ตำนานเทพกู้จักรวาล 711 อันดับหนึ่งในโลกหล้า

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 711 อันดับหนึ่งในโลกหล้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตี้อี้เยว่ยิ้มหยันและกล่าว “ดูหน้าตาของเขา เขาดูคล้ายกับจักรพรรดิก่อตั้งอยู่ไม่น้อย เขาน่าจะเป็นทายาทของจักรพรรดิก่อตั้ง ใช่ไหม เจ้ายังปฏิเสธว่านี่ไม่ใช่ศิษย์ของเจ้าอีก? ครูบาสวรรค์ใหญ่ อย่ามาโกหกข้า!”

นักบุญคนตัดไม้หน้าแดงฉาน “ใช่แล้ว เขาคือศิษย์คนรองของข้า แต่ทว่า นั่นเป็นเพียงฉายากิตติมศักดิ์เท่านั้น และข้าไม่ได้สอนอะไรเขาเลยสักอย่าง”

ทันใดนั้น พลานุภาพของหม้อห้าอัสนีก็พวยพุ่งออกมาเป่าฉินมู่กระเด็น แต่กระนั้นอักษรรูนก็พลันปรากฏหมุนวนรอบตัวเขาเพื่อเคลื่อนย้ายเขาพลับมาในพริบตา เขายังคงเกาะอยู่ที่หลังของเทพภัยพิบัติ และกอดคองับหัวของเทพภัยพิบัติอย่างไม่ปล่อย เขานั้นทั้งว่องไวและไร้ปรานี

“ทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล นั่นคือทักษะเทวะที่เจ้าคิดค้น” ตี้อี้เยว่ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่และเย้ยหยันไม่หยุด

นักบุญคนตัดไม้ทั้งอับอายขายหน้าและพูดไม่ออก

ทันใดนั้น เทพภัยพิบัติบนท้องฟ้าเหนือแม่น้ำหย่งก็พลันสังเกตเห็นคนฟากนี้ และเทพภัยพิบัติผู้ไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหมก็ตื่นตระหนก เขาพลันลืมไปหมดเลยว่าจะสลัดฉินมู่หลุดไปอย่างไร และรีบโค้งคารวะ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่!”

ตี้อี้เยว่พยักหน้าและกล่าว “เจ้าเป็นศิษย์ของจักรพรรดิอุดรงั้นรึ เจ้ายังนับถือข้าเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่อยู่อีกรึ”

หัวของเทพภัยพิบัติโซมไปด้วยเลือด และเขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างจนปัญญา “ข้าเคยพบกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ครั้งหนึ่ง แต่ศิษย์พี่หญิงใหญ่มีศักดิ์ฐานะอันสูงล้ำ ดังนั้นท่านคงจะไม่ทันสังเกตเห็นข้า ข้าได้ลงมาเพื่อส่งภัยพิบัติตามคำบัญชา ขอศิษย์พี่หญิงใหญ่ได้โปรดละเว้น…”

ตี้อี้เยว่กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ทิ้งของไว้สักหน่อยแล้วค่อยกลับไป ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นเจ้าส่งภัยพิบัติลงมาไม่ได้หรอก ทิ้งบางสิ่งเอาไว้เพื่อเจ้าจะได้กลับไปอย่างมีคำอธิบาย บอกอาจารย์ว่าข้าอยู่ที่นี่ เขาจะส่งพวกเจ้ามาตาย หรือเขาจะลงมาด้วยตนเองก็ได้ทั้งนั้น”

สีหน้าของเทพภัยพิบัติแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เขากัดฟันกรอดและสะบั้นแขนซ้ายของตนเอง เขาเหาะลงมาจากท้องฟ้าและวางแขนของเขาไว้อย่างเคารพนบนอบหน้าตี้อี้เยว่ เขาก้าวถอยหลังสามก้าว และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ออกไปจากร่าง ร่างของเขากลับกลายเป็นรูปสลักหินอีกครั้ง

ฉินมู่แทะลงบนหัวของรูปสลักหินสองครั้ง และฟันของเขาก็แทบแตกหัก เขาจึงได้แต่ล้มเลิกและไถลลงมาจากรูปสลักหิน เขามองไปรอบๆ ดวงตาเขาเปล่งประกายชั่วร้ายราวกับว่าเป็นสัตว์เถื่อนที่กำลังเลือกเหยื่อของตน

รูปสลักหินค่อยๆ จมลงไปในดินและหายวับไปโดยไร้ร่องรอย และหม้อห้าอัสนีก็หมุนวนอย่างดุเดือดเพื่อฮุบกลืนเอาเมฆสายฟ้าบนท้องฟ้ากลับเข้าไปในหม้อ และก็หายวับไปหลังจากนั้น

“สาวงามคนนี้น่าอร่อยที่สุด!”

ฉินมู่กระโจนเข้าใส่ตี้อี้เยว่อย่างตื่นเต้น นักบุญคนตัดไม้อับอายเสียจนไม่อาจเผยหน้าเฒ่าๆ ของตน ตอนนี้เขาอยากจะต่อโลงเข้าไปนอนแล้วกลบฝังตัวเองไว้ใต้ดิน

มือซ้ายของตี้อี้เยว่ก่อขึ้นเป็นมุทรา และนิ้วของนางก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มือของนางราวกับดอกบัวที่แตะลงไปตรงหว่างคิ้วของฉินมู่อย่างแผ่วเบา สันดานมารในร่างของฉินมู่พลันหายวับไปทันที และปราณมารใต้พิภพก็ไหลอย่างเชี่ยวกรากกลับเข้าไปในแผ่นดินรูปตัวฉินในพริบตานั้น

มุทราของตี้อี้เยว่ไหลพร้อมกับปราณมารและสันดานมารใต้พิภพเข้าไปในร่างของทารกยักษ์ฉินเฟิงชิง ผนึกของคันฉ่องหยกบาดาลพลันแตกทำลาย

เทพสรรพชีวิตและจักรพรรดิแดงฉานตื่นตระหนกและร้องออกมาพร้อมๆ กัน “เด็กสาวผู้นี้กำลังฝีมือไม่เลวเลย! น่าเสียดายที่นางตายไปแล้ว”

ตี้อี้เยว่ร้องด้วยความแตกตื่นและฉงนฉงาย พลังวัตรในมุทราของนางพลันหายวับราวกับว่ามีบางอย่างที่กัดกินเข้าไป

นางไม่อาจเห็นภาพข้างในแผ่นดินรูปตัวฉินได้ ดังนั้นนางจึงมองไม่เห็นเทพสรรพชีวิตและจักรพรรดิแดงฉาน

“หว่างคิ้วของเจ้านั้นประหลาดนัก ให้ข้าดูข้างในดวงตาที่สามของเจ้าหน่อยเถอะ!”

นางนั้นกำลังจะเหาะเข้าไปในดวงตาที่สามของฉินมู่ แต่นักบุญคนตัดไม้ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ฟู่ยื่อลัว และชื่อซีรีบยับยั้งนางเอาไว้ “ท่านห้ามเข้าไปเด็ดขาด! อย่าไปสอดแนมในดวงตาที่สามของเขา พวกเราล้วนแต่ประสบเคราะห์กรรมจากมันมาก่อน!”

นักบุญคนตัดไม้กล่าว “แม้ว่าข้าจะไม่เคยโดนเล่นงาน แต่ข้าก็รู้ว่าสถานที่นั้นอันตรายร้ายกาจ และราชาสวรรค์ไม่ทดลองมันจะดีที่สุด!”

ประกายตาของตี้อี้เยว่วูบวาบและนางก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “มันอันตรายขนาดนั้นเชียวหรือ กระทั่งแข็งแกร่งกว่ากำลังฝีมือระดับบัลลังก์จักรพรรดิอย่างข้า? จริงสิ กายเนื้อของข้าตายไปแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่เข้าไปดูก็แล้วกัน”

ฉินมู่ฟื้นสติขึ้นมาและรีบแปะใบหลิวทองคำกลับไปที่หว่างคิ้วของตน เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“อาจารย์ บรรพชนแรก พวกท่านฟื้นคืนชีพแล้วหรือ”

เขาทั้งประหลาดใจแกมยินดี และเมื่อเขาเห็นตี้อี้เยว่ เขาก็จัดแจงเสื้อผ้าของตนเอง และนำกระจกมาจัดผมเผ้าหน้าตา ก่อนที่จะคารวะทักทาย “อาจารย์ พี่สาวนางฟ้าผู้นี้คือใคร”

“พี่สาวนางฟ้า?”

ตี้อี้เยว่ลิงโลดยินดี และความประทับใจแง่ลบทั้งหมดที่มีต่อฉินมู่ก็หายวับไปในพริบตา “ครูบาสวรรค์ ศิษย์คนรองของเจ้ามีสายตาตัดสินที่ล้ำเลิศ เขานั้นยอดเยี่ยมกว่าจักรพรรดิก่อตั้งและเจ้า เขาเป็นอัจฉริยะ! เจ้าคิดถูกแล้วที่รับเขามาเป็นศิษย์”

นักบุญคนตัดไม้ค่อยคลายใจลง และกระซิบบอกฉินมู่ “เช็ดปากเจ้าด้วย ยังมีเลือดติดอยู่ที่มุมปาก”

“เลือดติดอยู่ที่มุมปากของข้า?”

ฉินมู่แตกตื่นสะท้านใจ เขารีบนำเอากระจกบานเล็กออกมาเช็ดรอยเลือดที่มุมปากของเขา จากนั้นเขาก็นำเอาเส้นผมเส้นหนึ่งออกมาจากซอกฟันและตกตะลึง “ข้ากระอักเลือดอย่างนั้นรึ แล้วทำไมมีเส้นผมด้วยล่ะเนี่ย”

ตี้อี้เยว่กล่าว “นั่นคือโลหิตและเส้นผมของศิษย์น้องของข้า เขาเป็นเทพภัยพิบัติที่ถูกเจ้าเกาะหลังและกัดแทะหัวไปเมื่อครู่”

ฉินมู่หน้าแดง

ตี้อี้เยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นเด็กหนุ่มที่ใสซื่อและไร้เดียงสาอะไรแบบนี้ เดี๋ยวนี้มีเด็กหนุ่มไม่กี่คนที่รู้จักเอียงอาย สาวๆ คงจะต้องชอบเจ้ามาก”

คนตัดไม้ ฟู่ยื่อลัว ชื่อซี และบรรพชนแรกมีสีหน้าประหลาด และกระแอมไอไม่หยุด พวกเขาไม่พูดจาอะไร

ตี้อี้เยว่ไม่สนใจคนอื่นๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้องชาย…ไอ๊หยา ข้าเรียกเจ้าว่าน้องชายไม่ได้สิ เจ้านั้นเป็นศิษย์ของครูบาสวรรค์ใหญ่ และยังเป็นทายาทของจักรพรรดิก่อตั้ง หากว่าข้าเรียกเจ้าว่าน้องชาย ศักดิ์อาวุโสของข้าจะไม่ต่ำไปกว่าพวกเขาหรอกหรือ”

ฉินมู่กล่าว “พี่สาว พวกเราคบหาเป็นเจ้ตี๋กันเอง แบบนั้นก็ไม่น่าจะเป็นไรไม่ใช่หรือ”

ตี้อี้เยว่หัวใจเบ่งบานไปด้วยความสุข และนางก็เอ่ยปากชม “นี่เป็นความคิดที่ดี จากวันนี้เป็นต้นไป พวกเราจะเป็นเจ้ตี๋กัน แต่จะนับความสัมพันธ์แยกจากคนอื่นๆ”

ฉินมู่สำรวจดูหน้าผากของตี้อี้เยว่และเห็นรูโบ๋ที่กลางหน้าผากของนางอันเขาสามารถมองทะลุไปข้างหลังได้ เขาถึงกับสามารถมองเห็นเนื้อเยื่อสมอง

ยิ่งไปกว่านั้น หัวใจของตี้อี้เยว่ก็หยุดเต้น และโลหิตของนางก็ไม่ไหลอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่านางเป็นซากศพ!

เพียงแต่ว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมแข็งแกร่งอย่างเหลือคณา ดังนั้นนางจึงยังคงควบคุมกายเนื้อของตนเองได้ และทำให้ดูเหมือนกับว่ายังมีชีวิตอยู่

“บาดแผลของพี่สาวร้ายแรงจริงๆ”

ฉินมู่กล่าว “พี่สาวบาดเจ็บขนาดนี้ได้อย่างไร”

ตี้อี้เยว่ตอบไปด้วยความเศร้าโศก “ข้าคบคนผิด พี่สาวผู้นี้ไปแต่งงานกับมุสิกไร้ใจและถูกเขาประทุษร้าย นี่ไม่ใช่อาการบาดเจ็บ คนตายไปแล้วจะมีอาการบาดเจ็บได้อย่างไร”

ฉินมู่ตรวจตราบาดแผลของนางอย่างละเอียด และแม้ว่าเขาเข้าไปใกล้ เขาก็ไม่อาจได้ยินเสียงหายใจของตี้อี้เยว่ บาดแผลของตี้อี้เยว่ยังคงมีเศษซากทักษะเทวะหลงเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง และพลานุภาพของทักษะเทวะนั้นก็แข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้ว ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าแตะต้อง

“มันยังเป็นอาการบาดเจ็บ ท่านยังสามารถรักษาให้หายได้ แม้ว่าจะร้ายแรง แต่ก็ไม่ได้สาหัสขนาดนั้น”

ฉินมู่ตรวจดูบาดแผลและเดินอ้อมไปดูข้างหลังศีรษะของตี้อี้เยว่เพื่อสังเกตการณ์ เขากล่าว “เพียงแต่เศษซากทักษะเทวะที่หลงเหลือในบาดแผล ข้าจัดการมันไม่ได้ พี่สาวสามารถทำความสะอาดเศษซากออกไปบาดแผลได้หรือไม่”

ตี้อี้เยว่ตื่นตระหนกและขับเคลื่อนวิชาฝึกปรือของนางเพื่อขับไล่เศษซากทักษะเทวะของโอรสหยินสวรรค์ออกไป นางถามด้วยความสนอกสนใจ “ข้าอยู่ในขั้นบัลลังก์จักรพรรดิ และเจ้านั้นเพียงขั้นชาวสวรรค์ วิธีการใดที่เจ้าจะใช้รักษาอาการบาดเจ็บของยอดฝีมือขั้นบัลลังก์จักรพรรดิ”

ฉินมู่ร่างสั่นเทิ้ม และเขาเผยร่างสามเศียรหกกร เขายกมือขึ้นและตัดศีรษะฝั่งซ้ายลงมาจากคอด้วยแสงกระบี่

ตี้อี้เยว่แตกตื่น และฉินมู่เพียงแค่ยิ้มและกล่าว “พี่สาว โปรดชมดู”

คอของเขาสั่นเทิ้ม และศีรษะอีกหนึ่งถึงกับงอกออกมา!

ตี้อี้เยว่จ้องด้วยดวงตาเบิกกว้างและร่ำร้อง “ถึงกับมีวิชาเช่นนี้ด้วยหรือ”

นางเห็นได้ว่าฉินมู่มิได้เพียงแต่ตัดหัวออกไปจากกายเนื้อของเขา แต่ยังตัดหัวของจิตวิญญาณดั้งเดิมออกไปด้วย!

หลังจากขับเคลื่อนวิชาฝึกปรือ ไม่เพียงแต่ฉินมู่จะงอกเงยศีรษะบนกายเนื้อกลับคืนมา เขายังงอกเงยศีรษะของจิตวิญญาณดั้งเดิมอีกด้วย!

นางไม่เคยพบเคยเห็นวิชาประเภทนี้มาก่อน

เทพชื่อซีแค่นเสียงและรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย

ที่ฉินมู่ขับเคลื่อนนั้นเป็นวิชาปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหลของจักรพรรดิแสง และสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิมของจักรพรรดิแดงฉาน ด้วยการประสานสองวิชาฝึกปรือนี้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ เขาจึงได้รับความสามารถของกายเนื้ออมตะไม่มีวันตาย และจิตวิญญาณดั้งเดิมอมตะไม่มีวันตาย!

กายเนื้ออมตะไม่มีวันตาย ก็เป็นสิ่งที่โอรสเทพแสงฉานเฝ้าใฝ่ฝัน แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าฉินมู่จะทำได้สำเร็จก่อนโอรสเทพแสงฉาน

แน่นอนว่า การที่ฉินมู่สามารถสำเร็จถึงขั้นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจอิจฉาได้

โอรสเทพแสงฉานได้สอนวิชาปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหลให้แก่ฉินมู่ และเมื่อผนวกกับการที่สำนึกรู้ของจักรพรรดิแดงฉานได้ถ่ายทอดสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิมให้แก่เขาโดยตรง จึงทำให้ฉินมู่มีความสำเร็จเท่าเทียมกับจักรพรรดิแดงฉานในด้านสำนึกรู้เทพอมตะ!

ด้วยความสำเร็จเชี่ยวชาญระดับนี้ ก็ทำให้ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ที่ฉินมู่จะตรึกตรองทำความเข้าใจวิชาปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหล ดังนั้นความสำเร็จของฉินมู่ในสองวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิจึงเหนือล้ำไปกว่าโอรสเทพแสงฉาน เขามีความได้เปรียบที่ผู้อื่นมิอาจเทียบเทียมได้

แม้ว่าเขาจะถ่ายทอดวิชาฝึกปรือของจักรพรรดิแดงฉานให้แก่โอรสเทพแสงฉาน โอรสเทพแสงฉานก็ไม่มีทางมีความสำเร็จเชี่ยวชาญเหมือนจักรพรรดิแดงฉาน อันเป็นสาเหตุให้โอรสเทพแสงฉานยังไม่สามารถมีกายเนื้ออมตะ และจิตวิญญาณดั้งเดิมอมตะได้ ในทางตรงข้าม คนนอกอย่างฉินมู่กลับสำเร็จไปก่อนแทน

นักบุญคนตัดไม้เผยยิ้ม เขารู้รากฐานของฉินมู่ และรู้ว่าความสำเร็จเชี่ยวชาญในวิชาเสกสรรของฉินมู่นั้นน่าตื่นตระหนกสักเพียงใด

ฉินมู่ไม่รู้ว่าตนเองแข็งแกร่งแค่ไหนด้วยซ้ำ แต่ว่านักบุญคนตัดไม้รู้ดี

การได้รับถ่ายทอดมรดกยุทธแห่งจักรพรรดิแดงฉานและจักรพรรดิแสง ทำให้เขานับได้ว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในศาสตร์แห่งการเสกสรรโดยไม่ต้องสงสัย!

ฉินมู่นำพาสองยอดวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิกลับมาจากโลกลอยเลื่อนแสงฉาน และถ่ายทอดพวกมันให้แก่ทุกสถาบันการศึกษาในสันตินิรันดร์

บัณฑิตหลายหมื่นแห่งสันตินิรันดร์ ศึกษาแง่อัศจรรย์ของวิชาฝึกปรือทั้งสองนี้อย่างขะมักเขม้น และไม่เคยขาดแคลนผู้เปี่ยมความสามารถที่เข้าใจสิ่งละอันพันละน้อยมากมายจากสองวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิ

นอกจากนักบุญคนตัดไม้ ก็เรียกได้ว่าแทบไม่มีใครล่วงรู้ว่าฉินมู่ได้ก้าวไปถึงจุดสูงสุดของศาสตร์แขนงนี้

ฉินมู่สลายสามเศียรหกกรของเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาการบาดเจ็บของพี่สาว สำหรับคนอื่นอาจจะยากที่จะเยียวยารักษา แต่สำหรับข้าแล้ว มันไม่ได้ยากเย็นจนเกินไป ไม่ทราบว่าพี่สาวเคยศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับวิชาเสกสรรบ้างหรือไม่”

ตี้อี้เยว่ส่ายศีรษะและกล่าว “ศึกษาอย่างคร่าวๆ และไม่มีความสำเร็จมากมายนัก ข้านั้นด้อยกว่าครูบาสวรรค์ใหญ่”

ครูบาสวรรค์ใหญ่จากปากของนางก็คือนักบุญคนตัดไม้

ฉินมู่เดินวนไปวนมาและกล่าว “กายเนื้อของพี่สาวได้ตายไปแล้ว และท่านก็คงจะตายไปเป็นเวลานาน แต่ทว่ามันถูกรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี และดูเหมือนเพิ่งจะตายใหม่ๆ แต่กระนั้นยิ่งท่านอยู่ในโลกนี้นานมากเท่าไร ร่างกายของท่านก็จะยิ่งเน่าเปื่อยได้ง่ายขึ้น หากว่ามันเน่าเปื่อยไปจริงๆ ท่านก็จะตายสนิท ในกรณีนี้…”

เขาเงยหน้าขึ้นมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ให้ข้าใช้วิชาเสกสรรเพื่อรักษาท่าน! เมื่อท่านฟื้นคืนชีพมาแล้ว ก็ค่อยๆ ตรึกตรองเข้าใจวิชาเสกสรรต่อไป”

ตี้อี้เยว่แตกตื่นและกล่าว “เจ้าสามารถรักษากายเนื้อของยอดฝีมือขั้นบัลลังก์จักรพรรดิได้เชียวหรือ ข้าอยู่ในขั้นบัลลังก์จักรพรรดินะ!”

ฉินมู่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “แพทย์ดูแลรักษาผู้ป่วยประดุจบุตรในอุทร…”

“เพ่ย เจ้าคิดจะเอาเปรียบพี่สาวสินะ” ตี้อี้เยว่กลอกตาใส่เขา แต่นางดูไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย

คนตัดไม้ ฟู่ยื่อลัว และคนอื่นๆ หันไปมองกันไปมาด้วยความหนักอึ้ง

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกถามด้วยเสียงเบา “ครูบาสวรรค์ เขาไปเรียนรู้วิธีฉอเลาะจำนรรจากับสาวๆ มาจากท่านหรือ”

นักบุญคนตัดไม้มีสีหน้าว่างเปล่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร หากว่าข้ารู้ ข้าจะยังโสดจนถึงตอนนี้หรือ ข้าอายจริงๆ ที่จะพูดเช่นนี้ แม้แต่ทักษะเทวะสักอย่างเดียวข้าก็ไม่เคยสอนเขา เขามีอาจารย์คนอื่นๆ…”

บนหอดูดาว ศพของนักปรุงยาได้แข็งทื่อไปแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด