ต้านทานแรงกดดันของประตูสวรรค์ทักษิณ เขานั้นก็เป็นคนที่ฟื้นตัวกลัวมาได้เร็วที่สุดด้วย

ต่อให้ใครเข้ามาฝึกปรือวิทยายุทธล่าช้ากว่าคนอื่นๆ ในโลกมิติวังสู้วัว ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าถึงอย่างไรทุกคนก็ติดอยู่ในขั้นเป็นตาย มันเหมือนกับสันตินิรันดร์ในอดีต ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหมดจะติดแหง็กอยู่ที่ขั้นสะพานเทวะ และไม่อาจทลายฝ่าขั้นวรยุทธไปได้

การที่หูปู้กุยสามารถกลายเป็นศิษย์พี่ใหญ่ได้ทั้งที่มาฝึกปรือล่าช้า ก็แสดงให้เห็นพรสวรรค์และความอุตสาหะของเขา

ตรงหน้าผู้คนทั้งหลายที่เข้ามาในปราสาท เส้นทางไปยังปราสาทสวรรค์วังสู้วัวนั้นมีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง เส้นทางนั้นพาดผ่านปราสาทสวรรค์และมุ่งตรงไปยังสระหยก แท่นประหารเทพ อัครนครหยก และตำหนักชิดฟ้า

ฉินมู่และหูปู้กุยเดินรั้งท้าย ระหว่างที่ฉินมู่ปรึกษาหูปู้กุยเกี่ยวกับวิธีการบ่มเพาะวิญญาณบู๊

ความเข้าใจของฉินมู่ในเรื่องวิญญาณบู๊นั้นจำกัดจำเขี่ย และเขาเพียงเพิ่งจะมาได้ยินจากชาวนาเฒ่านี่เองว่าการบ่มเพาะจิตวิญญาณดั้งเดิมด้วยวิชาบู๊คือวิญญาณบู๊ เมื่อวิญญาณบู๊ย่างกรายสู่เต๋า มันก็จะกลายเป็นมรรคาบู๊ ส่วนว่าวิญญาณบู๊จะก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไรนั้น เขาไม่รู้สักอย่าง

“อันที่จริงแล้ววิญญาณบู๊คือจิตวิญญาณดั้งเดิมแห่งมรรคาบู๊”

หูปู้กุยลังเลและมองไปรอบๆ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเบา “ข้าใช้วิธีการจากโลกภายนอกเพื่อบ่มเพาะวิญญาณบู๊ของข้า มันมีกฎอย่างไม่เป็นลายลักษณ์อักษรในโลกสู้วัวว่า พวกเราจะต้องห้ามเรียนมรรคา วิชา และทักษะเทวะจากโลกภายนอกอย่างเคร่งครัด แต่ทว่า ข้าได้เรียนมรรคา วิชา และทักษะเทวะจากพ่อแม่ของข้าเมื่อข้าอยู่ในโลกภายนอก ดังนั้นความเข้าใจของข้าที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณดั้งเดิมจึงแตกต่างจากผู้คนแห่งโลกสู้วัวไปสักเล็กน้อย”

ฉินมู่ยิ่งสนอกสนใจและถาม “อะไรคือความแตกต่างระหว่างจิตวิญญาณดั้งเดิมมรรคาบู๊และจิตวิญญาณดั้งเดิมทั่วไป”

“พวกเขาจะไม่ปลุกทารกวิญญาณขึ้นมา แต่จะบ่มเพาะวิญญาณบู๊ก่อน”

หูปู้กุยกล่าว “อย่าเพิ่งปลุกทารกวิญญาณ แต่ให้บ่มเพาะดวงวิญญาณของตนจนเหมือนเหล็กดิบ เหมือนเหล็กกล้า เมื่อพวกเขายังเยาว์ ก็จะต่อสู้อย่างดุดันเหมือนพยัคฆ์ร้าย ล่างูยักษ์มีเขา สังหารมังกรไร้เขา! มีคนหนุ่มสาวไม่กี่คนที่สามารถผ่านการทดสอบนี้ได้ในโลกสู้วัว หลายต่อหลายคนตายตั้งแต่ยังเยาว์”

ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ แม้แต่เขาเองเมื่อยังเด็กก็ไม่ต้องผ่านการทดสอบอันทารุณเช่นนี้

แม้ว่าการฝึกของผู้เฒ่าทั้งหลายจะโหดหินเป็นอย่างยิ่ง แต่พวกเขาก็ไม่ได้เลยเถิดขนาดที่ผลักให้เขาเอาชีวิตไปเสี่ยง ผู้คนแห่งโลกสู้วัวถึงกับให้ลูกหลานของพวกเขาต่อสู้กับสัตว์พิสดารอันดุร้ายอย่างเช่นพยัคฆ์อำมหิต งูเหลือมเขา และมังกรไร้เขา พวกเขาไม่ไยดีชีวิตของลูกหลานตนเองแล้วจริงๆ!

เสียงปะทะอันดุเดือดพลันดังมาจากโถงวังข้างหน้า และเสียงนั้นก็ราวกับกัมปนาทของสายฟ้าฟาด นั่นคืออสุนีบาตที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของผู้ฝึกวิชาบู๊ แม้ว่าพวกเขาจะมิได้ย่างเท้าเข้าไปในโถง ฉินมู่ก็สามารถจินตนาการออกถึงร่างกายอันเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่ผ่านการทุบตีเป็นร้อยเป็นพันครั้ง และเสี้ยวพริบตาที่พวกเขาปะทะกัน เหงื่อก็กระจัดกระจายราวห่าฝน!

หูปู้กุยรู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องปกติและยังคงเดินต่อไปข้างหน้า เขากล่าว “หลังจากบ่มเพาะถึงระดับหนึ่ง ดวงวิญญาณก็จะหลอมรวมเข้ากับกายเนื้อ ด้วยการบ่มเพาะจิตวิญญาณแห่งมรรคาบู๊เข้าไปในเลือด เนื้อ และไขกระดูก การเคลื่อนไหวของผู้นั้นก็จะเหมือนสายฟ้าอันครั่นครื้น และฟ้าแลบที่แปลบปลาบ ทักษะเทวะแห่งมรรคาบู๊จะนำมาทั้งเจตจำนงมั่นและจิตวิญญาณ นั่นคือการเข้าสถิตร่างของวิญญาณบู๊ จากนั้นผู้ฝึกก็จะสามารถทลายฝ่าขั้นทารกวิญญาณได้ ด้วยทารกวิญญาณเป็นอันดับสอง ผู้ฝึกก็จะใช้ปราณชีวิตเพื่อหล่อเลี้ยงกายเนื้อ เพราะว่าข้าอาศัยอยู่กับพ่อแม่ในโลกภายนอก เมื่อข้ากลับมายังวังสู้วัว ทารกวิญญาณของข้าก็ถูกปลุกให้ตื่นแล้ว ยากที่จะบ่มเพาะวิญญาณบู๊อีกครั้ง ดังนั้นข้าจึงต้องดั้นด้นขวนขวายมากกว่าศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งหลายมากนัก”

แม้ว่าเขาจะบรรยายมันอย่างไม่อนาทรร้อนใจ แต่ความยากของหนทางเขานั้นเกินกว่าที่คนภายนอกจะนึกคิดออกมาได้

ฉินมู่คิดอยู่เล็กน้อย เมื่อครั้งก่อนนั้นเขาได้เดินไปบนเส้นทางดังกล่าวยามที่ฝึกวิทยายุทธ แต่ตั้งแต่เมื่อวิชากายาจ้าวแดนดินของเขาประสบผลสำเร็จ และช่วยให้เขาทลายฝ่าขั้นทารกวิญญาณ เขาก็มิได้เดินไปทนเส้นทางอันตรากตรำอีกต่อไป

ไม่เคยคิดเลยว่าโลกสู้วัวจะยังคงดำเนินไปเส้นทางนั้นจนกระทั่งพวกเขาสามารถบ่มเพาะวิญญาณบู๊ขึ้นมาได้ พวกเขาได้ใช้เส้นทางอื่นที่แตกต่างจากโลกภายนอกไปอย่างสิ้นเชิง

“ทักษะเทวะแห่งมรรคาบู๊ได้นำพาจิตวิญญาณและเจตจำนงมั่นมาด้วย นั่นคือการสถิตร่างของวิญญาณบู๊”

ฉินมู่ย้อนคิดไปถึงช่วงเวลาที่เขาได้เรียนวิชาบู๊จากคนแล่เนื้อ เฒ่าหม่า เฒ่าใบ้ และคนอื่นๆ เขานั้นห่างจากการบ่มเพาะวิญญาณบู๊ไปเพียงแค่ก้าวเดียว และเขาก็คิดอยู่ในใจ ครูบาสวรรค์วิชาบู๊บอกว่ากำปั้นของข้ามีแค่แก่นชีวิตแต่ปราศจากจิตวิญญาณ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อครั้งกระโน้น ข้าไม่ได้บ่มเพาะจนถึงขั้นวิญญาณบู๊สถิตร่าง เมื่อข้าสำเร็จเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะ ข้าก็ไม่ได้ใส่ใจในด้านนั้นอีกต่อไป ตอนนี้ข้าอาจจะสามารถหลอมรวมจิตวิญญาณดั้งเดิมของข้ากับกายเนื้อได้ แต่ข้ายังไม่เข้าใจสารัตถะของผู้ฝึกวิชาบู๊อย่างถ่องแท้

พวกเขาเดินเข้าไปในโถง และร่างมนุษย์หนึ่งก็พลันปลิวข้ามมา ฉินมู่และหูปู้กุยเบี่ยงตัวหลบ คนผู้นั้นกลิ้งกระเด็นออกมาจากโถงวังและเข้าไปปะทะกับเสาประตูสวรรค์ทักษิณก่อนจะร่วงไปกอง

ประตูสวรรค์ทักษิณสูงหนึ่งร้อยคืบ และคนผู้นั้นก็ไถลลงมาเป็นเวลานานก่อนที่จะตกปะทะพื้น

ด้วยกายเนื้อแข็งแกร่งขนาดนั้น เขาไม่น่าจะตาย

ฉินมู่มองเข้าไปในวัง และเห็นชาวนาผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าบัลลังก์ในโถงวังนั้น ปราณและโลหิตของเขาเหมือนกับคลื่นคลั่ง และรอบๆ เขาคือรูปเงาที่ก่อขึ้นมาจากปราณและโลหิต

นั่นคือจิตวิญญาณแห่งหมัดของเขาที่ก่อขึ้นมาเป็นรูปเงาการฝึกปรือวิชาและสุดยอดทักษะ!

เขายืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ไหวติงและหลับตาอยู่ ไม่มองไปยังบริเวณโดยรอบ จิตวิญญาณแห่งหมัดของเขากำลังโจมตีผู้ฝึกวิชาบู๊ที่กำลังพยายามบุกเข้าไปในโถง!

นั่นคือการโจมตีด้วยเจตจำนงมั่น มันทั้งเฉียบคมและเขื่องโข มีพลานุภาพอันไร้เทียมทานในจิตวิญญาณแห่งหมัด

บ่มเพาะจิตวิญญาณแห่งหมัดจนถึงขั้นที่มันกลายเป็นของจริงได้ นี่น่าจะเป็นการย่างกรายสู่เต๋าด้วยวิชาบู๊ ใช่ไหม

ฉินมู่อุทาน “หากว่าเขาลืมตาขึ้นมา จิตวิญญาณแห่งหมัดก็จะเข้าไปหลอมรวมกับร่างกาย การซัดต่อยครั้งหนึ่งก็จะทำให้โลกแตกทำลาย!”

ชาวนาผู้นี้เป็นชาวนาผู้ดูไม่สลักสำคัญในหมู่บ้านภูเขาเล็กๆ เขานั้นธรรมดาสามัญถึงขนาดที่ว่าหากเขาเดินไปตามท้องถนนแห่งสันตินิรันดร์คงไม่มีใครเหลียวมองเขาเป็นครั้งที่สอง

แต่กระนั้นในตอนนี้ เขาก็เหมือนแม่ทัพใหญ่ในกองทัพเทพยดา เขาเหมือนกับเทพเจ้าที่ควบคุมมรรคาบู๊ และเขาก็มีท่วงทีอันน่ายำเกรงจนผู้อื่นมิอาจแหงนหน้าขึ้นมองได้ เห็นได้ชัดว่าเขาผ่านการเคี่ยวกรำของสมรภูมิ และเทพเจ้ามากมายไร้ประมาณได้ตกตายในน้ำมือของเขา

ยอดฝีมือที่ก้าวออกมาจากความล่มสลายของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง มีรัศมีอันเทพเจ้าธรรมดาสามัญมิอาจครอบครอง!

หากว่าเขาลงมือจู่โจมจริงๆ ทุกคนก็คงจะกลายเป็นผุยผงเมื่อถูกเจตจำนงหมัดของเขาบดขยี้

แต่ทว่า เขาเพียงแต่มาทดสอบทุกๆ คน ดังนั้นจิตวิญญาณแห่งหมัดของเขาจึงแปรเปลี่ยนเป็นภาพวาดของผู้คนที่กำลังฝึกวิชาบู๊ในจิตรกรรมฝาผนัง แต่ทว่า พวกมันกลายเป็นสามมิติและเคลื่อนไหวได้

หมัดเช่นนี้สามารถปลดปล่อยแง่อัศจรรย์แห่งทักษะเทวะกายเนื้อออกมาได้โดยไร้ข้อจำกัด ทุกคนรู้สึกราวกับว่าพวกเขาถูกจู่โจมด้วยยอดฝีมือขั้นเป็นตายที่ย่างกรายสู่เต๋า!

นี่ยังคงเป็นครั้งแรกที่ฉินมู่ได้พบพานกับวิธีการทดสอบเช่นนี้

แม้กระนั้น ผู้คนกว่าห้าสิบคนที่เดินออกมาจากประตูสวรรค์ทักษิณก็พบว่ายากจะป้องกันการโจมตีจากหมัดของเขา หลายๆ คนร่างกายปริแตก

เสียงระเบิดกึกก้องอีกคำรบดังมาเมื่อคนผู้หนึ่งปลิวกระเด็นออกมาจากโถง เขาไม่อาจขยับเขยื้อนได้ และไม่นานนัก สตรีผู้หนึ่งก็ถูกฟาดกระเด็นเข้าไปอัดกับผนังข้างในโถงวัง วังแห่งนี้สะท้านหวั่นไหวอย่างไม่หยุดหย่อน

ผู้ฝึกวิชาบู๊แห่งโลกสู้วัวห้าสิบกว่าคนนี้ล้วนแต่อยู่ในขั้นเป็นตาย กำลังฝีมือของทุกคนแข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้ว และพวกเขาก็ได้หมกมุ่นอยู่ในมรรคาบู๊มาเป็นเวลานาน กำลังฝีมือของแต่ละคนล้วนแต่ไม่อาจดูแคลน และแม้แต่ฉินมู่ก็ประทับใจในการฝึกปรือของพวกเขา

หากว่าเขาปลดปล่อยพันธนาการทั้งหมดเพื่อต่อสู้ และไม่จำกัดตนเองเพียงแค่มรรคาบู๊ เขาก็อาจจะไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้อยู่ดี เพราะถึงอย่างไร เขาก็มีวรยุทธต่ำกว่าหนึ่งขั้น

กระนั้น ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเหล่านี้กลับถูกอัดต่อจนหมดท่าด้วยจิตวิญญาณแห่งหมัดของชาวนาผู้นี้

จำนวนของผู้ที่สามารถผ่านด่านนี้ไปได้จริงๆ คงมีน้อยกว่าหนึ่งในสิบ

ฉินมู่ขมวดคิ้ว เขาจะผ่านด่านนี้ไปได้อย่างไร

หากว่านี่ยังเป็นด่านแรก ด่านถัดๆ ไปคงจะต้องยากเย็นยิ่งกว่านี้แน่นอน หรือว่าเขาควรจะปล่อยให้นักบุญคนตัดไม้เน่าอยู่ในท้องร่องต่อไป

หากว่าเขาปลดปล่อยตนเองเพื่อต่อสู้ และไม่สนใจเรื่องวิญญาณบู๊หรืออื่นๆ ก็คงไม่ยากที่เขาจะผ่านด่าน เขาถึงกับสามารถต่อสู้บุกตะลุยไปถึงตำหนักชิดฟ้าได้ แต่นั่นหมายความว่าการทดสอบนี้ก็จะสูญเสียเป้าประสงค์ไป

“หากว่ากิเลนมังกรเฉลียวฉลาดพอ เขาก็น่าจะวิ่งออกไปจากวังสู้วัวในตอนนี้ และลากคนตัดไม้หนีออกไป”

ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ “มังกรอ้วนนั้นฉลาดก็จริง แต่เท่าที่ข้ารู้จักเขา ข้าคะเนว่าตอนนี้เขาคงกำลังงีบหลับอยู่ที่นอกประตูสวรรค์ทักษิณ”

หูปู้กุยพลันยั้งเท้า และด้วยการตั้งท่าอย่างมั่นคง ปราณและโลหิตของเขาก็พลันพวยพุ่งออกไป เขาก็รีดเค้นจิตวิญญาณแห่งหมัดออกมาด้วยเช่นกัน

ปราณและโลหิตของเขาแปรเปลี่ยนเป็นรูปเงามนุษย์ที่พุ่งถลันเข้าไปใส่จิตวิญญาณแห่งหมัดของชาวนา รูปเงามนุษย์อันก่อขึ้นมาจากปราณและโลหิตสองรูปเข้าไปปะทะกัน และเจตจำนงหมัดของทั้งสองคนล้วนแต่ยิ่งใหญ่เขื่องโข มีแรงส่งอันเหมือนกลับจะคืนสู่ตัวตนอันแท้จริง

ฉินมู่ตกตะลึง ถึงกับบรรลุขั้นนี้ได้ หูปู้กุยไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!

แต่ทว่า เขายังด้อยกว่าชาวนาไปเล็กน้อย และไม่นาน จิตวิญญาณแห่งหมัดของเขาก็ถูกชาวนาเป่ากระจุยด้วยหมัดเดียว!

หูปู้กุยขยับ และร่างจริงของเขาก็เคลื่อนไหวเข้าไปในสนามศึก เมื่อกายเนื้อของเขาต่างศาสตราวุธ ทั้งกำปั้นและลูกเตะของเขาก็ชัดเจน ทุกมัดกล้ามในร่างกายของเขาจะระเบิดออกมาด้วยพละกำลังอันสามารถเคลื่อนย้ายภูเขา และแม้แต่การกระดิกกล้ามครั้งหนึ่งก็สร้างเสียงฟ้าคำรามกัมปนาท!

หมัดของเขาซัดออกไป และเขาก็เหมือนกับมังกรขนดและพยัคฆ์หมอบ เส้นผมของเขาสามารถใช้ต่างกระบี่คมกล้า ไม่ว่าส่วนใดของร่างกายเขาก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นอาวุธร้ายแรงได้ทั้งสิ้น!

ฉินมู่สืบเท้าออกไปข้างหน้า แต่เขาไม่ก้าวเข้าไปในโถงวัง ในทางตรงข้าม ชั้นของวงจรพยุหะปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา และวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้าก็ถูกขับเคลื่อนจนถึงขีดจำกัด เขาสังเกตการณ์การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อหูปู้กุย และวิเคราะห์วิธีการในการรีดเร้นพละกำลังของเขา

“นั่นไม่ใช่แล้ว นั่นไม่ใช่วิธีการที่เขารีดเร้นพละกำลัง แต่เป็นดวงวิญญาณของเขาที่รีดเร้นพละกำลัง!”

ดวงตาตั้งฉากที่หน้าผากของฉินมู่ลืมขึ้นมา และเขาสำรวจสมบัติเทวะกับจิตวิญญาณดั้งเดิมของหูปู้กุย เขาเห็นก็แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของอีกฝ่ายเข้ามาหลอมรวมกันอย่างแน่นหนากับกายเนื้อของเขา ร่องรอยปราณชีวิตเหมือนกับมังกรที่พุ่งทะลุสุริยันจันทรา ทะลวงเข้าไปในดาวห้าธาตุที่อยู่เบื้องหลัง จากนั้นพวกมันก็วกออกจากดาวธาตุทั้งห้าไปยังดาราจักรที่โอบอุ้มอยู่รอบๆ ปราณชีวิตในดาราจักรเหมือนกับเสาที่ปักลงไปยังมหาแผ่นพิภพแห่งแท่นวิญญาณ กระตุ้นพลานุภาพแห่งหกทิศ

จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขายืนตระหง่านอยู่บนแผ่นดินแห่งหกทิศราวกับรากแก้วแห่งฟ้าและดิน และรากของเขาเหล่านั้นก็ปักลึกลงไปถึงแดนใต้พิภพ

เช่นนั้นแล้ว ปราณชีวิตและจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็หลอมรวมกันเป็นหนึ่ง

กายเนื้อของเขาเหมือนกับอาวุธวิญญาณอันเพริศแพร้วพิสดารไร้ปานเปรียบ อันแปรเปลี่ยนจิตวิญญาณอันเห่อเหิมเหล่านั้นให้เป็นพลังอำนาจแห่งกายเนื้อ ขับพุ่งออกไปด้วยฤทธิ์กำลัง!

ที่แท้นี่ก็คือวิญญาณบู๊!

ฉินมู่ดวงตาลุกวาบ และเขาร่ายรำหมัดและลูกเตะของเขาที่หน้าโถง เขาขับเคลื่อนวิชาบู๊ในอดีตที่เคยร่ำเรียนมา เริ่มจากเพลงหมัดของเฒ่าหม่า เพลงมีดของคนแล่เนื้อ เพลงหอกของเฒ่าบอด จนกระทั่งถึงทักษะเทวะสามเศียรหกกร และในท้ายที่สุดก็เป็นวิชาบู๊แห่งมังกรบรรพกาล เขาร่ายรำทุกๆ เพลงวิชาอย่างขะมักเขม้น

เขากำลังบ่มเคี่ยวจิตวิญญาณของตน และเสริมแกร่งให้แก่เจตจำนงมั่น

ไม่นานนัก ฉินมู่ก็พลันฟื้นตื่นขึ้นมา และพบว่าในโถงโล่งว่าง นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก

ข้างในมีรอยเลือดอยู่ทุกหนแห่ง อันน่าจะหลงเหลือไว้จากผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งโลกสู้วัว

ชาวนาคนนั้นยังคงยืนอยู่หน้าบัลลังก์ แต่ดวงตาของเขายังปิดสนิท เขาไม่ได้มองมาที่ฉินมู่

ทันใดนั้น ชาวนาก็กล่าว “เจ้าพร้อมหรือยัง”

ฉินมู่ผงกศีรษะ “ข้าพร้อมแล้ว”

เขาก้าวออกไปข้างหน้า และปราณกับโลหิตของเขาก็แผ่พุ่งราวกับการระเบิด ในเสี้ยวพริบตา ปราณและโลหิตของเขาก็คละคลุ้งไปทั่วโถง!

ชาวนาลืมตาขึ้นและดวงตาของเขาเหมือนกับสายฟ้าในแสงโลหิต ถัดจากนั้น จิตวิญญาณแห่งหมัดของชาวนาก็แผ่พุ่งออกไป แม้ว่าเขาจะยืนอยู่กับที่โดยไม่ขยับ แต่รูปเงาร่างมนุษย์ก็พุ่งทะยานเข้าใส่ฉินมู่!

ฉินมู่หัวร่อด้วยเสียงอันดัง และซัดหมัดออกไปเพียงหมัดเดียว เพลงหมัดของเขาเหมือนกับการฝ่าเปิดมวลอันไร้รูป เปิดประตูอันมหึมา!

“ข้าใช้โลหิตของข้าเพื่อฉายส่องวิญญาณบู๊!”

เสียงระเบิดกัมปนาทดังมาจากในโถง และผ่านไปครู่หนึ่ง ทุกสิ่งก็กลับมาเงียบงัน

ฉินมู่เดินออกมาจากโถงวังและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สายรุ้งสีโลหิตพาดผ่านเวหา นั่นคือจิตวิญญาณดั้งเดิมมรรคาบู๊ของเขา

“ร่างกายเต็มไปด้วยจิตหาญสู้ เขาเหมือนกับดวงดาราในเจ็ดดาวเหนือ เจิดจ้าเสียจนผู้คนมิอาจมองไปตรงๆ”

ในโถงวัง ชาวนาผู้นั้นยังคงยืนอยู่และหลับตาที่นั้นเพื่อฝึกบำเพ็ญจิต “ทายาทแห่งจักรพรรดิก่อตั้งเป็นเด็กที่ยอดเยี่ยม”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด