กระบี่จงมา 521.1 เลื่อมใสมานาน เลื่อมใสมานาน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 521.1 เลื่อมใสมานาน เลื่อมใสมานาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ม่านรัตติกาลมืดดำ เมื่อผ่านช่วงเวลาที่ง่วงที่สุดไปแล้ว สุยจิ่งเฉิงกลับไม่เหลือความง่วงงุนอีก ในนิยายจอมยุทธมีคำกล่าวถึงนกเค้าแมว นางรู้สึกว่าก็คือตนในเวลานี้

วิชาเข้าฌานทำสมาธิที่บันทึกไว้ในสมุดเล่มเล็กล้วนระบุถึงแค่เวลาตอนกลางวัน ช่วงฤดูกาลแตกต่างกันไป และช่วงเวลาที่ฝึกตนในตอนกลางวันก็มีความแตกต่าง ช่วงท้ายของบันทึกมีตัวอักษรสี่ตัวที่ทำให้ใจคนหวั่นไหวได้มากที่สุดระบุไว้ว่า บินทะยานยามกลางวัน

ก่อนหน้านี้ตอนที่จากลากันบนถนนทางหลวง รองเจ้ากรมผู้เฒ่าถอดชุดคลุมอาคมเสื้อไผ่ที่บางราวปีกจักจั่นคืนให้บุตรสาวอย่างสุยจิ่งเฉิงด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์ และยังตักเตือนบุตรสาวเป็นการส่วนตัวว่า ตอนนี้โชคดีได้ติดตามเซียนกระบี่ไปฝึกตนบนภูเขาแล้ว ก็ถือว่าได้บรรพบุรุษของสกุลสุยช่วยปกปักษ์คุ้มครอง ดังนั้นจะต้องวางตัวให้ดี อย่าได้วางมาดเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่อะไรอีก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการย่ำยีผลบุญที่บรรพบุรุษสร้างมาให้เสียเปล่า

คนผู้นั้นเอาแต่ฝึกวิชาหมัดที่น่าเบื่อหน่ายอยู่ตลอดเวลา

สุยจิ่งเฉิงลุกขึ้นเดินไปเก็บกิ่งไม้แห้งจากรอบด้านมาเพิ่มเติม นางทำเลียนแบบคนผู้นั้นด้วยการเอากิ่งไม้อังไฟเพื่อสลายความชื้นออกไปก่อน ไม่ได้โยนเข้าไปในกองไฟโดยตรง

หลายปีมานี้นางฝึกตนอย่างติดๆ ขัดๆ ไม่ราบรื่นอย่างยิ่ง เนื่องจากไม่มีอาจารย์คอยช่วยชี้แนะ บวกกับที่เนื้อหาในสมุดเล่มเล็กที่นอกจากวิชาอภินิหารซึ่งใช้ได้จริงอย่างบังคับปิ่นทองให้เป็นเหมือนกระบี่บินที่สุยจิ่งเฉิงพอจะศึกษาจนเรียนเป็นเจ็ดแปดส่วนแล้ว ตัวอักษรในจุดอื่นๆ ล้วนเป็นเหมือนจุดประสงค์ในการเปิดสำนักซึ่งเป็นจุดสาระสำคัญที่เลื่อนลอยเกินไป ทำให้นางไม่อาจทำความเข้าใจได้เสียที ก็เหมือนที่คนผู้นั้นกล่าวว่า ‘หลักการเหตุผลสูงส่งและเลื่อนลอย’ อีกทั้งยังไม่มีคนคอยช่วยทบทวน ไขข้อข้องใจให้แก่นาง ดังนั้นนับตั้งแต่ที่อ่านหนังสือออก สุยจิ่งเฉิงจึงมานะตรากตรำศึกษาตำราเล่มเล็กมาโดยตลอด ทว่าก็ยังคงไม่อาจเข้าถึงแก่นแท้ของมัน ดังนั้นอายุสามสิบกว่าปีแล้วก็ยังคงเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณที่ค้างอยู่คอขวดของขอบเขตสองคนหนึ่ง

อันที่จริงสุยจิ่งเฉิงลังเลอยู่นานว่าควรจะหยิบเอาเสื้อไผ่ ปิ่นทองและสมุดซึ่งเป็นวัตถุตระเซียนสามชิ้นนี้ออกมาด้วยตัวเองดีหรือไม่ หากผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่มีวิชาคาถายิ่งใหญ่หมายตาของชิ้นใด อันที่จริงนางก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่นางกลัวว่าคนผู้นั้นจะเข้าใจผิดคิดว่าตนกำลังอวดฉลาด และตัวนางเองก็อวดฉลาดมาไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแล้ว

เฉินผิงอันหยุดท่าหมัด กลับมานั่งข้างกองไฟแล้วยื่นมือออกมา “จะช่วยเจ้าลดเรื่องกังวลใจเรื่องหนึ่ง เอาออกมาเถอะ”

สุยจิ่งเฉิงจึงหยิบปิ่นทองสามชิ้น สมุดเล่มเล็กที่ยังคงแวววาวใหม่เอี่ยมราวกับไม่เคยผ่านกาลเวลาใดๆ มา ซึ่งด้านบนสลักตัวอักษรเป็นชื่อตำราว่า ‘ตำราซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ ออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง

สุ่ยจิ่งเฉิงเอ่ยเสียงเบาว่า “ผู้อาวุโส ปิ่นค่อนข้างจะประหลาดสักหน่อย มันผูกพันกับข้ามาตั้งแต่ข้ายังเด็ก ใครก็ตามที่จับมันจะโดนลวกมือ ในอดีตเคยมีสาวใช้พยายามจะขโมยปิ่นทองไปจากข้า ผลกลับกลายเป็นว่ามือทั้งมือถูกลวกเนื้อทะลุ เจ็บปวดจนนางดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น เป็นเหตุให้คนทั้งจวนจับได้ ภายหลังต่อให้บาดแผลบนมือจะได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว แต่ตัวนางกลับเป็นโรคสติเลอะเลือน บางครั้งก็มีสติ บางครั้งก็เหมือนคนปัญญาอ่อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด”

“ไม่เป็นไร”

เฉินผิงอันใช้มือหนึ่งรับสมุดมา อีกมือหนึ่งแบออก สุยจิ่งเฉิงจึงปล่อยมือออกเบาๆ ปิ่นทองสามชิ้นที่มีประกายแสงหลากสีไหลเวียนวนก็หล่นลงบนฝ่ามือของเฉินผิงอัน ปิ่นทองสั่นเล็กน้อย แต่ฝ่ามือของเฉินผิงอันกลับยังคงปลอดภัยดี เฉินผิงอันพิศดูอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ปิ่นทองถือเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของเจ้าแล้ว บนโลกใบนี้การหลอมวัตถุแบ่งออกเป็นสามระดับ หลอมเล็กจำแลงเป็นภาพมายา พอจะเอาไปเก็บไว้ในช่องโพรงลมปราณของผู้ฝึกตนได้ แต่ใครก็ล้วนสามารถแย่งชิงไปได้ หลังจากผ่านการหลอมกลางจะมีประโยชน์ที่มหัศจรรย์หลากหลายดั่งสมบัติอาคมตระกูลเซียนที่ถูกเปิดใช้ ก็เหมือนกับ…ภูเขาไร้ชื่อไร้นามแห่งนี้ที่มีเทพภูเขาและศาลคอยพิทักษ์ปกป้อง หลอมใหญ่ก็คือวัตถุแห่งชะตาชีวิต ยอดฝีมือนอกโลกที่มอบวาสนาสามอย่างนี้ให้เจ้าคือยอดฝีมือที่แท้จริง ไม่พูดไม่ได้ว่ามรรคกถาลี้ลับมหัศจรรย์ อย่างน้อยก็ต้องเป็นเซียนดินอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งก็ได้ ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดคนผู้นี้มอบโชควาสนาในการเดินขึ้นเขาให้เจ้าแล้ว แต่กลับละเลยไม่สนใจเจ้านานถึงสามสิบสี่ปี…”

สุยจิ่งเฉิงที่เงี่ยหูตั้งใจฟังมาโดยตลอดเอ่ยเบาๆ “แค่สามสิบสองปีเท่านั้น”

คนผู้นั้นยิ้มกล่าว “อยากบอกด้วยไหมว่ากี่เดือน?”

สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้ากระอักกระอ่วน

เฉินผิงอันเอาสมุดเล่มนั้นวางไว้บนหัวเข่า สองนิ้วคีบปิ่นทองชิ้นหนึ่งขึ้นมาเคาะลงบนอีกชิ้นที่อยู่กลางฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง เสียงใสกังวานเหมือนเสียงโลหะ ทุกครั้งที่ตีจะต้องมีรัศมีแสงกระเพื่อมแผ่เป็นชั้นๆ เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ปิ่นทองสามชิ้นนี้คือสมบัติอาคมชุดหนึ่ง มองดูเหมือนไม่แตกต่างกัน แต่ความจริงแล้วกลับไม่ใช่ ชื่อของพวกมันแบ่งออกเป็น ‘หลิงซูชิงเวย’ ‘เหวินชิงเสินเซียว’ และ ‘ไท่เสียอี้กุ่ย’ มีความเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับวิชาอสนีอันเป็นผู้นำของหมื่นคาถา”

สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้าเหลือเชื่อ นางทอดถอนใจเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสช่างมีความรู้กว้างขวาง ไม่มีสิ่งใดที่ไม่รู้จริงๆ!”

นี่คือคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของนาง

ปิ่นทองสามชิ้นที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่แตกต่าง เขากลับสามารถบอกได้แม้กระทั่งชื่อของพวกมัน?

เฉินผิงอันเหลือบตามองนางแวบหนึ่ง “บนปิ่นทองมีตัวอักษรสลักอยู่ ตัวอักษรเล็กมาก เพราะตบะของเจ้าต่ำเกินไป แน่นอนว่าย่อมมองไม่เห็น”

สีหน้าของสุยจิ่งเฉิงแข็งทื่อ

เฉินผิงอันโยนปิ่นทองสามชิ้นคืนให้สุยจิ่งเฉิงเบาๆ แล้วเริ่มเปิดสมุดเล่มเล็กที่มีชื่อประหลาดนั้นออกอ่าน แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้ว อ่านไปได้เพียงสองหน้าก็ปิดมันลงทันที

พอเขาเปิดตำราที่มีชื่อหน้าปกว่า ‘ตำราซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ เล่มนี้ออกอ่าน ก็มีแสงสว่างเปล่งวาบหนึ่งครั้ง ต่อให้จะเป็นสายตาและความจำของเฉินผิงอันก็ยังไม่สามารถจำเนื้อหาคร่าวๆ ของตัวอักษรในหน้าแรกได้ ก็เหมือนกับขบวนรบบนสมรภูมิที่เดิมทีถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ แต่ชั่วพริบตากลับแตกกระจายกลายเป็นยุ่งเหยิงวุ่นวาย ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่า นี่ต้องเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของสุยจิ่งเฉิงอีกชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน มีความเป็นไปได้มากว่าไม่ใช่แค่มีเพียงสุยจิ่งเฉิงที่เปิดออกแล้วมองเห็นตัวอักษรเท่านั้น ต่อให้เฉินผิงอันจะให้นางเป็นคนถือหนังสือแล้วพลิกเปิดแต่ละหน้า เนื้อหาที่ทั้งสองคนเห็นก็ยังคงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

เฉินผิงอันกวักมือเรียกให้สุยจิ่งเฉิงมานั่งข้างกาย ให้นางลองพลิกเปิดดู สุยจิ่งเฉิงทำตามคำสั่งอย่างมึนงง และไม่นานเฉินผิงอันก็บอกให้นางเก็บสมุดเล่มเล็กไป เขากล่าวว่า “วิชาตระกูลเซียนนี้ระดับขั้นไม่ต่ำ เพียงแต่ว่าไม่สมบูรณ์ คนที่มอบหนังสือให้เจ้าในปีนั้นน่าจะตั้งความหวังกับเจ้าไว้สูง แต่ก็ไม่สามารถให้คนที่ถ่ายทอดมรรคาของเจ้าเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเจ้าได้ ดังนั้นพอจากไปทีหนึ่งจึงนานถึงสามสิบกว่าปี”

สุ่ยจิ่งเฉิงมือหนึ่งถือปิ่นทอง อีกมือหนึ่งถือตำรา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในใจปิติยินดีมากยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าตัวเองเป็น ‘สาวงามตระกูลสุย’ อะไรนั่นเสียอีก

เฉินผิงอันเริ่มหลับตาทำสมาธิ มือทั้งสองข้างกุมแส้สายฟ้าสีทองที่ผ่านการหลอมเล็กจนมีลักษณะเป็นไม้ไผ่เขียวเอาไว้หลวมๆ

บน ‘ไผ่เขียว’ ไม่มีตัวอักษรใดๆ มีเพียงรอยสลักเป็นเส้นๆ ที่เรียงติดกันแน่นขนัด

สุยจิ่งเฉิงพลันถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโสอยากจะดูชุดคลุมอาคมที่ชื่อว่าเสื้อไผ่ตัวนั้นด้วยหรือไม่?”

เฉินผิงอันลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าปั้นยาก พอเห็นว่านางมีสีหน้าจริงใจ ท่าทางอยากรู้อยากลองเต็มที่ เฉินผิงอันก็กล่าวอย่างจนใจว่า “ไม่ต้องดูแล้ว ต้องเป็นสมบัติหนักตระกูลเซียนที่ไม่เลวชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน วัตถุอย่างเสื้อคลุมอาคมนั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนล้ำค่ามาโดยตลอด ฝึกตนอยู่บนภูเขา ต้องเจอกับการเข่นฆ่าสังหารมากมาย โดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกตนล้วนจะต้องมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตอยู่สองชิ้น หนึ่งโจมตีหนึ่งป้องกัน ในเมื่อยอดฝีมือคนนั้นมอบปิ่นทองให้เจ้าสามชิ้น ก็มีความเป็นไปได้มากว่าเสื้อคลุมอาคมจะมีระดับขั้นพอๆ กับพวกมัน”

สุยจิ่งเฉิงที่รู้สึกตัวช้าหน้าแดงน้อยๆ แล้วก็ไม่เอ่ยอะไรอีก

เงียบกันไปครู่หนึ่ง คนผู้นั้นไม่ฝึกท่าหมัดอีก แต่กลับเริ่มเพ่งสมาธิเข้าฌานเหมือนผู้ฝึกตน ลมหายใจของเขาทอดยาวเลือนราง สุยจิ่งเฉิงรู้สึกแค่ว่าบนร่างเขาคล้ายจะมีรัศมีแสงเป็นชั้นๆ ไหลเวียนวน หนึ่งสว่างไสวเหมือนแสงไฟ อีกหนึ่งนุ่มนวลอ่อนโยนเหมือนแสงจันทร์ สุยจิ่งเฉิงคิดแค่ว่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่ตรงหน้าผู้นี้เป็นผู้ที่บรรลุมรรคา จึงสามารถสร้างภาพปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่ขึ้นได้ ต่อให้นางจะมีตบะน้อยนิด แต่ก็ยังพอจะมองเบาะแสออกบ้าง ทว่าความจริงนั้นเป็นเพราะสุยจิ่งเชิงคือตัวอ่อนของผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมอย่างแท้จริง นางมองไม่เห็นตัวอักษรบนปิ่นทองก็เพียงแค่เพราะขีดจำกัดทางสายตา ตอนนี้เห็นภาพปรากฎการณ์ประหลาดบนร่างเฉินผิงอันได้ก็เพราะพรสวรรค์ที่โดดเด่นของนาง การรับสัมผัสที่มีต่อปราณวิญญาณในฟ้าดินจึงเหนือกว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างทั่วไปอยู่มาก

สุยจิ่งเฉิงพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นางลังเลอยู่นาน แต่ก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก จึงได้แต่เปิดปากถาม “ผู้อาวุโส การลงมือของเฉาฟู่กับเซียวซูเย่ครั้งนี้เลือกใช้วิธีที่อ้อมค้อมวกวน ลงมืออย่างลับๆ นอกจากไม่อยากดึงดูดความสนใจของราชวงศ์ต้าจ้วนและฮ่องเต้ของแคว้นเล็กบางแห่งทางแถบเหนือแล้ว ยังเป็นเพราะว่าพวกเขาเองก็กริ่งเกรงในตัวของยอดฝีมือที่มอบโชควาสนาให้ข้ามากด้วยใช่หรือไม่? ไม่แน่ว่าการที่อาจารย์ของเฉาฟู่ เซียนดินโอสถทองอะไรนั่น และยังมีบรรพจารย์อาจารย์อาที่เป็นเจ้าตำหนักเกล็ดทองไม่ยินดีจะปรากฎตัว ก็คงเหมือนกับตอนที่มาดักกลางทางแล้วเฉาฟู่ให้จอมยุทธถือดาบคนนั้นเผยตัวก่อน ก็เพื่อหยั่งเชิงว่าผู้อาวุโสซ่อนตัวอยู่ตรงใดหรือไม่ ใช่หลักการเดียวกันหรือเปล่า?”

เฉินผิงอันลืมตาขึ้นอีกครั้ง เพียงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร

สุยจิ่งเฉิงผู้นี้มีจิตใจที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

จากนั้นเขาก็อธิบายอย่างอดทนว่า “ผู้ฝึกตนบนภูเขา หากผูกปมแค้นกันแล้วก็ง่ายที่จะพัวพันยาวนานเป็นร้อยปี นี่ก็คือคำกล่าวที่ว่าบนภูเขามีกฎเกณฑ์ของบนภูเขา ยุทธภพมีกฎเกณฑ์ของยุทธภพ เฉาฟู่และเซียวซูเย่ดูแคลนยุทธภพเกินไป รู้สึกว่าแค่เท้าเหยียบลงด้านล่างภูเขาก็สามารถเหยียบไปถึงก้นบึ้งของยุทธภพได้ พวกคนที่อยู่ในนั้นมีแต่กุ้งหอยปูปลา ทว่าพวกเขากลับไม่เคยรู้ถึงข้อห้ามของการฝึกตนและสถานการณ์อันซับซ้อนของบนภูเขา แต่ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังพวกเขากลับรู้ชัดเจนดี ถึงได้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ตอนนี้พวกเขากริ่งเกรงข้า เฉาฟู่กริ่งเกรงแค่กระบี่บินของข้าเท่านั้น ทว่าคนเบื้องหลังกลับยังมีเรื่องใหญ่ให้ต้องกังวลมากกว่า นั่นก็คือยอดฝีมือที่เดินทางผ่านมาซึ่งเจ้าคิดได้ถึงผู้นั้น หากผู้ถ่ายทอดมรรคาของเจ้าเป็นเซียนดินต่างถิ่นคนหนึ่ง หลังจากพวกเขาชั่งน้ำหนักแล้วก็คงจะไม่ถือสาหากต้องลงมือทำการค้าที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม แต่หากผู้ปกป้องมรรคาที่ผู้ถ่ายทอดมรรคาคนนี้ส่งตัวมาให้เจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่ง คนเบื้องหลังก็ต้องชั่งน้ำหนักความสามารถและรากฐานของตัวเองให้ดีว่าจะสามารถแบกรับการร่วมมือกันแก้แค้นของ ‘ผู้ฝึกตนก่อกำเนิด’ สองคนได้หรือไม่”

ขนตาของสุยจิ่งเฉิงขยับกระพือเบาๆ

คนผู้นั้นพูดได้อย่างตรงไปตรงมาและตื้นเขิน แต่กลับ ‘ซุกซ่อนปราณสังหาร’ เอาไว้ เดิมทีสุยจิ่งเฉิงก็เป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดและความคิดความอ่านรอบคอบอยู่แล้ว ยิ่งนางขบคิดก็ยิ่งได้รับผลเก็บเกี่ยว รู้สึกเพียงว่าม้วนภาพบนภูเขาที่ทัศนียภาพยิ่งใหญ่ตระการตาม้วนนั้น ในที่สุดก็มีมุมหนึ่งที่ถูกแหวกออกแล้ว

สุยจิ่งเฉิงพลันถามคำถามที่ไม่สอดคล้องกับนิสัยที่ผ่านๆ มาของนางอย่างยิ่ง “ผู้อาวุโส สมบัติตระกูลเซียนสามชิ้น ท่านไม่ต้องการสักชิ้นจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้องการทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบ” (มาจากประโยคคนมีความสามารถชื่นชอบทรัพย์สินที่ได้มาโดยชอบธรรม ไม่ต้องการทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบ)

สุยจิ่งเฉิงคลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 521.1 เลื่อมใสมานาน เลื่อมใสมานาน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 521.1 เลื่อมใสมานาน เลื่อมใสมานาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ม่านรัตติกาลมืดดำ เมื่อผ่านช่วงเวลาที่ง่วงที่สุดไปแล้ว สุยจิ่งเฉิงกลับไม่เหลือความง่วงงุนอีก ในนิยายจอมยุทธมีคำกล่าวถึงนกเค้าแมว นางรู้สึกว่าก็คือตนในเวลานี้

วิชาเข้าฌานทำสมาธิที่บันทึกไว้ในสมุดเล่มเล็กล้วนระบุถึงแค่เวลาตอนกลางวัน ช่วงฤดูกาลแตกต่างกันไป และช่วงเวลาที่ฝึกตนในตอนกลางวันก็มีความแตกต่าง ช่วงท้ายของบันทึกมีตัวอักษรสี่ตัวที่ทำให้ใจคนหวั่นไหวได้มากที่สุดระบุไว้ว่า บินทะยานยามกลางวัน

ก่อนหน้านี้ตอนที่จากลากันบนถนนทางหลวง รองเจ้ากรมผู้เฒ่าถอดชุดคลุมอาคมเสื้อไผ่ที่บางราวปีกจักจั่นคืนให้บุตรสาวอย่างสุยจิ่งเฉิงด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์ และยังตักเตือนบุตรสาวเป็นการส่วนตัวว่า ตอนนี้โชคดีได้ติดตามเซียนกระบี่ไปฝึกตนบนภูเขาแล้ว ก็ถือว่าได้บรรพบุรุษของสกุลสุยช่วยปกปักษ์คุ้มครอง ดังนั้นจะต้องวางตัวให้ดี อย่าได้วางมาดเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่อะไรอีก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการย่ำยีผลบุญที่บรรพบุรุษสร้างมาให้เสียเปล่า

คนผู้นั้นเอาแต่ฝึกวิชาหมัดที่น่าเบื่อหน่ายอยู่ตลอดเวลา

สุยจิ่งเฉิงลุกขึ้นเดินไปเก็บกิ่งไม้แห้งจากรอบด้านมาเพิ่มเติม นางทำเลียนแบบคนผู้นั้นด้วยการเอากิ่งไม้อังไฟเพื่อสลายความชื้นออกไปก่อน ไม่ได้โยนเข้าไปในกองไฟโดยตรง

หลายปีมานี้นางฝึกตนอย่างติดๆ ขัดๆ ไม่ราบรื่นอย่างยิ่ง เนื่องจากไม่มีอาจารย์คอยช่วยชี้แนะ บวกกับที่เนื้อหาในสมุดเล่มเล็กที่นอกจากวิชาอภินิหารซึ่งใช้ได้จริงอย่างบังคับปิ่นทองให้เป็นเหมือนกระบี่บินที่สุยจิ่งเฉิงพอจะศึกษาจนเรียนเป็นเจ็ดแปดส่วนแล้ว ตัวอักษรในจุดอื่นๆ ล้วนเป็นเหมือนจุดประสงค์ในการเปิดสำนักซึ่งเป็นจุดสาระสำคัญที่เลื่อนลอยเกินไป ทำให้นางไม่อาจทำความเข้าใจได้เสียที ก็เหมือนที่คนผู้นั้นกล่าวว่า ‘หลักการเหตุผลสูงส่งและเลื่อนลอย’ อีกทั้งยังไม่มีคนคอยช่วยทบทวน ไขข้อข้องใจให้แก่นาง ดังนั้นนับตั้งแต่ที่อ่านหนังสือออก สุยจิ่งเฉิงจึงมานะตรากตรำศึกษาตำราเล่มเล็กมาโดยตลอด ทว่าก็ยังคงไม่อาจเข้าถึงแก่นแท้ของมัน ดังนั้นอายุสามสิบกว่าปีแล้วก็ยังคงเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณที่ค้างอยู่คอขวดของขอบเขตสองคนหนึ่ง

อันที่จริงสุยจิ่งเฉิงลังเลอยู่นานว่าควรจะหยิบเอาเสื้อไผ่ ปิ่นทองและสมุดซึ่งเป็นวัตถุตระเซียนสามชิ้นนี้ออกมาด้วยตัวเองดีหรือไม่ หากผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่มีวิชาคาถายิ่งใหญ่หมายตาของชิ้นใด อันที่จริงนางก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่นางกลัวว่าคนผู้นั้นจะเข้าใจผิดคิดว่าตนกำลังอวดฉลาด และตัวนางเองก็อวดฉลาดมาไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแล้ว

เฉินผิงอันหยุดท่าหมัด กลับมานั่งข้างกองไฟแล้วยื่นมือออกมา “จะช่วยเจ้าลดเรื่องกังวลใจเรื่องหนึ่ง เอาออกมาเถอะ”

สุยจิ่งเฉิงจึงหยิบปิ่นทองสามชิ้น สมุดเล่มเล็กที่ยังคงแวววาวใหม่เอี่ยมราวกับไม่เคยผ่านกาลเวลาใดๆ มา ซึ่งด้านบนสลักตัวอักษรเป็นชื่อตำราว่า ‘ตำราซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ ออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง

สุ่ยจิ่งเฉิงเอ่ยเสียงเบาว่า “ผู้อาวุโส ปิ่นค่อนข้างจะประหลาดสักหน่อย มันผูกพันกับข้ามาตั้งแต่ข้ายังเด็ก ใครก็ตามที่จับมันจะโดนลวกมือ ในอดีตเคยมีสาวใช้พยายามจะขโมยปิ่นทองไปจากข้า ผลกลับกลายเป็นว่ามือทั้งมือถูกลวกเนื้อทะลุ เจ็บปวดจนนางดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น เป็นเหตุให้คนทั้งจวนจับได้ ภายหลังต่อให้บาดแผลบนมือจะได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว แต่ตัวนางกลับเป็นโรคสติเลอะเลือน บางครั้งก็มีสติ บางครั้งก็เหมือนคนปัญญาอ่อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด”

“ไม่เป็นไร”

เฉินผิงอันใช้มือหนึ่งรับสมุดมา อีกมือหนึ่งแบออก สุยจิ่งเฉิงจึงปล่อยมือออกเบาๆ ปิ่นทองสามชิ้นที่มีประกายแสงหลากสีไหลเวียนวนก็หล่นลงบนฝ่ามือของเฉินผิงอัน ปิ่นทองสั่นเล็กน้อย แต่ฝ่ามือของเฉินผิงอันกลับยังคงปลอดภัยดี เฉินผิงอันพิศดูอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ปิ่นทองถือเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของเจ้าแล้ว บนโลกใบนี้การหลอมวัตถุแบ่งออกเป็นสามระดับ หลอมเล็กจำแลงเป็นภาพมายา พอจะเอาไปเก็บไว้ในช่องโพรงลมปราณของผู้ฝึกตนได้ แต่ใครก็ล้วนสามารถแย่งชิงไปได้ หลังจากผ่านการหลอมกลางจะมีประโยชน์ที่มหัศจรรย์หลากหลายดั่งสมบัติอาคมตระกูลเซียนที่ถูกเปิดใช้ ก็เหมือนกับ…ภูเขาไร้ชื่อไร้นามแห่งนี้ที่มีเทพภูเขาและศาลคอยพิทักษ์ปกป้อง หลอมใหญ่ก็คือวัตถุแห่งชะตาชีวิต ยอดฝีมือนอกโลกที่มอบวาสนาสามอย่างนี้ให้เจ้าคือยอดฝีมือที่แท้จริง ไม่พูดไม่ได้ว่ามรรคกถาลี้ลับมหัศจรรย์ อย่างน้อยก็ต้องเป็นเซียนดินอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งก็ได้ ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดคนผู้นี้มอบโชควาสนาในการเดินขึ้นเขาให้เจ้าแล้ว แต่กลับละเลยไม่สนใจเจ้านานถึงสามสิบสี่ปี…”

สุยจิ่งเฉิงที่เงี่ยหูตั้งใจฟังมาโดยตลอดเอ่ยเบาๆ “แค่สามสิบสองปีเท่านั้น”

คนผู้นั้นยิ้มกล่าว “อยากบอกด้วยไหมว่ากี่เดือน?”

สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้ากระอักกระอ่วน

เฉินผิงอันเอาสมุดเล่มนั้นวางไว้บนหัวเข่า สองนิ้วคีบปิ่นทองชิ้นหนึ่งขึ้นมาเคาะลงบนอีกชิ้นที่อยู่กลางฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง เสียงใสกังวานเหมือนเสียงโลหะ ทุกครั้งที่ตีจะต้องมีรัศมีแสงกระเพื่อมแผ่เป็นชั้นๆ เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ปิ่นทองสามชิ้นนี้คือสมบัติอาคมชุดหนึ่ง มองดูเหมือนไม่แตกต่างกัน แต่ความจริงแล้วกลับไม่ใช่ ชื่อของพวกมันแบ่งออกเป็น ‘หลิงซูชิงเวย’ ‘เหวินชิงเสินเซียว’ และ ‘ไท่เสียอี้กุ่ย’ มีความเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับวิชาอสนีอันเป็นผู้นำของหมื่นคาถา”

สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้าเหลือเชื่อ นางทอดถอนใจเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสช่างมีความรู้กว้างขวาง ไม่มีสิ่งใดที่ไม่รู้จริงๆ!”

นี่คือคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของนาง

ปิ่นทองสามชิ้นที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่แตกต่าง เขากลับสามารถบอกได้แม้กระทั่งชื่อของพวกมัน?

เฉินผิงอันเหลือบตามองนางแวบหนึ่ง “บนปิ่นทองมีตัวอักษรสลักอยู่ ตัวอักษรเล็กมาก เพราะตบะของเจ้าต่ำเกินไป แน่นอนว่าย่อมมองไม่เห็น”

สีหน้าของสุยจิ่งเฉิงแข็งทื่อ

เฉินผิงอันโยนปิ่นทองสามชิ้นคืนให้สุยจิ่งเฉิงเบาๆ แล้วเริ่มเปิดสมุดเล่มเล็กที่มีชื่อประหลาดนั้นออกอ่าน แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้ว อ่านไปได้เพียงสองหน้าก็ปิดมันลงทันที

พอเขาเปิดตำราที่มีชื่อหน้าปกว่า ‘ตำราซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ เล่มนี้ออกอ่าน ก็มีแสงสว่างเปล่งวาบหนึ่งครั้ง ต่อให้จะเป็นสายตาและความจำของเฉินผิงอันก็ยังไม่สามารถจำเนื้อหาคร่าวๆ ของตัวอักษรในหน้าแรกได้ ก็เหมือนกับขบวนรบบนสมรภูมิที่เดิมทีถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ แต่ชั่วพริบตากลับแตกกระจายกลายเป็นยุ่งเหยิงวุ่นวาย ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่า นี่ต้องเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของสุยจิ่งเฉิงอีกชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน มีความเป็นไปได้มากว่าไม่ใช่แค่มีเพียงสุยจิ่งเฉิงที่เปิดออกแล้วมองเห็นตัวอักษรเท่านั้น ต่อให้เฉินผิงอันจะให้นางเป็นคนถือหนังสือแล้วพลิกเปิดแต่ละหน้า เนื้อหาที่ทั้งสองคนเห็นก็ยังคงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

เฉินผิงอันกวักมือเรียกให้สุยจิ่งเฉิงมานั่งข้างกาย ให้นางลองพลิกเปิดดู สุยจิ่งเฉิงทำตามคำสั่งอย่างมึนงง และไม่นานเฉินผิงอันก็บอกให้นางเก็บสมุดเล่มเล็กไป เขากล่าวว่า “วิชาตระกูลเซียนนี้ระดับขั้นไม่ต่ำ เพียงแต่ว่าไม่สมบูรณ์ คนที่มอบหนังสือให้เจ้าในปีนั้นน่าจะตั้งความหวังกับเจ้าไว้สูง แต่ก็ไม่สามารถให้คนที่ถ่ายทอดมรรคาของเจ้าเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเจ้าได้ ดังนั้นพอจากไปทีหนึ่งจึงนานถึงสามสิบกว่าปี”

สุ่ยจิ่งเฉิงมือหนึ่งถือปิ่นทอง อีกมือหนึ่งถือตำรา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในใจปิติยินดีมากยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าตัวเองเป็น ‘สาวงามตระกูลสุย’ อะไรนั่นเสียอีก

เฉินผิงอันเริ่มหลับตาทำสมาธิ มือทั้งสองข้างกุมแส้สายฟ้าสีทองที่ผ่านการหลอมเล็กจนมีลักษณะเป็นไม้ไผ่เขียวเอาไว้หลวมๆ

บน ‘ไผ่เขียว’ ไม่มีตัวอักษรใดๆ มีเพียงรอยสลักเป็นเส้นๆ ที่เรียงติดกันแน่นขนัด

สุยจิ่งเฉิงพลันถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโสอยากจะดูชุดคลุมอาคมที่ชื่อว่าเสื้อไผ่ตัวนั้นด้วยหรือไม่?”

เฉินผิงอันลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าปั้นยาก พอเห็นว่านางมีสีหน้าจริงใจ ท่าทางอยากรู้อยากลองเต็มที่ เฉินผิงอันก็กล่าวอย่างจนใจว่า “ไม่ต้องดูแล้ว ต้องเป็นสมบัติหนักตระกูลเซียนที่ไม่เลวชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน วัตถุอย่างเสื้อคลุมอาคมนั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนล้ำค่ามาโดยตลอด ฝึกตนอยู่บนภูเขา ต้องเจอกับการเข่นฆ่าสังหารมากมาย โดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกตนล้วนจะต้องมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตอยู่สองชิ้น หนึ่งโจมตีหนึ่งป้องกัน ในเมื่อยอดฝีมือคนนั้นมอบปิ่นทองให้เจ้าสามชิ้น ก็มีความเป็นไปได้มากว่าเสื้อคลุมอาคมจะมีระดับขั้นพอๆ กับพวกมัน”

สุยจิ่งเฉิงที่รู้สึกตัวช้าหน้าแดงน้อยๆ แล้วก็ไม่เอ่ยอะไรอีก

เงียบกันไปครู่หนึ่ง คนผู้นั้นไม่ฝึกท่าหมัดอีก แต่กลับเริ่มเพ่งสมาธิเข้าฌานเหมือนผู้ฝึกตน ลมหายใจของเขาทอดยาวเลือนราง สุยจิ่งเฉิงรู้สึกแค่ว่าบนร่างเขาคล้ายจะมีรัศมีแสงเป็นชั้นๆ ไหลเวียนวน หนึ่งสว่างไสวเหมือนแสงไฟ อีกหนึ่งนุ่มนวลอ่อนโยนเหมือนแสงจันทร์ สุยจิ่งเฉิงคิดแค่ว่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่ตรงหน้าผู้นี้เป็นผู้ที่บรรลุมรรคา จึงสามารถสร้างภาพปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่ขึ้นได้ ต่อให้นางจะมีตบะน้อยนิด แต่ก็ยังพอจะมองเบาะแสออกบ้าง ทว่าความจริงนั้นเป็นเพราะสุยจิ่งเชิงคือตัวอ่อนของผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมอย่างแท้จริง นางมองไม่เห็นตัวอักษรบนปิ่นทองก็เพียงแค่เพราะขีดจำกัดทางสายตา ตอนนี้เห็นภาพปรากฎการณ์ประหลาดบนร่างเฉินผิงอันได้ก็เพราะพรสวรรค์ที่โดดเด่นของนาง การรับสัมผัสที่มีต่อปราณวิญญาณในฟ้าดินจึงเหนือกว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างทั่วไปอยู่มาก

สุยจิ่งเฉิงพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นางลังเลอยู่นาน แต่ก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก จึงได้แต่เปิดปากถาม “ผู้อาวุโส การลงมือของเฉาฟู่กับเซียวซูเย่ครั้งนี้เลือกใช้วิธีที่อ้อมค้อมวกวน ลงมืออย่างลับๆ นอกจากไม่อยากดึงดูดความสนใจของราชวงศ์ต้าจ้วนและฮ่องเต้ของแคว้นเล็กบางแห่งทางแถบเหนือแล้ว ยังเป็นเพราะว่าพวกเขาเองก็กริ่งเกรงในตัวของยอดฝีมือที่มอบโชควาสนาให้ข้ามากด้วยใช่หรือไม่? ไม่แน่ว่าการที่อาจารย์ของเฉาฟู่ เซียนดินโอสถทองอะไรนั่น และยังมีบรรพจารย์อาจารย์อาที่เป็นเจ้าตำหนักเกล็ดทองไม่ยินดีจะปรากฎตัว ก็คงเหมือนกับตอนที่มาดักกลางทางแล้วเฉาฟู่ให้จอมยุทธถือดาบคนนั้นเผยตัวก่อน ก็เพื่อหยั่งเชิงว่าผู้อาวุโสซ่อนตัวอยู่ตรงใดหรือไม่ ใช่หลักการเดียวกันหรือเปล่า?”

เฉินผิงอันลืมตาขึ้นอีกครั้ง เพียงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร

สุยจิ่งเฉิงผู้นี้มีจิตใจที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

จากนั้นเขาก็อธิบายอย่างอดทนว่า “ผู้ฝึกตนบนภูเขา หากผูกปมแค้นกันแล้วก็ง่ายที่จะพัวพันยาวนานเป็นร้อยปี นี่ก็คือคำกล่าวที่ว่าบนภูเขามีกฎเกณฑ์ของบนภูเขา ยุทธภพมีกฎเกณฑ์ของยุทธภพ เฉาฟู่และเซียวซูเย่ดูแคลนยุทธภพเกินไป รู้สึกว่าแค่เท้าเหยียบลงด้านล่างภูเขาก็สามารถเหยียบไปถึงก้นบึ้งของยุทธภพได้ พวกคนที่อยู่ในนั้นมีแต่กุ้งหอยปูปลา ทว่าพวกเขากลับไม่เคยรู้ถึงข้อห้ามของการฝึกตนและสถานการณ์อันซับซ้อนของบนภูเขา แต่ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังพวกเขากลับรู้ชัดเจนดี ถึงได้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ตอนนี้พวกเขากริ่งเกรงข้า เฉาฟู่กริ่งเกรงแค่กระบี่บินของข้าเท่านั้น ทว่าคนเบื้องหลังกลับยังมีเรื่องใหญ่ให้ต้องกังวลมากกว่า นั่นก็คือยอดฝีมือที่เดินทางผ่านมาซึ่งเจ้าคิดได้ถึงผู้นั้น หากผู้ถ่ายทอดมรรคาของเจ้าเป็นเซียนดินต่างถิ่นคนหนึ่ง หลังจากพวกเขาชั่งน้ำหนักแล้วก็คงจะไม่ถือสาหากต้องลงมือทำการค้าที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม แต่หากผู้ปกป้องมรรคาที่ผู้ถ่ายทอดมรรคาคนนี้ส่งตัวมาให้เจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่ง คนเบื้องหลังก็ต้องชั่งน้ำหนักความสามารถและรากฐานของตัวเองให้ดีว่าจะสามารถแบกรับการร่วมมือกันแก้แค้นของ ‘ผู้ฝึกตนก่อกำเนิด’ สองคนได้หรือไม่”

ขนตาของสุยจิ่งเฉิงขยับกระพือเบาๆ

คนผู้นั้นพูดได้อย่างตรงไปตรงมาและตื้นเขิน แต่กลับ ‘ซุกซ่อนปราณสังหาร’ เอาไว้ เดิมทีสุยจิ่งเฉิงก็เป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดและความคิดความอ่านรอบคอบอยู่แล้ว ยิ่งนางขบคิดก็ยิ่งได้รับผลเก็บเกี่ยว รู้สึกเพียงว่าม้วนภาพบนภูเขาที่ทัศนียภาพยิ่งใหญ่ตระการตาม้วนนั้น ในที่สุดก็มีมุมหนึ่งที่ถูกแหวกออกแล้ว

สุยจิ่งเฉิงพลันถามคำถามที่ไม่สอดคล้องกับนิสัยที่ผ่านๆ มาของนางอย่างยิ่ง “ผู้อาวุโส สมบัติตระกูลเซียนสามชิ้น ท่านไม่ต้องการสักชิ้นจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้องการทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบ” (มาจากประโยคคนมีความสามารถชื่นชอบทรัพย์สินที่ได้มาโดยชอบธรรม ไม่ต้องการทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบ)

สุยจิ่งเฉิงคลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+