ตำนานเทพกู้จักรวาล 582 ผู้สร้างความมืด

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 582 ผู้สร้างความมืด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เวลาแห่งแดนโบราณวินาศไม่ตรงกับสวรรค์ไท่หวง และเพราะว่าพีชคณิตของพวกเขาก็ย่ำแย่ ดังนั้นหนึ่งรอบดวงอาทิตย์จึงไม่เท่ากับยี่สิบสี่ชั่วโมง เพราะอย่างนั้น เวลากลางวันและกลางคืนของสวรรค์ไท่หวงจึงไม่แม่นยำ

หลังจากที่ฉินมู่ได้ทำลายดวงตะวันไปหนึ่งดวง ราชครูสันตินิรันดร์ก็หลอมสร้างดวงตะวันใหม่ที่ใช้รอบยี่สิบสี่ชั่วโมงของสันตินิรันดร์

และเพราะว่าราชครูสันตินิรันดร์เคร่งครัดทุกกระเบียดนิ้ว เขาจึงพยายามทำให้ทุกสิ่งสมบูรณ์แบบ ในชั่วขณะที่ดวงตะวันถูกจุด มันตรงกับดวงตะวันแห่งสันตินิรันดร์ นี่หมายความว่าช่วงจังหวะที่ความมืดเข้ากลืนกินแดนโบราณวินาศก็จะตรงกับเวลากลางคืนที่นี่โดยไม่คลาดเคลื่อนสักวินาที

ในขณะนี้เป็นเวลากลางคืนในแดนโบราณวินาศ

มีวิธีเดินทางในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศเพียงสองวิธี ไม่อย่างนั้นผู้เดินทางก็จะตายอย่างน่าอนาถจากคำสาปหรือไม่ก็ถูกสัตว์ประหลาดในความมืดกัดกิน

วิธีแรกเพื่อหลีกเลี่ยงชะตากรรมนั้นก็คือจะต้องมีกำลังฝีมือเทียบเทียมเทพเจ้า

วิธีที่สองคือจะต้องถือกำเนิดในแดนใต้พิภพเหมือนฉินมู่

วิธีแรกนั้นจะต้องใช้ยอดยุทธฝีมือแกร่งใช้รัศมีเทวะของตนเพื่อขับไล่ความมืดออกไป แต่ทว่าวิธีที่สอง จะต้องมีการถือกำเนิดมาอย่างประหลาดมหัศจรรย์ เหมือนกับของฉินมู่ ดังนั้นเมื่อเขาเข้าไปในความมืด คำสาปและสัตว์ประหลาดทั้งหลายจึงไม่อาจทำอะไรเขาได้

ด้วยวิธีแรก ยอดฝีมือที่เข้าไปในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศก็จะไม่อาจมองเห็นสวรรค์ไท่หวง และผู้คนในสวรรค์ไท่หวงก็ไม่อาจเห็นพวกเขาเช่นกัน

แต่ด้วยวิธีที่สอง พวกเขาก็จะสามารถเดินผ่านสวรรค์ไท่หวง และผู้คนที่นั่นก็จะมองเห็นพวกเขาได้ในแบบเงา เป็นเงาที่คล้ายกับก่อขึ้นมาจากทรายดำ ฉินมู่ได้รู้จักกับซังฮั่วผ่านวิธีการนี้

แต่แม้ว่าวิธีหลังจะทำให้ผู้ใช้มองเห็นผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวงได้ พวกเขาก็ไม่อาจสื่อสารหรือส่งผ่านข้อมูลที่มีประโยชน์ได้

กระนั้น เมื่อเห็นอีกคนหนึ่งที่สามารถเดินฝ่าความมืดแห่งแดนโบราณวินาศ ฉินมู่ก็แตกตื่นจนระงับไม่อยู่

ท้าวยมราชและภูติบดีกล่าวว่าข้านั้นเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่ถือกำเนิดจากครรภ์ในแดนใต้พิภพ หรือว่าจะมีบุคคลที่สองที่ถือกำเนิดในแดนใต้พิภพหลังจากข้า ทำไมภูติบดีไม่เห็นพูดถึงเรื่องนี้เลย

ด้วยความฉงน เขาเพ่งพิศดูเงาดำ และก็ถูกอีกฝ่ายเพ่งพิศเช่นกัน คนผู้นั้นเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

ทั้งสองคนเดินวนอ้อมกันไปมา หมายที่จะเสาะหาเบาะแส

ฉินมู่หยุดเท้า เงานั้นก็หยุด มันพลันหันหัวไปเพื่อกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ถ้อยคำของเขาไม่ชัดเจน

เขาน่าจะมีคนอื่นอยู่ข้างๆ เขา! ฉินมู่หัวใจไหวสะท้านเล็กน้อย แต่คนผู้นั้นมิได้เดินไปข้างในความมืด เขาขับไล่ความมืดออกจากตัว ดังนั้นข้าจึงมองไม่เห็นอีกคน

เงาพลันหันกาย และกระโดดไปราวเหินบินก่อนที่จะหายสาบสูญ

ฉินมู่ไม่ได้ไล่ตามไปก็เพราะว่าอีกฝ่ายอยู่ในแดนโบราณวินาศ หากว่าเขาต้องการจะหลบซ่อน ก็มีวิธีมากมาย เขาสามารถหายไปได้เพียงแค่เดินเข้าไปในซากโบราณ

กายาจ้าวแดนดินแห่งเผ่ามาร…เขาไปปรากฏในแดนโบราณวินาศได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ เขาจะต้องมีตัวตนระดับมารเทวะอยู่ข้างๆ แต่หากมารเทวะหมายจะผ่านเข้ามาทางสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ ก็จะต้องถูกตรวจพบแน่นอน

ความคิดของเขาสับสนพลางพึมพำ “หรือว่าจะมีวิธีอื่นในการเข้าแดนโบราณวินาศ”

มีความลับอยู่มากมายในแดนโบราณวินาศ ครั้งหนึ่งฉินมู่เคยหลุดเข้าไปในยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง เขายังได้ไปยังแดนใต้พิภพผ่านหุบเขาภูตผี และถึงกับเคยเยี่ยมเยือนยมโลกสามครั้ง นี่แสดงว่าแดนโบราณวินาศเชื่อมต่อกับโลกมิติอื่นอย่างแน่นอน

เทพซังเย่และคนอื่นๆ เรียกแดนโบราณวินาศว่าสภาสวรรค์แห่งจักรพรรดิก่อตั้ง ดังนั้นมันจะต้องมีความลับอีกมากมายที่รอให้ข้าค้นพบ…จริงด้วย ข้าก็สามารถถามราชันย์ขุนนางแห่งแดนใต้พิภพได้นี่!

ฉินมู่คึกคักขึ้นมา และร่างของเขาก็สั่นเทิ้ม ประตูน้อมสวรรค์ปรากฏข้างหลังเขา และประตูค่อยๆ เปิดออกอย่างแช่มช้า ปราณมารแห่งแดนใต้พิภพไหลออกมา ทำให้ความมืดยิ่งมืดมน

เฒ่าบอดขมวดคิ้วอย่างแรง แต่หลังจากที่คิดอยู่นิดหนึ่ง เขาก็ไม่ห้ามฉินมู่ มู่เอ๋อมักจะเต็มไปด้วยความคิดแปลกๆ เช่นนั้นก็อย่าเพิ่งไปขัดขวางเขาและรอดูดีกว่าว่าเขาจะทำอะไร

ฉินมู่ตั้งตัว และเสียงอันลากยาวของภาษามารแห่งแดนใต้พิภพก็ออกมาจากปากของเขา เขาเพียงแค่พร่ำพูดมันแต่ไม่ร่ายนำทางวิญญาณ

ผ่านไปสักพัก ตะเกียงดวงหนึ่งก็ส่องออกมาจากข้างในประตูน้อมสวรรค์ เมื่อเฒ่าบอดมองเข้าไปในประตู เขาก็เห็นเรือน้อยแล่นลอยออกมาจากความมืด แสงริบหรี่ส่องมาจากตะเกียงที่แขวนไว้บนกราบเรือ

“ผู้นำทางความตาย!” เฒ่าบอดแตกตื่น และทวนเทวะหลงถัวข้างหลังเขาก็ส่งเสียงมังกรคำรามในเมื่อมันเองก็กระสับกระส่ายไม่แพ้กัน

“ท่านปู่บอด ผู้อาวุโสหลงถัว ไม่จำเป็นต้องกระวนกระวาย นี่คือราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์แห่งแดนใต้พิภพ เขานั้นถูกเรียกว่าราชันย์ขุนนาง” ฉินมู่อธิบาย

เฒ่าบอดจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง และหัวใจของเขาก็สะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง มู่เอ๋อยังคบหากับแดนใต้พิภพด้วยหรือ และถึงกับเป็นราชันย์ขุ่นนางแห่งแดนใต้พิภพ ไม่เจอหน้าเขาแค่ไม่กี่วัน เจ้าเด็กนี่ก็เก่งใหญ่ล่ะ!

แม้กระนั้น เขาก็ไม่กล้าที่จะผ่อนคลาย หลงถัวแปลงเป็นร่างทวนและกระหวัดพันรอบตัวเขา พร้อมที่จะจู่โจมได้ทุกเวลา

“เจ้าอีกแล้ว…”

เรือกระดาษลอยออกมาจากประตูน้อมสวรรค์ และตะเกียงก็ถูกปลดลงมา ผู้เฒ่าบนเรือสีหน้าไร้อารมณ์และซ่อนหน้าของเขาไว้เบื้องหลังแสงที่ฉายส่องลงไปบนหน้าของฉินมู่ น้ำเสียงของเขาก็ราบเรียบ “อย่าก่อเรื่องวุ่นวายและอย่าใช้ภาษามารแดนใต้พิภพโดยไม่มีเหตุอันควร นี่มันไม่ดีสำหรับตัวเจ้า ระวังเถอะจะไปแตะต้องเข้ากับผนึกในสักวัน แล้วจะมาเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว”

ฉินมู่รีบส่งยิ้มขอโทษขอโพยไปและกล่าว “ราชันย์ขุนนาง ที่ข้าเชิญท่านมาในวันนี้…”

ผู้เฒ่านำทางความตายส่ายหัวและกล่าว “เจ้าไม่ได้เชิญข้า ถ้อยคำของเจ้าบีบให้ข้าต้องออกมาโดยไร้ทางเลือก เจ้าก่อเรื่องวุ่นวายอีกแล้วหรือ คราวนี้อะไรอีกล่ะ บอกมาสิ ตราบใดที่ไม่ขัดกับกฎของแดนใต้พิภพ ข้าก็สามารถช่วยเจ้าแก้ไขตามที่เจ้าต้องการได้ แต่หากว่ามันยากเกินไป เช่นนั้นก็ลาก่อน”

เฒ่าบอดตาเป็นประกาย และเขามองไปยังใบหน้าของผู้เฒ่าข้างหลังตะเกียง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจมองเห็นเค้าหน้าของราชันย์ขุนนางได้ ทำให้เขาตกตะลึง

วรยุทธของเขาได้เพิ่มพูนเป็นอย่างมาก และเขาก็ได้ข้ามสะพานเทวะมายืนอยู่นอกประตูสวรรค์ทักษิณแล้ว พลานุภาพเนตรเทวะของเขาย่อมเพิ่มพูนขึ้นเป็นเงาตามตัว กระนั้นเขาก็ยังไม่อาจมองเห็นใบหน้าของราชันย์ขุนนางได้ นี่แสดงว่ากำลังฝีมือของฝ่ายตรงข้ามนั้นลึกล้ำเกินจะหยั่ง

มู่เอ๋อถึงกับเป็นสหายกับราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์! เฒ่าบอดอุทานในใจด้วยความชื่นชมยกย่อง มู่เอ๋อนี่เหมือนข้าจริงๆ คบหาสหายทั่วทุกหนทุกแห่ง เขาไม่ลืมสิ่งที่ข้าพร่ำสอนมาตลอดหลายปี

ฉินมู่ถามหยั่งข้อสันนิษฐานของเขาออกไปสองข้อ “ขอเรียนถามราชันย์ขุนนาง หลังจากที่ข้าเกิดขึ้นมาแล้ว มีสิ่งมีชีวิตที่สองที่ถือกำเนิดในแดนใต้พิภพหรือไม่ และคนผู้นั้นก็ถือกำเนิดจากครรภ์ด้วยหรือไม่”

ผู้เฒ่านำทางความตายยิ้มหยัน “หลังจากฉินเฟิงชิงคนที่หนึ่ง ใครจะกล้าปล่อยให้ฉินเฟิงชิงคนที่สองกำเนิดขึ้นมา แค่เจ้าตัวที่ดุร้ายและซุกซนหนึ่งตนก็ทรมาทรกรรมพวกเรามากพอแล้ว หลังจากที่เจ้าถือกำเนิด ภูติบดีก็ได้ออกไปตรวจตราทุกดินแดนในแดนใต้พิภพ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีกรณีที่สอง!”

ฉินมู่ฉงนใจ “ถ้าอย่างนั้น ทำไมเงาของเขาถึงสามารถเข้าไปในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศเหมือนกับข้าได้”

“เจ้าพูดถึงข้อสันนิษฐานสองข้อ แต่เจ้าไม่รู้ถึงความเป็นไปได้ที่สาม” ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าว “ความมืดแห่งแดนโบราณวินาศเป็นทั้งคำสาปและเป็นทั้งการปิดผนึก มันไม่ได้กำเนิดขึ้นมาจากอากาศธาตุ แต่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือใครบางคน ผู้สร้างความมืดในแดนโบราณวินาศ ก็ย่อมเดินไปท่ามกลางมันได้”

ฉินมู่ร่างสั่นเทิ้ม และจิตคิดของเขากระเจิดกระเจิงไปหมด!

ผู้เฒ่านำทางความตายพูดถูก ผู้สร้างความมืดในแดนโบราณวินาศ ย่อมจะต้องเข้าไปในความมืดโดยไม่เป็นอันตรายได้อย่างแน่นอน!

เมื่อครู่นี้ เขามีกรอบคิดที่ผิดพลาดของการได้พบกับพวกเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงคาดเดาว่านั่นคือกายาจ้าวแดนดินจากแดนใต้พิภพ และไม่ได้ใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้อื่น แต่บัดนี้เมื่อเขาลองมาคิดๆ ดู เงานั้นน่าจะเป็นเด็กหนุ่ม ความเร็วของเขามิได้รวดเร็วนัก ทำให้เห็นได้ว่าเขายังไม่บรรลุเขตขั้นเทวะ

หากว่าเด็กหนุ่มเงามืดเกี่ยวข้องกับผู้สร้างความมืดในแดนโบราณวินาศ–บางทีอาจจะเป็นผู้สืบทอดของเขา–และเชี่ยวชาญในคำสาปกับผนึกในความมืด เขาย่อมจะต้องมีวิธีการที่จะไม่เป็นอันตรายจากความมืดเมื่อเข้าไปในนั้น!

“ข้าไขคำถามให้กับเจ้าแล้ว” ผู้เฒ่านำทางความตายขึ้นเรือกระดาษของเขาและแขวนตะเกียงไว้ที่กราบเรือ จากนั้นเขาก็หันเรือกลับและกล่าวอย่างเย็นชา “อย่าพูดภาษาแดนใต้พิภพโดยไร้เหตุผล! ข้ากำลังทำงานเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณของหั่วถูลัวอยู่ เมื่อข้าได้ยินเสียงของเจ้า ดวงวิญญาณข้าเกือบตกใจจนขวัญบิน! หากว่าเจ้าก่อเรื่องวุ่นวายอีก เตรียมรอรับโทษหนักได้เลยหลังจากที่เจ้าตาย!” หลังจากเขากล่าวเช่นนั้น เขาก็พายเรือน้อยเพื่อแล่นกลับเข้าไปในประตูน้อมสวรรค์

ฉินมู่รีบโบกมือลาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ราชันย์ขุนนาง หลังจากที่ข้าตาย ข้าจะนำอาหารดีๆ และของเล่นมากมายไปฝากท่าน!”

“ข้าไม่ต้องการ!” เสียงแข็งทื่อดังมาจากข้างในประตูน้อมสวรรค์

“มู่เอ๋อ เจ้านับว่ามีพรสวรรค์ในการคบหาสหายจริงๆ มีสหายอยู่ทั่วทุกมุมโลก แม้แต่ในแดนใต้พิภพ” เฒ่าบอดชื่นชมอย่างจริงใจ “ข้ามองออกว่าราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์ชอบเจ้าเป็นอย่างยิ่ง”

“นี่ต้องขอบคุณการสั่งสอนของท่านปู่บอด ข้าได้รับฟังพวกมันใส่ใจและวางตนให้ถ่อมตัวตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วข้าจึงได้รับความนิยมชมชอบจากราชันย์ขุนนาง” ฉินมู่กล่าวอย่างถ่อมตน

“ใครนิยมชมชอบเจ้า!” เสียของผู้เฒ่านำทางความตายดังมาจากที่ไกลๆ

ฉินมู่และเฒ่าบอดแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและยกย่องกันไปมา ในตอนนั้น พวกเขาเต็มไปด้วยความคึกคักแจ่มใส และฉินมู่ก็ปิดประตูน้อมสวรรค์ก่อนที่จะขบคิด “ทำไมศิษย์ของผู้สร้างความมืดถึงปรากฏตัวในแดนโบราณวินาศ พวกเขาเข้ามาด้วยเรื่องอะไร”

เฒ่าบอดเก็บทวนเทวะหลงถัวของเขากลับไปและเดินไปยังทิศทางของยายเฒ่าซีและคนอื่นๆ เขากล่าวอย่างเยือกเย็น “เพราะว่าการปฏิรูปของสันตินิรันดร์ ภูตีปีศาจทั้งหลายถึงเสนอหน้าออกมา รูปสลักหินและอาวุธภูมิอากาศทั้งหลายผุดขึ้นมาทุกหนทุกแห่ง ต่อให้ตอนนี้พวกมันจะยังไม่มีความเคลื่อนไหวก็ตาม”

“เทพศาสตราเหล่านั้นถูกราชครูสันตินิรันดร์เอาไปปิดผนึกเอาไว้ ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีคนออกมาดู เจ้าไม่ต้องกังวลมากมายหรอก แดนโบราณวินาศปลอดภัยดี และจะไม่ตกอยู่ในอันตรายใดๆ ในทางกลับกัน สันตินิรันดร์ต่างหากที่ต้องระวังตัว”

ฉินมู่ละวางเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว

ข้างๆ ของศิษย์ผู้สร้างความมืดน่าจะเป็นยอดยุทธเขตขั้นเทวะ เพียงแต่ว่าฉินมู่ไม่รู้ว่านั่นคือเทพหรือมาร แต่ไม่ว่าแบบไหนก็อันตรายอยู่ดี

แต่ถึงอย่างไร สันตินิรันดร์ก็ไม่ได้อ่อนแอเหมือนในอดีต มันมียอดฝีมือมากมาย และยังมีเทพเจ้าจำนวนหนึ่งที่คอยปกปักษ์อารักขาอยู่ จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็อยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่

“เงาร่างสองเงาร่างที่พวกเราเห็นแปลกประหลาดจริง” ในความมืดของแดนโบราณวินาศ เด็กหนุ่มที่อายุไล่เลี่ยกับฉินมู่หยุดเท้าและกล่าวกับเทพเจ้าผู้สูงตระหง่านข้างๆ เขา “เด็กหนุ่มนั่นสำรวจตรวจตราข้า ดูเหมือนจะตื่นตะลึงกับการปรากฏตัวของข้า แต่ดูเหมือนเขาไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องประหลาด ราวกับว่าเขาเคยเห็นเรื่องทำนองเดียวกันมาก่อน เทพครองดาวตะวัน บุคคลผู้นั้นค่อนข้างน่าสงสัย”

ข้างๆ เขา เทพตนหนึ่งที่มีขาสามขาลุกไหม้ด้วยเพลิงไฟ ปีกข้างหลังเขาทำให้เขาดูราวกับดวงตะวันอันเคลื่อนที่ได้ เสียงของเขากึกก้องเมื่อกล่าวไป “คุณชายฉีคิดมากไปแล้ว ข้าได้ลงมาจากดวงตะวันเพื่อช่วยเหลือท่านตามหาเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าฉินมู่ แต่ข้าถามได้หรือไม่ว่าคนผู้นี้ทำอะไรไปหรือ”

“ข่าวจากแดนใต้พิภพว่าเขาคือมารที่กำเนิดในแดนใต้พิภพ ซึ่งในภายหลังถูกเนรเทศมายังสันตินิรันดร์ เบื้องบนมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ แต่พวกเขาไม่อาจส่งกองพลและแม่ทัพสวรรค์ลงมายังโลกต่ำใต้ ดังนั้นจึงส่งข้ามาชิงตัวเขา”

“เบื้องบนไม่เชื่อใจเผ่ามาร และลู่หลีก็ต้องมีแผนการของนางเองเป็นแน่ นางหมายที่จะชิงตัวฉินมู่ไปและกลายเป็นจ้าวแดนดินแห่งแดนใต้พิภพ อีกสาเหตุหนึ่งที่เบื้องบนส่งข้ามาก็เพื่อกระตุ้นการทำงานของอาวุธภูมิอากาศ และส่งสันตินิรันดร์ให้จมลงไปในภัยพิบัติให้เร็วที่สุด”

เทพครองดาวตะวันสามขาขมวดคิ้ว “เทพศาสตราภูมิอากาศล้วนแต่ถูกราชครูสันตินิรันดร์ชิงไปหมด และไม่มีใครรู้ว่าพวกมันถูกซ่อนเอาไว้ที่ไหน”

คุณชายฉีไม่ทุกข์ร้อน และเพียงแต่แย้มยิ้มอย่างเฉื่อยชา “ก็ฉินมู่ที่กำเนิดในแดนใต้พิภพนี่ไม่ใช่หรือ ที่เป็นอาวุธภูมิอากาศขนาดใหญ่มหึมาที่สุด เมื่อพวกเราทำลายผนึกของเขา เขาก็จะทำลายล้างสันตินิรันดร์ด้วยมือของเขาเอง เรื่องนี้ง่ายดายจนไม่รู้จะง่ายอย่างไร”

เทพครองดาวตะวันร่างสั่นสะท้าน และเขากล่าวชมด้วยความนับถืออย่างสุดจิตสุดใจ “คุณชายฉีช่างทรงปัญญา!”

 …………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเทพกู้จักรวาล 582 ผู้สร้างความมืด

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 582 ผู้สร้างความมืด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เวลาแห่งแดนโบราณวินาศไม่ตรงกับสวรรค์ไท่หวง และเพราะว่าพีชคณิตของพวกเขาก็ย่ำแย่ ดังนั้นหนึ่งรอบดวงอาทิตย์จึงไม่เท่ากับยี่สิบสี่ชั่วโมง เพราะอย่างนั้น เวลากลางวันและกลางคืนของสวรรค์ไท่หวงจึงไม่แม่นยำ

หลังจากที่ฉินมู่ได้ทำลายดวงตะวันไปหนึ่งดวง ราชครูสันตินิรันดร์ก็หลอมสร้างดวงตะวันใหม่ที่ใช้รอบยี่สิบสี่ชั่วโมงของสันตินิรันดร์

และเพราะว่าราชครูสันตินิรันดร์เคร่งครัดทุกกระเบียดนิ้ว เขาจึงพยายามทำให้ทุกสิ่งสมบูรณ์แบบ ในชั่วขณะที่ดวงตะวันถูกจุด มันตรงกับดวงตะวันแห่งสันตินิรันดร์ นี่หมายความว่าช่วงจังหวะที่ความมืดเข้ากลืนกินแดนโบราณวินาศก็จะตรงกับเวลากลางคืนที่นี่โดยไม่คลาดเคลื่อนสักวินาที

ในขณะนี้เป็นเวลากลางคืนในแดนโบราณวินาศ

มีวิธีเดินทางในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศเพียงสองวิธี ไม่อย่างนั้นผู้เดินทางก็จะตายอย่างน่าอนาถจากคำสาปหรือไม่ก็ถูกสัตว์ประหลาดในความมืดกัดกิน

วิธีแรกเพื่อหลีกเลี่ยงชะตากรรมนั้นก็คือจะต้องมีกำลังฝีมือเทียบเทียมเทพเจ้า

วิธีที่สองคือจะต้องถือกำเนิดในแดนใต้พิภพเหมือนฉินมู่

วิธีแรกนั้นจะต้องใช้ยอดยุทธฝีมือแกร่งใช้รัศมีเทวะของตนเพื่อขับไล่ความมืดออกไป แต่ทว่าวิธีที่สอง จะต้องมีการถือกำเนิดมาอย่างประหลาดมหัศจรรย์ เหมือนกับของฉินมู่ ดังนั้นเมื่อเขาเข้าไปในความมืด คำสาปและสัตว์ประหลาดทั้งหลายจึงไม่อาจทำอะไรเขาได้

ด้วยวิธีแรก ยอดฝีมือที่เข้าไปในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศก็จะไม่อาจมองเห็นสวรรค์ไท่หวง และผู้คนในสวรรค์ไท่หวงก็ไม่อาจเห็นพวกเขาเช่นกัน

แต่ด้วยวิธีที่สอง พวกเขาก็จะสามารถเดินผ่านสวรรค์ไท่หวง และผู้คนที่นั่นก็จะมองเห็นพวกเขาได้ในแบบเงา เป็นเงาที่คล้ายกับก่อขึ้นมาจากทรายดำ ฉินมู่ได้รู้จักกับซังฮั่วผ่านวิธีการนี้

แต่แม้ว่าวิธีหลังจะทำให้ผู้ใช้มองเห็นผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวงได้ พวกเขาก็ไม่อาจสื่อสารหรือส่งผ่านข้อมูลที่มีประโยชน์ได้

กระนั้น เมื่อเห็นอีกคนหนึ่งที่สามารถเดินฝ่าความมืดแห่งแดนโบราณวินาศ ฉินมู่ก็แตกตื่นจนระงับไม่อยู่

ท้าวยมราชและภูติบดีกล่าวว่าข้านั้นเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่ถือกำเนิดจากครรภ์ในแดนใต้พิภพ หรือว่าจะมีบุคคลที่สองที่ถือกำเนิดในแดนใต้พิภพหลังจากข้า ทำไมภูติบดีไม่เห็นพูดถึงเรื่องนี้เลย

ด้วยความฉงน เขาเพ่งพิศดูเงาดำ และก็ถูกอีกฝ่ายเพ่งพิศเช่นกัน คนผู้นั้นเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

ทั้งสองคนเดินวนอ้อมกันไปมา หมายที่จะเสาะหาเบาะแส

ฉินมู่หยุดเท้า เงานั้นก็หยุด มันพลันหันหัวไปเพื่อกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ถ้อยคำของเขาไม่ชัดเจน

เขาน่าจะมีคนอื่นอยู่ข้างๆ เขา! ฉินมู่หัวใจไหวสะท้านเล็กน้อย แต่คนผู้นั้นมิได้เดินไปข้างในความมืด เขาขับไล่ความมืดออกจากตัว ดังนั้นข้าจึงมองไม่เห็นอีกคน

เงาพลันหันกาย และกระโดดไปราวเหินบินก่อนที่จะหายสาบสูญ

ฉินมู่ไม่ได้ไล่ตามไปก็เพราะว่าอีกฝ่ายอยู่ในแดนโบราณวินาศ หากว่าเขาต้องการจะหลบซ่อน ก็มีวิธีมากมาย เขาสามารถหายไปได้เพียงแค่เดินเข้าไปในซากโบราณ

กายาจ้าวแดนดินแห่งเผ่ามาร…เขาไปปรากฏในแดนโบราณวินาศได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ เขาจะต้องมีตัวตนระดับมารเทวะอยู่ข้างๆ แต่หากมารเทวะหมายจะผ่านเข้ามาทางสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ ก็จะต้องถูกตรวจพบแน่นอน

ความคิดของเขาสับสนพลางพึมพำ “หรือว่าจะมีวิธีอื่นในการเข้าแดนโบราณวินาศ”

มีความลับอยู่มากมายในแดนโบราณวินาศ ครั้งหนึ่งฉินมู่เคยหลุดเข้าไปในยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง เขายังได้ไปยังแดนใต้พิภพผ่านหุบเขาภูตผี และถึงกับเคยเยี่ยมเยือนยมโลกสามครั้ง นี่แสดงว่าแดนโบราณวินาศเชื่อมต่อกับโลกมิติอื่นอย่างแน่นอน

เทพซังเย่และคนอื่นๆ เรียกแดนโบราณวินาศว่าสภาสวรรค์แห่งจักรพรรดิก่อตั้ง ดังนั้นมันจะต้องมีความลับอีกมากมายที่รอให้ข้าค้นพบ…จริงด้วย ข้าก็สามารถถามราชันย์ขุนนางแห่งแดนใต้พิภพได้นี่!

ฉินมู่คึกคักขึ้นมา และร่างของเขาก็สั่นเทิ้ม ประตูน้อมสวรรค์ปรากฏข้างหลังเขา และประตูค่อยๆ เปิดออกอย่างแช่มช้า ปราณมารแห่งแดนใต้พิภพไหลออกมา ทำให้ความมืดยิ่งมืดมน

เฒ่าบอดขมวดคิ้วอย่างแรง แต่หลังจากที่คิดอยู่นิดหนึ่ง เขาก็ไม่ห้ามฉินมู่ มู่เอ๋อมักจะเต็มไปด้วยความคิดแปลกๆ เช่นนั้นก็อย่าเพิ่งไปขัดขวางเขาและรอดูดีกว่าว่าเขาจะทำอะไร

ฉินมู่ตั้งตัว และเสียงอันลากยาวของภาษามารแห่งแดนใต้พิภพก็ออกมาจากปากของเขา เขาเพียงแค่พร่ำพูดมันแต่ไม่ร่ายนำทางวิญญาณ

ผ่านไปสักพัก ตะเกียงดวงหนึ่งก็ส่องออกมาจากข้างในประตูน้อมสวรรค์ เมื่อเฒ่าบอดมองเข้าไปในประตู เขาก็เห็นเรือน้อยแล่นลอยออกมาจากความมืด แสงริบหรี่ส่องมาจากตะเกียงที่แขวนไว้บนกราบเรือ

“ผู้นำทางความตาย!” เฒ่าบอดแตกตื่น และทวนเทวะหลงถัวข้างหลังเขาก็ส่งเสียงมังกรคำรามในเมื่อมันเองก็กระสับกระส่ายไม่แพ้กัน

“ท่านปู่บอด ผู้อาวุโสหลงถัว ไม่จำเป็นต้องกระวนกระวาย นี่คือราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์แห่งแดนใต้พิภพ เขานั้นถูกเรียกว่าราชันย์ขุนนาง” ฉินมู่อธิบาย

เฒ่าบอดจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง และหัวใจของเขาก็สะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง มู่เอ๋อยังคบหากับแดนใต้พิภพด้วยหรือ และถึงกับเป็นราชันย์ขุ่นนางแห่งแดนใต้พิภพ ไม่เจอหน้าเขาแค่ไม่กี่วัน เจ้าเด็กนี่ก็เก่งใหญ่ล่ะ!

แม้กระนั้น เขาก็ไม่กล้าที่จะผ่อนคลาย หลงถัวแปลงเป็นร่างทวนและกระหวัดพันรอบตัวเขา พร้อมที่จะจู่โจมได้ทุกเวลา

“เจ้าอีกแล้ว…”

เรือกระดาษลอยออกมาจากประตูน้อมสวรรค์ และตะเกียงก็ถูกปลดลงมา ผู้เฒ่าบนเรือสีหน้าไร้อารมณ์และซ่อนหน้าของเขาไว้เบื้องหลังแสงที่ฉายส่องลงไปบนหน้าของฉินมู่ น้ำเสียงของเขาก็ราบเรียบ “อย่าก่อเรื่องวุ่นวายและอย่าใช้ภาษามารแดนใต้พิภพโดยไม่มีเหตุอันควร นี่มันไม่ดีสำหรับตัวเจ้า ระวังเถอะจะไปแตะต้องเข้ากับผนึกในสักวัน แล้วจะมาเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว”

ฉินมู่รีบส่งยิ้มขอโทษขอโพยไปและกล่าว “ราชันย์ขุนนาง ที่ข้าเชิญท่านมาในวันนี้…”

ผู้เฒ่านำทางความตายส่ายหัวและกล่าว “เจ้าไม่ได้เชิญข้า ถ้อยคำของเจ้าบีบให้ข้าต้องออกมาโดยไร้ทางเลือก เจ้าก่อเรื่องวุ่นวายอีกแล้วหรือ คราวนี้อะไรอีกล่ะ บอกมาสิ ตราบใดที่ไม่ขัดกับกฎของแดนใต้พิภพ ข้าก็สามารถช่วยเจ้าแก้ไขตามที่เจ้าต้องการได้ แต่หากว่ามันยากเกินไป เช่นนั้นก็ลาก่อน”

เฒ่าบอดตาเป็นประกาย และเขามองไปยังใบหน้าของผู้เฒ่าข้างหลังตะเกียง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจมองเห็นเค้าหน้าของราชันย์ขุนนางได้ ทำให้เขาตกตะลึง

วรยุทธของเขาได้เพิ่มพูนเป็นอย่างมาก และเขาก็ได้ข้ามสะพานเทวะมายืนอยู่นอกประตูสวรรค์ทักษิณแล้ว พลานุภาพเนตรเทวะของเขาย่อมเพิ่มพูนขึ้นเป็นเงาตามตัว กระนั้นเขาก็ยังไม่อาจมองเห็นใบหน้าของราชันย์ขุนนางได้ นี่แสดงว่ากำลังฝีมือของฝ่ายตรงข้ามนั้นลึกล้ำเกินจะหยั่ง

มู่เอ๋อถึงกับเป็นสหายกับราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์! เฒ่าบอดอุทานในใจด้วยความชื่นชมยกย่อง มู่เอ๋อนี่เหมือนข้าจริงๆ คบหาสหายทั่วทุกหนทุกแห่ง เขาไม่ลืมสิ่งที่ข้าพร่ำสอนมาตลอดหลายปี

ฉินมู่ถามหยั่งข้อสันนิษฐานของเขาออกไปสองข้อ “ขอเรียนถามราชันย์ขุนนาง หลังจากที่ข้าเกิดขึ้นมาแล้ว มีสิ่งมีชีวิตที่สองที่ถือกำเนิดในแดนใต้พิภพหรือไม่ และคนผู้นั้นก็ถือกำเนิดจากครรภ์ด้วยหรือไม่”

ผู้เฒ่านำทางความตายยิ้มหยัน “หลังจากฉินเฟิงชิงคนที่หนึ่ง ใครจะกล้าปล่อยให้ฉินเฟิงชิงคนที่สองกำเนิดขึ้นมา แค่เจ้าตัวที่ดุร้ายและซุกซนหนึ่งตนก็ทรมาทรกรรมพวกเรามากพอแล้ว หลังจากที่เจ้าถือกำเนิด ภูติบดีก็ได้ออกไปตรวจตราทุกดินแดนในแดนใต้พิภพ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีกรณีที่สอง!”

ฉินมู่ฉงนใจ “ถ้าอย่างนั้น ทำไมเงาของเขาถึงสามารถเข้าไปในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศเหมือนกับข้าได้”

“เจ้าพูดถึงข้อสันนิษฐานสองข้อ แต่เจ้าไม่รู้ถึงความเป็นไปได้ที่สาม” ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าว “ความมืดแห่งแดนโบราณวินาศเป็นทั้งคำสาปและเป็นทั้งการปิดผนึก มันไม่ได้กำเนิดขึ้นมาจากอากาศธาตุ แต่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือใครบางคน ผู้สร้างความมืดในแดนโบราณวินาศ ก็ย่อมเดินไปท่ามกลางมันได้”

ฉินมู่ร่างสั่นเทิ้ม และจิตคิดของเขากระเจิดกระเจิงไปหมด!

ผู้เฒ่านำทางความตายพูดถูก ผู้สร้างความมืดในแดนโบราณวินาศ ย่อมจะต้องเข้าไปในความมืดโดยไม่เป็นอันตรายได้อย่างแน่นอน!

เมื่อครู่นี้ เขามีกรอบคิดที่ผิดพลาดของการได้พบกับพวกเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงคาดเดาว่านั่นคือกายาจ้าวแดนดินจากแดนใต้พิภพ และไม่ได้ใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้อื่น แต่บัดนี้เมื่อเขาลองมาคิดๆ ดู เงานั้นน่าจะเป็นเด็กหนุ่ม ความเร็วของเขามิได้รวดเร็วนัก ทำให้เห็นได้ว่าเขายังไม่บรรลุเขตขั้นเทวะ

หากว่าเด็กหนุ่มเงามืดเกี่ยวข้องกับผู้สร้างความมืดในแดนโบราณวินาศ–บางทีอาจจะเป็นผู้สืบทอดของเขา–และเชี่ยวชาญในคำสาปกับผนึกในความมืด เขาย่อมจะต้องมีวิธีการที่จะไม่เป็นอันตรายจากความมืดเมื่อเข้าไปในนั้น!

“ข้าไขคำถามให้กับเจ้าแล้ว” ผู้เฒ่านำทางความตายขึ้นเรือกระดาษของเขาและแขวนตะเกียงไว้ที่กราบเรือ จากนั้นเขาก็หันเรือกลับและกล่าวอย่างเย็นชา “อย่าพูดภาษาแดนใต้พิภพโดยไร้เหตุผล! ข้ากำลังทำงานเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณของหั่วถูลัวอยู่ เมื่อข้าได้ยินเสียงของเจ้า ดวงวิญญาณข้าเกือบตกใจจนขวัญบิน! หากว่าเจ้าก่อเรื่องวุ่นวายอีก เตรียมรอรับโทษหนักได้เลยหลังจากที่เจ้าตาย!” หลังจากเขากล่าวเช่นนั้น เขาก็พายเรือน้อยเพื่อแล่นกลับเข้าไปในประตูน้อมสวรรค์

ฉินมู่รีบโบกมือลาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ราชันย์ขุนนาง หลังจากที่ข้าตาย ข้าจะนำอาหารดีๆ และของเล่นมากมายไปฝากท่าน!”

“ข้าไม่ต้องการ!” เสียงแข็งทื่อดังมาจากข้างในประตูน้อมสวรรค์

“มู่เอ๋อ เจ้านับว่ามีพรสวรรค์ในการคบหาสหายจริงๆ มีสหายอยู่ทั่วทุกมุมโลก แม้แต่ในแดนใต้พิภพ” เฒ่าบอดชื่นชมอย่างจริงใจ “ข้ามองออกว่าราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์ชอบเจ้าเป็นอย่างยิ่ง”

“นี่ต้องขอบคุณการสั่งสอนของท่านปู่บอด ข้าได้รับฟังพวกมันใส่ใจและวางตนให้ถ่อมตัวตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วข้าจึงได้รับความนิยมชมชอบจากราชันย์ขุนนาง” ฉินมู่กล่าวอย่างถ่อมตน

“ใครนิยมชมชอบเจ้า!” เสียของผู้เฒ่านำทางความตายดังมาจากที่ไกลๆ

ฉินมู่และเฒ่าบอดแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและยกย่องกันไปมา ในตอนนั้น พวกเขาเต็มไปด้วยความคึกคักแจ่มใส และฉินมู่ก็ปิดประตูน้อมสวรรค์ก่อนที่จะขบคิด “ทำไมศิษย์ของผู้สร้างความมืดถึงปรากฏตัวในแดนโบราณวินาศ พวกเขาเข้ามาด้วยเรื่องอะไร”

เฒ่าบอดเก็บทวนเทวะหลงถัวของเขากลับไปและเดินไปยังทิศทางของยายเฒ่าซีและคนอื่นๆ เขากล่าวอย่างเยือกเย็น “เพราะว่าการปฏิรูปของสันตินิรันดร์ ภูตีปีศาจทั้งหลายถึงเสนอหน้าออกมา รูปสลักหินและอาวุธภูมิอากาศทั้งหลายผุดขึ้นมาทุกหนทุกแห่ง ต่อให้ตอนนี้พวกมันจะยังไม่มีความเคลื่อนไหวก็ตาม”

“เทพศาสตราเหล่านั้นถูกราชครูสันตินิรันดร์เอาไปปิดผนึกเอาไว้ ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีคนออกมาดู เจ้าไม่ต้องกังวลมากมายหรอก แดนโบราณวินาศปลอดภัยดี และจะไม่ตกอยู่ในอันตรายใดๆ ในทางกลับกัน สันตินิรันดร์ต่างหากที่ต้องระวังตัว”

ฉินมู่ละวางเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว

ข้างๆ ของศิษย์ผู้สร้างความมืดน่าจะเป็นยอดยุทธเขตขั้นเทวะ เพียงแต่ว่าฉินมู่ไม่รู้ว่านั่นคือเทพหรือมาร แต่ไม่ว่าแบบไหนก็อันตรายอยู่ดี

แต่ถึงอย่างไร สันตินิรันดร์ก็ไม่ได้อ่อนแอเหมือนในอดีต มันมียอดฝีมือมากมาย และยังมีเทพเจ้าจำนวนหนึ่งที่คอยปกปักษ์อารักขาอยู่ จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็อยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่

“เงาร่างสองเงาร่างที่พวกเราเห็นแปลกประหลาดจริง” ในความมืดของแดนโบราณวินาศ เด็กหนุ่มที่อายุไล่เลี่ยกับฉินมู่หยุดเท้าและกล่าวกับเทพเจ้าผู้สูงตระหง่านข้างๆ เขา “เด็กหนุ่มนั่นสำรวจตรวจตราข้า ดูเหมือนจะตื่นตะลึงกับการปรากฏตัวของข้า แต่ดูเหมือนเขาไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องประหลาด ราวกับว่าเขาเคยเห็นเรื่องทำนองเดียวกันมาก่อน เทพครองดาวตะวัน บุคคลผู้นั้นค่อนข้างน่าสงสัย”

ข้างๆ เขา เทพตนหนึ่งที่มีขาสามขาลุกไหม้ด้วยเพลิงไฟ ปีกข้างหลังเขาทำให้เขาดูราวกับดวงตะวันอันเคลื่อนที่ได้ เสียงของเขากึกก้องเมื่อกล่าวไป “คุณชายฉีคิดมากไปแล้ว ข้าได้ลงมาจากดวงตะวันเพื่อช่วยเหลือท่านตามหาเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าฉินมู่ แต่ข้าถามได้หรือไม่ว่าคนผู้นี้ทำอะไรไปหรือ”

“ข่าวจากแดนใต้พิภพว่าเขาคือมารที่กำเนิดในแดนใต้พิภพ ซึ่งในภายหลังถูกเนรเทศมายังสันตินิรันดร์ เบื้องบนมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ แต่พวกเขาไม่อาจส่งกองพลและแม่ทัพสวรรค์ลงมายังโลกต่ำใต้ ดังนั้นจึงส่งข้ามาชิงตัวเขา”

“เบื้องบนไม่เชื่อใจเผ่ามาร และลู่หลีก็ต้องมีแผนการของนางเองเป็นแน่ นางหมายที่จะชิงตัวฉินมู่ไปและกลายเป็นจ้าวแดนดินแห่งแดนใต้พิภพ อีกสาเหตุหนึ่งที่เบื้องบนส่งข้ามาก็เพื่อกระตุ้นการทำงานของอาวุธภูมิอากาศ และส่งสันตินิรันดร์ให้จมลงไปในภัยพิบัติให้เร็วที่สุด”

เทพครองดาวตะวันสามขาขมวดคิ้ว “เทพศาสตราภูมิอากาศล้วนแต่ถูกราชครูสันตินิรันดร์ชิงไปหมด และไม่มีใครรู้ว่าพวกมันถูกซ่อนเอาไว้ที่ไหน”

คุณชายฉีไม่ทุกข์ร้อน และเพียงแต่แย้มยิ้มอย่างเฉื่อยชา “ก็ฉินมู่ที่กำเนิดในแดนใต้พิภพนี่ไม่ใช่หรือ ที่เป็นอาวุธภูมิอากาศขนาดใหญ่มหึมาที่สุด เมื่อพวกเราทำลายผนึกของเขา เขาก็จะทำลายล้างสันตินิรันดร์ด้วยมือของเขาเอง เรื่องนี้ง่ายดายจนไม่รู้จะง่ายอย่างไร”

เทพครองดาวตะวันร่างสั่นสะท้าน และเขากล่าวชมด้วยความนับถืออย่างสุดจิตสุดใจ “คุณชายฉีช่างทรงปัญญา!”

 …………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+