ตำนานเทพกู้จักรวาล 723 ย่างกรายสู่เต๋าด้วยวิญญาณบู๊

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 723 ย่างกรายสู่เต๋าด้วยวิญญาณบู๊ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“กายาจ้าวแดนดิน?”

หูปู้กุยและศิษย์พี่หลู่หันไปมองกันและกันด้วยความหนักอึ้ง เขาถามด้วยเสียงเบา “เผ่าเทพไหนที่มีกายาแบบนี้”

ทั้งสองคนไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ พวกเขาอยู่ในโลกมิติสู้วัวมาเป็นเวลานาน และพวกเขาก็ออกไปข้างนอกไม่กี่ครั้ง ดังนั้นความเข้าใจที่พวกเขามีต่อโลกภายนอกจึงว่างเปล่า

หูปู้กุยติดตามบิดามารดาออกไปฝึกฝนที่โลกภายนอกในช่วงปีแรกๆ ของชีวิต แต่หลังจากที่เขาได้กลายเป็นพลเมืองถาวรแห่งโลกสู้วัว เขาก็ไม่ได้ออกไปข้างนอกอีกเลย อีกทางหนึ่ง ศิษย์พี่หลู่อาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเยาว์ และทั้งสองคนก็ไม่มีใครรู้จักตำนานกายาจ้าวแดนดิน

ก่อนที่ฉินมู่จะเดินออกมาจากแดนโบราณวินาศ ก็แทบจะไม่มีใครเลยในโลกหล้าที่จะเคยได้ยินเกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดินมาก่อน มีก็แต่ช่วงไม่กี่ปีมานี้ที่ผู้คนค่อยๆ รู้จักมัน แต่ก็มีคนน้อยนักที่จะสามารถพูดถึงมันได้โดยละเอียด

ถึงอย่างไรผู้ใหญ่บ้านก็เป็นคนซื่อสัตย์ เขาจึงกระดากและยากที่จะบอกเล่าเรื่องกายาจ้าวแดนดินแก่คนนอก

ข้างๆ ฉินมู่ หญิงสาวยังคงตกอยู่ในสภาวะอกสั่นขวัญหาย นางรีบแตะคลำๆ ที่คอและยังคงไม่ได้สติกลับมา

ฉินมู่หันกลับไปและกล่าว “พี่สาว หัวของเจ้าเพิ่งถูกมีดปริศนาประหารเทพบนแท่นประหารเทพตัดไปเมื่อครู่ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าก็ถูกปลิดชีวิตไปด้วย ข้าจึงต้องใช้เวทมนตร์ใต้พิภพและทักษะเทวะเสกสรรเพื่อเชื่อมต่อคอของเจ้าเข้าด้วยกันใหม่ โชคดีว่าข้ามาถึงโดยเร็ว ดังนั้นมีดปริศนาประหารเทพจึงยังไม่ทันได้ดูดกลืนเอาปราณและโลหิตของเจ้าไป มิเช่นนั้น การกู้ชีวิตกายเนื้อของเจ้าคงยุ่งยากลำบากกว่านี้ หากว่าเป็นเช่นที่ว่า ข้าคงต้องจัดยาวิญญาณหลายขนาน และในเมื่อถุงเต๋าตี้ของข้าอยู่กับกิเลนมังกร ข้าก็คงต้องเสียเวลาเทียวไปเทียวกลับ”

ถึงตอนนี้หญิงสาวจึงได้สติกลับมา และนางก็รีบกล่าวขอบคุณ “ชื่อของข้าคือซือเหมยเสว่ ขอบคุณศิษย์น้องยิ่งนักที่ช่วยชีวิตข้า”

ฉินมู่รีบกล่าว “พี่สาว ไม่หนักหนาเลยสักนิด อย่าเกรงใจไปเลย ช้าก่อน มันมีรอยแผลเป็นที่คอของเจ้า ข้านั้นเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งความงาม พี่สาวอย่าขยับ ให้ข้าช่วยลบรอยแผลเป็นออกไป”

ซือเหมยเสว่หัวเราะเบาๆ และกล่าว “เจ้านั้นอ่อนหวานเหลือเกิน หากว่าพี่สาวผู้นี้มิได้แต่งงานมีลูกไปสองคนแล้ว ข้าก็คงจะหนีตามกันไปกับเจ้า…”

“พี่สาว หยุดพูดก่อน”

ฉินมู่จริงจังขึ้นมาและส่งอักษรรูนเล็กๆ ออกจากปลายนิ้ว เพื่อซ่อมแซมรอยแผลเป็นบนคอของนาง เขากล่าวอย่างนุ่มนวล “เวทมนตร์ของข้าจะลบเลือนรอยแผลเป็นโดยสิ้นเชิงนั้นก็ยากอยู่ เจ้ายังต้องใช้ขี้ผึ้งที่ทำมาจากสมุนไพรวิญญาณ น่าเสียดายที่ถุงเต๋าตี้ของข้าไม่ได้อยู่ที่นี่…”

ด้วยร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่าของเขา เขาอยู่ใกล้กับซือเหมยเสว่เป็นอย่างยิ่ง และทำให้นางกระสับกระส่ายเล็กน้อย นางคิดอยู่ในใจ ข้าแต่งงานเร็วเกินไป ข้าน่าจะรอมองหาต่อนานกว่านี้อีกหน่อย…

หลังจากที่รักษาให้แก่นาง ฉินมู่ก็ระบายลมหายใจโล่งอกและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รอยแผลเป็นของพี่สาวจางหายไปเล็กน้อย ข้าจะหลอมปรุงยาขี้ผึ้งจำนวนหนึ่งให้เมื่อพวกเราออกไปจากที่นี่ เจ้าเพียงแต่ต้องหมั่นทาเป็นประจำ จากนั้นก็จะไม่หลงเหลือร่องรอยอีกต่อไป อนึ่ง ข้าเพิ่งช่วยพี่สาวเชื่อมต่อศีรษะเข้ากับตัว ดังนั้นอย่าเค้นพละกำลังมากเกินไป เดี๋ยวมันอาจจะหลุดร่วงลงอย่างไม่รู้ตัว”

ซือเหมยเสว่ตื่นตระหนกและจับคอของนางเอาไว้ นางไม่กล้ากระดุกกระดิกและยิ้มอย่างขื่นๆ “ข้าไม่อาจผ่านแท่นประหารเทพไปได้ และบัดนี้เจ้าก็ช่วยข้าเอาไว้ ข้าคงไม่มีทางผ่านอัครนครหยกไปได้ และศีรษะของข้าก็คงพร้อมที่จะร่วงตกลงมาจากบ่าได้ทุกเมื่อ…ข้าจะไปหาพวกเจ้าในภายหลัง แต่คงจะไม่เข้าไปในอัครนครหยก”

ที่อีกฟากหนึ่งของแท่นประหารเทพ ศิษย์พี่หลู่จัดแจงตนเองและเดินขึ้นไปบนแท่นประหาร

ไม่ทันที่เขาจะตั้งหลักยืนได้มั่น เส้นสายลมอำมหิตบนแท่นประหารเทพก็หมุนวนเข้ามาหา ศิษย์พี่หลู่ดีดนิ้วของเขาด้วยหมายที่จะดีดกระแสลมอำมหิตเหล่านี้ออกไป

เขานั้นเรียนรู้จากการที่ฉินมู่ใช้แปดสุรเสียงมังกรบรรพกาลเพื่อสั่นสะเทือนปราณและโลหิต ขับไล่สายลมกระหายเลือดที่เข้ามารัดพันคอของเขา จากนั้นฉินมู่ก็ใช้พลานุภาพในนิ้วของเขาก็ดีดลมอำมหิตเหล่านั้นกลับไป

กระนั้นเขาก็ยังคงประเมินพลังอำนาจของสายลมอาฆาตต่ำเกินไปขณะที่นิ้วของเขาดีดลงไปในลมนั้น ส่วนหนึ่งของนิ้วเขาก็ถูกเฉือนตัด!

ศิษย์พี่หลู่ตื่นตระหนกและรีบกลิ้งตัวลงจากแท่นประหาร แต่สายลมกระหายเลือดได้ตามติดมาบนคอของเขา เมื่อศิษย์พี่หลู่กลิ้งลงมา ก็ไม่มีศีรษะอยู่บนคอของเขาอีกต่อไป

ไม่ทันที่ซือเหมยเสว่จะกล่าวอะไรออกมา ฉินมู่ก็หายวับไปแล้ว ฉินมู่ขับไล่ลมกระหายเลือดกลับไปและหยิบศีรษะของศิษย์พี่หลู่ขึ้นมา เขาทำซ้ำกระบวนการเดิม ต่อหัวเข้ากับคอของศิษย์พี่หลู่และกล่าวปลอบใจเขา “ไม่ต้องกังวล ต่อให้หัวหลุดออกจากคอไปครู่หนึ่งก็ไม่มีปัญหามากมาย เพียงแต่ไม่อาจขาดออกไปได้นานเกิน ถ้าหัวกับตัวแยกกันนานเกินไปเจ้าก็จะตาย ข้าได้ยินราชันย์ขุนนางแห่งแดนใต้พิภพกล่าวว่าเจ้ายังคงฟื้นคืนชีพมาได้หลังจากที่ตายไปแล้วเจ็ดวัน ดังนั้นเจ้าจึงยังไม่ได้ตายลงไปจริงๆ เจ้ายังคงฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้…อย่าเพิ่งขยับ เจ้ายังมีอีกหนึ่งนิ้วที่ยังไม่ได้เอามาต่อใหม่…”

หูปู้กุยกระแอมไอเรียกความสนใจของฉินมู่ “ศิษย์พี่ฉิน ศิษย์พี่หลู่กำลังพยายามจะบอกว่าท่านต่อหัวให้เขาผิด เขามีใบหน้าอยู่ทั้งหน้าและหลังศีรษะ แต่ว่ามันก็ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่ ท่านจะรู้ได้จากการดูลายเสือดาวที่คอของเขา ลายเสือดาวเล็กละเอียดกว่าจะอยู่ข้างหน้า และลายใหญ่หยาบจะอยู่ข้างหลัง”

ฉินมู่มองดู และใบหน้าของเขาแดงขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้น ปราณชีวิตของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงกระบี่เพื่อตัดสะบั้นศีรษะของศิษย์พี่หลู่ออก

ศิษย์พี่หลู่มองตาค้าง แต่โชคดีที่ว่า ฉินมู่ต่อมันกลับลงไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่ปรับมุมองศาแล้ว

จากนั้นเขาจึงระบายลมหายใจโล่งอก

ฉินมู่ดวงตาเป็นประกาย และเขาเผยสีหน้าปลุกเร้ากำลังใจ “ศิษย์พี่ เจ้าอยากจะลองดูอีกหนไหม คราวนี้เจ้าลองกลิ้งตัวไปตกอีกฟากของแท่นประหารเทพ ต่อให้หัวของเจ้าหลุดออกมา ข้าก็สามารถต่อให้เจ้าได้ใหม่ ด้วยวิธีนี้ เจ้าก็จะผ่านด่านทดสอบ!”

ศิษย์พี่หลู่รีบส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่จำเป็นหรอก ข้าได้ลองไปแล้วหนหนึ่ง และกำลังฝีมือของข้าก็ไม่เพียงพอที่จะข้ามผ่านแท่นประหารเทพ ข้าควรจะรั้งอยู่ที่นี่และรอให้พวกเจ้ากลับมาจะดีกว่า ข้านึกขึ้นมาได้ว่าข้ายังมีภรรยาและบุตรรอข้าอยู่ที่บ้าน…”

แม้ว่าเขาจะเข้าร่วมการฝึกด้วยรู้ว่าอาจจะต้องตาย แต่เขาก็ยังคงรับไม่ได้กับการที่จะต้องถูกตัดหัวแล้วต่อใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีก

ฉินมู่จึงไม่รบเร้าให้เขาข้ามแท่นประหารเทพใหม่อีกหน

หูปู้กุยยกเท้าย่างและเดินขึ้นไปบนแท่นประหารเทพทีละก้าวๆ ศิษย์พี่หลู่และซือเหมยเสว่มองไปที่เขาอย่างกระวนกระวาย หูปู้กุยคือความหวังสุดท้ายของโลกสู้วัว และหากว่าเขาไม่สามารถข้ามแท่นประหารเทพได้ โลกสู้วัวก็จะพ่ายแพ้ไปอย่างสิ้นเชิง!

หากว่ามีแต่คนนอกอย่างฉินมู่ที่สามารถข้ามผ่านแท่นประหารเทพ ผู้ฝึกวิชาบู๊แห่งโลกสู้วัวก็จะเสียหน้าไปหมด!

ฉินมู่เองก็มองไปที่แท่นประหาร เขาเห็นหูปู้กุยเดินไปข้างหน้างทีละก้าวๆ เขาไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างอื่น และดูเหมือนกับกำลังเดินเล่นในอุทยาน กระนั้นก็ปรากฏหูปู้กุยอีกสิบกว่าคนรอบๆ ตัวเขาและฟาดซัดออกไปยังรอบทิศทาง

เหมือนกับว่าเขามีร่างแยกสิบกว่าร่างที่โจมตีออกไปด้วยความเร็วปานสายฟ้าเพื่อขับไล่ลมกระหายเลือด ลมกระหายเลือดทั้งสองเส้นไม่อาจเข้ามาใกล้เขาได้เลยสักนิด

เงาร่างเหล่านั้นมิใช่ร่างแยกของเขา แต่เป็นเพราะว่าเขาโจมตีออกไปด้วยความเร็วสุดขีดขั้ว เมื่อมองด้วยตาเปล่าจึงดูราวกับว่ามีตัวเขาสิบกว่าคนอยู่ในบริเวณรอบๆ

ที่ทำให้ฉินมู่ประทับใจที่สุดก็คือ หูปู้กุยยังคงดูเหมือนก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน นั่นคือจุดที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของมรรคาบู๊ของเขา

วิญญาณบู๊ย่างกรายสู่เต๋า นั่นคือมรรคาบู๊ หูปู้กุยน่าจะใกล้ที่จะย่างกรายสู่เต๋าด้วยวิญญาณบู๊แล้วสินะ

ฉินมู่ประหลาดใจเล็กน้อย ที่ใต้ประตูสวรรค์ทักษิณ กำลังฝีมือของหูปู้กุยมิได้แข็งแกร่ง และเขายังไม่สำเร็จการย่างกรายสู่เต๋าด้วยวิญญาณบู๊ กระนั้น ในตอนนี้ มันดูเหมือนกับว่าเขาใกล้ที่จะย่างสู่เขตขั้น

ศิษย์พี่หูเป็นอัจฉริยะจริงๆ

ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะอุทานในใจ ข้าอาศัยปฏิภาณอันเลิศล้ำของกายาจ้าวแดนดิน ถึงสามารถตรึกตรองเข้าใจการย่างกรายสู่เต๋าด้วยวิชาฝึกปรือ และการย่างกรายสู่เต๋าด้วยเพลงกระบี่ในช่วงปีแรกๆ ของข้า แต่เขาอาศัยความสามารถที่แท้จริงในการตรึกตรองเข้าใจวิญญาณบู๊ย่างกรายสู่เต๋า! พรสวรรค์เช่นนี้ช่างน่าเลื่อมใสจริงๆ

ที่เขาไม่รู้นั้นก็คือว่า เขาก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้หูปู้กุยสามารถทลายฝ่าเขตขั้นปฏิภาณได้ที่แท่นประหารเทพ

เขาและฉินมู่เป็นสหายมิใช่ศัตรู แต่กระนั้นการที่มีฉินมู่อยู่ด้วยทำให้หูปู้กุยเกิดจิตคิดแข่งขันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ไม่เพียงแต่ฉินมู่จะนำแรงกดดันมาให้เขา เขายังนำแรงกระตุ้นเร้ามาให้ด้วย เป็นผลให้เขาเกิดแรงบันดาลใจและขวนขวายพากเพียรยิ่งขึ้นเพื่อทลายฝ่า

เหมือนกับตอนที่ฉินมู่พบกับซวีเซิงฮวาบนเรือสำราญในแม่น้ำทองคำเมื่อครั้งกระนั้น เมื่อพวกเขาพบกัน พวกเขาก็แลกเปลี่ยนจอกน้ำต่างสุรา ฉินมู่รู้สึกถึงแรงกดดันของ ‘กายาจ้าวแดนดินปลอม’ และนั่นทำให้เขาตกลงไปในสภาวะตรึกตรองเข้าใจ เป็นผลให้ เขาคิดค้นนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมร่วมกับหลิงอวี้จิวได้

สภาวะของหูปู้กุยก็แทบจะดุจเดียวกัน

ฉินมู่มองไปยังทุกอากัปกิริยาของหูปู้กุยบนแท่นประหารเทพอย่างกระวนกระวาย ตอนนี้เป็นเวลาสำคัญอย่างยิ่งยวด และหากว่าการตรึกตรองเข้าใจของหูปู้กุยถูกขัดจังหวะ การคืนกลับสู่สภาวะตรึกตรองเต๋านี้ก็จะยากยิ่งกว่าหาบันไดไต่ขึ้นสวรรค์ มันจะยากเข็ญอย่างสุดแสนที่จะเติมเต็มในสิ่งที่เขาสูญเสียไปในการตรึกตรอง และฉินมู่ก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่านั่นจะรู้สึกอย่างไร

เขาเคยถูกขัดจังหวะตรึกตรองเต๋ามาก่อน ตอนที่เขาหลบหนีจากฟู่ยื่อลัวในคราวนั้น และเขาก็ตกลงไปในสภาวะตรึกตรองเต๋าระหว่างที่รีบรุดไปยังเมืองหลี กระนั้นเขาก็ถูกยอดฝีมือเผ่ามารมากมายกลุ้มรุมต่อสู้ และทำลายสภาวะตรึกตรองเต๋าของเขาด้วยกำลัง

สภาวะตรึกตรองเต๋าเป็นบางสิ่งที่ไม่ใช่ว่าสักแต่จะเสาะหาก็จะได้มา แม้ว่าด้วยอายุขัยอันไร้สิ้นสุด จำนวนครั้งที่เทพเจ้าตกลงไปในสภาวะตรึกตรองเต๋านั้นก็นับได้ด้วยนิ้วมือ

แม้แต่อัจฉริยะอันเหนือโลกก็ไม่อาจเข้าสู่สภาวะนี้ได้เกินกว่าสิบครั้ง

ขนาดกายาจ้าวแดนดินอย่างข้า ก็ยังเข้าสู่สภาวะตรึกตรองเต๋าแค่สามสี่หน

สายตาของฉินมู่จับจ้องไปที่เงาร่างของหูปู้กุยอย่างไม่วางตา เขานั้นเป็นอัจฉริยะในมรรคาบู๊อย่างแน่แท้ น่าเสียดายว่าแท่นประหารเทพมิได้ใหญ่โตอะไร ดังนั้นอีกไม่นานเขาก็จะเดินออกมาพ้นมันแล้ว!

ทันทีที่เขาเดินพ้นออกจากแท่นประหารเทพ โดยปราศจากแสงโลหิตสองสายที่คุกคามเขา แรงกดดันก็จะลดทอนลงไปอย่างมหันต์ และนั่นก็จะปลุกหูปู้กุยให้ฟื้นตื่นจากสภาวะตรึกตรองเต๋า

เมื่อครั้งก่อนนั้น ฉินมู่หลุดออกมาจากสภาวะตรึกตรองเต๋าเพราะว่าแรงกดดันที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ในที่สุด หูปู้กุยก็เดินลงมาจากแท่นประหารเทพ และจิตหาญสู้ของฉินมู่ก็พวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า เขาพลันโจมตีไปยังหูปู้กุย!

ซือเหมยเสว่ร้องออกมาและกำลังจะยับยั้งฉินมู่ แต่ทันใดนั้นฉินมู่ก็เผยร่างสามเศียรหกกร เขาซัดนางกระเด็นไปด้วยสามหมัดและสองลูกเตะ!

ซือเหมยเสว่กระเด็นเข้าปะทะกับกำแพงอัครนครหยก และนางรีบคว้าจับศีรษะของนางเอาไว้ป้องกันมิให้มันร่วงตก นางงงงัน ทำไมศิษย์พี่ฉินถึงโจมตีศิษย์พี่หู

ฉินมู่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและร่างของเขาก็หลงเหลือภาพค้างทิ้งเอาไว้มากมาย เขาขับเคลื่อนขาเทวะขโมยสวรรค์จนถึงขีดสุด และแขนของเขาก็กวัดแกว่งไปรอบๆ เพื่อโจมตีด้วยความเร็วอันเกินกว่าที่ตาเปล่าจะมองทัน!

เขาหมายที่จะเพิ่มแรงกดดันให้แก่หูปู้กุยเพื่อให้หูปู้กุยรักษาสภาวะตรึกตรองเต๋าเอาไว้ได้ เพื่อให้สามารถสำเร็จการย่างกรายสู่เต๋าด้วยวิญญาณบู๊!

หูปู้กุยเดินต่อไปข้างหน้า และความเร็วการโจมตีของเขาก็ยิ่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้น เขาสกัดขัดขวางการโจมตีทั้งหมดของฉินมู่ และภาพค้างที่เขาหลงเหลือเอาไว้ข้างหลังก็มากมายขึ้นเรื่อยๆ พลานุภาพของทักษะเทวะกายเนื้อของเขาระเบิดออกไปก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นทุกที

เดิมทีฉินมู่ควบคุมพลังโจมตีของกระบวนท่าของเขา แต่ไม่ช้าฉินมู่ก็พบว่าพลังตอบโต้ของหูปู้กุยยิ่งเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว และกระบวนท่าของเขาก็ยิ่งเผ็ดร้อน เขายังคงกดดันหูปู้กุยเข้าไปอีก และหมายที่จะรีดเร้นศักยภาพของอีกฝ่ายออกมาให้มากกว่านี้!

รอบกายของหูปู้กุยมีเงาภาพติดตาเป็นร้อยภาพแล้ว จำนวนยังคงเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ และเขายังคงรักษาการเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงได้

ทั้งสองคนต่อสู้เข้าไปในอัครนครหยก และบุกตะลุยฝ่าฟันไปยังมหานครบนฟากฟ้า

มือของซือเหมยเสว่จับคอของนางเอาไว้ และอีกมือหนึ่งก็โจมตีฉินมู่ ทันใดนั้น เสียงระเบิดดังก้อง และนางก็ถูกซัดกระเด็นออกไปจากอัครนครหยก หัวใจของนางเต็มไปด้วยความตัดพ้อ เจ้ายังเรียกข้าว่าพี่สาวอยู่หลัดๆ แต่ก็ลงมือหนักเสียขนาดนี้…

ทั้งสองคนต่อสู้กันไปจนถึงวิหารแรกของอัครนครหยก และผู้ที่พิทักษ์วิหารคือหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง แม้ว่านางจะเป็นสตรี แต่ก็มีบรรยากาศของผู้นำกองทัพ เมื่อนางเห็นทั้งสองคนต่อสู้เข้ามา นางกำลังจะลงมือ แต่พลันตระหนักได้ถึงจิตเจตนาของฉินมู่และรีบข่มระงับปราณ โลหิต และวรยุทธของตนเองเอาไว้ นางไม่เข้าไปรบกวนทั้งสองคนและปล่อยให้ทั้งคู่สู้กันผ่านไป

“หูปู้กุยกำลังย่างกรายสู่เต๋าด้วยวิญญาณบู๊ และเขาอาจจะเป็นคนแรกที่ข้ามไปยังปราสาทสวรรค์จากขั้นเป็นตาย”

หญิงผู้นั้นยืนไพล่หลังและดวงตาของนางเป็นประกาย นางเห็นพวกเขาทุบทลายประตูหลังของวิหารเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และกล่าวด้วยเสียงเบา “ไม่สิ เขาเป็นคนที่สอง นั่นเพราะว่า…”

นางเดินออกไปจากประตูหลังแตกหักของโถงวังและมองตรงไปยังตำหนักชิดฟ้า “เขาเองก็ไม่มีสะพานเทวะ มันเป็นภูเขาอันเกินจะข้ามพ้นในมรรคาบู๊ และเขาคือขุนเขาลูกนั้น เขาคือบุรุษอันดับหนึ่งแห่งมรรคาบู๊!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด