ตำนานเทพกู้จักรวาล 620 ยากจะระงับจิตเข่นฆ่า

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 620 ยากจะระงับจิตเข่นฆ่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในวัดอันซอมซ่อ พุทธเจ้าท้าวสักกะเดินไปรอบๆ ด้วยเท้าเปล่า เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะไปตามหาพุทธเจ้าพรหม

“ศิษย์น้อง เจ้ากำลังพยายามจะทำอะไร” เสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลังเขา

พุทธเจ้าท้าวสักกะหันกลับไปและเห็นหลวงจีนภารโรงที่กำลังใช้ไม้กวาดกวาดเช็ดรอยเท้าของเขา พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนข้าเดินไม่มีฝุ่นติดเท้ามา เหมือนกับที่เส้นทางของข้าไม่มีธุลีมลทินทิ้งเอาไว้ ในเมื่อไม่มีรอยเท้าหลงเหลืออยู่ ทำไมศิษย์พี่ถึงต้องกวาดด้วยล่ะ”

หลวงจีนภารโรงกล่าว “ร่างของเจ้าไม่ทิ้งรอยเท้าเอาไว้ แต่หัวใจเจ้าทิ้งร่องรอยเอาไว้ข้างหลัง ข้าปัดกวาดฝุ่นที่ปลิวออกมาจากหัวใจเจ้า”

พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าว “ท่านบอกว่าหัวใจของข้าสกปรกงั้นหรือ นี่มันด่าทอกันชัดๆ ข้าสู้ท่านไม่ได้ งั้นข้าจะไม่ต่อปากต่อคำด้วยหรอก รีบๆ ถ่ายทอดวิชาฝึกปรือของท่านให้ข้าเร็วเข้า พอข้าเรียนเสร็จแล้วจะได้รีบไป ช่วยให้ข้าไม่ต้องอยู่ให้ท่านทนรำคาญต่ออย่างไรล่ะ”

เสียงของไม้กวาดกวาดพื้นดังมา และพุทธเจ้าท้าวสักกะก็มองไปยังที่มาของเสียง หลวงจีนภารโรงอีกคนหนึ่งเข้ามาจากประตูทิศตะวันตก กล่าวไปพลางกวาดพื้นไป “เจ้าอยากได้วิชาฝึกปรือของข้ามาโดยตลอด แต่เจ้ามองไม่เห็นเหตุผลที่ข้าไม่ยอมสอนให้เจ้าหรอกหรือ ศิษย์น้อง ข้าไม่ได้สอนมันให้กับเจ้า แต่เจ้าก็ยังบรรลุเป็นพุทธเจ้าท้าวสักกะในวันนี้ได้ พุทธเกษตรของเจ้าด้อยกว่าข้าเพียงนิดเดียวเท่านั้น และวิชาฝึกปรือของเจ้าก็ไปถึงระดับตำหนักชิดฟ้า หากว่าข้าสอนให้แก่เจ้า เจ้าก็คงไม่มีความสำเร็จดังที่เจ้ามีในบัดนี้”

พุทธเจ้าท้าวสักกะจ้องไปที่หลวงจีนภารโรงอันจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา และกล่าว “ตอนนี้ข้าไม่อาจขึ้นไปอีกเพื่อฝึกปรือถึงขั้นบัลลังก์จักรพรรดิ นั่นจึงทำให้ข้ามาที่นี่เพื่อขอวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิของท่านเพื่อใช้อ้างอิง ท่านบอกว่าท่านจะสอนมันให้แก่ใครก็ตามที่เข้ามาข้างใน ข้าก็เลยเข้ามา สอนให้ข้าเถอะ แล้วข้าจะไม่รบกวนความสงบของท่านอีกต่อไป”

เสียงไม้กวาดดังมาจากข้างหลังอีกเสียง และพุทธเจ้าท้าวสักกะก็หันกลับไปอีกครั้ง เขาเห็นหลวงจีนภารโรงอีกคน และตอนนี้ก็มีถึงสามคนในลานวัด

เนตรธรรมะของเขานั้นไร้เทียมทาน เมื่อเขามองไปยังหลวงจีนภารโรงทั้งสาม หลวงจีนพวกนี้ถึงกับดูแตกต่างกัน และทุกๆ คนก็เป็นพุทธเจ้าพรหม พวกเขาทั้งหมดเป็นพุทธเจ้าพรหมที่แท้จริง!

รูปลักษณ์ของพุทธเจ้าพรหมเหล่านี้ดูไม่เหมือนกับเทพยดา

เขานั้นอยู่ขั้นต่ำกว่าพุทธเจ้าพรหมเพียงหนึ่งขั้น แต่กระนั้นเขาก็ไม่อาจเข้าใจเขตขั้นของพุทธเจ้าพรหมได้

หนึ่งขั้นนั้นเหมือนกับร่องเหวสวรรค์ พุทธเจ้าพรหมนั้นลึกล้ำสุดจะหยั่ง จนตัวเขาเหมือนกับแค่บ่อน้ำตื้นๆ

หลวงจีนภารโรงผู้นั้นก้าวเข้ามาพลางกวาดพื้นไปด้วย เขาไม่ลำบากเงยหน้าขึ้นมา “มีไม่กี่คนที่เหนือกว่าเจ้าไปได้ในพุทธเกษตร ข้าไม่อาจหาคนที่สองได้ เจ้าน่าจะมองออกว่าเด็กแห่งตระกูลฉินผู้นี้มีบางอย่างที่แปลกประหลาดอยู่ใต้ดวงตาดวงนั้น ข้าเคยพบกับเด็กแห่งตระกูลฉินนี้ในระหว่างความฝันของข้ามาก่อน เขานั้นกำลังกลืนกินภูตผีมากมายแห่งแดนใต้พิภพ และเมื่อข้ามองไปที่เขา เขาก็ถึงกับอยากจะจับข้ามากินด้วย เขานั้นเป็นตัวตนที่ชั่วร้ายและดุดันที่สุดในโลกนี้ ตอนที่ภูติบดีปิดผนึกเขา ข้าก็อยู่แถวๆ นั้นด้วย ข้าเห็นเขาค่อยๆ เติบโตขึ้นมาจากมนุษย์ธรรมดาที่ถูกภูติบดีปิดผนึกเอาไว้ ก่อนจะเป็นประจักษ์พยานต่อการที่เขาได้แปรเปลี่ยนจากกายธรรมดาเป็นกายาจ้าวแดนดิน บัดนี้เมื่อเจ้าได้ปลดใบหลิวทองคำของเขาออกมา เจ้าคงจะได้ก่อการฆ่าล้างนองเลือดขึ้นมาเสียแล้ว”

พุทธเจ้าท้าวสักกะไม่ต้องการฟังเขาพูดอีกต่อไป เขาเพียงแต่เดินไปข้างหน้าพลางโคลงหัว “ท่านน่าจะรู้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สภาสวรรค์ได้ฝังผู้คนของพวกเขาไว้ในพุทธเกษตรมากขึ้นทุกทีๆ ในอดีต สภาสวรรค์ได้ส่งคนที่บรรลุเป็นพุทธเจ้ามา และพวกเขาเหล่านั้นยังไว้หน้าท่านไม่มากก็น้อย แต่บัดนี้สภาสวรรค์ถึงกับส่งผู้เปี่ยมพรสวรรค์เยาว์มาอันมิได้ฝึกบำเพ็ญธรรมเลยด้วยซ้ำ พวกเขาเพียงแต่ฝึกวิชาเทวะที่พวกเขาพอใจอยากจะฝึก พุทธเกษตรนี้จะตายลงไปอย่างแน่นอน! พวกเขาจะทำลายล้างพุทธเจ้าทั้งหลายของพวกเราและแย่งชิงรังนอนนี้ไปเสีย ในอนาคต สภาสวรรค์จะล้างพุทธเกษตรด้วยเลือด และก็จะไม่มีพุทธเจ้าในพุทธเกษตรอีกต่อไป! ท่านเอาแต่รอคอยและไม่ทำอะไรสักอย่าง แต่ข้าไม่ต้องการให้มรรคาสิ้นสูญ”

หลังจากเดินไปอีกไม่กี่ก้าว หลวงจีนภารโรงอีกคนก็รอเขาอยู่แล้ว พุทธเจ้าท้าวสักกะเมินเขาและเดินผ่านไป “การที่เด็กตระกูลฉินนี้เข้ามาในพุทธเกษตรเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ พวกเราสามารถหยิบยิมพลังอำนาจของเขาเพื่อกำจัดหูตาและชนรุ่นเยาว์ทั้งหมดที่สภาสวรรค์ฝังเอาไว้ในรวดเดียว! ท่านมีปัญญาญาณอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นท่านย่อมรู้ในสิ่งที่ข้ากำลังคิด”

เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีหลวงจีนภารโรงปรากฏขึ้นมาอีกคน ในเพียงหนึ่งประโยคเขาก็ได้เดินผ่านหลวงจีนภารโรงที่กำลังกวาดพื้นอยู่เป็นสิบๆ คน

ตรงหน้าเขา หลวงจีนภารโรงคนหนึ่งที่ฝั่งซ้ายของเส้นทางเงยหน้าขึ้นมา และใช้ไม้กวาดยันตัวเอาไว้ “เจ้ายืมมือของเด็กตระกูลฉินเพื่อกำจัดผู้คนที่สภาสวรรค์ฝังเอาไว้นั้นนับว่าอัศจรรย์ แต่ทว่ามันก็จะนำความเปลี่ยนแปลงมากมายมายังพุทธเกษตร หากว่าสภาสวรรค์ต้องการคำอธิบาย พวกเขาก็จะต้องสืบสาวราวเรื่องไปทางเจ้า เมื่อครู่นี้ เด็กตระกูลฉินบอกว่าจะละเลงขี้ไว้บนหัวโล้นๆ ของเจ้า แต่เจ้าอาจจะรับขี้ก้อนนี้เอาไว้ไม่ไหว เจ้ายังลืมอดีตไม่ได้อีกหรือ”

“หากว่าข้าลืมเลือนอดีต อดีตมันจะหายไปอย่างนั้นหรือ”

พุทธเจ้าท้าวสักกะเดินต่อไปข้างหน้าพลางหัวเราะในคอ “เขตขั้นของท่านสูงจนเกินไป ท่านลืมเลือนอดีตและคิดว่ามันถูกเสกสรรขึ้นมา แต่ข้าจดจำมันได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ลากพุทธเกษตรเข้ามาพัวพัน ข้าจะเรียนวิชาฝึกปรือของท่าน และหลังจากขี้มาละเลงบนหัวข้า ข้าก็จะจากไป”

หลวงจีนภารโรงอีกคนที่อยู่ฝั่งขวาของถนนจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วถาม “แล้วบุตรแห่งฉินล่ะ? ข้าท่องเที่ยวไปทั่วในความฝันของข้า และเฝ้ามองเขาเติบโต ข้ารู้ว่าเขาพากเพียรอุตสาหะมากแค่ไหนกว่าจะฝ่าทลายผนึกของภูติบดีออกมาได้ ตั้งแต่ยังไม่อาจฝึกวิทยายุทธจนมาถึงขั้นนี้ กระนั้นเจ้าก็ผลักไสให้เขาขึ้นไปบนเวที เจ้าจะนำอันตรายมากมายมาสู่เขา!”

“ศิษย์พี่ ข้าเองก็ชอบขึ้นเวที แต่ไม่มีใครผลักข้าออกไปข้างหน้า!“

พุทธเจ้าท้าวสักกะถามเขา “ถ้าอย่างนั้น ท่านมีแผนที่ดีกว่านี้ไหมที่จะสืบทอดรักษาลัทธิพุทธต่อไป”

ตรงหน้าเขา หลวงจีนภารโรงอีกคนเงยหน้าขึ้น “ไม่มี”

ถนนตรงหน้าเป็นเส้นตรง ยาวไปไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งสองข้างถนนคือหลวงจีนที่ถือไม้กวาด ยืนเรียงรายสุดลูกหูลูกตา!

ใบหน้าของหลวงจีนภารโรงทั้งหมดล้วนแตกต่างกัน ไม่มีใบหน้าไหนซ้ำกันเลยสักนิด!

พุทธเจ้าท้าวสักกะเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และกล่าว “ไม่ว่าท่านจะอยากต่อสู้หรือไม่ คนอื่นๆ นั้นก็หมายจะขจัดท่านไปอยู่ดี ไม่เพียงแต่พวกเขาคิดจะกำจัดลูกศิษย์ของท่าน ความสำเร็จของท่าน ชีวิตของท่าน และขนบสืบทอดของท่าน พวกเขายังจะเหยียบท่านเอาไว้ใต้เท้า ท่านจะไม่มีวันย้อนกลับมาได้ ถ้าอย่างนั้น ทำไมท่านถึงไม่สู้ล่ะ ศิษย์พี่ ท่านสามารถอยู่ที่นี่ ในความฝันอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ แต่ข้าไม่อาจ! ท่านจะถ่ายทอดวิชาให้ข้าหรือไม่ให้กันแน่?”

เสียงของเขากึกก้องกัมปนาท แต่เสียงนั้นไม่ลอยออกไปนอกวัด มันเพียงแต่ก้องสะท้อนไปมารอบๆ

เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังมา และถนนกับหลวงจีนภารโรงทั้งหลายก็พร่าเลือนและหายวับไปตามๆ กัน

“ข้าจะถ่ายทอด”

ท้าวสักกะเผยยิ้ม

“หลังจากข้าถ่ายทอดมันแล้ว ก็คิดหาวิธีออกไปจากพุทธเกษตร เพื่อจะได้ไม่ต้องมาตายอยู่ที่นี่”

ท้าวสักกะเคร่งขรึม เขาประนมมือเข้าด้วยกันและโค้งคารวะ “ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่”

เสียงของพุทธเจ้าพรหมดังมา “ส่วนบุตรแห่งฉิน เจ้าจะต้องชดเชยให้แก่เขา เขาได้แบกรับอันตรายไม่น้อยให้แก่เจ้า และนอกจากนั้น ก็รับขี้มาใส่หัวเจ้าให้หมดด้วย”

“ข้าได้รับการสั่งสอนจากท่านแล้ว”

พุทธเจ้าท้าวสักกะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าบังอาจถามศิษย์พี่สักหน่อยได้หรือไม่ ขี้ก้อนนี้ใหญ่แค่ไหน”

“ใหญ่กว่าที่เจ้าจะคิดฝัน”

ข้างนอกวัดซอมซ่อ ดวงตาที่สามของฉินมู่เปิดครึ่งไม่เปิดครึ่ง ด้วยดวงตาของเขา สมบัติเทวะมรรคาเทพและสมบัติเทวะมรรคามารก็ประสานสอดคล้องเข้าด้วยกันอย่างประหลาด และพวกมันก็ค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

ในอดีตนั้น เขาใช้สมบัติเทวะเพียงฝั่งเดียว หากว่าเขาใช้สมบัติเทวะมรรคาเทพ เขาก็จะต้องปิดสมบัติเทวะมรรคามาร และเป็นแบบเดียวกันในทางกลับกัน หากว่าเขาพยายามจะใช้สมบัติเทวะของทั้งสองมรรคาพร้อมๆ กัน สันดานเทพกับสันดานมารก็จะปะทะกัน

มีปราณชีวิตอยู่หลายชนิด พลังเทพชีวา พลังมารชีวา พลังปีศาจชีวา พลังมังกรชีวา พลังหงส์เพลิงชีวา พลังพุทธชีวา และพลังเต๋าชีวา และเมื่อจำแนกลงไปอีก มันก็ยิ่งมีชนิดที่มากขึ้นไป ยกตัวอย่างเช่น พวกมันแยกมหากายาวิญญาณทั้งสี่แห่งสันตินิรันดร์ออกเป็นสี่ประเภท แต่ละประเภทก็มีเบ็ดเตล็ดที่แตกต่างกันไปอย่างยิบย่อย

พลังเทพชีวาและพลังมารชีวาเป็นประเภทที่ขัดแย้งกัน และพวกมันไม่อาจดำรงอยู่ร่วมกันได้ เมื่อปราณชีวิตที่มีคุณสมบัติเทพเข้าปะทะกับปราณชีวิตที่มีคุณสมบัติมาร พวกมันก็จะลบล้างซึ่งกันและกัน

และบัดนี้ เมื่อฉินมู่ลืมตาขึ้นมา เขาก็สามารถหลอมรวมเทพและมารเป็นหนึ่งเดียว

ที่นอกวัด พุทธเจ้าพึมพำกับตนเอง ทันใดนั้น พุทธเจ้ายามาเทวราชก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พุทธบุตรเจี้ยนคง พวกเราจะไม่ต่อสู้เพื่อเรื่องนี้อีกต่อไป”

พุทธบุตรเจี้ยนคงตกตะลึง และเขาก็โค้งสักการะ “ข้าน้อมรับบัญชาพุทธองค์” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็ถอยไป

พุทธเจ้าสักรานาคราชก็เรียกศิษย์ของเขากลับมา “วันนี้อย่าต่อสู้”

พุทธเจ้าแห่งสวรรค์อื่นๆ ก็เรียกตัวศิษย์ของพวกเขากลับไป และแสดงเจตจำนงที่จะไม่ต่อสู้ “ธาตุทั้งสี่คือความว่างเปล่า อหิงสาก็คือหิงสา ปล่อยเขาไปและให้คนอื่นสู้ไปเถอะ”

แม้ว่าพุทธบุตรมากมายจะฉงนฉงาย แต่พวกเขาก็ยังรับฟังคำสั่ง และกลับไปยังข้างกายพุทธเจ้าเหล่านั้น

พุทธเจ้าพวกนี้เรียกเพียงแค่พุทธบุตรแห่งพุทธเกษตรกลับมา ส่วนพุทธบุตรที่เหลือล้วนแต่เป็นผู้เปี่ยมความสามารถเยาว์ที่สภาสวรรค์ส่งเข้ามาแสวงหาความรู้ในพุทธเกษตร และยังมีศิษย์ที่นำเข้ามาโดยพวกพุทธเจ้าแห่งสภาสวรรค์ และพวกเขาก็ล้วนกระเหี้ยนกระหือรือที่จะลงมือ

ธรรมราชโม่หลุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ทั้งหลายช่างมีใจเอื้อเฟื้อเมตตา แต่นี่คือคัมภีร์เที่ยงแท้ระดับบัลลังก์จักรพรรดิของพุทธเจ้าพรหมเชียวนะ พวกเราจะไม่ไปคว้ามาได้อย่างไร หากว่าพวกเราไม่แย่งชิง นี่จะไม่กลายเป็นการปล่อยสมบัติไปให้คนนอกหรอกหรือ”

พุทธเจ้าคนอื่นๆ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นเช่นนั้นจริงๆ”

พุทธเจ้าอีกจำนวนหนึ่งก็ผสมโรงกล่าว “ศิษย์พี่ทั้งสองกล่าวถูกต้อง พวกเราไม่อาจอ่อนข้อให้กับคนนอกได้โดยง่ายขนาดนั้น”

ธรรมราชโม่หลุนหัวเราะในคอ “รัชทายาทเยว่กวง อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีหรือยัง”

เขาได้ใช้พลังธรรมะเพื่อรักษารัชทายาทเยว่กวง ดังนั้นอาการบาดเจ็บของเขาจึงเยียวยาไปไม่มากก็น้อย เขามีสายตาอันร้อนแรง และจ้องมองไปยังฉินมู่ด้วยจิตวิญญาณอันลุกโชน “ฆราวาสฉินลอบโจมตีข้า และศิษย์ก็อยากที่จะแข่งขันกับเขาอีกครั้งจริงๆ!”

ธรรมราชโม่หลุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้คนเขากล่าวว่าจะไม่รับประกันชีวิตของเจ้าอีกต่อไป หากว่าเจ้าเพียงแค่คิดเรื่องแพ้ชนะ แทนที่จะเป็นความเป็นตาย ข้าก็เกรงว่าเจ้าจะเสียเปรียบอีกครั้ง”

รัชทายาทเยว่กวงแตกตื่น

ธรรมราชโม่หลุนมองไปยังพุทธบุตรคนอื่นๆ “พวกเจ้าทั้งหมดล้วนแต่เป็นผู้สืบทอดของพุทธเจ้าที่นี่ เจ้าน่าจะรู้จักความเป็นตายมิใช่แพ้ชนะ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับข้อขัดแย้งด้านธรรมะ รัชทายาทเยว่กวง รัชทายาทโม่จี่ องค์หญิงโพ่หลง รัชทายาทฝูอวิ๋น พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”

ผู้คนที่เขาออกนามนั้นคือรัชทายาทและองค์หญิงทั้งหลายแห่งพุทธประเทศที่สภาสวรรค์ได้ก่อตั้งขึ้นมาในพุทธเกษตร มีพุทธประเทศมากมายอยู่ในพุทธเกษตร และพวกเขาส่วนใหญ่ก็เป็นเครือข่ายอำนาจของสภาสวรรค์ไปแล้ว

ในขณะเดียวกันนั้น รัชทายาทและองค์หญิงหลายคนดังกล่าว ก็เป็นผู้ที่โดดเด่นเหนือธรรมดาท่ามกลางชนรุ่นเยาว์ ไม่เพียงแต่พวกเขาติดตามฝึกวิทยายุทธท่ามกลางเหล่าพุทธเจ้า พวกเขายังเข้าไปยังสภาสวรรค์เป็นระยะๆ เพื่อฝึกปรือสุดยอดวิชาที่ลึกล้ำกว่านั้น

ทุกคนผงกศีรษะรับคำ รัชทายาทยื่อกวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กำลังฝีมือของรัชทายาทเยว่กวงไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าข้า เขาจะต้องประสบความสำเร็จในกระบวนท่าเดียวเป็นแน่ ดังนั้นข้าจะรออยู่เฉยๆ ที่นี่ รอดูศีรษะกลิ้งหล่นจากบ่า”

รัชทายาทเยว่กวงเดินไปข้างหน้า และดวงจันทร์ปรากฏอยู่หลังศีรษะของเขา นั่นคือปราณกระบี่และแสงกระบี่ของเขา ไม่ว่ารัศมีจันทร์จะฉายไปที่ใด แสงจันทร์และแสงกระบี่ก็จะเกลื่อนเต็มฟ้า มันทรงพลังอย่างแท้จริง!

อย่าว่าแต่แดนต่ำใต้ ต่อให้ในสวรรค์ทั้งหลายแห่งพุทธเกษตร ก็ยากที่จะพบเห็นเพลงกระบี่และวิชาฝึกปรืออันเพริศแพร้วพิสดารขนาดนี้!

รัชทายาทเยว่กวงมองไปยังฉินมู่ด้วยประกายตาวูบวาบ “เจ้าลอบกัดข้าและเกือบจะคร่าชีวิตข้าไปได้ บัดนี้ข้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว ข้าจะปราบปีศาจอย่างเจ้า!”

ข้างหลังศีรษะของเขา จันทร์กระจ่างนั้นหมุนไปราวกงล้อ และแสงกระบี่ก็พุ่งไปยังฉินมู่ราวกับเสาแสง ในเวลาเดียวกันนั้น รัศมีจันทร์ก็สาดส่องไปทุกทิศทุกทาง และพวกมันทั้งหมดก็คือแสงกระบี่ พวกมันถึงกับเปลี่ยนทิศทางในอากาศ เห็นได้ชัดว่าเขาใช้แสงกระบี่เหล่านั้นเพื่อปิดทางถอยของฉินมู่

เพลงกระบี่ของเขากว้างไกลไร้ประมาณ และอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นทักษะอันพิเศษเฉพาะ ด้วยแสงจันทร์กระจ่างเวหนและแสงกระบี่ร่ายรำอยู่ในเมฆา มันก็ดูเพริศแพร้วและเปี่ยมความนัยยิ่งกว่าเพลงกระบี่อาทิตย์อัสดงของอวี๋เยียนชูอวี่และอวี๋เยียนชูอวิ๋นยิ่งนัก!

ฉินมู่เปิดดวงตาทั้งสามดวงของเขา และยื่นนิ้วออกไป ไจกระบี่สั่นเทิ้มส่งเสียงหึ่ง และเสากระบี่หนาก็พุ่งไปข้างหน้า มันคือท่วงท่ากระบี่เกลียวอันบริสุทธิ์ และกระบี่ทั้งแปดพันเล่มก็พุ่งไปพร้อมๆ กันโดยหมุนอ้อมเกลียวรอบกันและกัน แม้ว่าพวกมันจะใช้ท่วงท่าเดียว แต่รูปร่างของกระบี่แต่ละเล่มก็ไม่เหมือนกัน!

เสากระบี่หนาสามคืบและยาวยี่สิบห้าวา การยิงพุ่งไปของมันนั้นทำให้แสงจันทร์ที่เกลื่อนฟ้าแตกทำลาย!

“ตอนที่ข้าไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่เพื่อซัดเจ้าให้หมอบ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าซัดเจ้าให้ตายไม่ได้”

ฉินมู่สืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะก็ระเบิดออก แปดสุรเสียงมังกรบรรพกาลเปล่งเสียงผิดประหลาดแตกต่างกันแปดประเภท ด้วยนิ้วกระบี่ที่แทงออกไป เสากระบี่ก็แทงทะลุดวงจันทร์ข้างหลังศีรษะรัชทายาทเยว่กวง กระบี่แปดพันเล่มหมุนปั่น และดวงจันทร์อำไพก็แตกละเอียดเป็นชิ้นๆ

เสากระบี่กดลงมา บดขยี้ร่างของรัชทายาทเยว่กวงให้เป็นผุยผง!

หลวงจีนหมิงซิ่นกระโดดโหยงด้วยความตกใจ และหดคอของเขา จ้าวลัทธิฉินสังหารผู้คนอีกแล้ว…นี่แย่แล้ว ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าทำไมยูไลถึงอยากจะส่งเขามาด้วย ข้าไม่อาจเจรจาคลี่คลายสถานการณ์แบบนี้

ฉินมู่มองไปรอบๆ และสายตาเขากวาดผ่านพุทธบุตรหลายร้อยคน เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เมื่อจิตเข่นฆ่าของข้าถูกปลุกให้ตื่น ข้าก็ยากที่จะควบคุมตนเอง ความคิดชั่วร้ายในหัวใจของข้าจะถั่งโถมออกมา และข้าก็จะมีแต่หัวใจอันฆ่าล้างสังหาร สหายเต๋าทั้งหลาย พวกเจ้าสามารถเข้ามาพร้อมๆ กัน เพื่อสยบมารในหัวใจของข้า เพื่อสำเร็จบุญและกุศลของเจ้า!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเทพกู้จักรวาล 620 ยากจะระงับจิตเข่นฆ่า

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 620 ยากจะระงับจิตเข่นฆ่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในวัดอันซอมซ่อ พุทธเจ้าท้าวสักกะเดินไปรอบๆ ด้วยเท้าเปล่า เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะไปตามหาพุทธเจ้าพรหม

“ศิษย์น้อง เจ้ากำลังพยายามจะทำอะไร” เสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลังเขา

พุทธเจ้าท้าวสักกะหันกลับไปและเห็นหลวงจีนภารโรงที่กำลังใช้ไม้กวาดกวาดเช็ดรอยเท้าของเขา พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนข้าเดินไม่มีฝุ่นติดเท้ามา เหมือนกับที่เส้นทางของข้าไม่มีธุลีมลทินทิ้งเอาไว้ ในเมื่อไม่มีรอยเท้าหลงเหลืออยู่ ทำไมศิษย์พี่ถึงต้องกวาดด้วยล่ะ”

หลวงจีนภารโรงกล่าว “ร่างของเจ้าไม่ทิ้งรอยเท้าเอาไว้ แต่หัวใจเจ้าทิ้งร่องรอยเอาไว้ข้างหลัง ข้าปัดกวาดฝุ่นที่ปลิวออกมาจากหัวใจเจ้า”

พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าว “ท่านบอกว่าหัวใจของข้าสกปรกงั้นหรือ นี่มันด่าทอกันชัดๆ ข้าสู้ท่านไม่ได้ งั้นข้าจะไม่ต่อปากต่อคำด้วยหรอก รีบๆ ถ่ายทอดวิชาฝึกปรือของท่านให้ข้าเร็วเข้า พอข้าเรียนเสร็จแล้วจะได้รีบไป ช่วยให้ข้าไม่ต้องอยู่ให้ท่านทนรำคาญต่ออย่างไรล่ะ”

เสียงของไม้กวาดกวาดพื้นดังมา และพุทธเจ้าท้าวสักกะก็มองไปยังที่มาของเสียง หลวงจีนภารโรงอีกคนหนึ่งเข้ามาจากประตูทิศตะวันตก กล่าวไปพลางกวาดพื้นไป “เจ้าอยากได้วิชาฝึกปรือของข้ามาโดยตลอด แต่เจ้ามองไม่เห็นเหตุผลที่ข้าไม่ยอมสอนให้เจ้าหรอกหรือ ศิษย์น้อง ข้าไม่ได้สอนมันให้กับเจ้า แต่เจ้าก็ยังบรรลุเป็นพุทธเจ้าท้าวสักกะในวันนี้ได้ พุทธเกษตรของเจ้าด้อยกว่าข้าเพียงนิดเดียวเท่านั้น และวิชาฝึกปรือของเจ้าก็ไปถึงระดับตำหนักชิดฟ้า หากว่าข้าสอนให้แก่เจ้า เจ้าก็คงไม่มีความสำเร็จดังที่เจ้ามีในบัดนี้”

พุทธเจ้าท้าวสักกะจ้องไปที่หลวงจีนภารโรงอันจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา และกล่าว “ตอนนี้ข้าไม่อาจขึ้นไปอีกเพื่อฝึกปรือถึงขั้นบัลลังก์จักรพรรดิ นั่นจึงทำให้ข้ามาที่นี่เพื่อขอวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิของท่านเพื่อใช้อ้างอิง ท่านบอกว่าท่านจะสอนมันให้แก่ใครก็ตามที่เข้ามาข้างใน ข้าก็เลยเข้ามา สอนให้ข้าเถอะ แล้วข้าจะไม่รบกวนความสงบของท่านอีกต่อไป”

เสียงไม้กวาดดังมาจากข้างหลังอีกเสียง และพุทธเจ้าท้าวสักกะก็หันกลับไปอีกครั้ง เขาเห็นหลวงจีนภารโรงอีกคน และตอนนี้ก็มีถึงสามคนในลานวัด

เนตรธรรมะของเขานั้นไร้เทียมทาน เมื่อเขามองไปยังหลวงจีนภารโรงทั้งสาม หลวงจีนพวกนี้ถึงกับดูแตกต่างกัน และทุกๆ คนก็เป็นพุทธเจ้าพรหม พวกเขาทั้งหมดเป็นพุทธเจ้าพรหมที่แท้จริง!

รูปลักษณ์ของพุทธเจ้าพรหมเหล่านี้ดูไม่เหมือนกับเทพยดา

เขานั้นอยู่ขั้นต่ำกว่าพุทธเจ้าพรหมเพียงหนึ่งขั้น แต่กระนั้นเขาก็ไม่อาจเข้าใจเขตขั้นของพุทธเจ้าพรหมได้

หนึ่งขั้นนั้นเหมือนกับร่องเหวสวรรค์ พุทธเจ้าพรหมนั้นลึกล้ำสุดจะหยั่ง จนตัวเขาเหมือนกับแค่บ่อน้ำตื้นๆ

หลวงจีนภารโรงผู้นั้นก้าวเข้ามาพลางกวาดพื้นไปด้วย เขาไม่ลำบากเงยหน้าขึ้นมา “มีไม่กี่คนที่เหนือกว่าเจ้าไปได้ในพุทธเกษตร ข้าไม่อาจหาคนที่สองได้ เจ้าน่าจะมองออกว่าเด็กแห่งตระกูลฉินผู้นี้มีบางอย่างที่แปลกประหลาดอยู่ใต้ดวงตาดวงนั้น ข้าเคยพบกับเด็กแห่งตระกูลฉินนี้ในระหว่างความฝันของข้ามาก่อน เขานั้นกำลังกลืนกินภูตผีมากมายแห่งแดนใต้พิภพ และเมื่อข้ามองไปที่เขา เขาก็ถึงกับอยากจะจับข้ามากินด้วย เขานั้นเป็นตัวตนที่ชั่วร้ายและดุดันที่สุดในโลกนี้ ตอนที่ภูติบดีปิดผนึกเขา ข้าก็อยู่แถวๆ นั้นด้วย ข้าเห็นเขาค่อยๆ เติบโตขึ้นมาจากมนุษย์ธรรมดาที่ถูกภูติบดีปิดผนึกเอาไว้ ก่อนจะเป็นประจักษ์พยานต่อการที่เขาได้แปรเปลี่ยนจากกายธรรมดาเป็นกายาจ้าวแดนดิน บัดนี้เมื่อเจ้าได้ปลดใบหลิวทองคำของเขาออกมา เจ้าคงจะได้ก่อการฆ่าล้างนองเลือดขึ้นมาเสียแล้ว”

พุทธเจ้าท้าวสักกะไม่ต้องการฟังเขาพูดอีกต่อไป เขาเพียงแต่เดินไปข้างหน้าพลางโคลงหัว “ท่านน่าจะรู้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สภาสวรรค์ได้ฝังผู้คนของพวกเขาไว้ในพุทธเกษตรมากขึ้นทุกทีๆ ในอดีต สภาสวรรค์ได้ส่งคนที่บรรลุเป็นพุทธเจ้ามา และพวกเขาเหล่านั้นยังไว้หน้าท่านไม่มากก็น้อย แต่บัดนี้สภาสวรรค์ถึงกับส่งผู้เปี่ยมพรสวรรค์เยาว์มาอันมิได้ฝึกบำเพ็ญธรรมเลยด้วยซ้ำ พวกเขาเพียงแต่ฝึกวิชาเทวะที่พวกเขาพอใจอยากจะฝึก พุทธเกษตรนี้จะตายลงไปอย่างแน่นอน! พวกเขาจะทำลายล้างพุทธเจ้าทั้งหลายของพวกเราและแย่งชิงรังนอนนี้ไปเสีย ในอนาคต สภาสวรรค์จะล้างพุทธเกษตรด้วยเลือด และก็จะไม่มีพุทธเจ้าในพุทธเกษตรอีกต่อไป! ท่านเอาแต่รอคอยและไม่ทำอะไรสักอย่าง แต่ข้าไม่ต้องการให้มรรคาสิ้นสูญ”

หลังจากเดินไปอีกไม่กี่ก้าว หลวงจีนภารโรงอีกคนก็รอเขาอยู่แล้ว พุทธเจ้าท้าวสักกะเมินเขาและเดินผ่านไป “การที่เด็กตระกูลฉินนี้เข้ามาในพุทธเกษตรเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ พวกเราสามารถหยิบยิมพลังอำนาจของเขาเพื่อกำจัดหูตาและชนรุ่นเยาว์ทั้งหมดที่สภาสวรรค์ฝังเอาไว้ในรวดเดียว! ท่านมีปัญญาญาณอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นท่านย่อมรู้ในสิ่งที่ข้ากำลังคิด”

เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีหลวงจีนภารโรงปรากฏขึ้นมาอีกคน ในเพียงหนึ่งประโยคเขาก็ได้เดินผ่านหลวงจีนภารโรงที่กำลังกวาดพื้นอยู่เป็นสิบๆ คน

ตรงหน้าเขา หลวงจีนภารโรงคนหนึ่งที่ฝั่งซ้ายของเส้นทางเงยหน้าขึ้นมา และใช้ไม้กวาดยันตัวเอาไว้ “เจ้ายืมมือของเด็กตระกูลฉินเพื่อกำจัดผู้คนที่สภาสวรรค์ฝังเอาไว้นั้นนับว่าอัศจรรย์ แต่ทว่ามันก็จะนำความเปลี่ยนแปลงมากมายมายังพุทธเกษตร หากว่าสภาสวรรค์ต้องการคำอธิบาย พวกเขาก็จะต้องสืบสาวราวเรื่องไปทางเจ้า เมื่อครู่นี้ เด็กตระกูลฉินบอกว่าจะละเลงขี้ไว้บนหัวโล้นๆ ของเจ้า แต่เจ้าอาจจะรับขี้ก้อนนี้เอาไว้ไม่ไหว เจ้ายังลืมอดีตไม่ได้อีกหรือ”

“หากว่าข้าลืมเลือนอดีต อดีตมันจะหายไปอย่างนั้นหรือ”

พุทธเจ้าท้าวสักกะเดินต่อไปข้างหน้าพลางหัวเราะในคอ “เขตขั้นของท่านสูงจนเกินไป ท่านลืมเลือนอดีตและคิดว่ามันถูกเสกสรรขึ้นมา แต่ข้าจดจำมันได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ลากพุทธเกษตรเข้ามาพัวพัน ข้าจะเรียนวิชาฝึกปรือของท่าน และหลังจากขี้มาละเลงบนหัวข้า ข้าก็จะจากไป”

หลวงจีนภารโรงอีกคนที่อยู่ฝั่งขวาของถนนจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วถาม “แล้วบุตรแห่งฉินล่ะ? ข้าท่องเที่ยวไปทั่วในความฝันของข้า และเฝ้ามองเขาเติบโต ข้ารู้ว่าเขาพากเพียรอุตสาหะมากแค่ไหนกว่าจะฝ่าทลายผนึกของภูติบดีออกมาได้ ตั้งแต่ยังไม่อาจฝึกวิทยายุทธจนมาถึงขั้นนี้ กระนั้นเจ้าก็ผลักไสให้เขาขึ้นไปบนเวที เจ้าจะนำอันตรายมากมายมาสู่เขา!”

“ศิษย์พี่ ข้าเองก็ชอบขึ้นเวที แต่ไม่มีใครผลักข้าออกไปข้างหน้า!“

พุทธเจ้าท้าวสักกะถามเขา “ถ้าอย่างนั้น ท่านมีแผนที่ดีกว่านี้ไหมที่จะสืบทอดรักษาลัทธิพุทธต่อไป”

ตรงหน้าเขา หลวงจีนภารโรงอีกคนเงยหน้าขึ้น “ไม่มี”

ถนนตรงหน้าเป็นเส้นตรง ยาวไปไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งสองข้างถนนคือหลวงจีนที่ถือไม้กวาด ยืนเรียงรายสุดลูกหูลูกตา!

ใบหน้าของหลวงจีนภารโรงทั้งหมดล้วนแตกต่างกัน ไม่มีใบหน้าไหนซ้ำกันเลยสักนิด!

พุทธเจ้าท้าวสักกะเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และกล่าว “ไม่ว่าท่านจะอยากต่อสู้หรือไม่ คนอื่นๆ นั้นก็หมายจะขจัดท่านไปอยู่ดี ไม่เพียงแต่พวกเขาคิดจะกำจัดลูกศิษย์ของท่าน ความสำเร็จของท่าน ชีวิตของท่าน และขนบสืบทอดของท่าน พวกเขายังจะเหยียบท่านเอาไว้ใต้เท้า ท่านจะไม่มีวันย้อนกลับมาได้ ถ้าอย่างนั้น ทำไมท่านถึงไม่สู้ล่ะ ศิษย์พี่ ท่านสามารถอยู่ที่นี่ ในความฝันอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ แต่ข้าไม่อาจ! ท่านจะถ่ายทอดวิชาให้ข้าหรือไม่ให้กันแน่?”

เสียงของเขากึกก้องกัมปนาท แต่เสียงนั้นไม่ลอยออกไปนอกวัด มันเพียงแต่ก้องสะท้อนไปมารอบๆ

เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังมา และถนนกับหลวงจีนภารโรงทั้งหลายก็พร่าเลือนและหายวับไปตามๆ กัน

“ข้าจะถ่ายทอด”

ท้าวสักกะเผยยิ้ม

“หลังจากข้าถ่ายทอดมันแล้ว ก็คิดหาวิธีออกไปจากพุทธเกษตร เพื่อจะได้ไม่ต้องมาตายอยู่ที่นี่”

ท้าวสักกะเคร่งขรึม เขาประนมมือเข้าด้วยกันและโค้งคารวะ “ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่”

เสียงของพุทธเจ้าพรหมดังมา “ส่วนบุตรแห่งฉิน เจ้าจะต้องชดเชยให้แก่เขา เขาได้แบกรับอันตรายไม่น้อยให้แก่เจ้า และนอกจากนั้น ก็รับขี้มาใส่หัวเจ้าให้หมดด้วย”

“ข้าได้รับการสั่งสอนจากท่านแล้ว”

พุทธเจ้าท้าวสักกะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าบังอาจถามศิษย์พี่สักหน่อยได้หรือไม่ ขี้ก้อนนี้ใหญ่แค่ไหน”

“ใหญ่กว่าที่เจ้าจะคิดฝัน”

ข้างนอกวัดซอมซ่อ ดวงตาที่สามของฉินมู่เปิดครึ่งไม่เปิดครึ่ง ด้วยดวงตาของเขา สมบัติเทวะมรรคาเทพและสมบัติเทวะมรรคามารก็ประสานสอดคล้องเข้าด้วยกันอย่างประหลาด และพวกมันก็ค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

ในอดีตนั้น เขาใช้สมบัติเทวะเพียงฝั่งเดียว หากว่าเขาใช้สมบัติเทวะมรรคาเทพ เขาก็จะต้องปิดสมบัติเทวะมรรคามาร และเป็นแบบเดียวกันในทางกลับกัน หากว่าเขาพยายามจะใช้สมบัติเทวะของทั้งสองมรรคาพร้อมๆ กัน สันดานเทพกับสันดานมารก็จะปะทะกัน

มีปราณชีวิตอยู่หลายชนิด พลังเทพชีวา พลังมารชีวา พลังปีศาจชีวา พลังมังกรชีวา พลังหงส์เพลิงชีวา พลังพุทธชีวา และพลังเต๋าชีวา และเมื่อจำแนกลงไปอีก มันก็ยิ่งมีชนิดที่มากขึ้นไป ยกตัวอย่างเช่น พวกมันแยกมหากายาวิญญาณทั้งสี่แห่งสันตินิรันดร์ออกเป็นสี่ประเภท แต่ละประเภทก็มีเบ็ดเตล็ดที่แตกต่างกันไปอย่างยิบย่อย

พลังเทพชีวาและพลังมารชีวาเป็นประเภทที่ขัดแย้งกัน และพวกมันไม่อาจดำรงอยู่ร่วมกันได้ เมื่อปราณชีวิตที่มีคุณสมบัติเทพเข้าปะทะกับปราณชีวิตที่มีคุณสมบัติมาร พวกมันก็จะลบล้างซึ่งกันและกัน

และบัดนี้ เมื่อฉินมู่ลืมตาขึ้นมา เขาก็สามารถหลอมรวมเทพและมารเป็นหนึ่งเดียว

ที่นอกวัด พุทธเจ้าพึมพำกับตนเอง ทันใดนั้น พุทธเจ้ายามาเทวราชก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พุทธบุตรเจี้ยนคง พวกเราจะไม่ต่อสู้เพื่อเรื่องนี้อีกต่อไป”

พุทธบุตรเจี้ยนคงตกตะลึง และเขาก็โค้งสักการะ “ข้าน้อมรับบัญชาพุทธองค์” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็ถอยไป

พุทธเจ้าสักรานาคราชก็เรียกศิษย์ของเขากลับมา “วันนี้อย่าต่อสู้”

พุทธเจ้าแห่งสวรรค์อื่นๆ ก็เรียกตัวศิษย์ของพวกเขากลับไป และแสดงเจตจำนงที่จะไม่ต่อสู้ “ธาตุทั้งสี่คือความว่างเปล่า อหิงสาก็คือหิงสา ปล่อยเขาไปและให้คนอื่นสู้ไปเถอะ”

แม้ว่าพุทธบุตรมากมายจะฉงนฉงาย แต่พวกเขาก็ยังรับฟังคำสั่ง และกลับไปยังข้างกายพุทธเจ้าเหล่านั้น

พุทธเจ้าพวกนี้เรียกเพียงแค่พุทธบุตรแห่งพุทธเกษตรกลับมา ส่วนพุทธบุตรที่เหลือล้วนแต่เป็นผู้เปี่ยมความสามารถเยาว์ที่สภาสวรรค์ส่งเข้ามาแสวงหาความรู้ในพุทธเกษตร และยังมีศิษย์ที่นำเข้ามาโดยพวกพุทธเจ้าแห่งสภาสวรรค์ และพวกเขาก็ล้วนกระเหี้ยนกระหือรือที่จะลงมือ

ธรรมราชโม่หลุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ทั้งหลายช่างมีใจเอื้อเฟื้อเมตตา แต่นี่คือคัมภีร์เที่ยงแท้ระดับบัลลังก์จักรพรรดิของพุทธเจ้าพรหมเชียวนะ พวกเราจะไม่ไปคว้ามาได้อย่างไร หากว่าพวกเราไม่แย่งชิง นี่จะไม่กลายเป็นการปล่อยสมบัติไปให้คนนอกหรอกหรือ”

พุทธเจ้าคนอื่นๆ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นเช่นนั้นจริงๆ”

พุทธเจ้าอีกจำนวนหนึ่งก็ผสมโรงกล่าว “ศิษย์พี่ทั้งสองกล่าวถูกต้อง พวกเราไม่อาจอ่อนข้อให้กับคนนอกได้โดยง่ายขนาดนั้น”

ธรรมราชโม่หลุนหัวเราะในคอ “รัชทายาทเยว่กวง อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีหรือยัง”

เขาได้ใช้พลังธรรมะเพื่อรักษารัชทายาทเยว่กวง ดังนั้นอาการบาดเจ็บของเขาจึงเยียวยาไปไม่มากก็น้อย เขามีสายตาอันร้อนแรง และจ้องมองไปยังฉินมู่ด้วยจิตวิญญาณอันลุกโชน “ฆราวาสฉินลอบโจมตีข้า และศิษย์ก็อยากที่จะแข่งขันกับเขาอีกครั้งจริงๆ!”

ธรรมราชโม่หลุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้คนเขากล่าวว่าจะไม่รับประกันชีวิตของเจ้าอีกต่อไป หากว่าเจ้าเพียงแค่คิดเรื่องแพ้ชนะ แทนที่จะเป็นความเป็นตาย ข้าก็เกรงว่าเจ้าจะเสียเปรียบอีกครั้ง”

รัชทายาทเยว่กวงแตกตื่น

ธรรมราชโม่หลุนมองไปยังพุทธบุตรคนอื่นๆ “พวกเจ้าทั้งหมดล้วนแต่เป็นผู้สืบทอดของพุทธเจ้าที่นี่ เจ้าน่าจะรู้จักความเป็นตายมิใช่แพ้ชนะ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับข้อขัดแย้งด้านธรรมะ รัชทายาทเยว่กวง รัชทายาทโม่จี่ องค์หญิงโพ่หลง รัชทายาทฝูอวิ๋น พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”

ผู้คนที่เขาออกนามนั้นคือรัชทายาทและองค์หญิงทั้งหลายแห่งพุทธประเทศที่สภาสวรรค์ได้ก่อตั้งขึ้นมาในพุทธเกษตร มีพุทธประเทศมากมายอยู่ในพุทธเกษตร และพวกเขาส่วนใหญ่ก็เป็นเครือข่ายอำนาจของสภาสวรรค์ไปแล้ว

ในขณะเดียวกันนั้น รัชทายาทและองค์หญิงหลายคนดังกล่าว ก็เป็นผู้ที่โดดเด่นเหนือธรรมดาท่ามกลางชนรุ่นเยาว์ ไม่เพียงแต่พวกเขาติดตามฝึกวิทยายุทธท่ามกลางเหล่าพุทธเจ้า พวกเขายังเข้าไปยังสภาสวรรค์เป็นระยะๆ เพื่อฝึกปรือสุดยอดวิชาที่ลึกล้ำกว่านั้น

ทุกคนผงกศีรษะรับคำ รัชทายาทยื่อกวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กำลังฝีมือของรัชทายาทเยว่กวงไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าข้า เขาจะต้องประสบความสำเร็จในกระบวนท่าเดียวเป็นแน่ ดังนั้นข้าจะรออยู่เฉยๆ ที่นี่ รอดูศีรษะกลิ้งหล่นจากบ่า”

รัชทายาทเยว่กวงเดินไปข้างหน้า และดวงจันทร์ปรากฏอยู่หลังศีรษะของเขา นั่นคือปราณกระบี่และแสงกระบี่ของเขา ไม่ว่ารัศมีจันทร์จะฉายไปที่ใด แสงจันทร์และแสงกระบี่ก็จะเกลื่อนเต็มฟ้า มันทรงพลังอย่างแท้จริง!

อย่าว่าแต่แดนต่ำใต้ ต่อให้ในสวรรค์ทั้งหลายแห่งพุทธเกษตร ก็ยากที่จะพบเห็นเพลงกระบี่และวิชาฝึกปรืออันเพริศแพร้วพิสดารขนาดนี้!

รัชทายาทเยว่กวงมองไปยังฉินมู่ด้วยประกายตาวูบวาบ “เจ้าลอบกัดข้าและเกือบจะคร่าชีวิตข้าไปได้ บัดนี้ข้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว ข้าจะปราบปีศาจอย่างเจ้า!”

ข้างหลังศีรษะของเขา จันทร์กระจ่างนั้นหมุนไปราวกงล้อ และแสงกระบี่ก็พุ่งไปยังฉินมู่ราวกับเสาแสง ในเวลาเดียวกันนั้น รัศมีจันทร์ก็สาดส่องไปทุกทิศทุกทาง และพวกมันทั้งหมดก็คือแสงกระบี่ พวกมันถึงกับเปลี่ยนทิศทางในอากาศ เห็นได้ชัดว่าเขาใช้แสงกระบี่เหล่านั้นเพื่อปิดทางถอยของฉินมู่

เพลงกระบี่ของเขากว้างไกลไร้ประมาณ และอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นทักษะอันพิเศษเฉพาะ ด้วยแสงจันทร์กระจ่างเวหนและแสงกระบี่ร่ายรำอยู่ในเมฆา มันก็ดูเพริศแพร้วและเปี่ยมความนัยยิ่งกว่าเพลงกระบี่อาทิตย์อัสดงของอวี๋เยียนชูอวี่และอวี๋เยียนชูอวิ๋นยิ่งนัก!

ฉินมู่เปิดดวงตาทั้งสามดวงของเขา และยื่นนิ้วออกไป ไจกระบี่สั่นเทิ้มส่งเสียงหึ่ง และเสากระบี่หนาก็พุ่งไปข้างหน้า มันคือท่วงท่ากระบี่เกลียวอันบริสุทธิ์ และกระบี่ทั้งแปดพันเล่มก็พุ่งไปพร้อมๆ กันโดยหมุนอ้อมเกลียวรอบกันและกัน แม้ว่าพวกมันจะใช้ท่วงท่าเดียว แต่รูปร่างของกระบี่แต่ละเล่มก็ไม่เหมือนกัน!

เสากระบี่หนาสามคืบและยาวยี่สิบห้าวา การยิงพุ่งไปของมันนั้นทำให้แสงจันทร์ที่เกลื่อนฟ้าแตกทำลาย!

“ตอนที่ข้าไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่เพื่อซัดเจ้าให้หมอบ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าซัดเจ้าให้ตายไม่ได้”

ฉินมู่สืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะก็ระเบิดออก แปดสุรเสียงมังกรบรรพกาลเปล่งเสียงผิดประหลาดแตกต่างกันแปดประเภท ด้วยนิ้วกระบี่ที่แทงออกไป เสากระบี่ก็แทงทะลุดวงจันทร์ข้างหลังศีรษะรัชทายาทเยว่กวง กระบี่แปดพันเล่มหมุนปั่น และดวงจันทร์อำไพก็แตกละเอียดเป็นชิ้นๆ

เสากระบี่กดลงมา บดขยี้ร่างของรัชทายาทเยว่กวงให้เป็นผุยผง!

หลวงจีนหมิงซิ่นกระโดดโหยงด้วยความตกใจ และหดคอของเขา จ้าวลัทธิฉินสังหารผู้คนอีกแล้ว…นี่แย่แล้ว ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าทำไมยูไลถึงอยากจะส่งเขามาด้วย ข้าไม่อาจเจรจาคลี่คลายสถานการณ์แบบนี้

ฉินมู่มองไปรอบๆ และสายตาเขากวาดผ่านพุทธบุตรหลายร้อยคน เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เมื่อจิตเข่นฆ่าของข้าถูกปลุกให้ตื่น ข้าก็ยากที่จะควบคุมตนเอง ความคิดชั่วร้ายในหัวใจของข้าจะถั่งโถมออกมา และข้าก็จะมีแต่หัวใจอันฆ่าล้างสังหาร สหายเต๋าทั้งหลาย พวกเจ้าสามารถเข้ามาพร้อมๆ กัน เพื่อสยบมารในหัวใจของข้า เพื่อสำเร็จบุญและกุศลของเจ้า!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเทพกู้จักรวาล 620 ยากจะระงับจิตเข่นฆ่า

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 620 ยากจะระงับจิตเข่นฆ่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในวัดอันซอมซ่อ พุทธเจ้าท้าวสักกะเดินไปรอบๆ ด้วยเท้าเปล่า เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะไปตามหาพุทธเจ้าพรหม

“ศิษย์น้อง เจ้ากำลังพยายามจะทำอะไร” เสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลังเขา

พุทธเจ้าท้าวสักกะหันกลับไปและเห็นหลวงจีนภารโรงที่กำลังใช้ไม้กวาดกวาดเช็ดรอยเท้าของเขา พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนข้าเดินไม่มีฝุ่นติดเท้ามา เหมือนกับที่เส้นทางของข้าไม่มีธุลีมลทินทิ้งเอาไว้ ในเมื่อไม่มีรอยเท้าหลงเหลืออยู่ ทำไมศิษย์พี่ถึงต้องกวาดด้วยล่ะ”

หลวงจีนภารโรงกล่าว “ร่างของเจ้าไม่ทิ้งรอยเท้าเอาไว้ แต่หัวใจเจ้าทิ้งร่องรอยเอาไว้ข้างหลัง ข้าปัดกวาดฝุ่นที่ปลิวออกมาจากหัวใจเจ้า”

พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าว “ท่านบอกว่าหัวใจของข้าสกปรกงั้นหรือ นี่มันด่าทอกันชัดๆ ข้าสู้ท่านไม่ได้ งั้นข้าจะไม่ต่อปากต่อคำด้วยหรอก รีบๆ ถ่ายทอดวิชาฝึกปรือของท่านให้ข้าเร็วเข้า พอข้าเรียนเสร็จแล้วจะได้รีบไป ช่วยให้ข้าไม่ต้องอยู่ให้ท่านทนรำคาญต่ออย่างไรล่ะ”

เสียงของไม้กวาดกวาดพื้นดังมา และพุทธเจ้าท้าวสักกะก็มองไปยังที่มาของเสียง หลวงจีนภารโรงอีกคนหนึ่งเข้ามาจากประตูทิศตะวันตก กล่าวไปพลางกวาดพื้นไป “เจ้าอยากได้วิชาฝึกปรือของข้ามาโดยตลอด แต่เจ้ามองไม่เห็นเหตุผลที่ข้าไม่ยอมสอนให้เจ้าหรอกหรือ ศิษย์น้อง ข้าไม่ได้สอนมันให้กับเจ้า แต่เจ้าก็ยังบรรลุเป็นพุทธเจ้าท้าวสักกะในวันนี้ได้ พุทธเกษตรของเจ้าด้อยกว่าข้าเพียงนิดเดียวเท่านั้น และวิชาฝึกปรือของเจ้าก็ไปถึงระดับตำหนักชิดฟ้า หากว่าข้าสอนให้แก่เจ้า เจ้าก็คงไม่มีความสำเร็จดังที่เจ้ามีในบัดนี้”

พุทธเจ้าท้าวสักกะจ้องไปที่หลวงจีนภารโรงอันจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา และกล่าว “ตอนนี้ข้าไม่อาจขึ้นไปอีกเพื่อฝึกปรือถึงขั้นบัลลังก์จักรพรรดิ นั่นจึงทำให้ข้ามาที่นี่เพื่อขอวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิของท่านเพื่อใช้อ้างอิง ท่านบอกว่าท่านจะสอนมันให้แก่ใครก็ตามที่เข้ามาข้างใน ข้าก็เลยเข้ามา สอนให้ข้าเถอะ แล้วข้าจะไม่รบกวนความสงบของท่านอีกต่อไป”

เสียงไม้กวาดดังมาจากข้างหลังอีกเสียง และพุทธเจ้าท้าวสักกะก็หันกลับไปอีกครั้ง เขาเห็นหลวงจีนภารโรงอีกคน และตอนนี้ก็มีถึงสามคนในลานวัด

เนตรธรรมะของเขานั้นไร้เทียมทาน เมื่อเขามองไปยังหลวงจีนภารโรงทั้งสาม หลวงจีนพวกนี้ถึงกับดูแตกต่างกัน และทุกๆ คนก็เป็นพุทธเจ้าพรหม พวกเขาทั้งหมดเป็นพุทธเจ้าพรหมที่แท้จริง!

รูปลักษณ์ของพุทธเจ้าพรหมเหล่านี้ดูไม่เหมือนกับเทพยดา

เขานั้นอยู่ขั้นต่ำกว่าพุทธเจ้าพรหมเพียงหนึ่งขั้น แต่กระนั้นเขาก็ไม่อาจเข้าใจเขตขั้นของพุทธเจ้าพรหมได้

หนึ่งขั้นนั้นเหมือนกับร่องเหวสวรรค์ พุทธเจ้าพรหมนั้นลึกล้ำสุดจะหยั่ง จนตัวเขาเหมือนกับแค่บ่อน้ำตื้นๆ

หลวงจีนภารโรงผู้นั้นก้าวเข้ามาพลางกวาดพื้นไปด้วย เขาไม่ลำบากเงยหน้าขึ้นมา “มีไม่กี่คนที่เหนือกว่าเจ้าไปได้ในพุทธเกษตร ข้าไม่อาจหาคนที่สองได้ เจ้าน่าจะมองออกว่าเด็กแห่งตระกูลฉินผู้นี้มีบางอย่างที่แปลกประหลาดอยู่ใต้ดวงตาดวงนั้น ข้าเคยพบกับเด็กแห่งตระกูลฉินนี้ในระหว่างความฝันของข้ามาก่อน เขานั้นกำลังกลืนกินภูตผีมากมายแห่งแดนใต้พิภพ และเมื่อข้ามองไปที่เขา เขาก็ถึงกับอยากจะจับข้ามากินด้วย เขานั้นเป็นตัวตนที่ชั่วร้ายและดุดันที่สุดในโลกนี้ ตอนที่ภูติบดีปิดผนึกเขา ข้าก็อยู่แถวๆ นั้นด้วย ข้าเห็นเขาค่อยๆ เติบโตขึ้นมาจากมนุษย์ธรรมดาที่ถูกภูติบดีปิดผนึกเอาไว้ ก่อนจะเป็นประจักษ์พยานต่อการที่เขาได้แปรเปลี่ยนจากกายธรรมดาเป็นกายาจ้าวแดนดิน บัดนี้เมื่อเจ้าได้ปลดใบหลิวทองคำของเขาออกมา เจ้าคงจะได้ก่อการฆ่าล้างนองเลือดขึ้นมาเสียแล้ว”

พุทธเจ้าท้าวสักกะไม่ต้องการฟังเขาพูดอีกต่อไป เขาเพียงแต่เดินไปข้างหน้าพลางโคลงหัว “ท่านน่าจะรู้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สภาสวรรค์ได้ฝังผู้คนของพวกเขาไว้ในพุทธเกษตรมากขึ้นทุกทีๆ ในอดีต สภาสวรรค์ได้ส่งคนที่บรรลุเป็นพุทธเจ้ามา และพวกเขาเหล่านั้นยังไว้หน้าท่านไม่มากก็น้อย แต่บัดนี้สภาสวรรค์ถึงกับส่งผู้เปี่ยมพรสวรรค์เยาว์มาอันมิได้ฝึกบำเพ็ญธรรมเลยด้วยซ้ำ พวกเขาเพียงแต่ฝึกวิชาเทวะที่พวกเขาพอใจอยากจะฝึก พุทธเกษตรนี้จะตายลงไปอย่างแน่นอน! พวกเขาจะทำลายล้างพุทธเจ้าทั้งหลายของพวกเราและแย่งชิงรังนอนนี้ไปเสีย ในอนาคต สภาสวรรค์จะล้างพุทธเกษตรด้วยเลือด และก็จะไม่มีพุทธเจ้าในพุทธเกษตรอีกต่อไป! ท่านเอาแต่รอคอยและไม่ทำอะไรสักอย่าง แต่ข้าไม่ต้องการให้มรรคาสิ้นสูญ”

หลังจากเดินไปอีกไม่กี่ก้าว หลวงจีนภารโรงอีกคนก็รอเขาอยู่แล้ว พุทธเจ้าท้าวสักกะเมินเขาและเดินผ่านไป “การที่เด็กตระกูลฉินนี้เข้ามาในพุทธเกษตรเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ พวกเราสามารถหยิบยิมพลังอำนาจของเขาเพื่อกำจัดหูตาและชนรุ่นเยาว์ทั้งหมดที่สภาสวรรค์ฝังเอาไว้ในรวดเดียว! ท่านมีปัญญาญาณอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นท่านย่อมรู้ในสิ่งที่ข้ากำลังคิด”

เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีหลวงจีนภารโรงปรากฏขึ้นมาอีกคน ในเพียงหนึ่งประโยคเขาก็ได้เดินผ่านหลวงจีนภารโรงที่กำลังกวาดพื้นอยู่เป็นสิบๆ คน

ตรงหน้าเขา หลวงจีนภารโรงคนหนึ่งที่ฝั่งซ้ายของเส้นทางเงยหน้าขึ้นมา และใช้ไม้กวาดยันตัวเอาไว้ “เจ้ายืมมือของเด็กตระกูลฉินเพื่อกำจัดผู้คนที่สภาสวรรค์ฝังเอาไว้นั้นนับว่าอัศจรรย์ แต่ทว่ามันก็จะนำความเปลี่ยนแปลงมากมายมายังพุทธเกษตร หากว่าสภาสวรรค์ต้องการคำอธิบาย พวกเขาก็จะต้องสืบสาวราวเรื่องไปทางเจ้า เมื่อครู่นี้ เด็กตระกูลฉินบอกว่าจะละเลงขี้ไว้บนหัวโล้นๆ ของเจ้า แต่เจ้าอาจจะรับขี้ก้อนนี้เอาไว้ไม่ไหว เจ้ายังลืมอดีตไม่ได้อีกหรือ”

“หากว่าข้าลืมเลือนอดีต อดีตมันจะหายไปอย่างนั้นหรือ”

พุทธเจ้าท้าวสักกะเดินต่อไปข้างหน้าพลางหัวเราะในคอ “เขตขั้นของท่านสูงจนเกินไป ท่านลืมเลือนอดีตและคิดว่ามันถูกเสกสรรขึ้นมา แต่ข้าจดจำมันได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ลากพุทธเกษตรเข้ามาพัวพัน ข้าจะเรียนวิชาฝึกปรือของท่าน และหลังจากขี้มาละเลงบนหัวข้า ข้าก็จะจากไป”

หลวงจีนภารโรงอีกคนที่อยู่ฝั่งขวาของถนนจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วถาม “แล้วบุตรแห่งฉินล่ะ? ข้าท่องเที่ยวไปทั่วในความฝันของข้า และเฝ้ามองเขาเติบโต ข้ารู้ว่าเขาพากเพียรอุตสาหะมากแค่ไหนกว่าจะฝ่าทลายผนึกของภูติบดีออกมาได้ ตั้งแต่ยังไม่อาจฝึกวิทยายุทธจนมาถึงขั้นนี้ กระนั้นเจ้าก็ผลักไสให้เขาขึ้นไปบนเวที เจ้าจะนำอันตรายมากมายมาสู่เขา!”

“ศิษย์พี่ ข้าเองก็ชอบขึ้นเวที แต่ไม่มีใครผลักข้าออกไปข้างหน้า!“

พุทธเจ้าท้าวสักกะถามเขา “ถ้าอย่างนั้น ท่านมีแผนที่ดีกว่านี้ไหมที่จะสืบทอดรักษาลัทธิพุทธต่อไป”

ตรงหน้าเขา หลวงจีนภารโรงอีกคนเงยหน้าขึ้น “ไม่มี”

ถนนตรงหน้าเป็นเส้นตรง ยาวไปไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งสองข้างถนนคือหลวงจีนที่ถือไม้กวาด ยืนเรียงรายสุดลูกหูลูกตา!

ใบหน้าของหลวงจีนภารโรงทั้งหมดล้วนแตกต่างกัน ไม่มีใบหน้าไหนซ้ำกันเลยสักนิด!

พุทธเจ้าท้าวสักกะเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และกล่าว “ไม่ว่าท่านจะอยากต่อสู้หรือไม่ คนอื่นๆ นั้นก็หมายจะขจัดท่านไปอยู่ดี ไม่เพียงแต่พวกเขาคิดจะกำจัดลูกศิษย์ของท่าน ความสำเร็จของท่าน ชีวิตของท่าน และขนบสืบทอดของท่าน พวกเขายังจะเหยียบท่านเอาไว้ใต้เท้า ท่านจะไม่มีวันย้อนกลับมาได้ ถ้าอย่างนั้น ทำไมท่านถึงไม่สู้ล่ะ ศิษย์พี่ ท่านสามารถอยู่ที่นี่ ในความฝันอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ แต่ข้าไม่อาจ! ท่านจะถ่ายทอดวิชาให้ข้าหรือไม่ให้กันแน่?”

เสียงของเขากึกก้องกัมปนาท แต่เสียงนั้นไม่ลอยออกไปนอกวัด มันเพียงแต่ก้องสะท้อนไปมารอบๆ

เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังมา และถนนกับหลวงจีนภารโรงทั้งหลายก็พร่าเลือนและหายวับไปตามๆ กัน

“ข้าจะถ่ายทอด”

ท้าวสักกะเผยยิ้ม

“หลังจากข้าถ่ายทอดมันแล้ว ก็คิดหาวิธีออกไปจากพุทธเกษตร เพื่อจะได้ไม่ต้องมาตายอยู่ที่นี่”

ท้าวสักกะเคร่งขรึม เขาประนมมือเข้าด้วยกันและโค้งคารวะ “ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่”

เสียงของพุทธเจ้าพรหมดังมา “ส่วนบุตรแห่งฉิน เจ้าจะต้องชดเชยให้แก่เขา เขาได้แบกรับอันตรายไม่น้อยให้แก่เจ้า และนอกจากนั้น ก็รับขี้มาใส่หัวเจ้าให้หมดด้วย”

“ข้าได้รับการสั่งสอนจากท่านแล้ว”

พุทธเจ้าท้าวสักกะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าบังอาจถามศิษย์พี่สักหน่อยได้หรือไม่ ขี้ก้อนนี้ใหญ่แค่ไหน”

“ใหญ่กว่าที่เจ้าจะคิดฝัน”

ข้างนอกวัดซอมซ่อ ดวงตาที่สามของฉินมู่เปิดครึ่งไม่เปิดครึ่ง ด้วยดวงตาของเขา สมบัติเทวะมรรคาเทพและสมบัติเทวะมรรคามารก็ประสานสอดคล้องเข้าด้วยกันอย่างประหลาด และพวกมันก็ค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

ในอดีตนั้น เขาใช้สมบัติเทวะเพียงฝั่งเดียว หากว่าเขาใช้สมบัติเทวะมรรคาเทพ เขาก็จะต้องปิดสมบัติเทวะมรรคามาร และเป็นแบบเดียวกันในทางกลับกัน หากว่าเขาพยายามจะใช้สมบัติเทวะของทั้งสองมรรคาพร้อมๆ กัน สันดานเทพกับสันดานมารก็จะปะทะกัน

มีปราณชีวิตอยู่หลายชนิด พลังเทพชีวา พลังมารชีวา พลังปีศาจชีวา พลังมังกรชีวา พลังหงส์เพลิงชีวา พลังพุทธชีวา และพลังเต๋าชีวา และเมื่อจำแนกลงไปอีก มันก็ยิ่งมีชนิดที่มากขึ้นไป ยกตัวอย่างเช่น พวกมันแยกมหากายาวิญญาณทั้งสี่แห่งสันตินิรันดร์ออกเป็นสี่ประเภท แต่ละประเภทก็มีเบ็ดเตล็ดที่แตกต่างกันไปอย่างยิบย่อย

พลังเทพชีวาและพลังมารชีวาเป็นประเภทที่ขัดแย้งกัน และพวกมันไม่อาจดำรงอยู่ร่วมกันได้ เมื่อปราณชีวิตที่มีคุณสมบัติเทพเข้าปะทะกับปราณชีวิตที่มีคุณสมบัติมาร พวกมันก็จะลบล้างซึ่งกันและกัน

และบัดนี้ เมื่อฉินมู่ลืมตาขึ้นมา เขาก็สามารถหลอมรวมเทพและมารเป็นหนึ่งเดียว

ที่นอกวัด พุทธเจ้าพึมพำกับตนเอง ทันใดนั้น พุทธเจ้ายามาเทวราชก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พุทธบุตรเจี้ยนคง พวกเราจะไม่ต่อสู้เพื่อเรื่องนี้อีกต่อไป”

พุทธบุตรเจี้ยนคงตกตะลึง และเขาก็โค้งสักการะ “ข้าน้อมรับบัญชาพุทธองค์” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็ถอยไป

พุทธเจ้าสักรานาคราชก็เรียกศิษย์ของเขากลับมา “วันนี้อย่าต่อสู้”

พุทธเจ้าแห่งสวรรค์อื่นๆ ก็เรียกตัวศิษย์ของพวกเขากลับไป และแสดงเจตจำนงที่จะไม่ต่อสู้ “ธาตุทั้งสี่คือความว่างเปล่า อหิงสาก็คือหิงสา ปล่อยเขาไปและให้คนอื่นสู้ไปเถอะ”

แม้ว่าพุทธบุตรมากมายจะฉงนฉงาย แต่พวกเขาก็ยังรับฟังคำสั่ง และกลับไปยังข้างกายพุทธเจ้าเหล่านั้น

พุทธเจ้าพวกนี้เรียกเพียงแค่พุทธบุตรแห่งพุทธเกษตรกลับมา ส่วนพุทธบุตรที่เหลือล้วนแต่เป็นผู้เปี่ยมความสามารถเยาว์ที่สภาสวรรค์ส่งเข้ามาแสวงหาความรู้ในพุทธเกษตร และยังมีศิษย์ที่นำเข้ามาโดยพวกพุทธเจ้าแห่งสภาสวรรค์ และพวกเขาก็ล้วนกระเหี้ยนกระหือรือที่จะลงมือ

ธรรมราชโม่หลุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ทั้งหลายช่างมีใจเอื้อเฟื้อเมตตา แต่นี่คือคัมภีร์เที่ยงแท้ระดับบัลลังก์จักรพรรดิของพุทธเจ้าพรหมเชียวนะ พวกเราจะไม่ไปคว้ามาได้อย่างไร หากว่าพวกเราไม่แย่งชิง นี่จะไม่กลายเป็นการปล่อยสมบัติไปให้คนนอกหรอกหรือ”

พุทธเจ้าคนอื่นๆ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นเช่นนั้นจริงๆ”

พุทธเจ้าอีกจำนวนหนึ่งก็ผสมโรงกล่าว “ศิษย์พี่ทั้งสองกล่าวถูกต้อง พวกเราไม่อาจอ่อนข้อให้กับคนนอกได้โดยง่ายขนาดนั้น”

ธรรมราชโม่หลุนหัวเราะในคอ “รัชทายาทเยว่กวง อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีหรือยัง”

เขาได้ใช้พลังธรรมะเพื่อรักษารัชทายาทเยว่กวง ดังนั้นอาการบาดเจ็บของเขาจึงเยียวยาไปไม่มากก็น้อย เขามีสายตาอันร้อนแรง และจ้องมองไปยังฉินมู่ด้วยจิตวิญญาณอันลุกโชน “ฆราวาสฉินลอบโจมตีข้า และศิษย์ก็อยากที่จะแข่งขันกับเขาอีกครั้งจริงๆ!”

ธรรมราชโม่หลุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้คนเขากล่าวว่าจะไม่รับประกันชีวิตของเจ้าอีกต่อไป หากว่าเจ้าเพียงแค่คิดเรื่องแพ้ชนะ แทนที่จะเป็นความเป็นตาย ข้าก็เกรงว่าเจ้าจะเสียเปรียบอีกครั้ง”

รัชทายาทเยว่กวงแตกตื่น

ธรรมราชโม่หลุนมองไปยังพุทธบุตรคนอื่นๆ “พวกเจ้าทั้งหมดล้วนแต่เป็นผู้สืบทอดของพุทธเจ้าที่นี่ เจ้าน่าจะรู้จักความเป็นตายมิใช่แพ้ชนะ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับข้อขัดแย้งด้านธรรมะ รัชทายาทเยว่กวง รัชทายาทโม่จี่ องค์หญิงโพ่หลง รัชทายาทฝูอวิ๋น พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”

ผู้คนที่เขาออกนามนั้นคือรัชทายาทและองค์หญิงทั้งหลายแห่งพุทธประเทศที่สภาสวรรค์ได้ก่อตั้งขึ้นมาในพุทธเกษตร มีพุทธประเทศมากมายอยู่ในพุทธเกษตร และพวกเขาส่วนใหญ่ก็เป็นเครือข่ายอำนาจของสภาสวรรค์ไปแล้ว

ในขณะเดียวกันนั้น รัชทายาทและองค์หญิงหลายคนดังกล่าว ก็เป็นผู้ที่โดดเด่นเหนือธรรมดาท่ามกลางชนรุ่นเยาว์ ไม่เพียงแต่พวกเขาติดตามฝึกวิทยายุทธท่ามกลางเหล่าพุทธเจ้า พวกเขายังเข้าไปยังสภาสวรรค์เป็นระยะๆ เพื่อฝึกปรือสุดยอดวิชาที่ลึกล้ำกว่านั้น

ทุกคนผงกศีรษะรับคำ รัชทายาทยื่อกวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กำลังฝีมือของรัชทายาทเยว่กวงไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าข้า เขาจะต้องประสบความสำเร็จในกระบวนท่าเดียวเป็นแน่ ดังนั้นข้าจะรออยู่เฉยๆ ที่นี่ รอดูศีรษะกลิ้งหล่นจากบ่า”

รัชทายาทเยว่กวงเดินไปข้างหน้า และดวงจันทร์ปรากฏอยู่หลังศีรษะของเขา นั่นคือปราณกระบี่และแสงกระบี่ของเขา ไม่ว่ารัศมีจันทร์จะฉายไปที่ใด แสงจันทร์และแสงกระบี่ก็จะเกลื่อนเต็มฟ้า มันทรงพลังอย่างแท้จริง!

อย่าว่าแต่แดนต่ำใต้ ต่อให้ในสวรรค์ทั้งหลายแห่งพุทธเกษตร ก็ยากที่จะพบเห็นเพลงกระบี่และวิชาฝึกปรืออันเพริศแพร้วพิสดารขนาดนี้!

รัชทายาทเยว่กวงมองไปยังฉินมู่ด้วยประกายตาวูบวาบ “เจ้าลอบกัดข้าและเกือบจะคร่าชีวิตข้าไปได้ บัดนี้ข้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว ข้าจะปราบปีศาจอย่างเจ้า!”

ข้างหลังศีรษะของเขา จันทร์กระจ่างนั้นหมุนไปราวกงล้อ และแสงกระบี่ก็พุ่งไปยังฉินมู่ราวกับเสาแสง ในเวลาเดียวกันนั้น รัศมีจันทร์ก็สาดส่องไปทุกทิศทุกทาง และพวกมันทั้งหมดก็คือแสงกระบี่ พวกมันถึงกับเปลี่ยนทิศทางในอากาศ เห็นได้ชัดว่าเขาใช้แสงกระบี่เหล่านั้นเพื่อปิดทางถอยของฉินมู่

เพลงกระบี่ของเขากว้างไกลไร้ประมาณ และอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นทักษะอันพิเศษเฉพาะ ด้วยแสงจันทร์กระจ่างเวหนและแสงกระบี่ร่ายรำอยู่ในเมฆา มันก็ดูเพริศแพร้วและเปี่ยมความนัยยิ่งกว่าเพลงกระบี่อาทิตย์อัสดงของอวี๋เยียนชูอวี่และอวี๋เยียนชูอวิ๋นยิ่งนัก!

ฉินมู่เปิดดวงตาทั้งสามดวงของเขา และยื่นนิ้วออกไป ไจกระบี่สั่นเทิ้มส่งเสียงหึ่ง และเสากระบี่หนาก็พุ่งไปข้างหน้า มันคือท่วงท่ากระบี่เกลียวอันบริสุทธิ์ และกระบี่ทั้งแปดพันเล่มก็พุ่งไปพร้อมๆ กันโดยหมุนอ้อมเกลียวรอบกันและกัน แม้ว่าพวกมันจะใช้ท่วงท่าเดียว แต่รูปร่างของกระบี่แต่ละเล่มก็ไม่เหมือนกัน!

เสากระบี่หนาสามคืบและยาวยี่สิบห้าวา การยิงพุ่งไปของมันนั้นทำให้แสงจันทร์ที่เกลื่อนฟ้าแตกทำลาย!

“ตอนที่ข้าไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่เพื่อซัดเจ้าให้หมอบ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าซัดเจ้าให้ตายไม่ได้”

ฉินมู่สืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะก็ระเบิดออก แปดสุรเสียงมังกรบรรพกาลเปล่งเสียงผิดประหลาดแตกต่างกันแปดประเภท ด้วยนิ้วกระบี่ที่แทงออกไป เสากระบี่ก็แทงทะลุดวงจันทร์ข้างหลังศีรษะรัชทายาทเยว่กวง กระบี่แปดพันเล่มหมุนปั่น และดวงจันทร์อำไพก็แตกละเอียดเป็นชิ้นๆ

เสากระบี่กดลงมา บดขยี้ร่างของรัชทายาทเยว่กวงให้เป็นผุยผง!

หลวงจีนหมิงซิ่นกระโดดโหยงด้วยความตกใจ และหดคอของเขา จ้าวลัทธิฉินสังหารผู้คนอีกแล้ว…นี่แย่แล้ว ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าทำไมยูไลถึงอยากจะส่งเขามาด้วย ข้าไม่อาจเจรจาคลี่คลายสถานการณ์แบบนี้

ฉินมู่มองไปรอบๆ และสายตาเขากวาดผ่านพุทธบุตรหลายร้อยคน เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เมื่อจิตเข่นฆ่าของข้าถูกปลุกให้ตื่น ข้าก็ยากที่จะควบคุมตนเอง ความคิดชั่วร้ายในหัวใจของข้าจะถั่งโถมออกมา และข้าก็จะมีแต่หัวใจอันฆ่าล้างสังหาร สหายเต๋าทั้งหลาย พวกเจ้าสามารถเข้ามาพร้อมๆ กัน เพื่อสยบมารในหัวใจของข้า เพื่อสำเร็จบุญและกุศลของเจ้า!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+