ตำนานเทพกู้จักรวาล 601 รองเท้าคับของยายเฒ่าซี

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 601 รองเท้าคับของยายเฒ่าซี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มารเทวะกำลังต่อสู้กับเทพแห่งแดนโบราณวินาศ ผู้ซึ่งกำลังพิทักษ์แท่นสังเวยอยู่ แม้ว่ามารเทวะนั้นจะมองเห็นและได้ยินในทุกทิศทาง แต่ศัตรูของเขานั้นแข็งแกร่งเกินไป จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทุ่มเทสมาธิกับการต่อสู้ เมื่อเสื้อเหาะละลิ่วมา เขาไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามจากมัน ดังนั้นจึงไม่ได้ระวังป้องกัน แต่เมื่อเสื้อนั้นสวมใส่เข้าบนร่างกายของเขา นั่นแหละเขาถึงมีปฏิกิริยาขึ้นมา แต่มันก็สายไปเสียแล้ว

เสื้อของท่านยายซีหดลงอย่างรวดเร็ว รัดช่วงอกของเขาและทำให้มันถูกบีบรัดเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ซี่โครงของเขาหักเป๊าะๆ ไปทีละซี่

เสื้อนี้ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยเข็มอันแทงทิ่มเข้าไปในร่างของเขา ความเจ็บปวดแหลมคมแพร่กระจายไปทั่วตัว ทำให้เขามิอาจทานทนได้

มารเทวะหายใจไม่ออก ดังนั้นเขาจึงย่อหดร่างกายของตนอย่างไม่คิดชีวิต มารเทวะเช่นเขาสามารถควบคุมขนาดร่างกายได้อย่างง่ายดาย ในตอนนั้นเอง ศัตรูของเขาก็ฟันกระบี่มา เขาหลบกระบี่ได้โดยบังเอิญจากการย่อหดร่าง

แต่ทว่า เมื่อเขาหดตัวลง เสื้อเองก็หดลงไปพร้อมกับเขา มันยังคงรัดรึงเขาไว้อย่างคับแคบ

“ฉีกไปซะ!”

ร่างของเขาขยายออก แต่เสื้อไม่ยอมขยายไปด้วยกับร่างเขา มารเทวะนี้พลันได้ยินเสียงซี่โครงของตนหัก!

ไม่เพียงแค่ซี่โครงหัก แต่อวัยวะทั้งห้าและโพรงทั้งหกของเขาก็ถูกบดขยี้เข้าไปในเวลาเดียวกัน

ช่วงอกของเขาถูกบีบอัดเข้าไปจนหนาเพียงหัวแม่มือ และมันก็มีเข็มเงินอยู่ทั่วทั้งเสื้อ ปักเต็มร่างของเขา พวกมันทำลายการทำงานของร่างกาย ดังนั้นเมื่อเขาขยายร่างในสภาวะเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย

เทพที่ต่อสู้กับเขาแทงกระบี่ทะลุเข้าไปในศีรษะ ในพริบตานั้นร่างกายของเขาก็ขยายออกมา ปักจิตวิญญาณดั้งเดิมจนถึงแก่ความตาย

มารเทวะตายด้วยดวงตาเบิกโพลง โลหิตทะลักออกมาจากปากของเขา เสียงของเขาแหบแห้ง “หากว่าข้าไม่ได้ใส่เสื้อคับนี้ เจ้าคงเอาชนะข้าไม่ได้…” เมื่อเขากล่าวคำสุดท้าย ลมหายใจเขาก็ขาดสะบั้น

เสื้อนั้นลอยออกมาจากศพของเขาโดยอัตโนมัติ และกลับไปยังข้างกายของยายเฒ่าซี จากนั้นมันก็แยกตัวออกเป็นชิ้นผ้ามากมายและเก็บตัวมันเองเข้าไปในตะกร้า

ฉินมู่มองไปที่ชิ้นผ้าในตะกร้า เขาถามหยั่ง “ฝีมือการตัดเย็บของท่านยายซีนับวันก็ยิ่งโดดเด่นเหนือธรรมดา ชิ้นผ้าพวกนี้มาจากที่ไหนหรือ ทำไมมันถึงสามารถรัดรึงร่างของมารเทวะได้”

“ชิ้นผ้าพวกนี้ถักทอมาจากเส้นเอ็นของเทพเจ้า และยังผสมเส้นเอ็นมังกรเข้าไปด้วยนิดหน่อย ข้าพบพวกมันในแดนโบราณวินาศ แต่เพราะว่าพวกมันมีไม่มาก จึงถักทอได้เพียงชิ้นผ้าไม่กี่ชิ้น”

ยายเฒ่าซีอธิบายต่อ “ใจความสำคัญของเรื่องนี้ก็เพราะว่าคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตสามารถใช้เป็นด้ายเย็บร้อยชิ้นผ้าเศษเหล่านี้เข้าด้วยกันได้ และทำให้มารเทวะไม่อาจหลุดออกมา”

ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ “นอกจากเสื้อแล้ว ท่านยายยังเย็บอะไรได้อีก”

“ข้ายังเย็บรองเท้าคับๆ ได้อีกสองข้าง ข้ายังมีส้นรองเท้าผ้าที่ทำมาจากหนังของมารเทวะ มันเหลือเฟือที่จะใช้ทำรองเท้าผ้าสองคู่”

ยายเฒ่าซีจึงนำส้นรองเท้าผ้าสองคู่ออกมา แย้มยิ้มพลางกะพริบตาปริบๆ “เมื่อใครก็ตามใส่รองเท้าคับของข้า เขาก็จะกลายเป็นลูกไก่ในกำมือ เขาไม่มีทางถอดมันออกได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม มู่เอ๋ออยากใส่รองเท้าคับที่ยายทำไหมล่ะ”

“ไม่อยาก! ท่านเย็บรองเท้าคับให้ข้าตั้งหลายคู่ตอนที่ข้ายังเล็ก และตอนนี้เท้าของข้าก็ถูกบีบจนเล็กไปหมดแล้ว!”

ขณะที่พวกเขาสนทนากันอยู่นั้น เทพแดนโบราณวินาศที่กำลังพิทักษ์แท่นสังเวยอยู่ก็เชื้อเชิญพวกเขา “เชิญสหายเต๋าทั้งสองท่านขึ้นมาเถอะ!”

ฉินมู่และท่านยายซีเดินขึ้นแท่นสังเวยไป เทพเจ้านั้นหล่อเหลาราวกับต้นไม้หยกกลางสายลม เมื่อเขาเห็นรูปโฉมของท่านยาย จิตเต๋าของเขาก็สั่นไหวจนเขาต้องรีบตั้งมั่นจิตวิญญาณ เขาโค้งคารวะเพื่อแสดงความขอบคุณ “ที่แท้ก็เป็นจ้าวลัทธิฉิน ส่วนนี่คือสหายเต๋าจากสวรรค์ไท่หวงหรือ ขอบคุณที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือข้า!”

“ผู้อาวุโสรู้จักข้าด้วยหรือ” ฉินมู่ตกตะลึง

เทพนั้นยิ้มให้แก่เขา “ครูบาสวรรค์เคยพูดถึงจ้าวลัทธิอยู่หนหนึ่ง”

ฉินมู่รีบถาม “ครูบาสวรรค์อยู่ที่ใด”

“ที่นั่น!”

เทพเจ้ายกนิ้วขึ้นและชี้ไปยังทิศไกลๆ “นับจากแท่นนี้ถัดไปอีกหกแท่นคือสถานที่ที่ครูบาสวรรค์คุ้มกันอยู่ ข้าจะต้องรั้งรอและพิทักษ์รักษาแท่นสังเวยที่นี่ ดังนั้นข้าจึงไม่อาจส่งพวกท่านไปที่นั่นได้ ขออภัยด้วย!”

ฉินมู่และท่านยายซีกล่าวลาและเดินตรงไปยังทิศทางที่เขาชี้ ระหว่างเส้นทาง พวกเขาเห็นแท่นสังเวยอื่นๆ ถูกโจมตี หากว่าไม่ใช่กองทัพมารที่บุกเข้าไปในแท่นสังเวยราวน้ำหลาก ก็จะเป็นมารเทวะที่ไปต่อสู้กับเทพเจ้าบนนั้นตัวต่อตัว เพื่อแย่งชิงการควบคุมแท่นสังเวยเหล่านั้น

ถ้าช่วยได้ ฉินมู่กับยายเฒ่าซีก็จะช่วย แต่ถ้าช่วยไม่ได้ พวกเขาก็จะเดินอ้อมไป

หากว่าแท่นสังเวยได้ตกลงไปในเงื้อมมือของเผ่ามารแล้ว เทพเจ้าบนยอดแท่นก็คงจะถูกสังหาร นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจยับยั้งได้ นักบุญคนตัดไม้ได้เข้าไปกุมจุดสำคัญที่เผ่ามารหวงแหนเป็นที่สุด และใช้สวรรค์หลัวฝูเป็นเครื่องมือข่มขู่ เผ่ามารจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอาชีวิตเข้าแลกและแย่งชิงแต้มต่อจำนวนหนึ่งกลับมาไว้ใช้เจรจาต่อรอง

“สวรรค์หลัวฝูอันตรายขนาดนี้ แต่ก็ยังมีพวกมารอาศัยอยู่ที่นี่!”

ฉินมู่และท่านยายเห็นกระดูกและซากร่างของมารเทวะมากมายตั้งตระหง่านอยู่ในเขตต้องห้ามบางเขต ที่นั่น มีหลักจารึกหินตั้งลดหลั่นกันไป บนหลักจารึก ภาษามารได้ถูกจารเอาไว้ พวกมันใช้ปกป้องจากภัยธรรมชาติของที่นี่

ยิ่งไปกว่านั้น มารทั้งหลายก็ได้เข้าไปอาศัยในสมบัติเทวะของซากร่างมารเทวะพวกนั้น ดูเหมือนว่าหลังจากที่ภัยธรรมชาติมาเยือน มารเทวะจำนวนหนึ่งก็ได้อุทิศซากสังขารของตนเพื่อให้สหายร่วมเผ่าดำรงชีวิตได้

“ท่านยายซี ทำไมโลกของมารถึงมีภัยธรรมชาติร้ายแรงขนาดนี้ ภัยธรรมชาติพวกนี้มาจากที่ไหนหรือ” ฉินมู่ฉงนเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังดาวเคราะห์แตกหักบนท้องฟ้า ดาวเคราะห์เหล่านั้นมหึมาอย่างเหลือแสน และกำลังเคลื่อนไหวไป มันยิ่งกระตุ้นภัยธรรมชาติมากขึ้นอีกและปั่นป่วนดิน น้ำ ลม ไฟ

ทั้งยังมีชิ้นส่วนดาวแตกหักบนท้องฟ้า อันร่วงลงมาราวกับงูไฟ ตกลงไปยังที่ไหนสักแห่ง

ท่านยายซีส่ายหัว “ข้าจะรู้ได้อย่างไร บางทีที่นี่อาจจะเป็นภัยธรรมชาติที่แท้จริง หรือบางทีเทพเจ้าบางตนอาจจะใช้พลังวัตรอันยิ่งใหญ่เพื่อเคลื่อนดาวเคราะห์นั้นมา ใช้มันเพื่อเรียกภัยพิบัติ ส่วนเหตุผลที่แน่นอนจะคืออะไรนั้น บางทีอาจจะมีแต่ตัวตนระดับฟู่ยื่อลัวที่ล่วงรู้ได้”

ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงแท่นสังเวยที่หก

ฉินมู่และท่านยายซีมองไปจากที่ไกลๆ และเห็นปราณมารบนแท่นสังเวยแยกออกเป็นสีดำและสีขาว พวกมันหมุนวนไปรอบกันและกันบนท้องฟ้าเบื้องบน ราวกับปลาใหญ่สองตัวที่ว่ายวนกันไปด้วยหัวจรดหางของอีกฝ่าย

ฟู่ยื่อลัวมาถึงแล้ว!

จิตใจของฉินมู่ตื่นตระหนก ข้าสงสัยว่าลู่หลีจะอยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่ หากว่าลู่หลีอยู่ที่นี่ นักบุญคนตัดไม้ก็จะตกอยู่ในอันตราย!

เขามองขึ้นไปบนแท่นสังเวย เขาสามารถเห็นสมบัติเทวะมากมาย แต่นอกจากสมบัติเทวะของนักบุญคนตัดไม้และฟู่ยื่อลัว เขาก็ไม่เห็นสมบัติเทวะอื่นๆ ที่ได้ย่างกรายเข้าไปในปราสาทสวรรค์เทพหรือปราสาทสวรรค์มารเลยสักคน

ลู่หลีมิได้อยู่ท่ามกลางพวกที่ติดตามฟู่ยื่อลัวขึ้นไปบนแท่นสังเวย ในทางกลับกัน พวกเขาคือเหล่าศิษย์ที่ยังไม่ได้ฝึกปรือถึงขั้นมารเทวะ ดังนั้นจึงไม่เป็นภัยคุกคามสักเท่าไร

และยิ่งไปกว่านั้น มีสมบัติเทวะไม่กี่ชิ้นของมารเทวะอยู่ข้างล่างแท่นสังเวย ฟู่ยื่อลัวคงจะต้องกลัวว่านักบุญคนตัดไม้อาจจะหักใจอำมหิตและพลันบูชายัญสวรรค์หลัวฝู นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาทิ้งมารเทวะที่ติดตามมาด้วยให้อยู่ที่เบื้องล่างของแท่นสังเวย

ฉินมู่ค่อยคลายใจลงและติดตามท่านยายซีเดินตรงไปยังแท่นสังเวยที่หก

เมื่อพวกเขามาถึงตีนแท่นสังเวย ฉินมู่เห็นเทพเสือขนดำ แต่เขาอดไม่ได้ที่จะร่าเริงยินดี เขารีบโบกไม้โบกมือให้

เทพเสือขนดำไม่ใส่ใจเขา ยืนคุมเชิงอยู่ด้วยค้อนใหญ่สองเล่มในมือ เขาดูกระสับกระส่ายระแวดระวังมารเทวะสองตนข้างๆ

เสียงของนักบุญคนตัดไม้ดังมา “ฉินมู่ บนแท่นสังเวยไม่อนุญาตให้เทพเจ้าตนอื่นๆ ขึ้นมา เจ้าสามารถขึ้นมาได้ แต่สตรีข้างๆ เจ้าจะต้องอยู่ข้างล่าง”

ฉินมู่รับคำ

ยายเฒ่าซีอดไม่ได้ที่จะกล่าว “ครูบาศักดิ์สิทธิ์ ข้าคือธิดาเทพรุ่นก่อนของลัทธินักบุญสวรรค์ ข้าเลื่อมใสครูบาศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ไม่ทราบว่าครูบาศักดิ์สิทธิ์จะประทานโอกาสให้ข้าได้ยลท่านได้หรือไม่”

บนแท่นสังเวย นักบุญคนตัดไม้โผล่หัวออกมาและมองลงไป เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปเล็กน้อยและกล่าวอย่างแช่มช้า “สตรีอะไรแบบนี้ แทบจะทำให้จิตเต๋าข้าปั่นป่วนไปหมด ลัทธินักบุญสวรรค์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า เจ้าเองก็ได้เห็นข้าเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นไม่ต้องขึ้นมา ไม่งั้นกรอบคิดจิตใจของข้าคงจะหวั่นไหวไม่เสถียร”

ยายเฒ่าซีจึงได้แต่รับคำและยืนอยู่ข้างๆ เสือเทพยดาขนดำ นางสั่งความด้วยเสียงเบา “มู่เอ๋อ หลังจากที่เจ้าขึ้นไปแล้ว อย่าขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ หากว่าเจ้าจำเป็นต้องทำเช่นนั้น ก็แปะใบหลิวทองคำเอาไว้ที่หว่างคิ้วเสียก่อน”

“ท่านยาย ไม่ต้องห่วง ข้าจะทำอย่างนั้นแหละ”

ฉินมู่เดินขึ้นบันไดไป ก้าวทีละสองขั้น และในที่สุดก็มาถึงยอดบนสุดของแท่นสังเวยในระยะเวลาอันสั้น เขาเห็นฟู่ยื่อลัวและนักบุญคนตัดไม้นั่งอยู่สูงส่งบนอาสนะของตน ข้างล่างฟู่ยื่อลัว มีคนหนุ่มสาวอยู่จำนวนหนึ่ง เจ๋อหัวหลีก็คือหนึ่งในนั้น และยังมีคุณชายฉีจากสภาสวรรค์อยู่ที่นั่นด้วย!

แต่ทว่าฉีเจี่ยวอี๋มีอาสนะของตนเอง อันแสดงให้เห็นว่าศักดิ์ฐานะของเขาสูงส่งพอที่จะมีสิทธินั่ง

ฉินมู่ก้าวเข้าไปและโค้งคารวะนักบุญคนตัดไม้ จากนั้นเขาก็ทักทายฟู่ยื่อลัว ฟู่ยื่อลัวนั่งนิ่งไม่ไหวติง เขาพยักหน้าน้อยๆ เพื่อทักทายกลับไป

จากนั้นฉินมู่ก็ทักทายฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลี ทั้งสองทักทายเขากลับ และไม่มีทีท่าของความยโสโอหังเพียงเพราะว่าฉินมู่เป็นศัตรู

ฉินมู่มาที่ข้างล่างอาสนะของนักบุญคนตัดไม้และยืนอยู่ที่นั่น ฟู่ยื่อลัวมองไปที่เขาด้วยความสนอกสนใจและเห็นว่ามีแถบแพรขาวปกปิดดวงตาของฉินมู่ แต่กระนั้นก็มีดวงตาตั้งฉากที่อยู่ใจกลางหว่างคิ้วของเขา ทำให้เขาสามารถมองเห็นได้ ฟู่ยื่อลัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สหายน้อยฉิน ดวงตาที่หว่างคิ้วของเจ้าแปลกเสียจริง”

ดวงตาที่หว่างคิ้วของฉินมู่หลุบมองต่ำและไม่มองไปที่เขา

ฟู่ยื่อลัวหัวเราะ “ทำไมเจ้าไม่กล้ามองมาที่ข้าล่ะ หรือว่าเจ้ากลัวข้า เจ้ายังเยาว์อยู่ วัวแรกเกิดย่อมไม่กลัวเสือร้าย หากว่าเจ้ากลัวข้า ข้าก็กังวลแทนอนาคตในการฝึกปรือและจิตเต๋าของเจ้า! มาสิ เงยหน้าขึ้นมาและมองมาที่ข้า”

ฉินมู่ไม่สนใจคำพูดของเขา

ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีก็เพ่งพิศฉินมู่ พวกเขาก็ฉงนฉงายและไม่รู้ว่าทำไมฉินมู่ถึงปิดดวงตาทั้งสองเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็สงสัยใคร่รู้ในดวงตาที่สามตรงหว่างคิ้ว

นักบุญคนตัดไม้มองไปที่ฉินมู่ เห็นเขาก้มหน้าก้มตาด้วยความหดหู่เล็กน้อย เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉินมู่ ทำไมเจ้ามาตามหาข้าล่ะ ทำไมเจ้าถึงปิดดวงตาเอาไว้ โอ้ ข้ารู้ล่ะ เจ้าได้ประสานตากับฟู่ยื่อลัวอีกแล้วสินะ?”

ฉินมู่ผงกหัวด้วยความอับอาย “ศิษย์และผู้เฒ่าที่บ้านจำนวนหนึ่งได้ไปวางอุบายขัดขวางการยาตราทัพของผู้อาวุโสฟู่ยื่อลัว ดังนั้นข้าถึงเสียท่าให้กับฟู่ยื่อลัวอีกครั้ง เมื่อข้าได้ประสานตากับเขา เขาก็ได้ประทับทักษะเทวะในดวงตาข้าอีกหน หากว่าข้ามองเข้าไปในกระจก ข้าก็จะถูกเขาลักพาตัวไป ข้าไม่รู้ว่าจะแก้ไขทักษะเทวะนี้ได้อย่างไร ดังนั้นจึงมาตามหาอาจารย์”

นักบุญคนตัดไม้ยิ้มให้เขา “ฟู่ยื่อลัวเป็นผู้อาวุโส เขาเพียงแต่ล้อเล่นกับเจ้าเท่านั้น เขาอยู่ที่นี่แล้ว ทำไมเขาถึงจะต้องเล่นเล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ นั่นเพื่อลักพาตัวเจ้าด้วยล่ะ ปลดแถบแพรของเจ้าออกสิ ให้ข้าดูหน่อยว่าเขาจะลักพาตัวเจ้าไปอย่างไร”

ฉินมู่นำกระจกออกมาและมองเข้าไปในนั้น เงาร่างของฟู่ยื่อลัวปรากฏขึ้นมาอีกครั้งและขยายใหญ่ขึ้นๆ ขณะที่เขาเดินออกมาจากกระจก

มือของฉินมู่สั่นเทิ้ม ราวกับว่าเขาไม่อาจรับน้ำหนักของกระจกไว้ได้ ฟู่ยื่อลัวในกระจกนั้นคือฟู่ยื่อลัวในดวงตาของเขา ซึ่งกำลังจะกลืนกินเขาเหมือนกับฝันร้าย!

ทันใดนั้น นักบุญคนตัดไม้ก็สะบัดขวานที่เขาเอาไว้ผ่าฟืน และสับกระจกอันฉินมู่ถือเอาไว้อยู่!

อีกฟากหนึ่ง ฟู่ยื่อลัวครางกระอัก รอยเลือดพลันปรากฏที่หว่างคิ้วของเขา

ฉินมู่รู้สึกเหมือนภูเขาถูกยกออกไปจากบ่า แรงกดดันนั้นหายไปอย่างสิ้นเชิง

นักบุญคนตัดไม้รั้งขวานของเขากลับมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าบอกแล้วว่าฟู่ยื่อลัวเพียงแค่ล้อเล่นกับเจ้า เขาเป็นผู้อาวุโส เขาจะลงมือกับเจ้าได้อย่างไร เขาไม่กลัวหรืออย่างไรว่าข้าจะโกรธขึ้นมาและสับศิษย์ทั้งหลายของเขาให้เป็นชิ้นๆ!”

รอยเลือดหยดติ๋งๆ ลงมาจากใจกลางหว่างคิ้วของฟู่ยื่อลัว แยกมันออกจากกันจนถึงสันจมูก ใบหน้าทั้งสามของเขาเผยโทสะ

“สหายเฒ่า เจ้าน่าจะรู้ว่าหากเจ้ายังคงคุมเชิงอยู่ที่สวรรค์หลัวฝู ทั้งเจ้าและสหายเต๋าทั้งสี่สิบสี่ตนของเจ้าก็ยากจะหลบหนีจากความตาย!”

ฟู่ยื่อลัวเปลี่ยนใบหน้ามาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “นี่ไม่ใช่ว่าเผ่ามารต้องการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ของเจ้า ผู้ที่ต้องการทำลายล้างเจ้าจริงๆ นั้นเป็นผู้อื่น ด้วยปัญญาญาณของเจ้า เจ้าก็ก็น่าจะรู้ว่าเขานั้นแข็งแกร่งเพียงใด ดังนั้นทำไมเจ้าถึงปล่อยให้พวกเขามาตาย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเทพกู้จักรวาล 601 รองเท้าคับของยายเฒ่าซี

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 601 รองเท้าคับของยายเฒ่าซี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มารเทวะกำลังต่อสู้กับเทพแห่งแดนโบราณวินาศ ผู้ซึ่งกำลังพิทักษ์แท่นสังเวยอยู่ แม้ว่ามารเทวะนั้นจะมองเห็นและได้ยินในทุกทิศทาง แต่ศัตรูของเขานั้นแข็งแกร่งเกินไป จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทุ่มเทสมาธิกับการต่อสู้ เมื่อเสื้อเหาะละลิ่วมา เขาไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามจากมัน ดังนั้นจึงไม่ได้ระวังป้องกัน แต่เมื่อเสื้อนั้นสวมใส่เข้าบนร่างกายของเขา นั่นแหละเขาถึงมีปฏิกิริยาขึ้นมา แต่มันก็สายไปเสียแล้ว

เสื้อของท่านยายซีหดลงอย่างรวดเร็ว รัดช่วงอกของเขาและทำให้มันถูกบีบรัดเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ซี่โครงของเขาหักเป๊าะๆ ไปทีละซี่

เสื้อนี้ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยเข็มอันแทงทิ่มเข้าไปในร่างของเขา ความเจ็บปวดแหลมคมแพร่กระจายไปทั่วตัว ทำให้เขามิอาจทานทนได้

มารเทวะหายใจไม่ออก ดังนั้นเขาจึงย่อหดร่างกายของตนอย่างไม่คิดชีวิต มารเทวะเช่นเขาสามารถควบคุมขนาดร่างกายได้อย่างง่ายดาย ในตอนนั้นเอง ศัตรูของเขาก็ฟันกระบี่มา เขาหลบกระบี่ได้โดยบังเอิญจากการย่อหดร่าง

แต่ทว่า เมื่อเขาหดตัวลง เสื้อเองก็หดลงไปพร้อมกับเขา มันยังคงรัดรึงเขาไว้อย่างคับแคบ

“ฉีกไปซะ!”

ร่างของเขาขยายออก แต่เสื้อไม่ยอมขยายไปด้วยกับร่างเขา มารเทวะนี้พลันได้ยินเสียงซี่โครงของตนหัก!

ไม่เพียงแค่ซี่โครงหัก แต่อวัยวะทั้งห้าและโพรงทั้งหกของเขาก็ถูกบดขยี้เข้าไปในเวลาเดียวกัน

ช่วงอกของเขาถูกบีบอัดเข้าไปจนหนาเพียงหัวแม่มือ และมันก็มีเข็มเงินอยู่ทั่วทั้งเสื้อ ปักเต็มร่างของเขา พวกมันทำลายการทำงานของร่างกาย ดังนั้นเมื่อเขาขยายร่างในสภาวะเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย

เทพที่ต่อสู้กับเขาแทงกระบี่ทะลุเข้าไปในศีรษะ ในพริบตานั้นร่างกายของเขาก็ขยายออกมา ปักจิตวิญญาณดั้งเดิมจนถึงแก่ความตาย

มารเทวะตายด้วยดวงตาเบิกโพลง โลหิตทะลักออกมาจากปากของเขา เสียงของเขาแหบแห้ง “หากว่าข้าไม่ได้ใส่เสื้อคับนี้ เจ้าคงเอาชนะข้าไม่ได้…” เมื่อเขากล่าวคำสุดท้าย ลมหายใจเขาก็ขาดสะบั้น

เสื้อนั้นลอยออกมาจากศพของเขาโดยอัตโนมัติ และกลับไปยังข้างกายของยายเฒ่าซี จากนั้นมันก็แยกตัวออกเป็นชิ้นผ้ามากมายและเก็บตัวมันเองเข้าไปในตะกร้า

ฉินมู่มองไปที่ชิ้นผ้าในตะกร้า เขาถามหยั่ง “ฝีมือการตัดเย็บของท่านยายซีนับวันก็ยิ่งโดดเด่นเหนือธรรมดา ชิ้นผ้าพวกนี้มาจากที่ไหนหรือ ทำไมมันถึงสามารถรัดรึงร่างของมารเทวะได้”

“ชิ้นผ้าพวกนี้ถักทอมาจากเส้นเอ็นของเทพเจ้า และยังผสมเส้นเอ็นมังกรเข้าไปด้วยนิดหน่อย ข้าพบพวกมันในแดนโบราณวินาศ แต่เพราะว่าพวกมันมีไม่มาก จึงถักทอได้เพียงชิ้นผ้าไม่กี่ชิ้น”

ยายเฒ่าซีอธิบายต่อ “ใจความสำคัญของเรื่องนี้ก็เพราะว่าคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตสามารถใช้เป็นด้ายเย็บร้อยชิ้นผ้าเศษเหล่านี้เข้าด้วยกันได้ และทำให้มารเทวะไม่อาจหลุดออกมา”

ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ “นอกจากเสื้อแล้ว ท่านยายยังเย็บอะไรได้อีก”

“ข้ายังเย็บรองเท้าคับๆ ได้อีกสองข้าง ข้ายังมีส้นรองเท้าผ้าที่ทำมาจากหนังของมารเทวะ มันเหลือเฟือที่จะใช้ทำรองเท้าผ้าสองคู่”

ยายเฒ่าซีจึงนำส้นรองเท้าผ้าสองคู่ออกมา แย้มยิ้มพลางกะพริบตาปริบๆ “เมื่อใครก็ตามใส่รองเท้าคับของข้า เขาก็จะกลายเป็นลูกไก่ในกำมือ เขาไม่มีทางถอดมันออกได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม มู่เอ๋ออยากใส่รองเท้าคับที่ยายทำไหมล่ะ”

“ไม่อยาก! ท่านเย็บรองเท้าคับให้ข้าตั้งหลายคู่ตอนที่ข้ายังเล็ก และตอนนี้เท้าของข้าก็ถูกบีบจนเล็กไปหมดแล้ว!”

ขณะที่พวกเขาสนทนากันอยู่นั้น เทพแดนโบราณวินาศที่กำลังพิทักษ์แท่นสังเวยอยู่ก็เชื้อเชิญพวกเขา “เชิญสหายเต๋าทั้งสองท่านขึ้นมาเถอะ!”

ฉินมู่และท่านยายซีเดินขึ้นแท่นสังเวยไป เทพเจ้านั้นหล่อเหลาราวกับต้นไม้หยกกลางสายลม เมื่อเขาเห็นรูปโฉมของท่านยาย จิตเต๋าของเขาก็สั่นไหวจนเขาต้องรีบตั้งมั่นจิตวิญญาณ เขาโค้งคารวะเพื่อแสดงความขอบคุณ “ที่แท้ก็เป็นจ้าวลัทธิฉิน ส่วนนี่คือสหายเต๋าจากสวรรค์ไท่หวงหรือ ขอบคุณที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือข้า!”

“ผู้อาวุโสรู้จักข้าด้วยหรือ” ฉินมู่ตกตะลึง

เทพนั้นยิ้มให้แก่เขา “ครูบาสวรรค์เคยพูดถึงจ้าวลัทธิอยู่หนหนึ่ง”

ฉินมู่รีบถาม “ครูบาสวรรค์อยู่ที่ใด”

“ที่นั่น!”

เทพเจ้ายกนิ้วขึ้นและชี้ไปยังทิศไกลๆ “นับจากแท่นนี้ถัดไปอีกหกแท่นคือสถานที่ที่ครูบาสวรรค์คุ้มกันอยู่ ข้าจะต้องรั้งรอและพิทักษ์รักษาแท่นสังเวยที่นี่ ดังนั้นข้าจึงไม่อาจส่งพวกท่านไปที่นั่นได้ ขออภัยด้วย!”

ฉินมู่และท่านยายซีกล่าวลาและเดินตรงไปยังทิศทางที่เขาชี้ ระหว่างเส้นทาง พวกเขาเห็นแท่นสังเวยอื่นๆ ถูกโจมตี หากว่าไม่ใช่กองทัพมารที่บุกเข้าไปในแท่นสังเวยราวน้ำหลาก ก็จะเป็นมารเทวะที่ไปต่อสู้กับเทพเจ้าบนนั้นตัวต่อตัว เพื่อแย่งชิงการควบคุมแท่นสังเวยเหล่านั้น

ถ้าช่วยได้ ฉินมู่กับยายเฒ่าซีก็จะช่วย แต่ถ้าช่วยไม่ได้ พวกเขาก็จะเดินอ้อมไป

หากว่าแท่นสังเวยได้ตกลงไปในเงื้อมมือของเผ่ามารแล้ว เทพเจ้าบนยอดแท่นก็คงจะถูกสังหาร นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจยับยั้งได้ นักบุญคนตัดไม้ได้เข้าไปกุมจุดสำคัญที่เผ่ามารหวงแหนเป็นที่สุด และใช้สวรรค์หลัวฝูเป็นเครื่องมือข่มขู่ เผ่ามารจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอาชีวิตเข้าแลกและแย่งชิงแต้มต่อจำนวนหนึ่งกลับมาไว้ใช้เจรจาต่อรอง

“สวรรค์หลัวฝูอันตรายขนาดนี้ แต่ก็ยังมีพวกมารอาศัยอยู่ที่นี่!”

ฉินมู่และท่านยายเห็นกระดูกและซากร่างของมารเทวะมากมายตั้งตระหง่านอยู่ในเขตต้องห้ามบางเขต ที่นั่น มีหลักจารึกหินตั้งลดหลั่นกันไป บนหลักจารึก ภาษามารได้ถูกจารเอาไว้ พวกมันใช้ปกป้องจากภัยธรรมชาติของที่นี่

ยิ่งไปกว่านั้น มารทั้งหลายก็ได้เข้าไปอาศัยในสมบัติเทวะของซากร่างมารเทวะพวกนั้น ดูเหมือนว่าหลังจากที่ภัยธรรมชาติมาเยือน มารเทวะจำนวนหนึ่งก็ได้อุทิศซากสังขารของตนเพื่อให้สหายร่วมเผ่าดำรงชีวิตได้

“ท่านยายซี ทำไมโลกของมารถึงมีภัยธรรมชาติร้ายแรงขนาดนี้ ภัยธรรมชาติพวกนี้มาจากที่ไหนหรือ” ฉินมู่ฉงนเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังดาวเคราะห์แตกหักบนท้องฟ้า ดาวเคราะห์เหล่านั้นมหึมาอย่างเหลือแสน และกำลังเคลื่อนไหวไป มันยิ่งกระตุ้นภัยธรรมชาติมากขึ้นอีกและปั่นป่วนดิน น้ำ ลม ไฟ

ทั้งยังมีชิ้นส่วนดาวแตกหักบนท้องฟ้า อันร่วงลงมาราวกับงูไฟ ตกลงไปยังที่ไหนสักแห่ง

ท่านยายซีส่ายหัว “ข้าจะรู้ได้อย่างไร บางทีที่นี่อาจจะเป็นภัยธรรมชาติที่แท้จริง หรือบางทีเทพเจ้าบางตนอาจจะใช้พลังวัตรอันยิ่งใหญ่เพื่อเคลื่อนดาวเคราะห์นั้นมา ใช้มันเพื่อเรียกภัยพิบัติ ส่วนเหตุผลที่แน่นอนจะคืออะไรนั้น บางทีอาจจะมีแต่ตัวตนระดับฟู่ยื่อลัวที่ล่วงรู้ได้”

ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงแท่นสังเวยที่หก

ฉินมู่และท่านยายซีมองไปจากที่ไกลๆ และเห็นปราณมารบนแท่นสังเวยแยกออกเป็นสีดำและสีขาว พวกมันหมุนวนไปรอบกันและกันบนท้องฟ้าเบื้องบน ราวกับปลาใหญ่สองตัวที่ว่ายวนกันไปด้วยหัวจรดหางของอีกฝ่าย

ฟู่ยื่อลัวมาถึงแล้ว!

จิตใจของฉินมู่ตื่นตระหนก ข้าสงสัยว่าลู่หลีจะอยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่ หากว่าลู่หลีอยู่ที่นี่ นักบุญคนตัดไม้ก็จะตกอยู่ในอันตราย!

เขามองขึ้นไปบนแท่นสังเวย เขาสามารถเห็นสมบัติเทวะมากมาย แต่นอกจากสมบัติเทวะของนักบุญคนตัดไม้และฟู่ยื่อลัว เขาก็ไม่เห็นสมบัติเทวะอื่นๆ ที่ได้ย่างกรายเข้าไปในปราสาทสวรรค์เทพหรือปราสาทสวรรค์มารเลยสักคน

ลู่หลีมิได้อยู่ท่ามกลางพวกที่ติดตามฟู่ยื่อลัวขึ้นไปบนแท่นสังเวย ในทางกลับกัน พวกเขาคือเหล่าศิษย์ที่ยังไม่ได้ฝึกปรือถึงขั้นมารเทวะ ดังนั้นจึงไม่เป็นภัยคุกคามสักเท่าไร

และยิ่งไปกว่านั้น มีสมบัติเทวะไม่กี่ชิ้นของมารเทวะอยู่ข้างล่างแท่นสังเวย ฟู่ยื่อลัวคงจะต้องกลัวว่านักบุญคนตัดไม้อาจจะหักใจอำมหิตและพลันบูชายัญสวรรค์หลัวฝู นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาทิ้งมารเทวะที่ติดตามมาด้วยให้อยู่ที่เบื้องล่างของแท่นสังเวย

ฉินมู่ค่อยคลายใจลงและติดตามท่านยายซีเดินตรงไปยังแท่นสังเวยที่หก

เมื่อพวกเขามาถึงตีนแท่นสังเวย ฉินมู่เห็นเทพเสือขนดำ แต่เขาอดไม่ได้ที่จะร่าเริงยินดี เขารีบโบกไม้โบกมือให้

เทพเสือขนดำไม่ใส่ใจเขา ยืนคุมเชิงอยู่ด้วยค้อนใหญ่สองเล่มในมือ เขาดูกระสับกระส่ายระแวดระวังมารเทวะสองตนข้างๆ

เสียงของนักบุญคนตัดไม้ดังมา “ฉินมู่ บนแท่นสังเวยไม่อนุญาตให้เทพเจ้าตนอื่นๆ ขึ้นมา เจ้าสามารถขึ้นมาได้ แต่สตรีข้างๆ เจ้าจะต้องอยู่ข้างล่าง”

ฉินมู่รับคำ

ยายเฒ่าซีอดไม่ได้ที่จะกล่าว “ครูบาศักดิ์สิทธิ์ ข้าคือธิดาเทพรุ่นก่อนของลัทธินักบุญสวรรค์ ข้าเลื่อมใสครูบาศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ไม่ทราบว่าครูบาศักดิ์สิทธิ์จะประทานโอกาสให้ข้าได้ยลท่านได้หรือไม่”

บนแท่นสังเวย นักบุญคนตัดไม้โผล่หัวออกมาและมองลงไป เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปเล็กน้อยและกล่าวอย่างแช่มช้า “สตรีอะไรแบบนี้ แทบจะทำให้จิตเต๋าข้าปั่นป่วนไปหมด ลัทธินักบุญสวรรค์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า เจ้าเองก็ได้เห็นข้าเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นไม่ต้องขึ้นมา ไม่งั้นกรอบคิดจิตใจของข้าคงจะหวั่นไหวไม่เสถียร”

ยายเฒ่าซีจึงได้แต่รับคำและยืนอยู่ข้างๆ เสือเทพยดาขนดำ นางสั่งความด้วยเสียงเบา “มู่เอ๋อ หลังจากที่เจ้าขึ้นไปแล้ว อย่าขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ หากว่าเจ้าจำเป็นต้องทำเช่นนั้น ก็แปะใบหลิวทองคำเอาไว้ที่หว่างคิ้วเสียก่อน”

“ท่านยาย ไม่ต้องห่วง ข้าจะทำอย่างนั้นแหละ”

ฉินมู่เดินขึ้นบันไดไป ก้าวทีละสองขั้น และในที่สุดก็มาถึงยอดบนสุดของแท่นสังเวยในระยะเวลาอันสั้น เขาเห็นฟู่ยื่อลัวและนักบุญคนตัดไม้นั่งอยู่สูงส่งบนอาสนะของตน ข้างล่างฟู่ยื่อลัว มีคนหนุ่มสาวอยู่จำนวนหนึ่ง เจ๋อหัวหลีก็คือหนึ่งในนั้น และยังมีคุณชายฉีจากสภาสวรรค์อยู่ที่นั่นด้วย!

แต่ทว่าฉีเจี่ยวอี๋มีอาสนะของตนเอง อันแสดงให้เห็นว่าศักดิ์ฐานะของเขาสูงส่งพอที่จะมีสิทธินั่ง

ฉินมู่ก้าวเข้าไปและโค้งคารวะนักบุญคนตัดไม้ จากนั้นเขาก็ทักทายฟู่ยื่อลัว ฟู่ยื่อลัวนั่งนิ่งไม่ไหวติง เขาพยักหน้าน้อยๆ เพื่อทักทายกลับไป

จากนั้นฉินมู่ก็ทักทายฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลี ทั้งสองทักทายเขากลับ และไม่มีทีท่าของความยโสโอหังเพียงเพราะว่าฉินมู่เป็นศัตรู

ฉินมู่มาที่ข้างล่างอาสนะของนักบุญคนตัดไม้และยืนอยู่ที่นั่น ฟู่ยื่อลัวมองไปที่เขาด้วยความสนอกสนใจและเห็นว่ามีแถบแพรขาวปกปิดดวงตาของฉินมู่ แต่กระนั้นก็มีดวงตาตั้งฉากที่อยู่ใจกลางหว่างคิ้วของเขา ทำให้เขาสามารถมองเห็นได้ ฟู่ยื่อลัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สหายน้อยฉิน ดวงตาที่หว่างคิ้วของเจ้าแปลกเสียจริง”

ดวงตาที่หว่างคิ้วของฉินมู่หลุบมองต่ำและไม่มองไปที่เขา

ฟู่ยื่อลัวหัวเราะ “ทำไมเจ้าไม่กล้ามองมาที่ข้าล่ะ หรือว่าเจ้ากลัวข้า เจ้ายังเยาว์อยู่ วัวแรกเกิดย่อมไม่กลัวเสือร้าย หากว่าเจ้ากลัวข้า ข้าก็กังวลแทนอนาคตในการฝึกปรือและจิตเต๋าของเจ้า! มาสิ เงยหน้าขึ้นมาและมองมาที่ข้า”

ฉินมู่ไม่สนใจคำพูดของเขา

ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีก็เพ่งพิศฉินมู่ พวกเขาก็ฉงนฉงายและไม่รู้ว่าทำไมฉินมู่ถึงปิดดวงตาทั้งสองเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็สงสัยใคร่รู้ในดวงตาที่สามตรงหว่างคิ้ว

นักบุญคนตัดไม้มองไปที่ฉินมู่ เห็นเขาก้มหน้าก้มตาด้วยความหดหู่เล็กน้อย เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉินมู่ ทำไมเจ้ามาตามหาข้าล่ะ ทำไมเจ้าถึงปิดดวงตาเอาไว้ โอ้ ข้ารู้ล่ะ เจ้าได้ประสานตากับฟู่ยื่อลัวอีกแล้วสินะ?”

ฉินมู่ผงกหัวด้วยความอับอาย “ศิษย์และผู้เฒ่าที่บ้านจำนวนหนึ่งได้ไปวางอุบายขัดขวางการยาตราทัพของผู้อาวุโสฟู่ยื่อลัว ดังนั้นข้าถึงเสียท่าให้กับฟู่ยื่อลัวอีกครั้ง เมื่อข้าได้ประสานตากับเขา เขาก็ได้ประทับทักษะเทวะในดวงตาข้าอีกหน หากว่าข้ามองเข้าไปในกระจก ข้าก็จะถูกเขาลักพาตัวไป ข้าไม่รู้ว่าจะแก้ไขทักษะเทวะนี้ได้อย่างไร ดังนั้นจึงมาตามหาอาจารย์”

นักบุญคนตัดไม้ยิ้มให้เขา “ฟู่ยื่อลัวเป็นผู้อาวุโส เขาเพียงแต่ล้อเล่นกับเจ้าเท่านั้น เขาอยู่ที่นี่แล้ว ทำไมเขาถึงจะต้องเล่นเล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ นั่นเพื่อลักพาตัวเจ้าด้วยล่ะ ปลดแถบแพรของเจ้าออกสิ ให้ข้าดูหน่อยว่าเขาจะลักพาตัวเจ้าไปอย่างไร”

ฉินมู่นำกระจกออกมาและมองเข้าไปในนั้น เงาร่างของฟู่ยื่อลัวปรากฏขึ้นมาอีกครั้งและขยายใหญ่ขึ้นๆ ขณะที่เขาเดินออกมาจากกระจก

มือของฉินมู่สั่นเทิ้ม ราวกับว่าเขาไม่อาจรับน้ำหนักของกระจกไว้ได้ ฟู่ยื่อลัวในกระจกนั้นคือฟู่ยื่อลัวในดวงตาของเขา ซึ่งกำลังจะกลืนกินเขาเหมือนกับฝันร้าย!

ทันใดนั้น นักบุญคนตัดไม้ก็สะบัดขวานที่เขาเอาไว้ผ่าฟืน และสับกระจกอันฉินมู่ถือเอาไว้อยู่!

อีกฟากหนึ่ง ฟู่ยื่อลัวครางกระอัก รอยเลือดพลันปรากฏที่หว่างคิ้วของเขา

ฉินมู่รู้สึกเหมือนภูเขาถูกยกออกไปจากบ่า แรงกดดันนั้นหายไปอย่างสิ้นเชิง

นักบุญคนตัดไม้รั้งขวานของเขากลับมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าบอกแล้วว่าฟู่ยื่อลัวเพียงแค่ล้อเล่นกับเจ้า เขาเป็นผู้อาวุโส เขาจะลงมือกับเจ้าได้อย่างไร เขาไม่กลัวหรืออย่างไรว่าข้าจะโกรธขึ้นมาและสับศิษย์ทั้งหลายของเขาให้เป็นชิ้นๆ!”

รอยเลือดหยดติ๋งๆ ลงมาจากใจกลางหว่างคิ้วของฟู่ยื่อลัว แยกมันออกจากกันจนถึงสันจมูก ใบหน้าทั้งสามของเขาเผยโทสะ

“สหายเฒ่า เจ้าน่าจะรู้ว่าหากเจ้ายังคงคุมเชิงอยู่ที่สวรรค์หลัวฝู ทั้งเจ้าและสหายเต๋าทั้งสี่สิบสี่ตนของเจ้าก็ยากจะหลบหนีจากความตาย!”

ฟู่ยื่อลัวเปลี่ยนใบหน้ามาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “นี่ไม่ใช่ว่าเผ่ามารต้องการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ของเจ้า ผู้ที่ต้องการทำลายล้างเจ้าจริงๆ นั้นเป็นผู้อื่น ด้วยปัญญาญาณของเจ้า เจ้าก็ก็น่าจะรู้ว่าเขานั้นแข็งแกร่งเพียงใด ดังนั้นทำไมเจ้าถึงปล่อยให้พวกเขามาตาย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+