กระบี่จงมา 506.3 สองเดือนสอง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 506.3 สองเดือนสอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากที่ภาพเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นในศาลเทพอภิบาลเมือง

ฟ่านเหวยหรานที่มาหยุดพักค้างแรมอยู่ในเมืองสุยเจี้ยก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด นำพาผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนเป่าต้ง รวมไปถึงสั่งให้คนไปเตือนผู้ฝึกตนที่พึ่งพาสำนักของตนให้รีบออกไปจากเมืองสุยเจี้ย มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบชางอวิ๋นด้วยกัน เพราะถึงอย่างไรเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นก็ติดค้างน้ำใจนางฟ่านเหวยหรานไม่ใช่น้อยๆ เชื่อว่าหลังจากที่พลังต้นกำเนิดของเขาเสียหายอย่างใหญ่หลวงบนทะเลสาบชางอวิ๋น ก็คงไม่กล้าไม่ควบคุมดวงตาที่อยู่ไม่สุขคู่นั้นของตัวเองเหมือนเมื่อคืนงานเลี้ยงฉลองอีก เพราะเช่นนี้ถึงทำให้เยี่ยนชิงที่อยู่ข้างกายบรรพจารย์อย่างนางมีข้ออ้างออกไปจากงานเลี้ยงของวังมังกร บอกว่าจะไปผ่อนคลายอารมณ์ที่ศาลเทพวารีของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี หลังจากนั้นมาก็เกิดคลื่นลมมรสุมไม่หยุด พอเยี่ยนชิงมาถึงเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้ สภาพจิตใจก็กระวนกระวายไม่สงบสุข อย่าว่าแต่นางฟ่านเหวยหรานเลย ขนาดผู้ฝึกตนที่เป็นรุ่นหลานของเยี่ยนชิงก็ยังพอจะมองเบาะแสบางอย่างออก

ฟ่านเหวยหรานจึงยิ่งเคียดแค้นเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้น กล้าบังอาจมาทำลายจิตแห่งเต๋าของแม่หนูเยี่ยนข้า! นางเคยเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เซียนท่านนั้นจะแต่งตั้งให้เป็นผู้นำตระกูลเซียนของดินแดนเซียนเป่าต้งและภูเขาของหลายสิบแคว้นเชียวนะ หากเยี่ยนชิงสามารถลุกผงาดขึ้นอย่างโดดเด่นได้ในท้ายที่สุด ถึงเวลานั้นดินแดนเซียนเป่าต้งก็จะได้รับวิชาตระกูลเซียนมาเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง

ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ดินแดนเซียนเป่าต้งและนครหวงเยว่ก็เป็นแค่หมากสองตัวที่ถูกเลือกให้มาอยู่ในบ่อเลี้ยงปลาของหลายสิบแคว้นอย่างลับๆ เท่านั้น

แม้จะกล่าวว่าต่อสู้กันเอาเป็นเอาตาย เหมือนน้ำที่ไม่ถูกกับไฟ แต่ผู้ฝึกตนของสองฝ่ายที่ตายไปจริงๆ มีสักกี่คน? มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น อีกทั้งพวกที่ตายไปยังเป็นพวกที่มองดูเหมือนขอบเขตสูงพอสมควร ทว่าความจริงแล้วกลับไร้ความหวังบนมหามรรคา และคนมากกว่านั้นที่ตายไป อันที่จริงก็ล้วนเป็นพวกผู้ฝึกตนของสำนักที่พึ่งพาพวกเขาเท่านั้นไม่ใช่หรือ?

เหตุใดตลอดเวลาสองร้อยปีที่ผ่านมา ยุทธภพของหลายสิบแคว้นถึงไม่เคยมีผู้ฝึกยุทธร่างทองปรากฎตัวเลยแม้แต่คนเดียว? ต้องรู้ว่าท่านสุดท้ายนั้นถูกศิษย์น้องหญิงของตนและเย่หานร่วมมือกันสังหาร

พวกผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกที่ทุกวันนี้อวดอ้างบารมีอยู่ในราชวงศ์โลกมนุษย์ คำว่าปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ คนนี้วิชากระบี่อันดับหนึ่ง คนนั้นวิชาหมัดอันดับหนึ่ง มีใครบ้างที่ไม่ใช่คนใกล้ตายที่ได้แต่เสวยสุขอย่างสงบ เพราะเนื้อหนังมังสาเน่าเปื่อยไม่เหลือสภาพดีแล้ว?

ฟ่านเหวยหรานหันหน้ามามองเยี่ยนชิงที่ยืนอยู่ข้างกายแล้วยิ้มบางๆ ปีนั้นศิษย์น้องหญิงไม่รู้ว่าเหตุใดถึงต้องสังหารผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนนั้นให้จงได้ แต่ตนกลับรู้ดี เพราะถึงอย่างไรความลับใหญ่เทียมฟ้านี้ ทั้งนครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้งในแต่ละยุคแต่ละรุ่นก็จะมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่ได้รู้ความลับ ส่วนภูเขาแห่งอื่นๆ กลับไม่มีโอกาสและไม่มีคุณสมบัติจะได้เข้าพบเซียนผู้นั้นเลย

ส่วนเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่อยู่ดีไม่ว่าดีก็โผล่มา และกำลังจะถูกทัณฑ์สวรรค์เล่นงานผู้นั้น หากไม่ระวังต้องตายอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองก็คือดีที่สุด นี่ถือว่าสบายคนอย่างเจ้าแล้ว ไม่อย่างนั้นหากบาดเจ็บสาหัสแล้วถูกข้าฟ่านเหวยหรานจับตัวไป เมื่อเทียบกับวิชาลับเฉพาะที่สืบทอดมาจากศาลบรรพจารย์ของดินแดนเซียนเป่าต้งแล้ว วิชาตะเกียงน้ำของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะนับเป็นวิชาอำมหิตไร้ปราณีอะไรได้

ดินแดนเซียนเป่าต้งและผู้ฝึกตนของสำนักต่างๆ ที่พึ่งพาพวกเขาล้วนพากันมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบชางอวิ๋นอย่างรวดเร็ว แต่พวกคนที่ไม่สามารถบังคับลมบินทะยานได้ก็ได้แต่อาศัยสองขาวิ่งตะบึงแล้ว หรือหากแย่ที่สุดก็ได้แต่ควบม้าออกจากเมืองไป

หลังจากที่ฟ่านเหวยหรานทะยานลมออกมาจากเมืองสุยเจี้ยก็พลันเอ่ยถามว่า “ผู้ฝึกตนสำนักการทหารของตำหนักขวานผีที่ไม่ได้ความกลุ่มนั้น ไม่ได้ติดตามพวกเราออกนอกเมืองหรือ?”

ผู้ฝึกตนรุ่นหลังที่ใช้สถานะของกุนซือเจ้าเมืองคนปัจจุบันมาแฝงตัวอยู่ที่นี่ซึ่งตอนนี้อยู่ข้างกายหญิงชราเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “เรียนท่านบรรพจารย์ หลังจากที่ได้ข่าวจากข้าอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ได้รีบเคลื่อนย้ายทันที อ้างว่ามีธุระเร่งด่วนบางอย่างต้องไปจัดการ ข้าไม่กล้ารั้งรออยู่ต่อจึงออกมาก่อน สุดท้ายสังเกตเห็นว่าพวกเขาพากันมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ออกจากเมืองสุยเจี้ย ตอนนี้จึงยังไม่รู้ว่าจะไปรวมตัวกับพวกเราที่ทะเลสาบชางอวิ๋นหรือไม่”

ไฟโทสะพลันแล่นพุ่งขึ้นเต็มอกของฟ่านเหวยหราน ถามอีกครั้งด้วยสีหน้าดุร้าย “เจ้าคนที่ชื่อตู้อวี๋ผู้นั้นล่ะ? เจ้าเห็นเขาหรือไม่?”

ผู้ฝึกตนเฒ่าเอ่ยตอบ “เจอพร้อมกับคนอื่นๆ ในโรงเตี๊ยมแล้ว แล้วก็จริงอย่างคำเล่าลือ เขาเป็นพวกที่ดีแต่ทำหน้าเป็น ไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายอะไรเลย”

ความเคลื่อนไหวทางทะเลสาบชางอวิ๋นในคืนนั้นรุนแรง แต่ผู้ฝึกตนของเมืองสุยเจี้ยไม่กล้าขยับเข้าไปชมศึกใกล้ๆ เมื่อเป็นการตีกันของเทพเซียนระดับสูงอย่างเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นนี้ ต่อให้เจ้าไปยืนปรบมือร้องให้กำลังใจอยู่ด้านข้าง สองฝ่ายที่เข่นฆ่ากันก็ไม่มีใครรับน้ำใจ โบกชายแขนเสื้อง่ายๆ หนึ่งครั้งหรือยกฝ่ามือขึ้นตบหนึ่งครั้งก็สามารถทำให้เจ้ากลายเป็นผุยผงได้แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่วัตถุหนักตระกูลเซียนแต่ละชิ้น เวทตระกูลเซียนแต่ละวิชาล้วนไม่มีดวงตา หากพาตัวเองไปเดินเที่ยวแถวหน้าประตูผี ก็ได้แต่ตายไปอย่างเสียเปล่าเท่านั้น

ดังนั้นผู้ฝึกตนเฒ่าจึงถามอย่างกังขาว่า “เหตุใดบรรพจารย์จึงถามถึงคนผู้นี้โดยเฉพาะ?”

ฟ่านเหวยหรานสีหน้ามืดทะมึน ไม่ได้เปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ แค่หัวเราะเสียงหยันเอ่ยว่า “วันหน้าค่อยไปคิดบัญชีกับเจ้าตะพาบผู้นี้!”

ซึ่งก่อนจะทำอย่างนั้นได้ เซียนกระบี่ต่างถิ่นแซ่เฉินคนนั้นก็ต้องตายเสียก่อน หรือไม่ก็สูญเสียชีวิตไปเกินครึ่งอยู่ในเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้

ตอนที่เยี่ยนชิงบังคับลมบินทะยานก็ได้หันกลับไปมองเค้าโครงร่างที่พร่าเลือนของเมืองสุยเจี้ยแวบหนึ่ง

พอจะมองเห็นได้รำไรว่ามียันต์สีทองเส้นหนึ่งระเบิดทำลายชั้นล่างสุดของทะเลเมฆทัณฑ์สวรรค์

เยี่ยนชิงถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ

สุดท้ายแล้วเซียนกระบี่หนุ่มที่คิดคำนวณถึงจิตใจคนได้อย่างแม่นยำผู้นั้นก็ยังเป็นคนโง่อยู่ดี

บนยอดเขาเฮยโย่วที่เมื่อเทียบกับทะเลสาบชางอวิ๋นแล้วอยู่ห่างจากเมืองสุยเจี้ยยิ่งกว่า ในศาลาชมทัศนียภาพแห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นหยาบๆ บนยอดเขา มีชายวัยกลางคนเรือนกายสูงเพรียวสวมชุดเรียบง่ายธรรมดาเหมือนคนของครอบครัวที่พอจะมีฐานะในหมู่ชาวบ้านทั่วไป เครื่องประดับที่แขวนอยู่บนร่างมีเพียงแผ่นหยกที่ห้อยเอวไว้เท่านั้น

บุรุษยื่นนิ้วออกมาลูบตัวอักษรบนแผ่นหยกเบาๆ ในใจมีเรื่องให้ครุ่นคิดมากมาย

เหอลู่เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่ข้างกายเขา เขาปลดขลุ่ยไม้ไผ่สีออกเหลืองเลานั้นลงมา กำลังใช้ผ้าไหมล้ำค่าที่ตระกูลเซียนเป็นผู้ถักทอผืนหนึ่งเช็ดถูทำความสะอาดวัตถุอาคมที่รักชิ้นนี้เบาๆ

ชายวัยกลางคนทำเพียงแค่มองไปทางเมืองสุยเจี้ย เมฆดำหนาหนักอย่างที่มิอาจหาสิ่งใดมาเปรียบค่อยๆ ลดตัวลงจนมองดูเหมือนม่านฟ้าที่พลิ้วตัวปกคลุมลงมายังโลกมนุษย์ ไม่อาจมองเห็นด้านบนสุดของทะเลเมฆได้เลย

ผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่จุ๊ปากยิ้มเอ่ย “ฟ้าดินเชื่อมต่อกันอย่างไร้สาเหตุ นี่ก็คือพิบัติภัยครั้งใหญ่ของโลกมนุษย์ ท่านเจ้าเมือง หากทัณฑ์สวรรค์นี้ร่วงลงสู่พื้น ค่ายกลใหญ่ภูเขาแม่น้ำของภูเขาเฮยโย่วนี่ ข้าว่าคงรักษาไว้ไม่อยู่ ยังคงเป็นหญิงชราแซ่ฟ่านผู้นั้นที่คิดอ่านรอบคอบ ไปสมคบคิดอยู่กับอินโหวแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น เรื่องนี้เมื่อเทียบกับพวกเราที่ได้แต่เลือกจ่ายเงินสร้างค่ายกลขึ้นมาบนภูเขาเฮยโย่วแล้ว ก็ถือว่าช่วงชิงโอกาสความได้เปรียบไปก่อนแล้ว”

ผู้เฒ่าผมขาวทุบขาตัวเองพลางพูดอย่างน่าสงสารว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าเซียนกระบี่ต่างถิ่นผู้นั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ ต่อให้คิดจะแย่งเนื้อมาจากปากเสืออย่างพวกเรากับดินแดนเซียนเป่าต้งสองฝ่าย แต่จะดีจะชั่วเจ้าก็ควรรอให้สมบัติประหลาดเผยตัวก่อนไม่ใช่หรือ? ทว่าหากเขาสังหารเทพอภิบาลเมืองจริงๆ ทัณฑ์สวรรค์นี้ก็ต้องหมายหัวเขาแทนแล้ว มารดามันเถอะ เขาต้องการอะไรกันแน่? ท่านเจ้าเมือง สมองของข้าไม่ค่อยเฉียบไวนัก ไหนท่านลองบอกมาสิ? เจอกับเรื่องที่ต่อให้คิดจนหัวแทบแตกก็ยังไม่เข้าใจแบบนี้ เทียบกับได้เห็นสาวงามล่มบ้านล่มเมืองทั้งยังปากร้ายแล้วยังคันคะเยอในใจยิ่งกว่า”

บุรุษที่อยู่ในศาลาก็คือเย่หานเจ้านครหวงเยว่

เย่หานกล่าว “เซียนกระบี่ต่างถิ่นคนหนึ่งบุกเข้ามาร่วมสถานการณ์ อันที่จริงกระดานหมากก็ยังคงเป็นกระดานหมากอันเดิม สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปไม่มาก เรื่องไม่คาดฝันที่ตบะของคนผู้นี้นำพามาล้วนจะต้องถูกทัณฑ์สวรรค์ลดทอนไปพอสมควร สิ่งที่ข้าเป็นกังวลหาใช่คนผู้นี้ไม่ แล้วก็ไม่ใช่ฟ่านเหวยหรานแห่งดินแดนเซียนเป่าต้ง แต่เป็นคนต่างถิ่นหลายคนที่เมื่อเทียบกับเซียนกระบี่ซึ่งทำอะไรเปิดเผยตรงไปตรงมาผู้นี้แล้วก็เรียกได้ว่าลับๆ ล่อๆ กว่ามาก ตอนนี้ข้าแค่รู้ว่าปีศาจจิ้งจอกของแคว้นอิ๋นผิงผู้นั้น ถือเป็นหนึ่งในนั้น”

พอผู้เฒ่าผมขาวได้ยินคำว่าปีศาจจิ้งจอก ความสนใจก็ผุดพุ่งขึ้นมาทันที “ฮ่องเต้แคว้นอิ๋นผิงที่เป็นดั่งน้ำไหล ฮองเฮาที่เป็นดั่งเหล็กกล้า ฮ่าๆ น่าสนุกจริงๆ ที่แท้ก็มาจากต่างถิ่นเหมือนกัน ข้าก็ว่าแล้วว่าน้ำและดินของหลายสิบแคว้นพวกเรานี้ไม่อาจเลี้ยงจิ้งจอกฟ้าห้าร้อยหางตัวหนึ่งได้หรอก”

เย่หานส่ายหน้า “นางอำพรางตัวตนได้อย่างลึกล้ำ อันที่จริงนางคือปีศาจจิ้งจอกขอบเขตโอสถทองที่มีหกหางตัวหนึ่ง ข่าวนี้ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งของนครหวงเยว่เราต้องใช้ชีวิตแลกมา”

ผู้เฒ่าผมขาวเดาะลิ้น “ถ้าอย่างนั้นเวลาข้าเจอนางคงต้องเดินอ้อมไปไกลแล้ว มารดามันเถอะ ขอบเขตโอสถทอง! นั่นก็ไม่ต่างจากท่านเจ้าเมืองเลยน่ะสิ?!”

เหอลู่ทำเพียงแค่เช็ดขลุ่ยไม้ไผ่ สำหรับความลับที่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่บนภูเขาเหล่านี้ เขาไม่ค่อยสนใจนัก

เย่หานส่ายหน้ากล่าวว่า “ผู้ฝึกตนขอบเขตเดียวกันก็มีความต่างราวฟ้ากับดิน ปีศาจจิ้งจอกสามารถล่อลวงคนธรรมดาได้ แน่นอนว่าต้องได้รับเงื่อนไขพิเศษที่เอื้ออำนวย แต่หากจะพูดถึงการลงสนามรบเข่นฆ่า กลับเป็นเรื่องที่ปีศาจจิ้งจอกไม่เชี่ยวชาญเลย ข้าไม่คิดว่านางจะสามารถเอาชนะฟ่านเหวยหรานได้ แต่ในเมื่อมาจากต่างถิ่น ก็แสดงว่าต้องมีสมบัติอาคมที่พิเศษชิ้นสองชิ้นติดตัว ข้ากับฟ่านเหวยหรานจับคู่ต่อสู้กัน โอกาสชนะมีไม่มาก แต่หากคิดจะสังหารมัน กลับไม่ใช่เรื่องที่เพ้อฝันเลย”

เย่หานหันมายิ้มเอ่ย “หากมีโอกาส แล้วกระบี่เล่มที่คนต่างถิ่นผู้นั้นสะพายไว้บนหลังตลอดเวลาคือสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งจริงๆ หลังจบเรื่องข้าสามารถลองช่วงชิงมาดูได้ ดูสิว่าจะสามารถใช้สิ่งของแลกเปลี่ยน แล้วนำมามอบให้เจ้าได้หรือไม่”

ผู้เฒ่าผมขาวรู้สึกมึนงงไม่เข้าใจ “ท่านเจ้าเมืองจะเอาสิ่งของอะไรไปแลกเปลี่ยน? อีกอย่าง อยู่ที่นี่ ท่านผู้อาวุโสยังต้องช่วงชิงอะไรอีกงั้นหรือ?”

เย่หานส่ายหน้า “เรื่องที่ไม่ควรถามก็อย่าถามเลย”

ได้ยินคำสัญญาจากเจ้านครหวงเย่ ดวงตาเหอลู่ก็เป็นประกายวาบ ทันใดนั้นเมื่อหางตาของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเหลือบไปมองยังทิศทางของเมืองสุยเจี้ย สายตาของเขาก็เหมือนไส้ตะเกียงที่ถูกตัดจึงยิ่งสว่างไสวมากกว่าเดิม

เย่หานส่ายหน้า “เลิกคิดได้แล้ว อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่ข้าก็ยังไม่กล้ามีความคิดที่เกินความจำเป็นใดๆ”

สีหน้าของเย่หานพลันเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจเอ่ยว่า “เหอลู่ ศึกใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น ข้าขอเตือนเจ้าสักสองสามคำ แม้จะบอกว่าพรสวรรค์และโชควาสนาของเจ้าดีกว่าเยี่ยนชิงหนึ่งระดับ ได้ติดตามข้าไปพบท่านเซียนที่จวนเซียน แม้ว่าท่านเซียนจะไม่ได้ปรากฏตัวด้วยตัวเอง เพียงแค่สั่งให้คนมารับรองเจ้าและข้า แต่นี่ก็ถือว่าเป็นเกียรติมากแล้ว และนี่ก็เท่ากับว่าเจ้าเดินนำอยู่เบื้องหน้าเยี่ยนชิง ทว่าการฝึกตนบนภูเขา ยิ่งเข้าใกล้ความสำเร็จก็ยิ่งต้องขยันหมั่นเพียร ความต่างเพียงแค่หนึ่งขอบเขต สองฝ่ายก็ไม่ต่างจากฟ้ากับเหว ดังนั้นเด็กน้อยคนหนึ่งของจวนเซียนที่อาศัยว่ามีท่านเซียนช่วยหนุนหลังให้ ถึงยังกล้าตวาดข้าอย่างไม่เคารพ สมบัติประหลาดชิ้นนั้นได้เปิดเผยรากฐานให้เจ้าเห็นแล้วว่าเป็นตัวอ่อนกระบี่ชิ้นหนึ่ง ตัวอ่อนกระบี่บนโลกก็มีแบ่งแยกคนและวัตถุเช่นกัน ฝ่ายแรกนั้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาก็สามารถตัดสินได้แล้วว่าจะกลายเป็นเซียนกระบี่ที่หาได้ยากยิ่งหรือไม่ ส่วนฝ่ายหลังก็ยิ่งมหัศจรรย์ สามารถทำให้ผู้ฝึกลมปราณที่ไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่คนหนึ่งกลายเป็นเซียนกระบี่ได้ สมบัติประหลาดที่พันปีก็ยากจะพานพบประเภทนี้ ต่อให้ข้าเย่หานแย่งชิงมาได้โดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น แล้วนำมามอบให้เจ้า เจ้าก็ลองถามใจตัวเองดูเถิดว่า เจ้าเหอลู่รับไว้แล้ว จะรักษาไว้ได้หรือไม่?”

เหอลู่ผูกขลุ่ยไม้ไผ่ไว้ที่เอวเหมือนเดิม ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยอย่างนอบนอม “ศิษย์เข้าใจแล้ว!”

บนภูเขาลูกหนึ่งทางทิศเหนือนอกเมืองสุยเจี้ย

ชายฉกรรจ์พกดาบที่สวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างไว้บนร่างหันกลับไปมองทางศาลเทพอภิบาลเมือง

ตู้อวี๋ไม่เข้าใจ ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่เข้าใจ

เหตุใดผู้อาวุโสที่คิดคำนวณถึงจิตใจคนและวางแผนได้รอบคอบที่สุดท่านนั้นถึงได้วู่วามขนาดนี้

ชีวิตคนธรรมดาแค่ไม่กี่หมื่นกี่แสนคน จะนำมาเปรียบเทียบกับตบะและชีวิตของท่านผู้อาวุโสที่เป็นเซียนกระบี่คนหนึ่งได้อย่างไร?

คำพูดที่ผิดทำนองคลองธรรมเช่นนี้ ต่อให้ผู้อาวุโสมายืนอยู่ตรงหน้าตนตอนนี้ เขาตู้อวี๋ก็ยังกล้าตะโกนออกมาเสียงดัง ต่อให้ต้องถูกตบจนอาการสาหัสปางตาย หรืออาจถึงขั้นถูกกักขังอยู่ในกรงวิญญาณ เขาตู้อวี๋ก็ยังต้องเอ่ยถาม

ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้

ทะเลเมฆลดระดับลงมา ราวกับว่าท้องฟ้าจะสัมผัสกับพื้นดิน

นอกจากผู้ฝึกตนที่อยู่สองตำแหน่งอย่างวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นและศาลาบนภูเขาเฮยโย่วที่ฟ่านเหวยหรานและเย่หานต่างก็จ่ายค่าตอบแทนจนสามารถใช้วิชาอภินิหารมองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือ สามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์สุดท้ายได้แล้ว สิ่งที่ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาของฝ่ายต่างๆ ที่แตกฮือราวกับนกแตกรังมองเห็นก็ยังเทียบกับคนธรรมดาในหมู่ชาวบ้านที่ถูกกำหนดมาว่าทั้งชีวิตจะเป็นคนไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในเมืองสุยเจี้ยไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ทว่าต่อให้เป็นฟ่านเหวยหรานและเยี่ยนชิงที่อยู่ข้างกาย หรือเย่หานและเหอลู่ที่อยู่ข้างกายก็ยังได้แค่มองเห็นฟ้าดินในพื้นที่แคบๆ ที่ห่างจากพื้นดินร้อยจั้ง ห่างจากทะเลเมฆร้อยจั้งเท่านั้น

มีคนชุดเขียวผู้หนึ่งขี่กระบี่ออกหมัดใส่ทะเลเมฆไม่หยุด

หลังจากที่ทะเลเมฆยังคงลดระดับลงต่ำจนกระทั่งอยู่ห่างจากเมืองสุยเจี้ยหนึ่งร้อยจั้ง

ฟ่านเหวยหรานและเย่หานก็สลายวิชาอภินิหารไปแทบจะเวลาเดียวกัน ทั้งคู่ต่างก็หน้าซีดขาวเล็กน้อย

ภาพสุดท้ายที่ได้เห็นคือแสงกระบี่สีทองเส้นหนึ่งที่ผุดขึ้นจากโลกมนุษย์ แล้วพุ่งกรีดแหวกตลอดทั้งทะเลเมฆจากเหนือจรดใต้ในเสี้ยววินาที

หลังจากนั้นพื้นที่ตลอดทั้งเมืองก็มีเพียงเสียงฟ้าร้องครืนครั่น แสงกระบี่ล้อมวนอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ ปะปนไปด้วยแสงสว่างจ้าจากยันต์ที่ผุดขึ้นแล้วก็วาบหายไปเป็นระลอก

เมื่อฟ้าดินกลับคืนสู่ความเงียบสงัดในที่สุด ทะเลเมฆที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองสุยเจี้ยก็ค่อยๆ สลายหายไป

ในคุกของที่ว่าการแห่งหนึ่งในเมืองสุยเจี้ยมีแสงกระบี่ประหลาดสีดำสนิทยิ่งกว่าม่านฟ้ายามราตรีเสี้ยวหนึ่งแหวกทะลุพื้นดินออกมา ลากเส้นสีดำที่ยาวมากเส้นหนึ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็พุ่งจากไป

เย่หานที่อยู่ในศาลาบนภูเขาเฮยโย่วและฟ่านเหวยหรานที่อยู่ในวังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋นเกิดใจตรงกันขึ้นมาอีกครั้ง ออกคำสั่งในเวลาเดียวกัน เตรียมจะไปแย่งชิงสมบัติประหลาดที่ในที่สุดก็เผยกายบนโลกชิ้นนั้น

เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจากแต่ละฝ่ายที่มีจำนวนหลายร้อยหลายพันคน ผู้ฝึกตนอิสระที่พยายามจะเก็บของดี ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพที่พึ่งพาผู้ฝึกลมปราณต่างก็กรูกันออกมาเหมือนหน่อไม้ที่ผุดขึ้นหลังฝนวสันตฤดู พากันไล่กวดเส้นสีดำนั้นไป

และพอเส้นสีดำบินออกไปได้ในระยะร้อยลี้กว่า ก็พลันถูกลิงน้อยตัวหนึ่งกลืนลงท้อง ก่อนที่ผู้เฒ่าจะเก็บมันซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อแล้วเริ่มเผ่นหนี

การไล่ฆ่าและศึกวุ่นวายได้เปิดฉากขึ้น ณ บัดนี้

มีเพียงผู้ฝึกตนตำหนักขวานผีไม่สะดุดตาคนหนึ่งที่วิ่งตะบึงไปทางเมืองสุยเจี้ย

เห็นเพียงว่าสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดในเมืองสุยเจี้ยที่สูงเกินเจ็ดจั้ง รวมไปถึงกำแพงเมืองล้วนเหมือนถูกมีดปาดออกจนราบเรียบ

ชายฉกรรจ์ที่สวมเสื้อเกราะสีขาวหิมะผู้นี้กระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพงเมือง ลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายก็ยังไม่ได้เข้าไปในเมืองทันที แต่เดินเลียบวนรอบหัวกำแพงเมืองไปหนึ่งรอบ เส้นสายตามองไปเห็น ดูเหมือนว่าทางฝั่งของศาลเทพอภิบาลเมืองจะกลายเป็นซากปรักแห่งหนึ่งแล้ว หอเรือนสูงหลายแห่งของตระกูลคนรวยต่างก็ล้มครืนลงมากองอยู่กับพื้น ในเมืองสุยเจี้ยเต็มไปด้วยเสียงดังจอแจแทรกซอนไปด้วยเสียงตะโกนเสียงแผดร้องของผู้คนนับไม่ถ้วนดังขึ้นๆ ลงๆ แทบจะทุกบ้านล้วนจุดตะเกียง คาดว่านับตั้งแต่วันแรกที่เมืองสุยเจี้ยถูกสร้างขึ้นมา คงไม่มีคืนใดที่ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวคนยากจนหรือร่ำรวยจะจุดไฟพร้อมกันโดยไม่นัดหมาย จนทำให้ทั้งเมืองสว่างไสวราวกับเป็นเวลากลางวันเช่นนี้

ตู้อวี๋กัดฟัน ไม่กล้าบังคับลมบินทะยาน เขาเก็บเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน นำเม็ดเสื้อเกราะใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วถึงได้แอบกระโดดลงจากหัวกำแพง แล้วก็ไม่กล้าเดินไปบนถนนใหญ่ เพียงแค่เลือกถนนเส้นเล็กตามตรอกซอกซอย วิ่งตะบึงไปที่ศาลเทพอภิบาลเมือง

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 506.3 สองเดือนสอง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 506.3 สองเดือนสอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากที่ภาพเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นในศาลเทพอภิบาลเมือง

ฟ่านเหวยหรานที่มาหยุดพักค้างแรมอยู่ในเมืองสุยเจี้ยก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด นำพาผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนเป่าต้ง รวมไปถึงสั่งให้คนไปเตือนผู้ฝึกตนที่พึ่งพาสำนักของตนให้รีบออกไปจากเมืองสุยเจี้ย มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบชางอวิ๋นด้วยกัน เพราะถึงอย่างไรเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นก็ติดค้างน้ำใจนางฟ่านเหวยหรานไม่ใช่น้อยๆ เชื่อว่าหลังจากที่พลังต้นกำเนิดของเขาเสียหายอย่างใหญ่หลวงบนทะเลสาบชางอวิ๋น ก็คงไม่กล้าไม่ควบคุมดวงตาที่อยู่ไม่สุขคู่นั้นของตัวเองเหมือนเมื่อคืนงานเลี้ยงฉลองอีก เพราะเช่นนี้ถึงทำให้เยี่ยนชิงที่อยู่ข้างกายบรรพจารย์อย่างนางมีข้ออ้างออกไปจากงานเลี้ยงของวังมังกร บอกว่าจะไปผ่อนคลายอารมณ์ที่ศาลเทพวารีของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี หลังจากนั้นมาก็เกิดคลื่นลมมรสุมไม่หยุด พอเยี่ยนชิงมาถึงเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้ สภาพจิตใจก็กระวนกระวายไม่สงบสุข อย่าว่าแต่นางฟ่านเหวยหรานเลย ขนาดผู้ฝึกตนที่เป็นรุ่นหลานของเยี่ยนชิงก็ยังพอจะมองเบาะแสบางอย่างออก

ฟ่านเหวยหรานจึงยิ่งเคียดแค้นเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้น กล้าบังอาจมาทำลายจิตแห่งเต๋าของแม่หนูเยี่ยนข้า! นางเคยเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เซียนท่านนั้นจะแต่งตั้งให้เป็นผู้นำตระกูลเซียนของดินแดนเซียนเป่าต้งและภูเขาของหลายสิบแคว้นเชียวนะ หากเยี่ยนชิงสามารถลุกผงาดขึ้นอย่างโดดเด่นได้ในท้ายที่สุด ถึงเวลานั้นดินแดนเซียนเป่าต้งก็จะได้รับวิชาตระกูลเซียนมาเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง

ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ดินแดนเซียนเป่าต้งและนครหวงเยว่ก็เป็นแค่หมากสองตัวที่ถูกเลือกให้มาอยู่ในบ่อเลี้ยงปลาของหลายสิบแคว้นอย่างลับๆ เท่านั้น

แม้จะกล่าวว่าต่อสู้กันเอาเป็นเอาตาย เหมือนน้ำที่ไม่ถูกกับไฟ แต่ผู้ฝึกตนของสองฝ่ายที่ตายไปจริงๆ มีสักกี่คน? มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น อีกทั้งพวกที่ตายไปยังเป็นพวกที่มองดูเหมือนขอบเขตสูงพอสมควร ทว่าความจริงแล้วกลับไร้ความหวังบนมหามรรคา และคนมากกว่านั้นที่ตายไป อันที่จริงก็ล้วนเป็นพวกผู้ฝึกตนของสำนักที่พึ่งพาพวกเขาเท่านั้นไม่ใช่หรือ?

เหตุใดตลอดเวลาสองร้อยปีที่ผ่านมา ยุทธภพของหลายสิบแคว้นถึงไม่เคยมีผู้ฝึกยุทธร่างทองปรากฎตัวเลยแม้แต่คนเดียว? ต้องรู้ว่าท่านสุดท้ายนั้นถูกศิษย์น้องหญิงของตนและเย่หานร่วมมือกันสังหาร

พวกผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกที่ทุกวันนี้อวดอ้างบารมีอยู่ในราชวงศ์โลกมนุษย์ คำว่าปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ คนนี้วิชากระบี่อันดับหนึ่ง คนนั้นวิชาหมัดอันดับหนึ่ง มีใครบ้างที่ไม่ใช่คนใกล้ตายที่ได้แต่เสวยสุขอย่างสงบ เพราะเนื้อหนังมังสาเน่าเปื่อยไม่เหลือสภาพดีแล้ว?

ฟ่านเหวยหรานหันหน้ามามองเยี่ยนชิงที่ยืนอยู่ข้างกายแล้วยิ้มบางๆ ปีนั้นศิษย์น้องหญิงไม่รู้ว่าเหตุใดถึงต้องสังหารผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนนั้นให้จงได้ แต่ตนกลับรู้ดี เพราะถึงอย่างไรความลับใหญ่เทียมฟ้านี้ ทั้งนครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้งในแต่ละยุคแต่ละรุ่นก็จะมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่ได้รู้ความลับ ส่วนภูเขาแห่งอื่นๆ กลับไม่มีโอกาสและไม่มีคุณสมบัติจะได้เข้าพบเซียนผู้นั้นเลย

ส่วนเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่อยู่ดีไม่ว่าดีก็โผล่มา และกำลังจะถูกทัณฑ์สวรรค์เล่นงานผู้นั้น หากไม่ระวังต้องตายอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองก็คือดีที่สุด นี่ถือว่าสบายคนอย่างเจ้าแล้ว ไม่อย่างนั้นหากบาดเจ็บสาหัสแล้วถูกข้าฟ่านเหวยหรานจับตัวไป เมื่อเทียบกับวิชาลับเฉพาะที่สืบทอดมาจากศาลบรรพจารย์ของดินแดนเซียนเป่าต้งแล้ว วิชาตะเกียงน้ำของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะนับเป็นวิชาอำมหิตไร้ปราณีอะไรได้

ดินแดนเซียนเป่าต้งและผู้ฝึกตนของสำนักต่างๆ ที่พึ่งพาพวกเขาล้วนพากันมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบชางอวิ๋นอย่างรวดเร็ว แต่พวกคนที่ไม่สามารถบังคับลมบินทะยานได้ก็ได้แต่อาศัยสองขาวิ่งตะบึงแล้ว หรือหากแย่ที่สุดก็ได้แต่ควบม้าออกจากเมืองไป

หลังจากที่ฟ่านเหวยหรานทะยานลมออกมาจากเมืองสุยเจี้ยก็พลันเอ่ยถามว่า “ผู้ฝึกตนสำนักการทหารของตำหนักขวานผีที่ไม่ได้ความกลุ่มนั้น ไม่ได้ติดตามพวกเราออกนอกเมืองหรือ?”

ผู้ฝึกตนรุ่นหลังที่ใช้สถานะของกุนซือเจ้าเมืองคนปัจจุบันมาแฝงตัวอยู่ที่นี่ซึ่งตอนนี้อยู่ข้างกายหญิงชราเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “เรียนท่านบรรพจารย์ หลังจากที่ได้ข่าวจากข้าอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ได้รีบเคลื่อนย้ายทันที อ้างว่ามีธุระเร่งด่วนบางอย่างต้องไปจัดการ ข้าไม่กล้ารั้งรออยู่ต่อจึงออกมาก่อน สุดท้ายสังเกตเห็นว่าพวกเขาพากันมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ออกจากเมืองสุยเจี้ย ตอนนี้จึงยังไม่รู้ว่าจะไปรวมตัวกับพวกเราที่ทะเลสาบชางอวิ๋นหรือไม่”

ไฟโทสะพลันแล่นพุ่งขึ้นเต็มอกของฟ่านเหวยหราน ถามอีกครั้งด้วยสีหน้าดุร้าย “เจ้าคนที่ชื่อตู้อวี๋ผู้นั้นล่ะ? เจ้าเห็นเขาหรือไม่?”

ผู้ฝึกตนเฒ่าเอ่ยตอบ “เจอพร้อมกับคนอื่นๆ ในโรงเตี๊ยมแล้ว แล้วก็จริงอย่างคำเล่าลือ เขาเป็นพวกที่ดีแต่ทำหน้าเป็น ไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายอะไรเลย”

ความเคลื่อนไหวทางทะเลสาบชางอวิ๋นในคืนนั้นรุนแรง แต่ผู้ฝึกตนของเมืองสุยเจี้ยไม่กล้าขยับเข้าไปชมศึกใกล้ๆ เมื่อเป็นการตีกันของเทพเซียนระดับสูงอย่างเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นนี้ ต่อให้เจ้าไปยืนปรบมือร้องให้กำลังใจอยู่ด้านข้าง สองฝ่ายที่เข่นฆ่ากันก็ไม่มีใครรับน้ำใจ โบกชายแขนเสื้อง่ายๆ หนึ่งครั้งหรือยกฝ่ามือขึ้นตบหนึ่งครั้งก็สามารถทำให้เจ้ากลายเป็นผุยผงได้แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่วัตถุหนักตระกูลเซียนแต่ละชิ้น เวทตระกูลเซียนแต่ละวิชาล้วนไม่มีดวงตา หากพาตัวเองไปเดินเที่ยวแถวหน้าประตูผี ก็ได้แต่ตายไปอย่างเสียเปล่าเท่านั้น

ดังนั้นผู้ฝึกตนเฒ่าจึงถามอย่างกังขาว่า “เหตุใดบรรพจารย์จึงถามถึงคนผู้นี้โดยเฉพาะ?”

ฟ่านเหวยหรานสีหน้ามืดทะมึน ไม่ได้เปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ แค่หัวเราะเสียงหยันเอ่ยว่า “วันหน้าค่อยไปคิดบัญชีกับเจ้าตะพาบผู้นี้!”

ซึ่งก่อนจะทำอย่างนั้นได้ เซียนกระบี่ต่างถิ่นแซ่เฉินคนนั้นก็ต้องตายเสียก่อน หรือไม่ก็สูญเสียชีวิตไปเกินครึ่งอยู่ในเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้

ตอนที่เยี่ยนชิงบังคับลมบินทะยานก็ได้หันกลับไปมองเค้าโครงร่างที่พร่าเลือนของเมืองสุยเจี้ยแวบหนึ่ง

พอจะมองเห็นได้รำไรว่ามียันต์สีทองเส้นหนึ่งระเบิดทำลายชั้นล่างสุดของทะเลเมฆทัณฑ์สวรรค์

เยี่ยนชิงถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ

สุดท้ายแล้วเซียนกระบี่หนุ่มที่คิดคำนวณถึงจิตใจคนได้อย่างแม่นยำผู้นั้นก็ยังเป็นคนโง่อยู่ดี

บนยอดเขาเฮยโย่วที่เมื่อเทียบกับทะเลสาบชางอวิ๋นแล้วอยู่ห่างจากเมืองสุยเจี้ยยิ่งกว่า ในศาลาชมทัศนียภาพแห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นหยาบๆ บนยอดเขา มีชายวัยกลางคนเรือนกายสูงเพรียวสวมชุดเรียบง่ายธรรมดาเหมือนคนของครอบครัวที่พอจะมีฐานะในหมู่ชาวบ้านทั่วไป เครื่องประดับที่แขวนอยู่บนร่างมีเพียงแผ่นหยกที่ห้อยเอวไว้เท่านั้น

บุรุษยื่นนิ้วออกมาลูบตัวอักษรบนแผ่นหยกเบาๆ ในใจมีเรื่องให้ครุ่นคิดมากมาย

เหอลู่เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่ข้างกายเขา เขาปลดขลุ่ยไม้ไผ่สีออกเหลืองเลานั้นลงมา กำลังใช้ผ้าไหมล้ำค่าที่ตระกูลเซียนเป็นผู้ถักทอผืนหนึ่งเช็ดถูทำความสะอาดวัตถุอาคมที่รักชิ้นนี้เบาๆ

ชายวัยกลางคนทำเพียงแค่มองไปทางเมืองสุยเจี้ย เมฆดำหนาหนักอย่างที่มิอาจหาสิ่งใดมาเปรียบค่อยๆ ลดตัวลงจนมองดูเหมือนม่านฟ้าที่พลิ้วตัวปกคลุมลงมายังโลกมนุษย์ ไม่อาจมองเห็นด้านบนสุดของทะเลเมฆได้เลย

ผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่จุ๊ปากยิ้มเอ่ย “ฟ้าดินเชื่อมต่อกันอย่างไร้สาเหตุ นี่ก็คือพิบัติภัยครั้งใหญ่ของโลกมนุษย์ ท่านเจ้าเมือง หากทัณฑ์สวรรค์นี้ร่วงลงสู่พื้น ค่ายกลใหญ่ภูเขาแม่น้ำของภูเขาเฮยโย่วนี่ ข้าว่าคงรักษาไว้ไม่อยู่ ยังคงเป็นหญิงชราแซ่ฟ่านผู้นั้นที่คิดอ่านรอบคอบ ไปสมคบคิดอยู่กับอินโหวแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น เรื่องนี้เมื่อเทียบกับพวกเราที่ได้แต่เลือกจ่ายเงินสร้างค่ายกลขึ้นมาบนภูเขาเฮยโย่วแล้ว ก็ถือว่าช่วงชิงโอกาสความได้เปรียบไปก่อนแล้ว”

ผู้เฒ่าผมขาวทุบขาตัวเองพลางพูดอย่างน่าสงสารว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าเซียนกระบี่ต่างถิ่นผู้นั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ ต่อให้คิดจะแย่งเนื้อมาจากปากเสืออย่างพวกเรากับดินแดนเซียนเป่าต้งสองฝ่าย แต่จะดีจะชั่วเจ้าก็ควรรอให้สมบัติประหลาดเผยตัวก่อนไม่ใช่หรือ? ทว่าหากเขาสังหารเทพอภิบาลเมืองจริงๆ ทัณฑ์สวรรค์นี้ก็ต้องหมายหัวเขาแทนแล้ว มารดามันเถอะ เขาต้องการอะไรกันแน่? ท่านเจ้าเมือง สมองของข้าไม่ค่อยเฉียบไวนัก ไหนท่านลองบอกมาสิ? เจอกับเรื่องที่ต่อให้คิดจนหัวแทบแตกก็ยังไม่เข้าใจแบบนี้ เทียบกับได้เห็นสาวงามล่มบ้านล่มเมืองทั้งยังปากร้ายแล้วยังคันคะเยอในใจยิ่งกว่า”

บุรุษที่อยู่ในศาลาก็คือเย่หานเจ้านครหวงเยว่

เย่หานกล่าว “เซียนกระบี่ต่างถิ่นคนหนึ่งบุกเข้ามาร่วมสถานการณ์ อันที่จริงกระดานหมากก็ยังคงเป็นกระดานหมากอันเดิม สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปไม่มาก เรื่องไม่คาดฝันที่ตบะของคนผู้นี้นำพามาล้วนจะต้องถูกทัณฑ์สวรรค์ลดทอนไปพอสมควร สิ่งที่ข้าเป็นกังวลหาใช่คนผู้นี้ไม่ แล้วก็ไม่ใช่ฟ่านเหวยหรานแห่งดินแดนเซียนเป่าต้ง แต่เป็นคนต่างถิ่นหลายคนที่เมื่อเทียบกับเซียนกระบี่ซึ่งทำอะไรเปิดเผยตรงไปตรงมาผู้นี้แล้วก็เรียกได้ว่าลับๆ ล่อๆ กว่ามาก ตอนนี้ข้าแค่รู้ว่าปีศาจจิ้งจอกของแคว้นอิ๋นผิงผู้นั้น ถือเป็นหนึ่งในนั้น”

พอผู้เฒ่าผมขาวได้ยินคำว่าปีศาจจิ้งจอก ความสนใจก็ผุดพุ่งขึ้นมาทันที “ฮ่องเต้แคว้นอิ๋นผิงที่เป็นดั่งน้ำไหล ฮองเฮาที่เป็นดั่งเหล็กกล้า ฮ่าๆ น่าสนุกจริงๆ ที่แท้ก็มาจากต่างถิ่นเหมือนกัน ข้าก็ว่าแล้วว่าน้ำและดินของหลายสิบแคว้นพวกเรานี้ไม่อาจเลี้ยงจิ้งจอกฟ้าห้าร้อยหางตัวหนึ่งได้หรอก”

เย่หานส่ายหน้า “นางอำพรางตัวตนได้อย่างลึกล้ำ อันที่จริงนางคือปีศาจจิ้งจอกขอบเขตโอสถทองที่มีหกหางตัวหนึ่ง ข่าวนี้ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งของนครหวงเยว่เราต้องใช้ชีวิตแลกมา”

ผู้เฒ่าผมขาวเดาะลิ้น “ถ้าอย่างนั้นเวลาข้าเจอนางคงต้องเดินอ้อมไปไกลแล้ว มารดามันเถอะ ขอบเขตโอสถทอง! นั่นก็ไม่ต่างจากท่านเจ้าเมืองเลยน่ะสิ?!”

เหอลู่ทำเพียงแค่เช็ดขลุ่ยไม้ไผ่ สำหรับความลับที่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่บนภูเขาเหล่านี้ เขาไม่ค่อยสนใจนัก

เย่หานส่ายหน้ากล่าวว่า “ผู้ฝึกตนขอบเขตเดียวกันก็มีความต่างราวฟ้ากับดิน ปีศาจจิ้งจอกสามารถล่อลวงคนธรรมดาได้ แน่นอนว่าต้องได้รับเงื่อนไขพิเศษที่เอื้ออำนวย แต่หากจะพูดถึงการลงสนามรบเข่นฆ่า กลับเป็นเรื่องที่ปีศาจจิ้งจอกไม่เชี่ยวชาญเลย ข้าไม่คิดว่านางจะสามารถเอาชนะฟ่านเหวยหรานได้ แต่ในเมื่อมาจากต่างถิ่น ก็แสดงว่าต้องมีสมบัติอาคมที่พิเศษชิ้นสองชิ้นติดตัว ข้ากับฟ่านเหวยหรานจับคู่ต่อสู้กัน โอกาสชนะมีไม่มาก แต่หากคิดจะสังหารมัน กลับไม่ใช่เรื่องที่เพ้อฝันเลย”

เย่หานหันมายิ้มเอ่ย “หากมีโอกาส แล้วกระบี่เล่มที่คนต่างถิ่นผู้นั้นสะพายไว้บนหลังตลอดเวลาคือสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งจริงๆ หลังจบเรื่องข้าสามารถลองช่วงชิงมาดูได้ ดูสิว่าจะสามารถใช้สิ่งของแลกเปลี่ยน แล้วนำมามอบให้เจ้าได้หรือไม่”

ผู้เฒ่าผมขาวรู้สึกมึนงงไม่เข้าใจ “ท่านเจ้าเมืองจะเอาสิ่งของอะไรไปแลกเปลี่ยน? อีกอย่าง อยู่ที่นี่ ท่านผู้อาวุโสยังต้องช่วงชิงอะไรอีกงั้นหรือ?”

เย่หานส่ายหน้า “เรื่องที่ไม่ควรถามก็อย่าถามเลย”

ได้ยินคำสัญญาจากเจ้านครหวงเย่ ดวงตาเหอลู่ก็เป็นประกายวาบ ทันใดนั้นเมื่อหางตาของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเหลือบไปมองยังทิศทางของเมืองสุยเจี้ย สายตาของเขาก็เหมือนไส้ตะเกียงที่ถูกตัดจึงยิ่งสว่างไสวมากกว่าเดิม

เย่หานส่ายหน้า “เลิกคิดได้แล้ว อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่ข้าก็ยังไม่กล้ามีความคิดที่เกินความจำเป็นใดๆ”

สีหน้าของเย่หานพลันเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจเอ่ยว่า “เหอลู่ ศึกใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น ข้าขอเตือนเจ้าสักสองสามคำ แม้จะบอกว่าพรสวรรค์และโชควาสนาของเจ้าดีกว่าเยี่ยนชิงหนึ่งระดับ ได้ติดตามข้าไปพบท่านเซียนที่จวนเซียน แม้ว่าท่านเซียนจะไม่ได้ปรากฏตัวด้วยตัวเอง เพียงแค่สั่งให้คนมารับรองเจ้าและข้า แต่นี่ก็ถือว่าเป็นเกียรติมากแล้ว และนี่ก็เท่ากับว่าเจ้าเดินนำอยู่เบื้องหน้าเยี่ยนชิง ทว่าการฝึกตนบนภูเขา ยิ่งเข้าใกล้ความสำเร็จก็ยิ่งต้องขยันหมั่นเพียร ความต่างเพียงแค่หนึ่งขอบเขต สองฝ่ายก็ไม่ต่างจากฟ้ากับเหว ดังนั้นเด็กน้อยคนหนึ่งของจวนเซียนที่อาศัยว่ามีท่านเซียนช่วยหนุนหลังให้ ถึงยังกล้าตวาดข้าอย่างไม่เคารพ สมบัติประหลาดชิ้นนั้นได้เปิดเผยรากฐานให้เจ้าเห็นแล้วว่าเป็นตัวอ่อนกระบี่ชิ้นหนึ่ง ตัวอ่อนกระบี่บนโลกก็มีแบ่งแยกคนและวัตถุเช่นกัน ฝ่ายแรกนั้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาก็สามารถตัดสินได้แล้วว่าจะกลายเป็นเซียนกระบี่ที่หาได้ยากยิ่งหรือไม่ ส่วนฝ่ายหลังก็ยิ่งมหัศจรรย์ สามารถทำให้ผู้ฝึกลมปราณที่ไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่คนหนึ่งกลายเป็นเซียนกระบี่ได้ สมบัติประหลาดที่พันปีก็ยากจะพานพบประเภทนี้ ต่อให้ข้าเย่หานแย่งชิงมาได้โดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น แล้วนำมามอบให้เจ้า เจ้าก็ลองถามใจตัวเองดูเถิดว่า เจ้าเหอลู่รับไว้แล้ว จะรักษาไว้ได้หรือไม่?”

เหอลู่ผูกขลุ่ยไม้ไผ่ไว้ที่เอวเหมือนเดิม ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยอย่างนอบนอม “ศิษย์เข้าใจแล้ว!”

บนภูเขาลูกหนึ่งทางทิศเหนือนอกเมืองสุยเจี้ย

ชายฉกรรจ์พกดาบที่สวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างไว้บนร่างหันกลับไปมองทางศาลเทพอภิบาลเมือง

ตู้อวี๋ไม่เข้าใจ ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่เข้าใจ

เหตุใดผู้อาวุโสที่คิดคำนวณถึงจิตใจคนและวางแผนได้รอบคอบที่สุดท่านนั้นถึงได้วู่วามขนาดนี้

ชีวิตคนธรรมดาแค่ไม่กี่หมื่นกี่แสนคน จะนำมาเปรียบเทียบกับตบะและชีวิตของท่านผู้อาวุโสที่เป็นเซียนกระบี่คนหนึ่งได้อย่างไร?

คำพูดที่ผิดทำนองคลองธรรมเช่นนี้ ต่อให้ผู้อาวุโสมายืนอยู่ตรงหน้าตนตอนนี้ เขาตู้อวี๋ก็ยังกล้าตะโกนออกมาเสียงดัง ต่อให้ต้องถูกตบจนอาการสาหัสปางตาย หรืออาจถึงขั้นถูกกักขังอยู่ในกรงวิญญาณ เขาตู้อวี๋ก็ยังต้องเอ่ยถาม

ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้

ทะเลเมฆลดระดับลงมา ราวกับว่าท้องฟ้าจะสัมผัสกับพื้นดิน

นอกจากผู้ฝึกตนที่อยู่สองตำแหน่งอย่างวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นและศาลาบนภูเขาเฮยโย่วที่ฟ่านเหวยหรานและเย่หานต่างก็จ่ายค่าตอบแทนจนสามารถใช้วิชาอภินิหารมองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือ สามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์สุดท้ายได้แล้ว สิ่งที่ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาของฝ่ายต่างๆ ที่แตกฮือราวกับนกแตกรังมองเห็นก็ยังเทียบกับคนธรรมดาในหมู่ชาวบ้านที่ถูกกำหนดมาว่าทั้งชีวิตจะเป็นคนไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในเมืองสุยเจี้ยไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ทว่าต่อให้เป็นฟ่านเหวยหรานและเยี่ยนชิงที่อยู่ข้างกาย หรือเย่หานและเหอลู่ที่อยู่ข้างกายก็ยังได้แค่มองเห็นฟ้าดินในพื้นที่แคบๆ ที่ห่างจากพื้นดินร้อยจั้ง ห่างจากทะเลเมฆร้อยจั้งเท่านั้น

มีคนชุดเขียวผู้หนึ่งขี่กระบี่ออกหมัดใส่ทะเลเมฆไม่หยุด

หลังจากที่ทะเลเมฆยังคงลดระดับลงต่ำจนกระทั่งอยู่ห่างจากเมืองสุยเจี้ยหนึ่งร้อยจั้ง

ฟ่านเหวยหรานและเย่หานก็สลายวิชาอภินิหารไปแทบจะเวลาเดียวกัน ทั้งคู่ต่างก็หน้าซีดขาวเล็กน้อย

ภาพสุดท้ายที่ได้เห็นคือแสงกระบี่สีทองเส้นหนึ่งที่ผุดขึ้นจากโลกมนุษย์ แล้วพุ่งกรีดแหวกตลอดทั้งทะเลเมฆจากเหนือจรดใต้ในเสี้ยววินาที

หลังจากนั้นพื้นที่ตลอดทั้งเมืองก็มีเพียงเสียงฟ้าร้องครืนครั่น แสงกระบี่ล้อมวนอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ ปะปนไปด้วยแสงสว่างจ้าจากยันต์ที่ผุดขึ้นแล้วก็วาบหายไปเป็นระลอก

เมื่อฟ้าดินกลับคืนสู่ความเงียบสงัดในที่สุด ทะเลเมฆที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองสุยเจี้ยก็ค่อยๆ สลายหายไป

ในคุกของที่ว่าการแห่งหนึ่งในเมืองสุยเจี้ยมีแสงกระบี่ประหลาดสีดำสนิทยิ่งกว่าม่านฟ้ายามราตรีเสี้ยวหนึ่งแหวกทะลุพื้นดินออกมา ลากเส้นสีดำที่ยาวมากเส้นหนึ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็พุ่งจากไป

เย่หานที่อยู่ในศาลาบนภูเขาเฮยโย่วและฟ่านเหวยหรานที่อยู่ในวังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋นเกิดใจตรงกันขึ้นมาอีกครั้ง ออกคำสั่งในเวลาเดียวกัน เตรียมจะไปแย่งชิงสมบัติประหลาดที่ในที่สุดก็เผยกายบนโลกชิ้นนั้น

เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจากแต่ละฝ่ายที่มีจำนวนหลายร้อยหลายพันคน ผู้ฝึกตนอิสระที่พยายามจะเก็บของดี ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพที่พึ่งพาผู้ฝึกลมปราณต่างก็กรูกันออกมาเหมือนหน่อไม้ที่ผุดขึ้นหลังฝนวสันตฤดู พากันไล่กวดเส้นสีดำนั้นไป

และพอเส้นสีดำบินออกไปได้ในระยะร้อยลี้กว่า ก็พลันถูกลิงน้อยตัวหนึ่งกลืนลงท้อง ก่อนที่ผู้เฒ่าจะเก็บมันซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อแล้วเริ่มเผ่นหนี

การไล่ฆ่าและศึกวุ่นวายได้เปิดฉากขึ้น ณ บัดนี้

มีเพียงผู้ฝึกตนตำหนักขวานผีไม่สะดุดตาคนหนึ่งที่วิ่งตะบึงไปทางเมืองสุยเจี้ย

เห็นเพียงว่าสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดในเมืองสุยเจี้ยที่สูงเกินเจ็ดจั้ง รวมไปถึงกำแพงเมืองล้วนเหมือนถูกมีดปาดออกจนราบเรียบ

ชายฉกรรจ์ที่สวมเสื้อเกราะสีขาวหิมะผู้นี้กระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพงเมือง ลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายก็ยังไม่ได้เข้าไปในเมืองทันที แต่เดินเลียบวนรอบหัวกำแพงเมืองไปหนึ่งรอบ เส้นสายตามองไปเห็น ดูเหมือนว่าทางฝั่งของศาลเทพอภิบาลเมืองจะกลายเป็นซากปรักแห่งหนึ่งแล้ว หอเรือนสูงหลายแห่งของตระกูลคนรวยต่างก็ล้มครืนลงมากองอยู่กับพื้น ในเมืองสุยเจี้ยเต็มไปด้วยเสียงดังจอแจแทรกซอนไปด้วยเสียงตะโกนเสียงแผดร้องของผู้คนนับไม่ถ้วนดังขึ้นๆ ลงๆ แทบจะทุกบ้านล้วนจุดตะเกียง คาดว่านับตั้งแต่วันแรกที่เมืองสุยเจี้ยถูกสร้างขึ้นมา คงไม่มีคืนใดที่ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวคนยากจนหรือร่ำรวยจะจุดไฟพร้อมกันโดยไม่นัดหมาย จนทำให้ทั้งเมืองสว่างไสวราวกับเป็นเวลากลางวันเช่นนี้

ตู้อวี๋กัดฟัน ไม่กล้าบังคับลมบินทะยาน เขาเก็บเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน นำเม็ดเสื้อเกราะใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วถึงได้แอบกระโดดลงจากหัวกำแพง แล้วก็ไม่กล้าเดินไปบนถนนใหญ่ เพียงแค่เลือกถนนเส้นเล็กตามตรอกซอกซอย วิ่งตะบึงไปที่ศาลเทพอภิบาลเมือง

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+