ตำนานเทพกู้จักรวาล 569 เจ้าของห่วงหยกจักรพรรดิ

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 569 เจ้าของห่วงหยกจักรพรรดิ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทรายดาวที่ศิษย์พี่ใหญ่หลอมสร้างขึ้นมานั้นหนักจนเกินไป ด้วยกำลังฝีมือของข้า ขับเคลื่อนมันไม่ได้เลยสักนิด!

ฉินมู่ละทิ้งกระถางและวิ่งกลับเข้าไปในโถงวังใหญ่ เจียงเหมี่ยวมองดูเขาวิ่งกลับมาด้วยความรีบร้อน และกระโดดขึ้นไปบนร่างของมังกรเทพยดา ไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร

ฉินมู่ขับเคลื่อนคัมภีร์เลี้ยงมังกร แต่มันจะทำงานได้อย่างไรในเมื่อมังกรนี้ได้ตายไปแล้ว จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาได้ถูก ‘ภูตร้าย’ กลืนกินเข้าไป ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะหยิบยืมพลังวัตรของมังกรเทพยดาได้ หากว่าทำได้เขาคงจะสามารถต่อกรกับซิงอ้าน แต่น่าเสียดาย

ฉินมู่มองไปที่เจียงเหมี่ยว จากนั้นก็ส่ายหัว วรยุทธของเขาอ่อนแอเกินไป ด้อยเสียยิ่งกว่าข้า ดังนั้นข้าคงได้รับพลังมากขึ้นไม่เท่าไรต่อให้ใช้คัมภีร์เลี้ยงมังกร…ทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล!

อักษรรูนไหลพล่านไปทั่วร่างของเขา และเขาก็ตระเตรียมที่จะหลบหนีไปพร้อมกับเจียงเหมี่ยว แต่ทว่า ด้วยพลังวัตรของเขา เขาคงจะสามารถพาเจียงเหมี่ยวไปได้ไกลสุดอย่างมากก็หลายสิบลี้เท่านั้น ระยะทางเพียงแค่นี้ลำบากซิงอ้านตามไปเพียงแค่ไม่กี่วินาที

แต่กระนั้น ก่อนที่อักษรรูนเคลื่อนย้ายระยะไกลของเขาจะถูกขับเคลื่อนทำงาน พวกมันก็หยุดเคลื่อนไหวและแช่แข็งค้างอยู่ในอากาศ ไม่เพียงแค่อักษรรูนที่ถูกแช่แข็ง แต่แม้กระทั่งฉินมู่และเจียงเหมี่ยวก็ถูกตรึงไว้กับที่เช่นกัน พวกเขาขยับอะไรไม่ได้เลย

ซิงอ้านเดินเข้ามาในโถงด้วยสีหน้าถมึงทึงและยื่นมือออกมา เมื่อเขาคลี่นิ้วออกจากกัน มันก็ยังคงมีเลือดหยดติ๋งๆ หลังจากที่เขาซ่อมแซมสะพานเทวะและไปถึงปราสาทสวรรค์เพื่อบรรลุเป็นเทพ วรยุทธของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างน่าตื่นตระหนก กำลังฝีมือของเขาแข็งแกร่งจนเกินไปและสามารถตรึงจำกัดฉินมู่เอาไว้ได้อย่างง่ายดาย

เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในเขตทรายเหลืองสิบลี้ แต่เขาเป็นเทพเจ้าอันมีพลานุภาพอันลึกล้ำสุดจะหยั่ง แม้เพียงเสี้ยวกระผีกของพลังวัตรของเขา ก็ยังคงใช้กักตัวฉินมู่ได้

เหงื่อเย็นเยียบไหลร่วงลงจากหน้าผากของฉินมู่ ขณะที่เขาเค้นรอยยิ้มฝืดออกมา “ศิษย์พี่ซิงอ้าน ข้าจะคืนหีบให้แก่ท่าน…”

“ที่ข้าต้องการไม่ใช่หีบ แต่เป็นเจ้า” ซิงอ้านกล่าวก่อนที่จะถ่มเสมหะเลือดออกมา

บาดแผลบนร่างของเขามีขนาดแตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดนั้นดูน่าสยดสยอง เห็นเนื้อข้างในหลายแห่ง และบางแห่งก็ยังเห็นถึงกระดูกขาว

หากว่าใครลองขบคิดดู ก็จะพบว่าเขานั้นโชคร้ายอย่างแท้จริง อย่างแรกเขาไปติดกับอยู่ในมหานาวาปารมิตาอันเต็มไปด้วยภยันตรายร้ายกาจ นานถึงครึ่งปี มีผนึกและพยุหะสังหารอยู่ทั่วไปหมด และเขายังต้องเผชิญกับการถูกก่อกวนของเฒ่าบอดเป็นระยะๆ

ในพริบตาที่เขาหลุดออกมาได้ เขาพบกับฉินมู่และถูกล่อเข้าไปในพยุหะภัยพิบัติทรายดาวสิบลี้ เด็กหนุ่มหนีออกไปได้อย่างง่ายดาย ส่วนตัวเขาจมลึกเข้าไปในพยุหะ และสถานการณ์ของเขาก็ยิ่งย่ำแย่มากขึ้นทุกที

มีก็แต่รีดเร้นทุกสิ่งที่เขารู้ เขาจึงสามารถต้านยันไว้ได้นานขนาดนี้ หากว่าไม่ใช่เพราะจู่ๆ พยุหะก็หยุดทำงาน เขาก็คงไม่อาจรอดชีวิตได้ต่อไปและถูกป่นเป็นผุยผง!

“ยอดหมอเทวดาฉิน จะจับตัวเจ้าทำไมมันยากเย็นนัก” ซิงอ้านถามหลังจากที่กลืนโลหิตอันกระอักขึ้นมาที่คอ “โชคยังดี ที่ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าก็ยังหนีไม่พ้นเงื้อมมือข้า!”

ความมืดอันเข้มข้นไร้ปานเปรียบไหลบ่าออกมาจากใต้เท้าของเขา มันคือสมบัติเทวะเป็นตายของเขา เขาเดินไปบนนั้นราวกับว่ากำลังเดินบนผืนน้ำสีดำ

ในตอนนั้นเอง ดวงตาสองดวงก็ปรากฏขึ้นมาในความมืดภายใต้เท้าของเขา ถัดจากนั้น หญิงสาวโฉมสะคราญก็เผยใบหน้าของนาง และรูปร่างอันเย้ายวนของนางก็ลอยเข้ามาในทัศนวิสัย

ซิงอ้านดูเหมือนกับกำลังเหยียบเดินมาบนผิวน้ำสีดำมะเมื่อม และหญิงผู้นี้ก็เหมือนกับเงาสะท้อนของเขา แต่ทว่าหนึ่งนั้นเป็นบุรุษและอีกหนึ่งนั้นเป็นสตรี

นี่ช่างเป็นภาพอันพิลึกกึกกือ

ทั้งสองคนเดินตรงไปยังฉินมู่อย่างพร้อมเพรียงกัน ยกเท้าและวางเท้าลงไปในเวลาเดียวกัน

ชั่วจังหวะก่อนที่ความมืดจะแตะต้องฉินมู่ ซิงอ้านก็พลันหยุดเท้าและไม่ก้าวต่อไปข้างหน้า สาวงามก็หยุดลงไปเช่นกัน ดูราวกับว่านางจะเคลื่อนที่ได้ก็ต่อเมื่อซิงอ้านเคลื่อนที่

เสียงของบุรุษดังออกมาจากปากของสาวงาม มันทั้งระคายหูและหนักหน่วง “ซิงอ้าน ทำไมเจ้าถึงไม่เดินต่อไปข้างหน้าอีกล่ะ เอาเขาเข้ามาในสมบัติเทวะเป็นตายของเจ้าและส่งตัวเขาให้กับข้า เมื่อข้าได้ตัวเขา ข้อตกลงของเราก็จะเป็นอันสิ้นสุด!”

“ลู่หลี ข้าได้หาตัวเขาพบให้เจ้าแล้ว อันเป็นสิ่งที่ข้าสัญญาเอาไว้ ส่วนเจ้าจะจับตัวเขาได้หรือไม่นั้นก็เป็นธุระกงการของเจ้า ข้าไม่ชมชอบการถูกข่มขู่นัก” ซิงอ้านกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย

ข้างใต้เท้าของเขา สาวงามตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็ยิ้มหยัน “เจ้าคิดว่าเพียงเพราะเจ้าได้ไปถึงปราสาทสวรรค์และกลายเป็นเทพปลอม เจ้าก็สามารถต่อรองกับข้าได้งั้นรึ ซิงอ้าน เจ้ากล้าดีอย่างไร!”

“ต่อรอง?” ซิงอ้านส่ายหัว “นี่มิใช่การต่อรอง เจ้าส่งข้าออกไปจากแดนใต้พิภพ ดังนั้นข้าจึงช่วยเจ้าค้นหาตัวเขา นี่คือการแลกเปลี่ยน ข้าได้กระทำตามสัญญาฝั่งของข้าแล้ว ส่วนว่าเจ้าจะจับตัวเขาได้หรือไม่ นั่นมันเป็นปัญหาของเจ้า”

เขายืนมือออกไปในท่าคว้าจับ และร่างของมังกรเทพยดาก็ลอยขึ้น ขณะที่ฉินมู่และเจียงเหมี่ยวพลันตกลงไปกับพื้น พวกเขาสามารถบังคับร่างกายของตนเองได้อีกครั้ง และสามารถขับเคลื่อนปราณชีวิตได้ตามใจตน ฉินมู่ฉงนฉงาย เขาเงยศีรษะขึ้นและเห็นร่างของมังกรเทพยดาย่อหดลง โซ่ของมันร่วงลงกับพื้นอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนขนาด

ซิงอ้านคว้าจับมังกรเทพยดา ดึงร่างมันยืดออก แล้วม้วนพันรัดรอบสะเอวของตนเองไว้เหมือนกับเข็มขัด จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างเย็นชา “ลู่หลี จงออกไปจากสมบัติเทวะเป็นตายของข้า!”

ข้างใต้เท้าของเขา สาวงามพลันเต้นเร่าด้วยความเดือดดาล “กล้าดีอย่างไรถึงพูดจากับข้าเช่นนี้! เจ้าคิดว่าเทพตัวเล็กๆ อย่างเจ้าจะหนีพ้นเงื้อมมือข้าไปได้อย่างงั้นรึ”

“สมบัติเทวะของข้า ใช่ที่เจ้ามาเสนอหน้าพูดจาหรือ ไสหัวไป!”

ซิงอ้านกู่ตะโกน และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาพลันปรากฏในสมบัติเทวะเป็นตายของเขา ดวงตะวัน ดวงจันทร์ และธาตุทั้งห้าจุดแสงขึ้นมา และไม่ว่าที่ใดที่แสงสาดส่องไปถึง สาวงามนั้นก็รีบหลีกหนี นางถูกขับไล่ให้ล่าถอยไปจากแสงสว่างของดาวทั้งเจ็ดดวง

“ซิงอ้าน เจ้าบังอาจขับไล่ไสส่งเทพสูงส่ง ข้าจะต้อง–”

“ไสหัวไป!”

รัศมีเทวะสาดส่องออกมาจากซิงอ้าน และเสื้อผ้ากับเรือนผมของเขาปลิวสยาย สมบัติเทวะต่างๆ ในร่างของเขาสาดส่องอย่างเจิดจ้า และจุดแสงให้แก่สมบัติเทวะเป็นตาย ขับไล่นางกลับไปยังแดนใต้พิภพ!

รัศมีของซิงอ้านกลับมาเป็นปกติ และเส้นผมสีดำที่ปลิวสยายอยู่นั้นก็ตกลงมายังบ่าของเขาตามเดิม เมื่อเสื้อผ้าของเขากลับมาเป็นเช่นเดิม เขาก็มองไปยังฉินมู่ “หีบของข้าอยู่ที่ไหน”

ฉินมู่ลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง จากนั้นก็นำหีบออกมาจากถุงเต๋าตี้ของเขา หีบวิ่งปุเลงๆ ไปหาซิงอ้าน แต่ก็หันหัวของมันกลับมาเมื่อวิ่งไปได้ครึ่งทางเพื่อ ‘มอง’ ไปยังฉินมู่ จากนั้นมันก็วิ่งห้อไปถึงข้างกายของซิงอ้าน

ซิงอ้านหันหลังกลับและเดินออกไปจากโถงวังพลางกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “หมอเทวดาฉิน อย่าให้ข้าพบหน้าเจ้าอีก”

“ทำไมถึงไม่ฆ่าข้าล่ะ” ฉินมู่โพล่งถาม

“ทำไมข้าต้องฆ่าเจ้า” ซิงอ้านหยุดเท้าและหันศีรษะกลับมา “ข้ามีหลักการของข้าในการกระทำสิ่งต่างๆ เคล็ดลับสะพานนกกางเขน เคล็ดลับนำทางปริศนา และเคล็ดลับเทพข้ามพ้น ได้ช่วยให้ข้าฝึกปรือถึงเขตขั้นเทวะและสลัดพ้นความกังวลถึงอายุขัยของตนเอง ดังนั้นความบาดหมางของพวกเราจึงลบล้างไป”

“การตามหาตัวเจ้าในครั้งนี้ก็เพียงแค่เพื่อกระทำตามข้อตกลงระหว่างข้ากับลู่หลี และบัดนี้มันก็ลบล้างไปเช่นกัน เจ้านั้นเป็นปรมาจารย์คนหนึ่ง แต่เจ้ากลับคิดว่าข้าไม่สามารถหลอมรวมความรู้กับการกระทำให้เป็นหนึ่งเดียวได้หรือ เจ้าประเมินข้าต่ำเกินไปแล้ว”

ฉินมู่ตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็แย้มยิ้ม “ในอดีตนั้น ข้าได้ประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ นั่นแหละ”

ซิงอ้านเห็นรอยยิ้มของเขา หางตาก็กระตุกยิบๆ เขาแค่นเสียงเย็นชาก่อนหันกลับเดินออกไปจากโถง “อย่ามายิ้มให้ข้า ข้าจะกลับมาหาเจ้าใหม่อีกครั้ง เจ้าได้คิดค้นสิ่งต่างๆ มากมาย อย่างเช่นท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปด นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิม และข้าก็เป็นคนที่ชื่นชมผู้มีความสามารถ แต่เมื่อใดที่กายเนื้อของเจ้าบรรลุถึงเขตขั้นที่สะดุดตาข้าขึ้นมา ข้าจะมาตามหาตัวเจ้า ข้าต้องการกายเนื้อของกายาจ้าวแดนดิน”

ฉินมู่อ้าปากค้างและเฝ้ามองซิงอ้านจากไปยังที่ไกลๆ

เมื่อซิงอ้านมาถึงกระถางยักษ์ สายตาของเขาก็วูบไหว เขากำลังจะหยิบฉวยสมบัติชิ้นนี้ แต่ทันใดนั้น ทรายดาวในกระถางก็เคลื่อนไหว มันค่อยๆ ผงาดขึ้นมาและก่อรูปเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง

ด้วยความตื่นตระหนก ซิงอ้านพุ่งหนีไปทันที ข้ามช่องผาสิบลี้นั้นไปในชั่วพริบตา

เขากลัวว่าค่ายพยุหะอาจจะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

ฉินมู่นำเจียงเหมี่ยวออกมาจากโถงวังและเห็นมนุษย์ทรายยืนอยู่ใจกลางกระถาง ทรายดาวไหลไปมาอย่างต่อเนื่องบนพื้นผิวนั้น

“ศิษย์พี่ใหญ่?” ฉินมู่ถามหยั่ง “บรรพจารย์ก่อตั้งแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ ข้าคือจ้าวลัทธิคนปัจจุบัน และข้าได้พบกับนักบุญคนตัดไม้เมื่อไม่นานมานี้ พี่ใหญ่ ท่านยังมีชีวิตอยู่ไหม”

มนุษย์ทรายอ้าปากของเขา แต่ไม่อาจเปล่งวาจาได้ ทันใดนั้น มันก็พังทลายลงไป และทรายดาวก็ไหลรี่ไปกับพื้นเพื่อก่อเป็นรูปภาพ

ฉินมู่รีบมองดูและเห็นแผนที่ภูมิประเภทอยู่เกลื่อนพื้น ภูเขาและแม่น้ำต่างๆ พวกมันทั้งหมดถูกจับเอาไว้ในภาพ

ภูมิประเทศในแผนที่แปรเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดยั้ง และฉินมู่รีบจดจำมันไว้ให้ฝังใจ ทรายดาวแปรเปลี่ยนไปมามากกว่าสิบครั้ง ก่อนที่จะไหลกลับเข้าไปในกระถางยักษ์

ฉินมู่จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย นอกจากแผนที่แรกแล้ว แผนที่อื่นๆ เขาก็นึกอะไรไม่ออก และเมื่อเขาคิดถึงแดนโบราณวินาศ ก็ไม่มีส่วนพื้นที่ไหนที่คล้ายคลึงกับภาพอื่นๆ

แผนที่แรกเป็นของแดนโบราณวินาศ แต่แผนที่อื่นๆ อีกสิบสามภาพนั้นไม่ได้แสดงถึงภูมิประเทศอันปรากฏในสันตินิรันดร์หรือแผ่นดินตะวันตก มันก็ยังแตกต่างไปจากภูมิประเทศของสวรรค์ไท่หวงด้วย

ศิษย์พี่ใหญ่ตั้งใจจะบอกอะไรกันแน่

ฉินมู่หรี่ตา บรรพจารย์ก่อตั้งลัทธินักบุญสวรรค์น่าจะสัมผัสได้ว่ามังกรเทพยดาสิ้นชีวิตไป และในเมื่อมันเป็นกุศลของเขา เขาก็ได้กระตุ้นการทำงานของทรายดาวให้กลายเป็นร่างกายของเขาเพื่อมองดูสถานการณ์ แต่ทว่า เขาอาจจะไม่ได้อยู่ในแดนโบราณวินาศหรือสันตินิรันดร์ แต่อยู่ในโลกอื่น นั่นจึงเป็นเหตุให้เสียงของเขาส่งมาไม่ถึง

เพราะอย่างนั้น เขาจึงใช้ทรายดาวเพื่อจัดเรียงเป็นแผนที่เพื่อนำทางไปยังตำแหน่งของเขา

แผนที่ทั้งสิบสี่ภาพนั้นซับซ้อนอย่างอัศจรรย์ เช่นนั้นข้าจะต้องไปตามหาเขาที่ไหน ฉินมู่พลันตระหนักขึ้นมาโดยฉับพลัน ขอบฟ้าวิสัยทัศน์ของข้ายังคับแคบ แต่นักบุญคนตัดไม้จะต้องได้เห็นโลกมามากและจะต้องจดจำแผนที่พวกนี้ทั้งหมดได้เป็นแน่! แต่ทว่า ข้าอาจจะเสาะหาเบาะแสบางอย่างพบจากแผนที่แรก เช่นนั้นทำไมข้าไม่ลองไปดูสักหน่อยเสียล่ะ

เมื่อเขาตัดสินใจได้ เขาก็ผ่อนคลายและกล่าว “เจียงเหมี่ยว ไปกันเถอะ!”

เจียงเหมี่ยวรับคำ

ฉินมู่พลันหันหลังกลับไปในตอนนั้น และกอดกระถางยักษ์ เขาพยายามจะยกขึ้นมาด้วยกำลัง ขณะที่เจียงเหมี่ยวเกาหัวแกรกๆ “เจ้าจะไม่ช่วยข้าหรือ” ฉินมู่ตะโกนถาม

เจียงเหมี่ยวรีบวิ่งเข้าไป และทั้งสองคนก็หน้าแดงก่ำเมื่อพวกเขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีแต่ก็ยังไม่อาจยกกระถางยักษ์ขึ้นมาได้ เจียงเหมี่ยวหอบหายใจและถามหยั่ง “จ้าวลัทธิ ข้าคิดว่าพวกเราน่าจะลืมมันไปดีกว่าไหม กำลังฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ท่านแข็งแกร่งเกินไป และแม้แต่ซิงอ้านก็ไม่กล้ายกกระถางยักษ์นี้ไป พวกเราย่อมไม่อาจแบกมันไหวแน่…”

ฉินมู่จึงได้แต่ล้มเลิก แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นโซ่ที่ใช้ล่ามมังกรเอาไว้ และดวงตาของเขาก็ลุกวาบ เขาวิ่งเข้าไปด้วยความเร่งร้อน

“ก็คงไม่เลวนัก หากว่าพวกเราเอาโซ่ไปได้สักสองสามเส้น! พวกมันสามารถใช้ตรึงมังกรเทพยดาได้ ดังนั้นวัสดุของมันจะต้องมีคุณภาพล้ำเลิศที่สุด! แม้ว่ามันจะถูกหลอมและเปลี่ยนไปเป็นสมบัติวิเศษ พวกมันก็จะกลายเป็นสมบัติชั้นเลิศท่ามกลางสมบัติชั้นเลิศอื่นๆ!”

เจียงเหมี่ยวจึงได้แต่ตามไป ทั้งสองคนลากโซ่หนาขึ้นมาด้วยกำลัง และพากันถูลู่ถูกังมันออกมาจากโถงวังได้

ฉินมู่เปิดถุงเต๋าตี้ และพยายามจะเอาปลายโซ่ข้างหนึ่งเข้าไปข้างใน แต่โซ่นั้นหนาใหญ่เกินไป และเขาเอามันเข้าไม่ได้เลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้น ปลายโซ่อีกด้านก็ฝังจมอยู่ในหน้าผา และเขาไม่อาจดึงมันออกมาได้

เด็กหนุ่มทั้งสองหันไปมองหน้ากัน จนปัญญาและความคิด ฉินมู่โกรธขึ้งและสะบัดหน้าผละไป “แบบนี้หรือศิษย์พี่ใหญ่ของข้า งกจริงๆ!”

เจียงเหมี่ยวรีบตามเขา และฉินมู่เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าอันมืดคล้ำ เขามองไปยังบริเวณรอบๆ เพื่อตรวจสอบภูมิประเทศ จากนั้นก็เลือกทิศทางที่ระบุไว้ในแผนที่แรก

สองวันให้หลัง พวกเขามายังหมู่บ้านเล็กๆ ที่เป็นจุดอันระบุไว้ในแผนที่

ฉินมู่และเจียงเหมี่ยวเดินไปข้างใน และมองดูรอบๆ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ดูไม่ต่างอะไรกับหมู่บ้านธรรมดาทั่วไปในแดนโบราณวินาศ แต่ทว่ามันมีรูปสลักหินของเทพเจ้าที่มีหัวมังกรและร่างมนุษย์ ยืนอยู่รอบๆ หมู่บ้าน

ทำไมศิษย์พี่ใหญ่ถึงต้องการให้พวกเรามาที่นี่

ขณะที่กำลังฉงนฉงายอยู่นั่นเอง ฉินมู่ก็เห็นผู้เฒ่าผมขาวที่กำลังถักแหจับปลาอยู่ตรงหน้ากระท่อมฟางหลังหนึ่ง เขารีบเดินเข้าไปและโค้งคารวะทักทายอย่างนอบน้อม “ผู้เฒ่า ที่นี่คือที่ใด”

ผู้เฒ่าผมขาวมองมาที่เขาด้วยสายตาอันฝ้าฟางซึ่งเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “ข้าให้ห่วงหยกจักรพรรดิแก่ตระกูลหลิง แล้วมันมาอยู่ที่เจ้าได้อย่างไร” เขาถามด้วยรอยยิ้ม

ฉินมู่จ้องด้วยดวงตาอันเบิกกว้าง พูดอะไรไม่ออก

 ………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเทพกู้จักรวาล 569 เจ้าของห่วงหยกจักรพรรดิ

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 569 เจ้าของห่วงหยกจักรพรรดิ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทรายดาวที่ศิษย์พี่ใหญ่หลอมสร้างขึ้นมานั้นหนักจนเกินไป ด้วยกำลังฝีมือของข้า ขับเคลื่อนมันไม่ได้เลยสักนิด!

ฉินมู่ละทิ้งกระถางและวิ่งกลับเข้าไปในโถงวังใหญ่ เจียงเหมี่ยวมองดูเขาวิ่งกลับมาด้วยความรีบร้อน และกระโดดขึ้นไปบนร่างของมังกรเทพยดา ไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร

ฉินมู่ขับเคลื่อนคัมภีร์เลี้ยงมังกร แต่มันจะทำงานได้อย่างไรในเมื่อมังกรนี้ได้ตายไปแล้ว จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาได้ถูก ‘ภูตร้าย’ กลืนกินเข้าไป ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะหยิบยืมพลังวัตรของมังกรเทพยดาได้ หากว่าทำได้เขาคงจะสามารถต่อกรกับซิงอ้าน แต่น่าเสียดาย

ฉินมู่มองไปที่เจียงเหมี่ยว จากนั้นก็ส่ายหัว วรยุทธของเขาอ่อนแอเกินไป ด้อยเสียยิ่งกว่าข้า ดังนั้นข้าคงได้รับพลังมากขึ้นไม่เท่าไรต่อให้ใช้คัมภีร์เลี้ยงมังกร…ทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล!

อักษรรูนไหลพล่านไปทั่วร่างของเขา และเขาก็ตระเตรียมที่จะหลบหนีไปพร้อมกับเจียงเหมี่ยว แต่ทว่า ด้วยพลังวัตรของเขา เขาคงจะสามารถพาเจียงเหมี่ยวไปได้ไกลสุดอย่างมากก็หลายสิบลี้เท่านั้น ระยะทางเพียงแค่นี้ลำบากซิงอ้านตามไปเพียงแค่ไม่กี่วินาที

แต่กระนั้น ก่อนที่อักษรรูนเคลื่อนย้ายระยะไกลของเขาจะถูกขับเคลื่อนทำงาน พวกมันก็หยุดเคลื่อนไหวและแช่แข็งค้างอยู่ในอากาศ ไม่เพียงแค่อักษรรูนที่ถูกแช่แข็ง แต่แม้กระทั่งฉินมู่และเจียงเหมี่ยวก็ถูกตรึงไว้กับที่เช่นกัน พวกเขาขยับอะไรไม่ได้เลย

ซิงอ้านเดินเข้ามาในโถงด้วยสีหน้าถมึงทึงและยื่นมือออกมา เมื่อเขาคลี่นิ้วออกจากกัน มันก็ยังคงมีเลือดหยดติ๋งๆ หลังจากที่เขาซ่อมแซมสะพานเทวะและไปถึงปราสาทสวรรค์เพื่อบรรลุเป็นเทพ วรยุทธของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างน่าตื่นตระหนก กำลังฝีมือของเขาแข็งแกร่งจนเกินไปและสามารถตรึงจำกัดฉินมู่เอาไว้ได้อย่างง่ายดาย

เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในเขตทรายเหลืองสิบลี้ แต่เขาเป็นเทพเจ้าอันมีพลานุภาพอันลึกล้ำสุดจะหยั่ง แม้เพียงเสี้ยวกระผีกของพลังวัตรของเขา ก็ยังคงใช้กักตัวฉินมู่ได้

เหงื่อเย็นเยียบไหลร่วงลงจากหน้าผากของฉินมู่ ขณะที่เขาเค้นรอยยิ้มฝืดออกมา “ศิษย์พี่ซิงอ้าน ข้าจะคืนหีบให้แก่ท่าน…”

“ที่ข้าต้องการไม่ใช่หีบ แต่เป็นเจ้า” ซิงอ้านกล่าวก่อนที่จะถ่มเสมหะเลือดออกมา

บาดแผลบนร่างของเขามีขนาดแตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดนั้นดูน่าสยดสยอง เห็นเนื้อข้างในหลายแห่ง และบางแห่งก็ยังเห็นถึงกระดูกขาว

หากว่าใครลองขบคิดดู ก็จะพบว่าเขานั้นโชคร้ายอย่างแท้จริง อย่างแรกเขาไปติดกับอยู่ในมหานาวาปารมิตาอันเต็มไปด้วยภยันตรายร้ายกาจ นานถึงครึ่งปี มีผนึกและพยุหะสังหารอยู่ทั่วไปหมด และเขายังต้องเผชิญกับการถูกก่อกวนของเฒ่าบอดเป็นระยะๆ

ในพริบตาที่เขาหลุดออกมาได้ เขาพบกับฉินมู่และถูกล่อเข้าไปในพยุหะภัยพิบัติทรายดาวสิบลี้ เด็กหนุ่มหนีออกไปได้อย่างง่ายดาย ส่วนตัวเขาจมลึกเข้าไปในพยุหะ และสถานการณ์ของเขาก็ยิ่งย่ำแย่มากขึ้นทุกที

มีก็แต่รีดเร้นทุกสิ่งที่เขารู้ เขาจึงสามารถต้านยันไว้ได้นานขนาดนี้ หากว่าไม่ใช่เพราะจู่ๆ พยุหะก็หยุดทำงาน เขาก็คงไม่อาจรอดชีวิตได้ต่อไปและถูกป่นเป็นผุยผง!

“ยอดหมอเทวดาฉิน จะจับตัวเจ้าทำไมมันยากเย็นนัก” ซิงอ้านถามหลังจากที่กลืนโลหิตอันกระอักขึ้นมาที่คอ “โชคยังดี ที่ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าก็ยังหนีไม่พ้นเงื้อมมือข้า!”

ความมืดอันเข้มข้นไร้ปานเปรียบไหลบ่าออกมาจากใต้เท้าของเขา มันคือสมบัติเทวะเป็นตายของเขา เขาเดินไปบนนั้นราวกับว่ากำลังเดินบนผืนน้ำสีดำ

ในตอนนั้นเอง ดวงตาสองดวงก็ปรากฏขึ้นมาในความมืดภายใต้เท้าของเขา ถัดจากนั้น หญิงสาวโฉมสะคราญก็เผยใบหน้าของนาง และรูปร่างอันเย้ายวนของนางก็ลอยเข้ามาในทัศนวิสัย

ซิงอ้านดูเหมือนกับกำลังเหยียบเดินมาบนผิวน้ำสีดำมะเมื่อม และหญิงผู้นี้ก็เหมือนกับเงาสะท้อนของเขา แต่ทว่าหนึ่งนั้นเป็นบุรุษและอีกหนึ่งนั้นเป็นสตรี

นี่ช่างเป็นภาพอันพิลึกกึกกือ

ทั้งสองคนเดินตรงไปยังฉินมู่อย่างพร้อมเพรียงกัน ยกเท้าและวางเท้าลงไปในเวลาเดียวกัน

ชั่วจังหวะก่อนที่ความมืดจะแตะต้องฉินมู่ ซิงอ้านก็พลันหยุดเท้าและไม่ก้าวต่อไปข้างหน้า สาวงามก็หยุดลงไปเช่นกัน ดูราวกับว่านางจะเคลื่อนที่ได้ก็ต่อเมื่อซิงอ้านเคลื่อนที่

เสียงของบุรุษดังออกมาจากปากของสาวงาม มันทั้งระคายหูและหนักหน่วง “ซิงอ้าน ทำไมเจ้าถึงไม่เดินต่อไปข้างหน้าอีกล่ะ เอาเขาเข้ามาในสมบัติเทวะเป็นตายของเจ้าและส่งตัวเขาให้กับข้า เมื่อข้าได้ตัวเขา ข้อตกลงของเราก็จะเป็นอันสิ้นสุด!”

“ลู่หลี ข้าได้หาตัวเขาพบให้เจ้าแล้ว อันเป็นสิ่งที่ข้าสัญญาเอาไว้ ส่วนเจ้าจะจับตัวเขาได้หรือไม่นั้นก็เป็นธุระกงการของเจ้า ข้าไม่ชมชอบการถูกข่มขู่นัก” ซิงอ้านกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย

ข้างใต้เท้าของเขา สาวงามตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็ยิ้มหยัน “เจ้าคิดว่าเพียงเพราะเจ้าได้ไปถึงปราสาทสวรรค์และกลายเป็นเทพปลอม เจ้าก็สามารถต่อรองกับข้าได้งั้นรึ ซิงอ้าน เจ้ากล้าดีอย่างไร!”

“ต่อรอง?” ซิงอ้านส่ายหัว “นี่มิใช่การต่อรอง เจ้าส่งข้าออกไปจากแดนใต้พิภพ ดังนั้นข้าจึงช่วยเจ้าค้นหาตัวเขา นี่คือการแลกเปลี่ยน ข้าได้กระทำตามสัญญาฝั่งของข้าแล้ว ส่วนว่าเจ้าจะจับตัวเขาได้หรือไม่ นั่นมันเป็นปัญหาของเจ้า”

เขายืนมือออกไปในท่าคว้าจับ และร่างของมังกรเทพยดาก็ลอยขึ้น ขณะที่ฉินมู่และเจียงเหมี่ยวพลันตกลงไปกับพื้น พวกเขาสามารถบังคับร่างกายของตนเองได้อีกครั้ง และสามารถขับเคลื่อนปราณชีวิตได้ตามใจตน ฉินมู่ฉงนฉงาย เขาเงยศีรษะขึ้นและเห็นร่างของมังกรเทพยดาย่อหดลง โซ่ของมันร่วงลงกับพื้นอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนขนาด

ซิงอ้านคว้าจับมังกรเทพยดา ดึงร่างมันยืดออก แล้วม้วนพันรัดรอบสะเอวของตนเองไว้เหมือนกับเข็มขัด จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างเย็นชา “ลู่หลี จงออกไปจากสมบัติเทวะเป็นตายของข้า!”

ข้างใต้เท้าของเขา สาวงามพลันเต้นเร่าด้วยความเดือดดาล “กล้าดีอย่างไรถึงพูดจากับข้าเช่นนี้! เจ้าคิดว่าเทพตัวเล็กๆ อย่างเจ้าจะหนีพ้นเงื้อมมือข้าไปได้อย่างงั้นรึ”

“สมบัติเทวะของข้า ใช่ที่เจ้ามาเสนอหน้าพูดจาหรือ ไสหัวไป!”

ซิงอ้านกู่ตะโกน และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาพลันปรากฏในสมบัติเทวะเป็นตายของเขา ดวงตะวัน ดวงจันทร์ และธาตุทั้งห้าจุดแสงขึ้นมา และไม่ว่าที่ใดที่แสงสาดส่องไปถึง สาวงามนั้นก็รีบหลีกหนี นางถูกขับไล่ให้ล่าถอยไปจากแสงสว่างของดาวทั้งเจ็ดดวง

“ซิงอ้าน เจ้าบังอาจขับไล่ไสส่งเทพสูงส่ง ข้าจะต้อง–”

“ไสหัวไป!”

รัศมีเทวะสาดส่องออกมาจากซิงอ้าน และเสื้อผ้ากับเรือนผมของเขาปลิวสยาย สมบัติเทวะต่างๆ ในร่างของเขาสาดส่องอย่างเจิดจ้า และจุดแสงให้แก่สมบัติเทวะเป็นตาย ขับไล่นางกลับไปยังแดนใต้พิภพ!

รัศมีของซิงอ้านกลับมาเป็นปกติ และเส้นผมสีดำที่ปลิวสยายอยู่นั้นก็ตกลงมายังบ่าของเขาตามเดิม เมื่อเสื้อผ้าของเขากลับมาเป็นเช่นเดิม เขาก็มองไปยังฉินมู่ “หีบของข้าอยู่ที่ไหน”

ฉินมู่ลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง จากนั้นก็นำหีบออกมาจากถุงเต๋าตี้ของเขา หีบวิ่งปุเลงๆ ไปหาซิงอ้าน แต่ก็หันหัวของมันกลับมาเมื่อวิ่งไปได้ครึ่งทางเพื่อ ‘มอง’ ไปยังฉินมู่ จากนั้นมันก็วิ่งห้อไปถึงข้างกายของซิงอ้าน

ซิงอ้านหันหลังกลับและเดินออกไปจากโถงวังพลางกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “หมอเทวดาฉิน อย่าให้ข้าพบหน้าเจ้าอีก”

“ทำไมถึงไม่ฆ่าข้าล่ะ” ฉินมู่โพล่งถาม

“ทำไมข้าต้องฆ่าเจ้า” ซิงอ้านหยุดเท้าและหันศีรษะกลับมา “ข้ามีหลักการของข้าในการกระทำสิ่งต่างๆ เคล็ดลับสะพานนกกางเขน เคล็ดลับนำทางปริศนา และเคล็ดลับเทพข้ามพ้น ได้ช่วยให้ข้าฝึกปรือถึงเขตขั้นเทวะและสลัดพ้นความกังวลถึงอายุขัยของตนเอง ดังนั้นความบาดหมางของพวกเราจึงลบล้างไป”

“การตามหาตัวเจ้าในครั้งนี้ก็เพียงแค่เพื่อกระทำตามข้อตกลงระหว่างข้ากับลู่หลี และบัดนี้มันก็ลบล้างไปเช่นกัน เจ้านั้นเป็นปรมาจารย์คนหนึ่ง แต่เจ้ากลับคิดว่าข้าไม่สามารถหลอมรวมความรู้กับการกระทำให้เป็นหนึ่งเดียวได้หรือ เจ้าประเมินข้าต่ำเกินไปแล้ว”

ฉินมู่ตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็แย้มยิ้ม “ในอดีตนั้น ข้าได้ประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ นั่นแหละ”

ซิงอ้านเห็นรอยยิ้มของเขา หางตาก็กระตุกยิบๆ เขาแค่นเสียงเย็นชาก่อนหันกลับเดินออกไปจากโถง “อย่ามายิ้มให้ข้า ข้าจะกลับมาหาเจ้าใหม่อีกครั้ง เจ้าได้คิดค้นสิ่งต่างๆ มากมาย อย่างเช่นท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปด นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิม และข้าก็เป็นคนที่ชื่นชมผู้มีความสามารถ แต่เมื่อใดที่กายเนื้อของเจ้าบรรลุถึงเขตขั้นที่สะดุดตาข้าขึ้นมา ข้าจะมาตามหาตัวเจ้า ข้าต้องการกายเนื้อของกายาจ้าวแดนดิน”

ฉินมู่อ้าปากค้างและเฝ้ามองซิงอ้านจากไปยังที่ไกลๆ

เมื่อซิงอ้านมาถึงกระถางยักษ์ สายตาของเขาก็วูบไหว เขากำลังจะหยิบฉวยสมบัติชิ้นนี้ แต่ทันใดนั้น ทรายดาวในกระถางก็เคลื่อนไหว มันค่อยๆ ผงาดขึ้นมาและก่อรูปเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง

ด้วยความตื่นตระหนก ซิงอ้านพุ่งหนีไปทันที ข้ามช่องผาสิบลี้นั้นไปในชั่วพริบตา

เขากลัวว่าค่ายพยุหะอาจจะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

ฉินมู่นำเจียงเหมี่ยวออกมาจากโถงวังและเห็นมนุษย์ทรายยืนอยู่ใจกลางกระถาง ทรายดาวไหลไปมาอย่างต่อเนื่องบนพื้นผิวนั้น

“ศิษย์พี่ใหญ่?” ฉินมู่ถามหยั่ง “บรรพจารย์ก่อตั้งแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ ข้าคือจ้าวลัทธิคนปัจจุบัน และข้าได้พบกับนักบุญคนตัดไม้เมื่อไม่นานมานี้ พี่ใหญ่ ท่านยังมีชีวิตอยู่ไหม”

มนุษย์ทรายอ้าปากของเขา แต่ไม่อาจเปล่งวาจาได้ ทันใดนั้น มันก็พังทลายลงไป และทรายดาวก็ไหลรี่ไปกับพื้นเพื่อก่อเป็นรูปภาพ

ฉินมู่รีบมองดูและเห็นแผนที่ภูมิประเภทอยู่เกลื่อนพื้น ภูเขาและแม่น้ำต่างๆ พวกมันทั้งหมดถูกจับเอาไว้ในภาพ

ภูมิประเทศในแผนที่แปรเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดยั้ง และฉินมู่รีบจดจำมันไว้ให้ฝังใจ ทรายดาวแปรเปลี่ยนไปมามากกว่าสิบครั้ง ก่อนที่จะไหลกลับเข้าไปในกระถางยักษ์

ฉินมู่จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย นอกจากแผนที่แรกแล้ว แผนที่อื่นๆ เขาก็นึกอะไรไม่ออก และเมื่อเขาคิดถึงแดนโบราณวินาศ ก็ไม่มีส่วนพื้นที่ไหนที่คล้ายคลึงกับภาพอื่นๆ

แผนที่แรกเป็นของแดนโบราณวินาศ แต่แผนที่อื่นๆ อีกสิบสามภาพนั้นไม่ได้แสดงถึงภูมิประเทศอันปรากฏในสันตินิรันดร์หรือแผ่นดินตะวันตก มันก็ยังแตกต่างไปจากภูมิประเทศของสวรรค์ไท่หวงด้วย

ศิษย์พี่ใหญ่ตั้งใจจะบอกอะไรกันแน่

ฉินมู่หรี่ตา บรรพจารย์ก่อตั้งลัทธินักบุญสวรรค์น่าจะสัมผัสได้ว่ามังกรเทพยดาสิ้นชีวิตไป และในเมื่อมันเป็นกุศลของเขา เขาก็ได้กระตุ้นการทำงานของทรายดาวให้กลายเป็นร่างกายของเขาเพื่อมองดูสถานการณ์ แต่ทว่า เขาอาจจะไม่ได้อยู่ในแดนโบราณวินาศหรือสันตินิรันดร์ แต่อยู่ในโลกอื่น นั่นจึงเป็นเหตุให้เสียงของเขาส่งมาไม่ถึง

เพราะอย่างนั้น เขาจึงใช้ทรายดาวเพื่อจัดเรียงเป็นแผนที่เพื่อนำทางไปยังตำแหน่งของเขา

แผนที่ทั้งสิบสี่ภาพนั้นซับซ้อนอย่างอัศจรรย์ เช่นนั้นข้าจะต้องไปตามหาเขาที่ไหน ฉินมู่พลันตระหนักขึ้นมาโดยฉับพลัน ขอบฟ้าวิสัยทัศน์ของข้ายังคับแคบ แต่นักบุญคนตัดไม้จะต้องได้เห็นโลกมามากและจะต้องจดจำแผนที่พวกนี้ทั้งหมดได้เป็นแน่! แต่ทว่า ข้าอาจจะเสาะหาเบาะแสบางอย่างพบจากแผนที่แรก เช่นนั้นทำไมข้าไม่ลองไปดูสักหน่อยเสียล่ะ

เมื่อเขาตัดสินใจได้ เขาก็ผ่อนคลายและกล่าว “เจียงเหมี่ยว ไปกันเถอะ!”

เจียงเหมี่ยวรับคำ

ฉินมู่พลันหันหลังกลับไปในตอนนั้น และกอดกระถางยักษ์ เขาพยายามจะยกขึ้นมาด้วยกำลัง ขณะที่เจียงเหมี่ยวเกาหัวแกรกๆ “เจ้าจะไม่ช่วยข้าหรือ” ฉินมู่ตะโกนถาม

เจียงเหมี่ยวรีบวิ่งเข้าไป และทั้งสองคนก็หน้าแดงก่ำเมื่อพวกเขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีแต่ก็ยังไม่อาจยกกระถางยักษ์ขึ้นมาได้ เจียงเหมี่ยวหอบหายใจและถามหยั่ง “จ้าวลัทธิ ข้าคิดว่าพวกเราน่าจะลืมมันไปดีกว่าไหม กำลังฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ท่านแข็งแกร่งเกินไป และแม้แต่ซิงอ้านก็ไม่กล้ายกกระถางยักษ์นี้ไป พวกเราย่อมไม่อาจแบกมันไหวแน่…”

ฉินมู่จึงได้แต่ล้มเลิก แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นโซ่ที่ใช้ล่ามมังกรเอาไว้ และดวงตาของเขาก็ลุกวาบ เขาวิ่งเข้าไปด้วยความเร่งร้อน

“ก็คงไม่เลวนัก หากว่าพวกเราเอาโซ่ไปได้สักสองสามเส้น! พวกมันสามารถใช้ตรึงมังกรเทพยดาได้ ดังนั้นวัสดุของมันจะต้องมีคุณภาพล้ำเลิศที่สุด! แม้ว่ามันจะถูกหลอมและเปลี่ยนไปเป็นสมบัติวิเศษ พวกมันก็จะกลายเป็นสมบัติชั้นเลิศท่ามกลางสมบัติชั้นเลิศอื่นๆ!”

เจียงเหมี่ยวจึงได้แต่ตามไป ทั้งสองคนลากโซ่หนาขึ้นมาด้วยกำลัง และพากันถูลู่ถูกังมันออกมาจากโถงวังได้

ฉินมู่เปิดถุงเต๋าตี้ และพยายามจะเอาปลายโซ่ข้างหนึ่งเข้าไปข้างใน แต่โซ่นั้นหนาใหญ่เกินไป และเขาเอามันเข้าไม่ได้เลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้น ปลายโซ่อีกด้านก็ฝังจมอยู่ในหน้าผา และเขาไม่อาจดึงมันออกมาได้

เด็กหนุ่มทั้งสองหันไปมองหน้ากัน จนปัญญาและความคิด ฉินมู่โกรธขึ้งและสะบัดหน้าผละไป “แบบนี้หรือศิษย์พี่ใหญ่ของข้า งกจริงๆ!”

เจียงเหมี่ยวรีบตามเขา และฉินมู่เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าอันมืดคล้ำ เขามองไปยังบริเวณรอบๆ เพื่อตรวจสอบภูมิประเทศ จากนั้นก็เลือกทิศทางที่ระบุไว้ในแผนที่แรก

สองวันให้หลัง พวกเขามายังหมู่บ้านเล็กๆ ที่เป็นจุดอันระบุไว้ในแผนที่

ฉินมู่และเจียงเหมี่ยวเดินไปข้างใน และมองดูรอบๆ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ดูไม่ต่างอะไรกับหมู่บ้านธรรมดาทั่วไปในแดนโบราณวินาศ แต่ทว่ามันมีรูปสลักหินของเทพเจ้าที่มีหัวมังกรและร่างมนุษย์ ยืนอยู่รอบๆ หมู่บ้าน

ทำไมศิษย์พี่ใหญ่ถึงต้องการให้พวกเรามาที่นี่

ขณะที่กำลังฉงนฉงายอยู่นั่นเอง ฉินมู่ก็เห็นผู้เฒ่าผมขาวที่กำลังถักแหจับปลาอยู่ตรงหน้ากระท่อมฟางหลังหนึ่ง เขารีบเดินเข้าไปและโค้งคารวะทักทายอย่างนอบน้อม “ผู้เฒ่า ที่นี่คือที่ใด”

ผู้เฒ่าผมขาวมองมาที่เขาด้วยสายตาอันฝ้าฟางซึ่งเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “ข้าให้ห่วงหยกจักรพรรดิแก่ตระกูลหลิง แล้วมันมาอยู่ที่เจ้าได้อย่างไร” เขาถามด้วยรอยยิ้ม

ฉินมู่จ้องด้วยดวงตาอันเบิกกว้าง พูดอะไรไม่ออก

 ………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+