ตำนานเทพกู้จักรวาล 539 สัมพันธ์น้ำมิตร

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 539 สัมพันธ์น้ำมิตร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นักบุญคนตัดไม้ฉวยโอกาสที่จะลงมาจากเวทีและรักษาหน้าของตนเอาไว้ได้ แต่ทว่าเจ๋อหัวหลีกำลังขี่หลังเสือและไม่อาจลงมาได้

เหงื่อเย็นเยียบแตกจากหน้าผากของเด็กหนุ่ม และเขามองไปที่แขนขวาของเขา ลั่วอู๋ชวงไม่มีแขนข้างนี้และควงมีดด้วยแขนซ้าย ดังนั้นแง่อัศจรรย์ของเพลงมีดก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้

หากเจ๋อหัวหลีต้องการร่ายรำเพลงมีดของลั่วอู๋ชวงโดยไร้จุดอ่อน เขาก็จะต้องตัดแขนขวาของตน!

เหงื่อเย็นเยียบผุดจากหน้าผากของเขามากขึ้นทุกที เขาแค้นใจเหลือเกิน!

ยังไม่ทันที่เขาจะได้ปะทะฝีมือกับฉินมู่ เขาก็ต้องตัดแขนไปข้างแล้วหรือ ใครจะทนอะไรแบบนี้ได้ ใครจะยินยอมพร้อมใจ

แต่ทว่าหากเขาไม่ยอมตัดแขนขวา เพลงมีดของเขาย่อมจะไม่สมบูรณ์แบบเท่ากับของอาจารย์เขาลั่วอู๋ชวง และเขาก็คงรู้สึกย่ำแย่ที่จะร่ายรำเพลงมีดอันไม่สมบูรณ์แบบให้ฉินมู่ชมดู

“กรอบคิดจิตใจมิได้กระทบต่อกำลังฝีมือมากมายอย่างที่เจ้าคิด”

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลัง และทำให้เจ๋อหัวหลีที่กำลังตกอยู่ในปัญหาอันแก้ไม่ตกสะดุ้งขึ้นมา

ฉินมู่เลิกคิ้วและและมองไปที่อสุราคนหนึ่ง ตั้งแต่มายังเมืองหลีเขามัวแต่ตีเหล็ก จึงไม่รู้จักเจี่ยงอี้

ชายหนุ่มผู้นี้ร่างโชกไปด้วยเลือด และยากที่จะบอกได้ว่าเป็นเลือดของเขาหรือของศัตรู แต่ทว่า จากที่เห็น อาการบาดเจ็บของเขาไม่เบาเลยทีเดียว

เขานั้นเหมือนกับปลาที่ถูกสับฟันอย่างสุ่มๆ ด้วยรอยแผลเป็นร้อยๆ ทั้งยังถูกราดน้ำร้อนลวกทับลงไปอีก

กระนั้น ด้วยรอยแผลหนักหนาสาหัสเหล่านั้น จิตหาญสู้ของเขาก็ยังคงเจิดจ้า และรัศมีของเขาก็เข้มข้น เลือดและปราณของเขาพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และในพริบตาที่เขาเดินเข้ามา กลิ่นเลือดและศพเน่าก็ลอยมาเตะจมูกฉินมู่ ราวกับว่าเขาชักนำทะเลซากศพติดตัวมาด้วย

สายตาของเจี่ยงอี้เบนไปจากเจ๋อหัวหลีและจ้องจับที่ฉินมู่ “กรอบคิดจิตใจมิใช่ส่วนหนึ่งของกำลังฝีมือตน กำลังฝีมือเกิดมาจากกายเนื้อ จิตวิญญาณดั้งเดิม มรรคา วิชา และทักษะเทวะ กรอบคิดจิตใจมีผลน้อยนิดต่อกำลังฝีมือ ผู้ชมดูวงนอกย่อมมีสายตากระจ่างชัด เจ๋อหัวหลี เจ้าได้ตกลงในกับดักของเขา เจ้ายังไม่กระโดดออกมาอีกหรือ”

เจ๋อหัวหลีดวงตาเป็นประกาย และลมหายใจของเขาก็สงบลง

เจี่ยงอี้นั้นเป็นเพื่อนรักที่หาได้ยากยิ่งของเขาในสวรรค์ไท่หวง และทั้งคู่ก็มักแลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้เรียนรู้มาอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาเป็นสหายสนิทกอดคอกัน และสาบานว่าจะเป็นตายร่วมกัน ในสนามรบ เจี่ยงอี้ได้ช่วยชีวิตเขามาก่อน และเขาเองก็ได้ช่วยชีวิตเจี่ยงอี้เช่นกัน

“ที่ส่งผลกระทบต่อกำลังฝีมือมากที่สุดคือกายเนื้อ จิตวิญญาณดั้งเดิม มรรคา วิชา และทักษะเทวะ เจ๋อหัวหลี กายเนื้อของเจ้าและข้าแข็งแกร่งกว่าเขา จิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า ดังนั้นย่อมก็ต้องแข็งแกร่งกว่าเขา”

“ส่วนมรรคา วิชา และทักษะเทวะ เพลงมีดของเจ้าร่ำเรียนมาจากดาบเทวะลั่วอู๋ชวง และเจ้าก็เรียนวิชาฝึกปรือมารจากมารเที่ยงแท้ฟู่ยื่อลัว เจ้านั้นเชี่ยวชาญทั้งสองฝั่งฟาก ดังนั้นแล้วมรรคา วิชา และทักษะเทวะของเจ้าจะอ่อนแอกว่าได้อย่างไร เขานั้นแม้แต่จะฝึกปรือกายเนื้อให้ถึงระดับเทพเที่ยงแท้ก็ยังไม่สำเร็จเลย ดังนั้นกำลังฝีมือเขาจะสูงสักเท่าไรเชียว”

ความมั่นใจของเจ๋อหัวหลีกลับมาทันที และจิตใจของเขาก็ผ่อนคลายลง เขาแย้มยิ้มและกล่าว “บางครั้ง ผู้ฝึกวิชาเทวะคนหนึ่งก็ควรต้องมีอาจารย์ที่ดี และสหายที่ช่วยเหลือกันได้ เจี่ยงอี้ เจ้าคือสหายที่ช่วยเหลือข้าเอาไว้!”

หลังจากได้ยินถ้อยคำของเจี่ยงอี้ เขาก็ได้ความมั่นใจกลับมาในที่สุด และกรอบคิดจิตใจของเขาก็หวนกลับมายังจุดสูงสุดโดยไม่รู้ตัว

กำลังฝีมือของเขาได้เพิ่มพูนไปอย่างมาตั้งแต่เมื่อเขาสำเร็จกายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมระดับเทพเที่ยงแท้เยาว์

แม้ว่าเพลงมีดของเขาจะยังไม่บรรลุถึงขั้นมรรคาเต๋า เขาก็ไม่เคยกริ่งเกรงใครหน้าไหนในโลกจำลองศึกทรายในด้านของกำลังฝีมือ!

ข้อได้เปรียบของเขาก็คือกายเนื้อของเทพเที่ยงแท้เยาว์ และด้วยประเด็นนี้ เขาก็ย่อมเหนือล้ำกว่าฉินมู่อย่างแน่นอน นี่ก็จะให้ความได้เปรียบแก่เขาในด้านของความเร็ว กำลังกาย ปฏิกิริยาตอบสนอง และพลานุภาพ

ข้อได้เปรียบที่สองก็คือจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาอันแข็งแกร่งเท่ากับเทพเที่ยงแท้เยาว์ แม้ว่าผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวจะไม่อาจรีดเร้นพลานุภาพของจิตวิญญาณดั้งเดิมออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่การใช้สอยมันอย่างเหมาะสมก็มักจะเป็นกุญแจไปสู่ชัยชนะ

เจ๋อหัวหลีมีอาจารย์สองคน ลั่วอู๋ชวงและฟู่ยื่อลัว ฝ่ายหลังนั้นเป็นนามที่มีความหมายในภาษามาร และมันหมายถึงเพชรหรือวัชรา จิตวิญญาณดั้งเดิมของฟู่ยื่อลัวแข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้ว และเจ๋อหัวหลีก็ได้เรียนวิชาจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับมัน เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนไปอีกขั้น

จากเรื่องเหล่านี้ เขาก็มั่นใจว่าฉินมู่มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา

ข้อได้เปรียบที่สามของเขาก็คือเพลงมีดและดาบมารของเขา มันเป็นอาวุธวิญญาณที่ลั่วอู๋ชวงหลอมสร้างให้แก่เขาโดยเฉพาะ เพลงมีดของเขาก็ได้รับการสั่งสอนจากดาบเทวะ และกว่าที่เพลงมีดนี้จะบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ อาจารย์เขาก็เขาก็ได้พากเพียรมากกว่าสี่หมื่นปี!

จุดอ่อนของเขามีเพียงกรอบคิดจิตใจ แต่ทว่ามันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกำลังฝีมือของเขามากนัก

การที่กรอบคิดจิตใจของเขาด้อยกว่าฉินมู่นั้นไม่มีทางเป็นกุญแจแพ้ชนะระหว่างพวกเขา!

เจี่ยงอี้แย้มยิ้มด้วยความยินดี “กำลังฝีมือของเจ้ายังเหนือล้ำกว่าข้าเสียอีก เพียงแต่ว่าเจ้าถูกคำพูดของเขาทำให้ไขว้เขว้ จึงตกลงไปในกับดัก”

เจ๋อหัวหลีก็แย้มยิ้มเช่นกัน ด้วยสหายเช่นนี้ เขายังจะต้องการอะไรอีก

เมื่อมีเพื่อนตายเช่นนี้ เพียงคนเดียวก็เกินพอ!

ฉินมู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เจ๋อหัวหลีเพียงคนเดียวก็ทำให้เขารู้สึกไม่วางใจแล้ว นี่ยังมีเจี่ยงอี้อีกคน เขานับว่าไม่มีโอกาสเอาชนะเลยจริงๆ

ทันใดนั้น ซังฮั่วก็โผล่หัวออกมา เปียสองข้างของนางห้อยแกว่งอยู่ นางจึงโบกไม้โบกมือด้วยความตื่นเต้นมายังเขา “เด็กฟาดฟ่อนข้าว! ไม่ต้องห่วง ข้าอยู่นี่! มีแค่พวกเราที่นี่หรือ ศิษย์พี่อวี่เหอ ศิษย์พี่ฉู่เหยา และศิษย์พี่หวงเยว่อยู่ที่ไหน หรือพวกเขาจะตายไปในการต่อสู้”

เมื่อนางพูดอยู่นั่นเอง อวี่เหอก็เดินออกมาด้วยสีหน้าอับจนปัญญา ฉู่เหยาเองก็ขมวดคิ้วและตามมาข้างหลังนาง

“ศิษย์พี่อวี่เหอ ศิษย์พี่ฉู่เหยา พวกท่านไปซ่อนแอบอยู่ในภูเขาทำไม พวกเรามีกันสี่คน ดังนั้นนี่มันพอยิ่งกว่าพอที่จะใช้จัดการพวกเขาทั้งสอง! ศิษย์พี่หวงเยว่ล่ะ? หรือว่าเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในภูเขากับพวกท่านด้วย”

สีหน้าของอวี่เหอยิ่งดูจนปัญญา และคิ้วของฉู่เหยาก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้น

ทั้งสองคนได้ซ่อนตัวในที่ลับ พร้อมที่จะลอบสังหารเจี่ยงอี้และเจ๋อหัวหลี แต่ทว่าเมื่อพวกเขาถูกเด็กสาวผู้นี้เรียกออกมา ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากเดินออกไป นี่ทำให้พวกเขาดูเหมือนกับคนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่มีศักดิ์ศรี

“ข้าค้นพบเจ้าตั้งนานแล้ว ก็ในเมื่อพวกเจ้าไม่อาจซ่อนเจตจำนงสังหารที่อยู่ในหัวใจได้ ส่วนหวงเยว่นั้น ข้าได้สังหารเขาด้วยดาบของข้า” เจ๋อหัวหลีกล่าวอย่างไม่ยี่หระ

“ศิษย์น้องซังฮั่ว พวกเราเพิ่งเห็นศพของศิษย์น้องหวงเยว่ ส่วนคนอื่นๆ นั้น พวกเขาก็ตายกันหมดแล้ว มีแต่พวกเราที่ยังเหลืออยู่ พวกเขาตายอย่างสมเกียรติศักดิ์ศรีหลังจากที่ได้ต่อสู้กับพวกมารมากมาย พวกเขาเสียสละชีวิตตนเองเพื่อลากมารเหล่านั้นให้ตกตายไปด้วยกันกับพวกเขา ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงได้เปรียบด้านจำนวน” อวี่เหอกล่าว

นางรู้สึกจนปัญญาเมื่อคิดถึงลูกสาวของเทพซังเย่ผู้นี้ ซังฮั่วได้ชี้จุดซ่อนตัวของพวกนางอย่างชัดเจน และทำให้แผนการไม่บรรลุผล

ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนได้เปรียบด้านจำนวนคน แต่มันก็ไม่มีประโยชน์มากมายนัก

กำลังฝีมือของซังฮั่วต่ำ และนางก็ยังไม่เคยผ่านด่านทดสอบเจดีย์สยบเทพเสียอีก โดยปราศจากพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ นางย่อมไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง อวี่เหอแทบจะมั่นใจว่าซังฮั่วได้ซ่อนตัวมาโดยตลอดหลังจากที่เข้าสู่สนามรบ เด็กสาวใสซื่อผู้นี้ไม่ได้พบกับศัตรูเลยสักคน จึงเป็นเหตุให้นางมีชีวิตอยู่ได้อย่างยาวนาน

ฉินมู่ก็เป็นเด็กหนุ่มที่รู้จักแต่หลอมสร้าง เขาทำตัวบุ่มบ่าม และเอาแต่ตีเหล็กอยู่คนเดียวตั้งแต่ก่อนเข้ามาในโลกจำลองศึกทราย เขาไม่ติดต่อสื่อสารกับเพื่อนร่วมฝ่ายหรือจะสำรวจดูศัตรูก็ไม่

สาเหตุที่ฉินมู่ยังคงมีชีวิตอยู่ก็คงจเพราะว่าเขาก็เป็นไอ้โคตรโชคดีเหมือนกับซังฮั่ว ยอดฝีมือมารที่มาสังหารเขาน่าจะถูกสกัดขัดขวางโดยยอดฝีมือเยาว์แห่งสวรรค์ไท่หวงระหว่างทางมา พวกเขาต่อสู้เอาชีวิตเข้าแลก และผลของมัน ทำให้เด็กนักตีเหล็กนี้ยังคงรอดชีวิตอยู่

ในความคิดของอวี่เหอ แม้จะมีฉินมู่และซังฮั่ว แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับไม่มีความช่วยเหลือจากพวกเขา ถ้าจะเอาชนะเจ๋อหัวหลีและเจี่ยงอี้ นางคงได้แต่หวังพึ่งแรงของฉู่เหยา

หวังว่าเจ้าบื้อสองคนนี้จะไม่ก่อเรื่องยุ่ง… นางคิดในใจ

ฉู่เหยามองไปที่ฉินมู่ ขมวดคิ้วนิดหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างอบอุ่น “ศิษย์พี่ฉินนักฟาดฟ่อนข้าว เจ้าไม่ตีเหล็กต่อแล้วหรือ”

ฉินมู่ยิ้มไปให้ทั้งสองคนเป็นการทักทาย และรอยยิ้มบนใบหน้าอวี่เหอก็จางหาย ฉู่เหยาเองก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น ในทางกลับกัน ซังฮั่ววิ่งเขามาหาอย่างตื่นเต้นพลางถาม “กระบี่ของเจ้าเสร็จแล้วหรือ”

ฉินมู่ผงกหัวและแย้มยิ้มอย่างอบอุ่นให้กับนาง “น้องสาวฮั่ว กระบี่ของข้าเสร็จแล้ว”

ดวงตาของนางลุกวาว “พลังของมันเป็นอย่างไร”

“เมื่อครู่นี้ เจ๋อหัวหลีกล่าวว่าอาจารย์ของเขาสั่งให้เขาร่ายรำเพลงมีดให้ข้าดู ดังนั้นข้าจึงยังไม่ทันมีเวลาทดสอบกระบี่ ข้าไม่รู้ว่าพลังของมันเป็นอย่างไร”

ทั้งคู่กระซิบกระซาบกันไปมาว่าจะทดสอบกระบี่อย่างไรดี อวี่เหอรู้ว่านางกำลังเผชิญกับศัตรูอันยิ่งใหญ่ และพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสงบจิตใจลง เพื่อมิให้เงี่ยหูไปฟังที่พวกเขาพูดคุยกัน

สายตาของนางจับจ้องไปที่เจี่ยงอี้และเจ๋อหัวหลี และนางกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ศิษย์น้องฉู่เหยา เจ้าจงไปรับมือกับเจี่ยงอี้ ส่วนข้าจะเผชิญหน้ากับเจ๋อหัวหลี ข้าไม่คิดว่าข้าจะเอาชนะเขาได้ แต่อาการบาดเจ็บของเจี่ยงอี้หนักหนาสาหัสกว่า ดังนั้นรีบๆ กำจัดเขาและมาช่วยข้า!”

ฉู่เหยาสูดลมหายใจลึกและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ศิษย์พี่หญิง ไม่ต้องห่วง ปล่อยให้ข้าจัดการเจี่ยงอี้เอง!”

สายตาของเจ๋อหัวหลีไหววูบ และเขากล่าวด้วยเสียงต่ำ “ศิษย์พี่เจี่ยงอี้ เจ้าจะเลือกคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งหรือที่อ่อนแอ”

“ใช้อ่อนแอพัวพันแข็งแกร่งเอาไว้ และใช้แข็งแกร่งโจมตีอ่อนแอ นี่คือพิชัยยุทธ!”

เจี่ยงอี้หัวเราะ และความห้าวหาญของเขาก็พวยพุ่งไปถึงชั้นเมฆ “ข้าจะไปขัดขวางผู้แข็งแกร่ง และเจ้าก็จะไปสังหารผู้อ่อนแอ หลังจากนั้น พวกเราสองเฮียตี๋ก็จะสามารถเอาชัยชนะมาได้!”

เจ๋อหัวหลีมีสีหน้าเศร้าโศก “อาการบาดเจ็บของเจ้าหนักหนาสาหัส เจ้าอาจจะตาย”

“อย่าดูเบาข้าไป ข้าร่ำเรียนกับมารเที่ยงแท้สวีโม่ และยังไม่ทันได้ขับเคลื่อนวิชาบูชายัญมารฟ้าของข้า” เจี่ยงอี้หัวเราะร่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะรอดกลับมาแน่นอน!”

เขาก้าวอาดๆ ไปยังฉินมู่

อวี่เหอและฉู่เหยาตกตะลึง เจี่ยงอี้พูดอยู่ชัดๆ ว่าเขาจะไปพัวพันศัตรูที่แข็งแกร่งเอาไว้ และให้เจ๋อหัวหลีใช้ช่วงเวลานั้นสังหารผู้อ่อนแอ แล้วทำไมเขาถึงเดินตรงไปยังฉินมู่

หรือว่ามารพวกนี้บ้าไปแล้ว และคิดไปว่าฉินมู่คือผู้แข็งแกร่ง ส่วนพวกนางคือผู้อ่อนแอ?

“ระวังลูกไม้ตบตา” อวี่เหอกระซิบด้วยเสียงเบา

ฉู่เหยาผงกหัวและมองไปยังเจ๋อหัวหลีที่เดินตรงเข้ามา

อีกฟากหนึ่ง ฉินมู่มองไปเจี่ยงอี้และขมวดคิ้วเล็กน้อย “น้องสาวฮั่ว รอสักประเดี๋ยว ให้ข้าทดสอบกระบี่สักหน่อย”

ซังฮั่วก้าวถอยออกไป และฉินมู่ก็แตะนิ้วลงที่หว่างคิ้วของตนเอง ไจกระบี่ลอยขึ้น และเข้ามายังใกล้ๆ หน้าผากของเขา

ทันใดนั้น เสียงของฟู่ยื่อลัวก็ดังมาจากนอกอวกาศ และก้องสะท้อนไปทั่วโลกจำลองศึกทราย “พวกเราแพ้แล้ว ยอมสละเมืองหลี พวกเจ้าหยุดมือก่อน!”

ไม่ว่าจะในหรือนอกโลกจำลองศึกทราย ทุกคนก็ตกตะลึง แม้แต่ทวยเทพแห่งสวรรค์ไท่หวงก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจแกมยินดี

สีหน้าของเจี่ยงอี้เต็มไปด้วยความไม่เชื่อหู และเขาเงยหน้าขึ้นตะโกนไป “ข้ายังไม่ทันถูกสังหาร แล้วทำไมท่านถึงกล่าวว่าพวกเราแพ้แล้ว ฟู่ยื่อลัว ข้าไม่ยอมรับคำสั่งของท่าน!”

ที่นอกอวกาศเหนือชั้นฟ้า ใบหน้าของฟู่ยื่อลัวเข้ามาปิดเต็มทั้งท้องฟ้า และมองลงมายังเขาอย่างเย็นเยียบ “เด็กร้ายกาจ เจ้าไม่รู้จักดีชั่วสำหรับตัวเจ้าเอง สวีโม่ จัดการลูกศิษย์เจ้าด้วย ให้เขารีบเอ่ยปากยอมแพ้ จะได้เอาตัวออกมา!”

มารเที่ยงแท้สวีโม่ขมวดคิ้วและกล่าว “เจี่ยงอี้ นับเสียว่าเราพ่ายแพ้ในรอบนี้ เอ่ยปากยอมแพ้พร้อมกับเจ๋อหัวหลีซะ”

เจี่ยงอี้ไม่อาจควบคุมโทสะของตนเองได้และตะโกนออกไป “พี่น้องของพวกเราสละชีวิตไปตั้งมากมายกว่าจะยึดครองเมืองหลีนี่ได้ และท่านจะให้ข้าผละจากไปเสียแบบนี้หรือ อาจารย์ ท่านอาจจะยินยอม แต่ข้าทำใจไม่ได้!”

สวีโม่จนปัญญาและกล่าวกับฟู่ยื่อลัว “ศิษย์พี่ ข้ารู้ว่าปัญญาญาณของท่านไร้ปานเปรียบ แต่จะยอมแพ้และละทิ้งเมืองหลีไปเสียอย่างนี้คงจะไม่ดีหรอก จริงไหม”

ฟู่ยื่อลัวมองไปที่เขาอย่างเย็นชา “ละทิ้งเมืองหลียังดีกว่าละทิ้งชีวิตของศิษย์ของพวกเรา พวกเราได้พ่ายแพ้ในศึกนี้แล้ว…”

“บูชายัญมารฟ้า!” เจี่ยงอี้คำราม และพลังวัตรทั้งหมดของเขาก็แผ่พุ่งไป ในพริบตา ทะเลเลือดในโลกจำลองศึกทรายก็สั่นสะเทือน ศพเน่าเปื่อยมากมายพลันก่ายกองขึ้นมาก่อเป็นแท่นสังเวยยักษ์ที่กอปรจากเลือดและเนื้อ เจี่ยงอี้ยืนอยู่บนนั้นก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าใส่ฉินมู่พลางตะโกนไปอย่างดุดัน “ข้าไม่มีทางตาย เผ่ามารไม่มีวันพ่ายแพ้!”

แสงกระบี่พุ่งกรีดอากาศ ทำให้ผู้ชมดูตะลึงลาน มันฉีกผ่านทะเลโลหิต และพุ่งวาบผ่านหว่างคิ้วของมารหนุ่ม แสงกระบี่คลี่คลุมนภากาศในรัศมีสิบลี้

ฉินมู่ลดนิ้วกระบี่ของเขาลงจากหว่างคิ้ว และแสงกระบี่เหล่านั้นก็หดกลับมาเป็นไจกระบี่อันโบยบินคืน

“เจ๋อหัวหลี กระบวนท่านี้เรียกว่า ริเริ่มภัยพิบัติ” เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เจ๋อหัวหลี เจ้าสามารถนำศพนี้กลับไปให้อาจารย์ของเจ้าชมดูเพลงกระบี่ของข้า”

เจ๋อหัวหลีมองซากร่างที่ร่วงลงมาจากแท่นสังเวย ความเกลียดแค้นระเบิดออกมาในดวงตาของเขา และน้ำตาโลหิตสองสายก็หลั่งไหลลงมาอาบแก้ม รัศมีของเขากลายเป็นเดือดพล่านเช่นกัน เส้นผมของเขากระพือขึ้นไปด้วยความโกรธจัด และเขาหยุดกรีดร้องไม่ได้

“ยอมแพ้เสีย!” เสียงของฟู่ยื่อลัวดังมาจากนอกโลก “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสี่คนนี้!”

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเทพกู้จักรวาล 539 สัมพันธ์น้ำมิตร

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 539 สัมพันธ์น้ำมิตร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นักบุญคนตัดไม้ฉวยโอกาสที่จะลงมาจากเวทีและรักษาหน้าของตนเอาไว้ได้ แต่ทว่าเจ๋อหัวหลีกำลังขี่หลังเสือและไม่อาจลงมาได้

เหงื่อเย็นเยียบแตกจากหน้าผากของเด็กหนุ่ม และเขามองไปที่แขนขวาของเขา ลั่วอู๋ชวงไม่มีแขนข้างนี้และควงมีดด้วยแขนซ้าย ดังนั้นแง่อัศจรรย์ของเพลงมีดก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้

หากเจ๋อหัวหลีต้องการร่ายรำเพลงมีดของลั่วอู๋ชวงโดยไร้จุดอ่อน เขาก็จะต้องตัดแขนขวาของตน!

เหงื่อเย็นเยียบผุดจากหน้าผากของเขามากขึ้นทุกที เขาแค้นใจเหลือเกิน!

ยังไม่ทันที่เขาจะได้ปะทะฝีมือกับฉินมู่ เขาก็ต้องตัดแขนไปข้างแล้วหรือ ใครจะทนอะไรแบบนี้ได้ ใครจะยินยอมพร้อมใจ

แต่ทว่าหากเขาไม่ยอมตัดแขนขวา เพลงมีดของเขาย่อมจะไม่สมบูรณ์แบบเท่ากับของอาจารย์เขาลั่วอู๋ชวง และเขาก็คงรู้สึกย่ำแย่ที่จะร่ายรำเพลงมีดอันไม่สมบูรณ์แบบให้ฉินมู่ชมดู

“กรอบคิดจิตใจมิได้กระทบต่อกำลังฝีมือมากมายอย่างที่เจ้าคิด”

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลัง และทำให้เจ๋อหัวหลีที่กำลังตกอยู่ในปัญหาอันแก้ไม่ตกสะดุ้งขึ้นมา

ฉินมู่เลิกคิ้วและและมองไปที่อสุราคนหนึ่ง ตั้งแต่มายังเมืองหลีเขามัวแต่ตีเหล็ก จึงไม่รู้จักเจี่ยงอี้

ชายหนุ่มผู้นี้ร่างโชกไปด้วยเลือด และยากที่จะบอกได้ว่าเป็นเลือดของเขาหรือของศัตรู แต่ทว่า จากที่เห็น อาการบาดเจ็บของเขาไม่เบาเลยทีเดียว

เขานั้นเหมือนกับปลาที่ถูกสับฟันอย่างสุ่มๆ ด้วยรอยแผลเป็นร้อยๆ ทั้งยังถูกราดน้ำร้อนลวกทับลงไปอีก

กระนั้น ด้วยรอยแผลหนักหนาสาหัสเหล่านั้น จิตหาญสู้ของเขาก็ยังคงเจิดจ้า และรัศมีของเขาก็เข้มข้น เลือดและปราณของเขาพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และในพริบตาที่เขาเดินเข้ามา กลิ่นเลือดและศพเน่าก็ลอยมาเตะจมูกฉินมู่ ราวกับว่าเขาชักนำทะเลซากศพติดตัวมาด้วย

สายตาของเจี่ยงอี้เบนไปจากเจ๋อหัวหลีและจ้องจับที่ฉินมู่ “กรอบคิดจิตใจมิใช่ส่วนหนึ่งของกำลังฝีมือตน กำลังฝีมือเกิดมาจากกายเนื้อ จิตวิญญาณดั้งเดิม มรรคา วิชา และทักษะเทวะ กรอบคิดจิตใจมีผลน้อยนิดต่อกำลังฝีมือ ผู้ชมดูวงนอกย่อมมีสายตากระจ่างชัด เจ๋อหัวหลี เจ้าได้ตกลงในกับดักของเขา เจ้ายังไม่กระโดดออกมาอีกหรือ”

เจ๋อหัวหลีดวงตาเป็นประกาย และลมหายใจของเขาก็สงบลง

เจี่ยงอี้นั้นเป็นเพื่อนรักที่หาได้ยากยิ่งของเขาในสวรรค์ไท่หวง และทั้งคู่ก็มักแลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้เรียนรู้มาอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาเป็นสหายสนิทกอดคอกัน และสาบานว่าจะเป็นตายร่วมกัน ในสนามรบ เจี่ยงอี้ได้ช่วยชีวิตเขามาก่อน และเขาเองก็ได้ช่วยชีวิตเจี่ยงอี้เช่นกัน

“ที่ส่งผลกระทบต่อกำลังฝีมือมากที่สุดคือกายเนื้อ จิตวิญญาณดั้งเดิม มรรคา วิชา และทักษะเทวะ เจ๋อหัวหลี กายเนื้อของเจ้าและข้าแข็งแกร่งกว่าเขา จิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า ดังนั้นย่อมก็ต้องแข็งแกร่งกว่าเขา”

“ส่วนมรรคา วิชา และทักษะเทวะ เพลงมีดของเจ้าร่ำเรียนมาจากดาบเทวะลั่วอู๋ชวง และเจ้าก็เรียนวิชาฝึกปรือมารจากมารเที่ยงแท้ฟู่ยื่อลัว เจ้านั้นเชี่ยวชาญทั้งสองฝั่งฟาก ดังนั้นแล้วมรรคา วิชา และทักษะเทวะของเจ้าจะอ่อนแอกว่าได้อย่างไร เขานั้นแม้แต่จะฝึกปรือกายเนื้อให้ถึงระดับเทพเที่ยงแท้ก็ยังไม่สำเร็จเลย ดังนั้นกำลังฝีมือเขาจะสูงสักเท่าไรเชียว”

ความมั่นใจของเจ๋อหัวหลีกลับมาทันที และจิตใจของเขาก็ผ่อนคลายลง เขาแย้มยิ้มและกล่าว “บางครั้ง ผู้ฝึกวิชาเทวะคนหนึ่งก็ควรต้องมีอาจารย์ที่ดี และสหายที่ช่วยเหลือกันได้ เจี่ยงอี้ เจ้าคือสหายที่ช่วยเหลือข้าเอาไว้!”

หลังจากได้ยินถ้อยคำของเจี่ยงอี้ เขาก็ได้ความมั่นใจกลับมาในที่สุด และกรอบคิดจิตใจของเขาก็หวนกลับมายังจุดสูงสุดโดยไม่รู้ตัว

กำลังฝีมือของเขาได้เพิ่มพูนไปอย่างมาตั้งแต่เมื่อเขาสำเร็จกายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมระดับเทพเที่ยงแท้เยาว์

แม้ว่าเพลงมีดของเขาจะยังไม่บรรลุถึงขั้นมรรคาเต๋า เขาก็ไม่เคยกริ่งเกรงใครหน้าไหนในโลกจำลองศึกทรายในด้านของกำลังฝีมือ!

ข้อได้เปรียบของเขาก็คือกายเนื้อของเทพเที่ยงแท้เยาว์ และด้วยประเด็นนี้ เขาก็ย่อมเหนือล้ำกว่าฉินมู่อย่างแน่นอน นี่ก็จะให้ความได้เปรียบแก่เขาในด้านของความเร็ว กำลังกาย ปฏิกิริยาตอบสนอง และพลานุภาพ

ข้อได้เปรียบที่สองก็คือจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาอันแข็งแกร่งเท่ากับเทพเที่ยงแท้เยาว์ แม้ว่าผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวจะไม่อาจรีดเร้นพลานุภาพของจิตวิญญาณดั้งเดิมออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่การใช้สอยมันอย่างเหมาะสมก็มักจะเป็นกุญแจไปสู่ชัยชนะ

เจ๋อหัวหลีมีอาจารย์สองคน ลั่วอู๋ชวงและฟู่ยื่อลัว ฝ่ายหลังนั้นเป็นนามที่มีความหมายในภาษามาร และมันหมายถึงเพชรหรือวัชรา จิตวิญญาณดั้งเดิมของฟู่ยื่อลัวแข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้ว และเจ๋อหัวหลีก็ได้เรียนวิชาจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับมัน เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนไปอีกขั้น

จากเรื่องเหล่านี้ เขาก็มั่นใจว่าฉินมู่มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา

ข้อได้เปรียบที่สามของเขาก็คือเพลงมีดและดาบมารของเขา มันเป็นอาวุธวิญญาณที่ลั่วอู๋ชวงหลอมสร้างให้แก่เขาโดยเฉพาะ เพลงมีดของเขาก็ได้รับการสั่งสอนจากดาบเทวะ และกว่าที่เพลงมีดนี้จะบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ อาจารย์เขาก็เขาก็ได้พากเพียรมากกว่าสี่หมื่นปี!

จุดอ่อนของเขามีเพียงกรอบคิดจิตใจ แต่ทว่ามันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกำลังฝีมือของเขามากนัก

การที่กรอบคิดจิตใจของเขาด้อยกว่าฉินมู่นั้นไม่มีทางเป็นกุญแจแพ้ชนะระหว่างพวกเขา!

เจี่ยงอี้แย้มยิ้มด้วยความยินดี “กำลังฝีมือของเจ้ายังเหนือล้ำกว่าข้าเสียอีก เพียงแต่ว่าเจ้าถูกคำพูดของเขาทำให้ไขว้เขว้ จึงตกลงไปในกับดัก”

เจ๋อหัวหลีก็แย้มยิ้มเช่นกัน ด้วยสหายเช่นนี้ เขายังจะต้องการอะไรอีก

เมื่อมีเพื่อนตายเช่นนี้ เพียงคนเดียวก็เกินพอ!

ฉินมู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เจ๋อหัวหลีเพียงคนเดียวก็ทำให้เขารู้สึกไม่วางใจแล้ว นี่ยังมีเจี่ยงอี้อีกคน เขานับว่าไม่มีโอกาสเอาชนะเลยจริงๆ

ทันใดนั้น ซังฮั่วก็โผล่หัวออกมา เปียสองข้างของนางห้อยแกว่งอยู่ นางจึงโบกไม้โบกมือด้วยความตื่นเต้นมายังเขา “เด็กฟาดฟ่อนข้าว! ไม่ต้องห่วง ข้าอยู่นี่! มีแค่พวกเราที่นี่หรือ ศิษย์พี่อวี่เหอ ศิษย์พี่ฉู่เหยา และศิษย์พี่หวงเยว่อยู่ที่ไหน หรือพวกเขาจะตายไปในการต่อสู้”

เมื่อนางพูดอยู่นั่นเอง อวี่เหอก็เดินออกมาด้วยสีหน้าอับจนปัญญา ฉู่เหยาเองก็ขมวดคิ้วและตามมาข้างหลังนาง

“ศิษย์พี่อวี่เหอ ศิษย์พี่ฉู่เหยา พวกท่านไปซ่อนแอบอยู่ในภูเขาทำไม พวกเรามีกันสี่คน ดังนั้นนี่มันพอยิ่งกว่าพอที่จะใช้จัดการพวกเขาทั้งสอง! ศิษย์พี่หวงเยว่ล่ะ? หรือว่าเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในภูเขากับพวกท่านด้วย”

สีหน้าของอวี่เหอยิ่งดูจนปัญญา และคิ้วของฉู่เหยาก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้น

ทั้งสองคนได้ซ่อนตัวในที่ลับ พร้อมที่จะลอบสังหารเจี่ยงอี้และเจ๋อหัวหลี แต่ทว่าเมื่อพวกเขาถูกเด็กสาวผู้นี้เรียกออกมา ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากเดินออกไป นี่ทำให้พวกเขาดูเหมือนกับคนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่มีศักดิ์ศรี

“ข้าค้นพบเจ้าตั้งนานแล้ว ก็ในเมื่อพวกเจ้าไม่อาจซ่อนเจตจำนงสังหารที่อยู่ในหัวใจได้ ส่วนหวงเยว่นั้น ข้าได้สังหารเขาด้วยดาบของข้า” เจ๋อหัวหลีกล่าวอย่างไม่ยี่หระ

“ศิษย์น้องซังฮั่ว พวกเราเพิ่งเห็นศพของศิษย์น้องหวงเยว่ ส่วนคนอื่นๆ นั้น พวกเขาก็ตายกันหมดแล้ว มีแต่พวกเราที่ยังเหลืออยู่ พวกเขาตายอย่างสมเกียรติศักดิ์ศรีหลังจากที่ได้ต่อสู้กับพวกมารมากมาย พวกเขาเสียสละชีวิตตนเองเพื่อลากมารเหล่านั้นให้ตกตายไปด้วยกันกับพวกเขา ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงได้เปรียบด้านจำนวน” อวี่เหอกล่าว

นางรู้สึกจนปัญญาเมื่อคิดถึงลูกสาวของเทพซังเย่ผู้นี้ ซังฮั่วได้ชี้จุดซ่อนตัวของพวกนางอย่างชัดเจน และทำให้แผนการไม่บรรลุผล

ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนได้เปรียบด้านจำนวนคน แต่มันก็ไม่มีประโยชน์มากมายนัก

กำลังฝีมือของซังฮั่วต่ำ และนางก็ยังไม่เคยผ่านด่านทดสอบเจดีย์สยบเทพเสียอีก โดยปราศจากพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ นางย่อมไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง อวี่เหอแทบจะมั่นใจว่าซังฮั่วได้ซ่อนตัวมาโดยตลอดหลังจากที่เข้าสู่สนามรบ เด็กสาวใสซื่อผู้นี้ไม่ได้พบกับศัตรูเลยสักคน จึงเป็นเหตุให้นางมีชีวิตอยู่ได้อย่างยาวนาน

ฉินมู่ก็เป็นเด็กหนุ่มที่รู้จักแต่หลอมสร้าง เขาทำตัวบุ่มบ่าม และเอาแต่ตีเหล็กอยู่คนเดียวตั้งแต่ก่อนเข้ามาในโลกจำลองศึกทราย เขาไม่ติดต่อสื่อสารกับเพื่อนร่วมฝ่ายหรือจะสำรวจดูศัตรูก็ไม่

สาเหตุที่ฉินมู่ยังคงมีชีวิตอยู่ก็คงจเพราะว่าเขาก็เป็นไอ้โคตรโชคดีเหมือนกับซังฮั่ว ยอดฝีมือมารที่มาสังหารเขาน่าจะถูกสกัดขัดขวางโดยยอดฝีมือเยาว์แห่งสวรรค์ไท่หวงระหว่างทางมา พวกเขาต่อสู้เอาชีวิตเข้าแลก และผลของมัน ทำให้เด็กนักตีเหล็กนี้ยังคงรอดชีวิตอยู่

ในความคิดของอวี่เหอ แม้จะมีฉินมู่และซังฮั่ว แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับไม่มีความช่วยเหลือจากพวกเขา ถ้าจะเอาชนะเจ๋อหัวหลีและเจี่ยงอี้ นางคงได้แต่หวังพึ่งแรงของฉู่เหยา

หวังว่าเจ้าบื้อสองคนนี้จะไม่ก่อเรื่องยุ่ง… นางคิดในใจ

ฉู่เหยามองไปที่ฉินมู่ ขมวดคิ้วนิดหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างอบอุ่น “ศิษย์พี่ฉินนักฟาดฟ่อนข้าว เจ้าไม่ตีเหล็กต่อแล้วหรือ”

ฉินมู่ยิ้มไปให้ทั้งสองคนเป็นการทักทาย และรอยยิ้มบนใบหน้าอวี่เหอก็จางหาย ฉู่เหยาเองก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น ในทางกลับกัน ซังฮั่ววิ่งเขามาหาอย่างตื่นเต้นพลางถาม “กระบี่ของเจ้าเสร็จแล้วหรือ”

ฉินมู่ผงกหัวและแย้มยิ้มอย่างอบอุ่นให้กับนาง “น้องสาวฮั่ว กระบี่ของข้าเสร็จแล้ว”

ดวงตาของนางลุกวาว “พลังของมันเป็นอย่างไร”

“เมื่อครู่นี้ เจ๋อหัวหลีกล่าวว่าอาจารย์ของเขาสั่งให้เขาร่ายรำเพลงมีดให้ข้าดู ดังนั้นข้าจึงยังไม่ทันมีเวลาทดสอบกระบี่ ข้าไม่รู้ว่าพลังของมันเป็นอย่างไร”

ทั้งคู่กระซิบกระซาบกันไปมาว่าจะทดสอบกระบี่อย่างไรดี อวี่เหอรู้ว่านางกำลังเผชิญกับศัตรูอันยิ่งใหญ่ และพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสงบจิตใจลง เพื่อมิให้เงี่ยหูไปฟังที่พวกเขาพูดคุยกัน

สายตาของนางจับจ้องไปที่เจี่ยงอี้และเจ๋อหัวหลี และนางกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ศิษย์น้องฉู่เหยา เจ้าจงไปรับมือกับเจี่ยงอี้ ส่วนข้าจะเผชิญหน้ากับเจ๋อหัวหลี ข้าไม่คิดว่าข้าจะเอาชนะเขาได้ แต่อาการบาดเจ็บของเจี่ยงอี้หนักหนาสาหัสกว่า ดังนั้นรีบๆ กำจัดเขาและมาช่วยข้า!”

ฉู่เหยาสูดลมหายใจลึกและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ศิษย์พี่หญิง ไม่ต้องห่วง ปล่อยให้ข้าจัดการเจี่ยงอี้เอง!”

สายตาของเจ๋อหัวหลีไหววูบ และเขากล่าวด้วยเสียงต่ำ “ศิษย์พี่เจี่ยงอี้ เจ้าจะเลือกคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งหรือที่อ่อนแอ”

“ใช้อ่อนแอพัวพันแข็งแกร่งเอาไว้ และใช้แข็งแกร่งโจมตีอ่อนแอ นี่คือพิชัยยุทธ!”

เจี่ยงอี้หัวเราะ และความห้าวหาญของเขาก็พวยพุ่งไปถึงชั้นเมฆ “ข้าจะไปขัดขวางผู้แข็งแกร่ง และเจ้าก็จะไปสังหารผู้อ่อนแอ หลังจากนั้น พวกเราสองเฮียตี๋ก็จะสามารถเอาชัยชนะมาได้!”

เจ๋อหัวหลีมีสีหน้าเศร้าโศก “อาการบาดเจ็บของเจ้าหนักหนาสาหัส เจ้าอาจจะตาย”

“อย่าดูเบาข้าไป ข้าร่ำเรียนกับมารเที่ยงแท้สวีโม่ และยังไม่ทันได้ขับเคลื่อนวิชาบูชายัญมารฟ้าของข้า” เจี่ยงอี้หัวเราะร่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะรอดกลับมาแน่นอน!”

เขาก้าวอาดๆ ไปยังฉินมู่

อวี่เหอและฉู่เหยาตกตะลึง เจี่ยงอี้พูดอยู่ชัดๆ ว่าเขาจะไปพัวพันศัตรูที่แข็งแกร่งเอาไว้ และให้เจ๋อหัวหลีใช้ช่วงเวลานั้นสังหารผู้อ่อนแอ แล้วทำไมเขาถึงเดินตรงไปยังฉินมู่

หรือว่ามารพวกนี้บ้าไปแล้ว และคิดไปว่าฉินมู่คือผู้แข็งแกร่ง ส่วนพวกนางคือผู้อ่อนแอ?

“ระวังลูกไม้ตบตา” อวี่เหอกระซิบด้วยเสียงเบา

ฉู่เหยาผงกหัวและมองไปยังเจ๋อหัวหลีที่เดินตรงเข้ามา

อีกฟากหนึ่ง ฉินมู่มองไปเจี่ยงอี้และขมวดคิ้วเล็กน้อย “น้องสาวฮั่ว รอสักประเดี๋ยว ให้ข้าทดสอบกระบี่สักหน่อย”

ซังฮั่วก้าวถอยออกไป และฉินมู่ก็แตะนิ้วลงที่หว่างคิ้วของตนเอง ไจกระบี่ลอยขึ้น และเข้ามายังใกล้ๆ หน้าผากของเขา

ทันใดนั้น เสียงของฟู่ยื่อลัวก็ดังมาจากนอกอวกาศ และก้องสะท้อนไปทั่วโลกจำลองศึกทราย “พวกเราแพ้แล้ว ยอมสละเมืองหลี พวกเจ้าหยุดมือก่อน!”

ไม่ว่าจะในหรือนอกโลกจำลองศึกทราย ทุกคนก็ตกตะลึง แม้แต่ทวยเทพแห่งสวรรค์ไท่หวงก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจแกมยินดี

สีหน้าของเจี่ยงอี้เต็มไปด้วยความไม่เชื่อหู และเขาเงยหน้าขึ้นตะโกนไป “ข้ายังไม่ทันถูกสังหาร แล้วทำไมท่านถึงกล่าวว่าพวกเราแพ้แล้ว ฟู่ยื่อลัว ข้าไม่ยอมรับคำสั่งของท่าน!”

ที่นอกอวกาศเหนือชั้นฟ้า ใบหน้าของฟู่ยื่อลัวเข้ามาปิดเต็มทั้งท้องฟ้า และมองลงมายังเขาอย่างเย็นเยียบ “เด็กร้ายกาจ เจ้าไม่รู้จักดีชั่วสำหรับตัวเจ้าเอง สวีโม่ จัดการลูกศิษย์เจ้าด้วย ให้เขารีบเอ่ยปากยอมแพ้ จะได้เอาตัวออกมา!”

มารเที่ยงแท้สวีโม่ขมวดคิ้วและกล่าว “เจี่ยงอี้ นับเสียว่าเราพ่ายแพ้ในรอบนี้ เอ่ยปากยอมแพ้พร้อมกับเจ๋อหัวหลีซะ”

เจี่ยงอี้ไม่อาจควบคุมโทสะของตนเองได้และตะโกนออกไป “พี่น้องของพวกเราสละชีวิตไปตั้งมากมายกว่าจะยึดครองเมืองหลีนี่ได้ และท่านจะให้ข้าผละจากไปเสียแบบนี้หรือ อาจารย์ ท่านอาจจะยินยอม แต่ข้าทำใจไม่ได้!”

สวีโม่จนปัญญาและกล่าวกับฟู่ยื่อลัว “ศิษย์พี่ ข้ารู้ว่าปัญญาญาณของท่านไร้ปานเปรียบ แต่จะยอมแพ้และละทิ้งเมืองหลีไปเสียอย่างนี้คงจะไม่ดีหรอก จริงไหม”

ฟู่ยื่อลัวมองไปที่เขาอย่างเย็นชา “ละทิ้งเมืองหลียังดีกว่าละทิ้งชีวิตของศิษย์ของพวกเรา พวกเราได้พ่ายแพ้ในศึกนี้แล้ว…”

“บูชายัญมารฟ้า!” เจี่ยงอี้คำราม และพลังวัตรทั้งหมดของเขาก็แผ่พุ่งไป ในพริบตา ทะเลเลือดในโลกจำลองศึกทรายก็สั่นสะเทือน ศพเน่าเปื่อยมากมายพลันก่ายกองขึ้นมาก่อเป็นแท่นสังเวยยักษ์ที่กอปรจากเลือดและเนื้อ เจี่ยงอี้ยืนอยู่บนนั้นก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าใส่ฉินมู่พลางตะโกนไปอย่างดุดัน “ข้าไม่มีทางตาย เผ่ามารไม่มีวันพ่ายแพ้!”

แสงกระบี่พุ่งกรีดอากาศ ทำให้ผู้ชมดูตะลึงลาน มันฉีกผ่านทะเลโลหิต และพุ่งวาบผ่านหว่างคิ้วของมารหนุ่ม แสงกระบี่คลี่คลุมนภากาศในรัศมีสิบลี้

ฉินมู่ลดนิ้วกระบี่ของเขาลงจากหว่างคิ้ว และแสงกระบี่เหล่านั้นก็หดกลับมาเป็นไจกระบี่อันโบยบินคืน

“เจ๋อหัวหลี กระบวนท่านี้เรียกว่า ริเริ่มภัยพิบัติ” เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เจ๋อหัวหลี เจ้าสามารถนำศพนี้กลับไปให้อาจารย์ของเจ้าชมดูเพลงกระบี่ของข้า”

เจ๋อหัวหลีมองซากร่างที่ร่วงลงมาจากแท่นสังเวย ความเกลียดแค้นระเบิดออกมาในดวงตาของเขา และน้ำตาโลหิตสองสายก็หลั่งไหลลงมาอาบแก้ม รัศมีของเขากลายเป็นเดือดพล่านเช่นกัน เส้นผมของเขากระพือขึ้นไปด้วยความโกรธจัด และเขาหยุดกรีดร้องไม่ได้

“ยอมแพ้เสีย!” เสียงของฟู่ยื่อลัวดังมาจากนอกโลก “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสี่คนนี้!”

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+