กระบี่จงมา 723.3 ผู้ดื่มทิ้งชื่อไว้ อาจารย์ผู้เฒ่าอยากจะพลิกอ่านตำรา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 723.3 ผู้ดื่มทิ้งชื่อไว้ อาจารย์ผู้เฒ่าอยากจะพลิกอ่านตำรา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นับตั้งแต่บนภูเขาจนถึงล่างภูเขา พูดถึงเรื่องเห็นการเข่นฆ่าดุเดือดรุนแรงเป็นเรื่องปกติ พูดถึงคนที่นึกจะตายก็ตาย พูดถึงคนที่ไม่อาจตายได้ เรื่องพวกนี้ใต้หล้าไพศาลที่เสวยสุขอยู่กับความสงบสุขมานานนับหมื่นปีสามารถเปรียบเทียบกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้หรือ?

พูดถึงเรื่องการระดมกำลังของตลอดทั้งใต้หล้าอย่างยิ่งใหญ่ ใต้หล้าไพศาลของพวกเจ้าที่เหมือนเม็ดทรายกระจัดกระจายถาดแล้วถาดเล่า แต่ละคนต่างก็เล่นดินโคลนของบ้านตัวเองกันไปเถอะ

โจวมี่แผดเสียงหัวเราะดังลั่น จากนั้นก็จัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบ สะบัดชายแขนเสื้อ แล้วก็ถึงขั้นเป็นฝ่ายคลายตราผนึกโชคชะตาฟ้าของทวีปออกด้วยตัวเอง ประสานมือคำนับฟ้าดิน เอ่ยด้วยเสียงดังกังวานว่า “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ บ้านเกิดทำให้บัณฑิตเจี่ยเซิงผิดหวังมานานหลายปีแล้ว และตอนนี้ก็คงต้องปล่อยให้ข้าโจวมี่มหาสมุทรความรู้มาทำให้พวกเจ้าสะอิดสะเอียนกันบ้างแล้ว”

บนทะเลเมฆแห่งหนึ่งเหนือแจกันสมบัติทวีป

สวี่รั่วถาม “เจี่ยเซิงผู้นี้?”

ชุยฉานเอ่ย “แสร้งทำท่าให้ดูไปอย่างนั้นเอง ยังซ่อนทางหนีทีไล่เอาไว้”

โจวมี่หันหน้าไปมองทางแจกันสมบัติทวีป “คนที่รู้ใจข้าในฟ้าดิน มีเพียงซิ่วหู่คนเดียวเท่านั้น”

โจวชิงเกาเพียงถามคำถามหนึ่งที่เป็นกุญแจสำคัญ “ศาลบุ๋น?”

โจวมี่ยิ้มเอ่ย “เหตุใดถึงได้สำคัญขนาดนี้น่ะหรือ? บ้านเกิดของข้าแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่มีเหตุผลอะไรเสียหน่อย”

เขาโจวมี่ค่อนข้างเป็นคนมีเหตุผล ดังนั้นในอดีตจึงเคยพูดคุยกับศาลบุ๋นไปแล้ว เคยพูดเปิดโปงไปนานแล้วว่าเหตุใดศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางถึงต้องกักขังพันธนาการ ทำให้คนเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าเช่นนี้

กลยุทธแห่งความสันติสุขสิบสองข้อของเจี่ยเซิงในปีนั้น! มีข้อใดบ้างที่ไม่ใช่เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องราวที่จะเกิดในวันนี้ให้แทนศาลบุ๋น?! มีข้อใดบ้างที่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เรื่องราวในวันนี้เกิดขึ้น ทำให้สถานการณ์ใหญ่เละเทะวุ่นวายเช่นนี้? ใต้หล้าไพศาลที่แม้แต่วิญญูชนนักปราชญ์ก็ยังไม่อาจเป็นราชครูของราชสำนัก ไม่อาจเป็นจักรพรรดิที่อยู่เบื้องหลังได้ ใต้หล้าไพศาลที่แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่อาจเป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อได้ ก็สมควรแล้วที่ต้องเผชิญความทุกข์ยากในวันนี้ นี่เป็นปัญหาที่พวกเจ้าศาลบุ๋นรนหาที่เอง เมื่อถึงช่วงเวลาที่ต้องการให้มีคนรบตายจริงๆ นักปราชญ์ วิญญูชน อริยะ พวกเจ้าจะเอาอะไรมาใช้อธิบายเหตุผล? หิ้วตำราอริยะปราชญ์สองสามเล่มไปพูดหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ในหน้าตำรากับพวกคนที่กำลังจะตายน่ะหรือ?

ปีนั้นใต้หล้าไพศาลไม่ฟัง เก็บรวบเอาสิบสองกลยุทธแห่งความสันติสุขที่ข้าตรากตรำเรียบเรียงขึ้นมาด้วยความยากลำบากไปวางไว้ในหอสูง

ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็จงฟังให้มาก คิดให้มาก ใคร่ครวญดูให้ดีๆ

น่าเสียดายที่มีชุยฉานเพียงผู้เดียว น่าเสียดายที่มีซิ่วหู่เพียงคนเดียว ไม่เพียงแต่ที่ตัวเองต้องตายเท่านั้น ยังจะต้องทิ้งชื่อเสียงฉาวโฉ่ไว้บนหน้าหนังสือประวัติศาสตร์ไปนานอีกหมื่นปี ต่อให้…ต่อให้ใต้หล้าไพศาลเอาชนะสงครามในครั้งนี้ได้ ก็ยังจะเป็นเช่นนี้ ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้

ศาลบุ๋นของเจ้ามอบเส้นทางให้วิถีทางโลกมากเกินไป มอบอิสระให้คนบนโลกมากเกินไป ทว่ากลับมีแต่จะทำให้ทุกคนรู้สึกไม่มีอิสระ อยู่ไกลเกินกว่าจะพอมากนัก

ดีมาก!

ต้องการอิสระไร้พันธนาการอย่างเต็มที่ ภูเขาทัวเยว่จะมอบให้พวกเจ้า

ต้องการให้ผู้แข็งแกร่งได้รับความเคารพนับถือเป็นเหตุผลเพียงหนึ่งเดียว แต่ไหนแต่ไรมาใต้หล้าเปลี่ยวร้างเน้นย้ำเรื่องนี้เป็นที่สุด ไม่ใช่แค่คำพูดจากปากของข้าโจวมี่เท่านั้น

โจวมี่สาวเท้าเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย ลูกศิษย์ทั้งสามคนก็ปล่อยให้อาจารย์เดินเล่นริมทะเลเพียงลำพังอย่างรู้กาลเทศะ

โซ่วเฉินหยุดเดิน มองไปยังสนามรบทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีป เฟยเฟยได้ส่งเทพแห่งโรคระบาดและกว้อเค่อสองคนไปยังนครมังกรเฒ่าแล้ว ดูท่าผลลัพธ์ที่ได้จะไม่เลว

ส่วนโจวชิงเกากับหลิวป๋ายกลับหมุนตัวเดินกลับไปอย่างเชื่องช้า โจวชิงเกาเงียบงันไปครู่หนึ่งก็พลันเอ่ยว่า “ศิษย์พี่หญิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองชอบอิ่นกวานผู้นั้น?”

หลิวป๋ายปากอ้าตาค้าง จากนั้นก็ด่าขำๆ “อะไรนะ?! มู่จีเจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไร?!”

โจวชิงเกาหยุดเดิน ยิ้มเอ่ย “ใครเป็นบ้า? ไม่มีใครบ้าทั้งนั้นแหละ”

หลิวป๋ายหน้าซีดขาว เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “เป็นไปไม่ได้! ศิษย์น้องเจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหล”

โจวชิงเกาสาวเท้าเดินไปข้างหน้าต่อ “แทนที่จะกังวลว่าจิตมารในอนาคตคือใต้เท้าอิ่นกวาน ไม่สู้เปิดใจให้กว้าง ยอมรับเรื่องที่ตัวเองชอบเขา ข้อแรก เฉินผิงอันต้องตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แน่นอน ต่อให้ถอยไปพูดหนึ่งก้าว เฉินผิงอันไม่ตาย ศิษย์พี่หญิงเจ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ชีวิตนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจแก้แค้นเขาด้วยตัวเองได้ ถ้าอย่างนั้นจิตมารก็จะอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนรอคอยหลิวป๋ายอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเจ้าหลอกตัวเอง จิตมารก็จะยิ่งมีโอกาสให้ฉกฉวย ข้อสอง ไม่เพียงแต่ต้องชอบ ยังจะต้องเปลี่ยนเป็นชอบที่สุดจากใจจริงอีกด้วย วันหน้าในใจหลิวป๋ายก็ควรมีแค่ความคิดเดียว นั่นคือจะต้องถามกระบี่ต่อนครบินทะยานแห่งนั้นด้วยตัวเองให้จงได้ เพื่อให้ตัวการร้ายที่ทำให้เฉินผิงต้องตาย ให้หนิงเหยาผู้นั้นได้รู้เรื่องหนึ่ง เฉินผิงอันชอบหนิงเหยา ไม่เท่ากับที่ชอบหลิวป๋าย”

หลิวป๋ายเหงื่อแตกท่วมศีรษะ หยุดยืนนิ่งไม่ยอมตามศิษย์น้องผู้นั้นไป

โซ่วเฉินใช้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะกับโจวมี่ว่า “อาจารย์รับลูกศิษย์ที่ดีมาคนหนึ่ง”

โจวมี่ยิ้มบางๆ “ศิษย์พี่สู้ศิษย์น้องไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าอย่าให้เกิดขึ้นเร็วเกินไปนัก”

“โจวชิงเกาไม่ค่อยเหมือนกับศิษย์พี่ชายหญิงอย่างพวกเจ้าเท่าไร เขาชื่นชมเลื่อมใสกำแพงเมืองปราณกระบี่จากใจจริง เลื่อมใสอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นอย่างยิ่ง ดังนั้นการปฏิเสธที่ในใจเขามีต่อใต้หล้าไพศาลจึงสำคัญยิ่งกว่าพวกเจ้า ขณะเดียวกันนี้เขาก็มีโอกาสมากยิ่งกว่าที่จะกลายเป็นเฉินผิงอันแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เหมือนก่อน แล้วค่อยเหนือกว่า ส่วนเฝ่ยหรานผู้นั้น ถึงอย่างไรก็มีเส้นทางของตัวเองให้เดินมาตั้งแต่แรกแล้ว ใช้นามแฝงว่าเฉินอิ่น ที่มากกว่านั้นคือพอขึ้นฝั่งที่ใบถงทวีปมาแล้ว อยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงเบื่อหน่ายเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่เฝ่ยหรานไม่จำเป็นต้องกลายเป็นคนอื่นเลยสักนิด”

“วันนี้อาจารย์อารมณ์ดีมาก ก็เลยพูดประโยคเหล่านี้ล่วงหน้ากับเจ้า มีคนรุ่นเยาว์บางส่วนที่ในใจข้าเห็นดีในตัวพวกเขา นอกจากเจ้า โจวชิงเกา เฝ่ยหราน แล้วก็พวกอวี่ซื่อ จวินทาน โต้วโค้วแล้ว ก็ยังมีอีกประมาณสิบกว่าคนกระมัง คนหนุ่มสาวไม่ถึงยี่สิบคนนี้ ข้ารอคอยจะได้เห็นผลสำเร็จบนมหามรรคาในอนาคตของพวกเจ้าอย่างยิ่ง เชื่ออาจารย์เถอะ ความสำเร็จนั้นไม่มีทางต่ำเป็นแน่”

“ข้าจะไปหาเซอเยว่สักหน่อย จะพานางไปดูหอสยบปีศาจและต้นอู๋ถงต้นนั้น โซ่วเฉิน ทางฝั่งนครมังกรเฒ่านี้เจ้ากับศิษย์น้องช่วยกันจับตามองให้มากหน่อย”

โซ่วเฉินรับคำสั่ง

อาจารย์โจวมี่ รอบคอบระมัดระวัง (ภาษาจีนคือโจวเฉวียนเจิ้นมี่) อยู่ร่วมกับคนบนโลก

ศิษย์น้องชิงเกา สายน้ำใสขุนเขาสูง (สุ่ยชิงซานเกา) วางตัวเข้ากับมารยาทสังคม

……

ซิ่วไฉเฒ่าเดินโซเซมานั่งลงบนม่านฟ้าจุดหนึ่งของทักษินาตยทวีป ห่างจากอริยะปราชญ์ที่มีรูปปั้นในศาลบุ๋นของสายหลี่เซิ่งคนหนึ่งไม่ไกลนัก

คนหนึ่งตอนนี้ไม่อยากเปิดปากพูดอะไร อีกคนหนึ่งรอให้อีกฝ่ายเปิดปากพูด เอาเป็นว่าซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ข้างกายต้องเปิดปากพูดแน่นอน จะขวางก็ขวางไม่อยู่

“นับแต่โบราณมาพวกอริยะปราชญ์อย่างพวกเจ้าล้วนต้องเงียบเหงาเสมอนะ ลำบากแล้ว ลำบากแล้ว”

แล้วก็จริงดังคาด ซิ่วไฉเฒ่ากระแอมแรงๆ อยู่หลายที แล้วก็เพราะผสานมรรคากับสามทวีปของใต้หล้า จึงกระอักเลือดสดออกมาจริงๆ ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ถือเสียว่าทำให้ลำคอชุ่มชื้นแล้วกัน พูดถึงความยากลำบากของคนอื่นก่อน จากนั้นค่อยระบายความทุกข์กับอริยะคนนั้น “ข้าเองก็ไม่ง่ายเลยเหมือกัน คุณความชอบในศาลบุ๋นนั้นก็ช่างเถิด ขาดไปแค่เรื่องสองเรื่องนี้ก็ไม่เห็นจะเป็นไร แต่เจ้าเองก็บันทึกคุณความชอบเพิ่มเติมให้ข้าอย่างหนึ่งด้วยล่ะ วันหน้าทะเลาะกันในศาลบุ๋นขึ้นมา เจ้าก็ต้องยืนอยู่ฝั่งข้าแล้วช่วยพูดทวงความเป็นธรรมให้ด้วย”

อริยะปราชญ์ผู้มีรูปปั้นในศาลบุ๋นคนนั้นพยักหน้า “มีอะไรก็พูดอย่างนั้น แต่ละเรื่องว่ากันไปตามเนื้อผ้า อะไรที่ข้าควรพูด จะไม่ขาดเรื่องของเจ้าเหวินเซิ่งไปแม้แต่คำเดียว อะไรที่ไม่ควรพูด เหวินเซิ่งต่อให้เจ้าลงไปชักดิ้นชักงออยู่กับพื้นก็ยังไม่มีประโยชน์”

ซิ่วไฉเฒ่านั่งขัดสมาธิ ทุบอกชกตัวพูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เจ้าทำอะไรไม่ใจกว้างเหมือนอาจารย์ของเจ้าเลยนะ มิน่าเล่าถึงได้ไม่มีคำนำหน้าคำว่าอริยะ เจ้าลองดูข้าสิ ลองเรียนรู้ไปจากข้าสิ…”

อริยะผู้นั้นพูดอย่างตรงไปตรงมา “มองดูอยู่ไม่น้อย แต่เรียนรู้ไม่ได้”

สายของหลี่เซิ่งแห่งศาลบุ๋นกับสายเหวินเซิ่งที่ควันธูปเจือจาง อันที่จริงแต่ไหนแต่ไรมาก็ใกล้ชิดกันมากที่สุด ไม่อย่างนั้นผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้ก็ไม่มีทางคาดหวังให้เหมาเสี่ยวตงที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอด แต่กลับเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของสายเหวินเซิ่งได้อยู่ศึกษาหาความรู้ในสถานศึกษาบ้านตน

และปีนั้นขุนนางผู้ตรวจตราการศึกของกำแพงเมืองปราณกระบี่ วิญญูชนหวังไจ่ที่มีชาติกำเนิดจากสถานศึกษาหลี่จี้ก็คงไม่มีทางพูดประโยคชั่วร้ายแต่แฝงไว้ด้วยเจตนาดีแทนเฉินผิงอันที่ตอนนั้นยังไม่ใช่อิ่นกวาน สุดท้ายยังเป็นฝ่ายขอตราประทับที่แกะสลักคำว่า ‘ดวงตะวันส่องสว่างยามทิวา ดวงจันทราส่องสว่างยามราตรี’ มาจากเฉินผิงอันด้วยตัวเอง ถึงขั้นยังขอผลงานที่ดีที่สุดของเฉินผิงอันอย่างไม่เกรงใจอีกด้วย

ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ รู้สึกเบื่อหน่ายถึงขีดสุด หากไม่เป็นเพราะขี้เกียจจะวิ่งไปไกล ป่านนี้ก็คงเปลี่ยนไปคุยเล่นกับคนที่มีอารมณ์ขันมากกว่านี้แล้ว

ศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง มีเทวรูปอริยะปราชญ์ทั้งสิ้นเจ็ดสิบสองรูป ในบรรดานี้คนที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าของเก้าทวีป ต้องคอย ‘นั่งเฝ้าเทียนอย่างเบื่อหน่าย’ ปีแล้วปีเล่า ต้องคอยจับตามองแสงไฟในโลกมนุษย์ที่สว่างจ้าที่สุดท่ามกลางขุนเขาสายน้ำในหนึ่งทวีป คอยสยบกำราบการกระทำของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานทุกคน ไม่อนุญาตให้พวกเขาออกจากทวีปไปโดยพลการ ยังต้องคอยตรวจสอบร่องรอยและการร่ายใช้วิชาอภินิหารอย่างพร่ำเพื่อของเซียนเหริน หลีกเลี่ยงไม่ให้เดือดร้อนไปถึงอาณาประชาราษฎร์ ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นผู้ที่เฝ้าใบถงทวีปและฝูเหยาทวีปก็มีถึงสามคน แจกันสมบัติทวีปที่เนื่องจากพื้นที่เล็กที่สุดจึงมีแค่สองคน ส่วนทักษินาตยทวีปแห่งนี้ เนื่องจากอยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด ดังนั้นจึงมีมากถึงสี่คน

ในบรรดานั้นที่ฝูเหยาทวีปเคยมีคนหนึ่งที่ค่อนข้างถูกชะตากับซิ่วไฉเฒ่า คือคนที่ค่อนข้างช่างพูดช่างคุย แล้วก็เคยพูดกับซิ่วไฉเฒ่าขำๆ เป็นการส่วนตัวว่า มองเห็นแสงตะเกียงจากการอธิฐานขอพรบนโลกมนุษย์อยู่ไกลๆ ตะเกียงแต่ละดวงพากันลอยขึ้นสูง ขยับมาใกล้ตนมากขึ้นทุกที รู้สึกจริงๆ ว่าทัศนียภาพอันงดงามของโลกมนุษย์งามได้ถึงขั้นนี้ก็ถือว่าเป็นที่สุดแล้ว

แล้วก็เพราะคำพูดประโยคนี้ของอริยะปราชญ์ ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้มีคำประเมินขำๆ ว่า ‘นั่งเทียน’ สามารถเอาคำพูดไม่ดีมาพูดให้ดูดีได้อย่างแท้จริง เดิมทีก็เป็นวิชาเอกเฉพาะตัวของซิ่วไฉเฒ่าอยู่แล้ว

ส่วนเรื่องที่สามารถเอาคำพูดดีๆ มาพูดประชดประชันให้คนฟังรู้สึกแปลกแปร่งพิกลได้นั้น…ผายลมกะมารดาเจ้าเถิด ข้าซิ่วไฉเฒ่าคือบัณฑิตที่มีคุณูปการติดตัวเชียวนะ! จะพูดจาร้ายๆ เป็นได้อย่างไร?!

ซิ่วไฉเฒ่าถาม “มีเหล้าหรือไม่? สุราเลิศรสบนโลกมีให้ดื่มไม่หมดไม่สิ้นอยู่เสมอ เจ้าไปขอยืมจากบ้านคนรวยมาสักสองกา พวกเราสองพี่น้องดื่มกันคนละกา จำไว้ว่าอย่าได้เลือกเหล้าหมักเทพเซียนของจวนเซียนบนภูเขาเด็ดขาดเชียว ข้าไม่ใช่คนที่พิถีพิถันอะไรส่งเดชแบบนั้น”

อริยะส่ายหน้า

ซิ่วไฉเฒ่าใช้หมัดทุบฝ่ามือ “ถ้าอย่างนั้นอีกเดี๋ยวข้าจะไปดื่มเหล้ากับเฉินฉุนอันก็ได้ ไม่ต้องให้ข้ายืมด้วยซ้ำ เฮ้อ เจ้าดูสิพอทำแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าบัณฑิตของสายหลี่เซิ่งใจกว้างสู้สายหย่าเซิ่งไม่ได้แล้ว ต้องโทษข้า ต้องโทษข้า ยากจะปฏิเสธความผิดพลาดได้ ก็แค่ว่าที่นี่ไม่มีเหล้า ไม่อย่างนั้นข้าจะต้องดื่มลงโทษตัวเองสักสามจอก”

อริยะเอ่ย “เหวินเซิ่งบอกว่าใช่ก็ใช่เถอะ”

ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ ทันใด “แค่ยืนตัวตรง ในใจมีปราณเที่ยงธรรมก็เพียงพอแล้ว มิน่าเล่าสามารถเป็นอริยะอยู่เหนือหัวเฉินฉุนอันได้ พวกอริยะปราชญ์ที่มีเทวรูปคนอื่นๆ ไม่มีบารมีอำนาจอย่างเจ้าเลยนะ ความไม่สมบูรณ์เพียงหนึ่งเดียวก็คือขี้เหนียวกับเรื่องเล็กๆ บางอย่างเกินไปหน่อย”

อริยะเอ่ย “หากข้าจำไม่ผิด ปีนั้นใครบางคนเกือบจะเอาถุงผ้าป่านครอบหัวลุกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อแล้วเอาไปโยนไว้ที่สถานศึกษาหลี่จี้ อีกอย่างก่อนจะทำเรื่องแบบนี้ยังพูดโน้มน้าวลูกศิษย์ บอกว่าหากวันใดได้เป็นอริยะที่มีรูปปั้นของสายหลี่เซิ่งจริงๆ วันหน้าจะต้องไปนั่งเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าของทักษินาตยทวีปให้จงได้? จะต้องช่วยระบายโทสะแทนอาจารย์ให้ได้?”

ซิ่วไฉเฒ่าโบกมือปฏิเสธเรื่องนี้เป็นพัลวัน “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เหมาเสี่ยวตงให้ความเคารพนับถือครูบาอาจารย์เป็นที่สุด ไม่มีทางขายอาจารย์ของตัวเองเด็ดขาด”

ไม่รู้ว่านี่เป็นการปฏิเสธหรือยอมรับกันแน่

อริยะเอ่ย “ตอนอยู่กับผู้อำนวยการใหญ่ เหมาเสี่ยวตงดื่มเหล้าจนเมาก็เลยเอามาดในอดีตของอาจารย์ออกมาเล่า”

ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดพยักหน้ารับ เอ่ยชื่นชมว่า “มีเหตุผลๆ ดีมากๆ”

อริยะพลันมองไปยังจุดที่ห่างไปไกลพ้นจากขุนเขาสายน้ำของทวีป ถามว่า “เหวินเซิ่ง จะสู้ชนะได้หรือ? จะมีคนตายน้อยลงได้หรือ?”

ซิ่วไฉเฒ่าคิดแล้วก็ตอบว่า “ในเมื่อทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เจ้าแค่คิดในแง่ดีให้มากก็พอแล้ว”

ศาลบุ๋นยังมีอริยะปราชญ์บางส่วนที่จ่ายค่าตอบแทนด้วยการเผาผลาญตบะบนมหามรรคา เพื่อตามหาพื้นที่ลับที่ปริแตกท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา จากนั้นก็เอามาวางไว้บนอาณาเขตของใต้หล้าไพศาล หรือไม่ก็รอคอยคนมีโชควาสนา รอให้ถือกำเนิดขึ้นตามโชคชะตาอย่างสงบ สุดท้ายล้วนกลายมาเป็นพื้นที่มงคลหรือไม่ก็ถ้ำสวรรค์แห่งใหม่ล่าสุดของใต้หล้าไพศาล แต่ไหนแต่ไรมาสายบุ๋นไม่เคยยึดครอง เคยมีรองเจ้าลัทธิท่านหนึ่งยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ไปช่วงชิงผลประโยชน์จากใต้หล้า จะยังต้องการหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ไปเพื่ออะไร

หมื่นปีที่ผ่านมา ผลเก็บเกี่ยวก้อนหนึ่งที่ใหญ่ที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นการปรากฏออกมาของใต้หล้าแห่งที่ห้า คุณความชอบใหญ่หลวงสองอย่างอย่างการค้นพบร่องรอยและสร้างความมั่นคงให้กับเส้นทาง ล้วนต้องยกให้กับอริยะผู้มีเทวรูปบางท่านที่ทะเลาะกับซิ่วไฉเฒ่ามากที่สุด ในศึกตรีจตุในอดีตก็ทำให้ซิ่วไฉเฒ่าตกอยู่ในสภาวะยากลำบากมากที่สุด รอกระทั่งซิ่วไฉเฒ่าพาป๋ายเหย่ออกมาปรากฏตัวพร้อมกัน อีกฝ่ายที่วางใจได้อย่างแท้จริงถึงได้จากไปในฉับพลัน ได้แต่ยิ้มให้ซิ่วไฉเฒ่าก่อนจากไปเท่านั้น

อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปส่วนที่เหลือ บ้างก็ไปด้วยความรู้สึกเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ บ้างก็ไปด้วยความรู้สึกพิลึกพิลั่น บ้างก็ไปแบบครึ่งๆ กลางๆ ไปยังต่างบ้านต่างเมืองอันห่างไกลที่หากไม่ได้กลับคืนมาก็คือไม่ได้กลับคืนมาจริงๆ อยู่เคียงข้างหลี่เซิ่งนานนับร้อยนับพันนับหมื่นปี

ดังนั้นซิ่วไฉเฒ่าที่แต่ไหนแต่ไรมารักและเอ็นดูลูกศิษย์คนเล็กที่สุด มีเพียงเรื่องเดินทางไกลเรื่องเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยพูดเพื่อลูกศิษย์คนสุดท้ายแม้แต่คำเดียว

เพียงแต่ว่าปีนั้นอยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้า เจอกับภรรยาที่ลูกศิษย์คนสุดท้ายต้องผ่านความยากลำบากแสนเข็ญกว่าจะได้พบเจอกัน หนิงเหยาแม่นางน้อยที่ดีงามยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้น อยู่ดีๆ ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็พลันรู้สึกเจ็บปวดเสียใจ เกือบจะน้ำตาไหลพรากต่อหน้าสหายรักป๋ายเหย่ ต่อหน้าเด็กรุ่นเยาว์คนหนึ่งเสียแล้ว และความขมขื่นจำพวกนี้ก็ไม่อาจพูดบอกใครได้ แล้วก็ยิ่งไม่ใช่แค่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของตนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ต้องเจอกับความยากลำบากเช่นนี้

อริยะเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนอย่างที่หาได้ยาก เขาพูดเรื่องราวเก่าๆ กับซิ่วไฉเฒ่าด้วยใบหน้าประดับยิ้ม อันที่จริงเมื่อเทียบกับคนอย่างพวกเขาแล้ว เวลาเท่านี้ถือว่าห่างกันไม่นานนัก เพียงแค่ว่านึกขึ้นมาในตอนนี้กลับดูเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว “สหายรักของข้าคนนั้น ในอดีตเคยเดินทางผ่านที่นี่ ก่อนจะกลับไปยังใบถงทวีปได้ด่าเหวินเซิ่งด้วยถ้อยคำหยาบๆ ไว้ไม่น้อย”

ซิ่วไฉเฒ่าเกาหัว แล้วพลันยกสองมือกอดอก หลุดหัวเราะพรืด “ถูกเขาด่าแค่ไม่กี่คำ เนื้อหนังไม่ได้หายไปสักหน่อย หากข้าเอาจริงเอาจัง ข้าก็ไม่ใช่เหวินเซิ่งแล้ว ตำราอริยะปราชญ์นับหมื่นจินที่อ่านมาก็นับว่าเสียเปล่าแล้ว!”

อริยะหัวเราะขึ้นมาอีก “คำพูดประโยคสุดท้ายของสหายเก่าก็คือ ‘หัวหมูเย็นๆ ของศาลบุ๋นอร่อยนัก ถึงอย่างไรซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นก็ไม่มีทางได้กินแล้ว วันใดไอ้หมอนี่ทำหน้าหนาไปที่ศาลบุ๋น ก็สามารถขโมยเอาจากเขาไปกินได้สองสามชิ้น’”

ซิ่วไฉเฒ่าตบเข่าฉาด “กินก็กินสิ ใครกลัวกันเล่า? บัณฑิตขโมยกินหัวหมูจะเรียกว่าขโมยได้หรือ?!”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 723.3 ผู้ดื่มทิ้งชื่อไว้ อาจารย์ผู้เฒ่าอยากจะพลิกอ่านตำรา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 723.3 ผู้ดื่มทิ้งชื่อไว้ อาจารย์ผู้เฒ่าอยากจะพลิกอ่านตำรา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นับตั้งแต่บนภูเขาจนถึงล่างภูเขา พูดถึงเรื่องเห็นการเข่นฆ่าดุเดือดรุนแรงเป็นเรื่องปกติ พูดถึงคนที่นึกจะตายก็ตาย พูดถึงคนที่ไม่อาจตายได้ เรื่องพวกนี้ใต้หล้าไพศาลที่เสวยสุขอยู่กับความสงบสุขมานานนับหมื่นปีสามารถเปรียบเทียบกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้หรือ?

พูดถึงเรื่องการระดมกำลังของตลอดทั้งใต้หล้าอย่างยิ่งใหญ่ ใต้หล้าไพศาลของพวกเจ้าที่เหมือนเม็ดทรายกระจัดกระจายถาดแล้วถาดเล่า แต่ละคนต่างก็เล่นดินโคลนของบ้านตัวเองกันไปเถอะ

โจวมี่แผดเสียงหัวเราะดังลั่น จากนั้นก็จัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบ สะบัดชายแขนเสื้อ แล้วก็ถึงขั้นเป็นฝ่ายคลายตราผนึกโชคชะตาฟ้าของทวีปออกด้วยตัวเอง ประสานมือคำนับฟ้าดิน เอ่ยด้วยเสียงดังกังวานว่า “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ บ้านเกิดทำให้บัณฑิตเจี่ยเซิงผิดหวังมานานหลายปีแล้ว และตอนนี้ก็คงต้องปล่อยให้ข้าโจวมี่มหาสมุทรความรู้มาทำให้พวกเจ้าสะอิดสะเอียนกันบ้างแล้ว”

บนทะเลเมฆแห่งหนึ่งเหนือแจกันสมบัติทวีป

สวี่รั่วถาม “เจี่ยเซิงผู้นี้?”

ชุยฉานเอ่ย “แสร้งทำท่าให้ดูไปอย่างนั้นเอง ยังซ่อนทางหนีทีไล่เอาไว้”

โจวมี่หันหน้าไปมองทางแจกันสมบัติทวีป “คนที่รู้ใจข้าในฟ้าดิน มีเพียงซิ่วหู่คนเดียวเท่านั้น”

โจวชิงเกาเพียงถามคำถามหนึ่งที่เป็นกุญแจสำคัญ “ศาลบุ๋น?”

โจวมี่ยิ้มเอ่ย “เหตุใดถึงได้สำคัญขนาดนี้น่ะหรือ? บ้านเกิดของข้าแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่มีเหตุผลอะไรเสียหน่อย”

เขาโจวมี่ค่อนข้างเป็นคนมีเหตุผล ดังนั้นในอดีตจึงเคยพูดคุยกับศาลบุ๋นไปแล้ว เคยพูดเปิดโปงไปนานแล้วว่าเหตุใดศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางถึงต้องกักขังพันธนาการ ทำให้คนเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าเช่นนี้

กลยุทธแห่งความสันติสุขสิบสองข้อของเจี่ยเซิงในปีนั้น! มีข้อใดบ้างที่ไม่ใช่เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องราวที่จะเกิดในวันนี้ให้แทนศาลบุ๋น?! มีข้อใดบ้างที่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เรื่องราวในวันนี้เกิดขึ้น ทำให้สถานการณ์ใหญ่เละเทะวุ่นวายเช่นนี้? ใต้หล้าไพศาลที่แม้แต่วิญญูชนนักปราชญ์ก็ยังไม่อาจเป็นราชครูของราชสำนัก ไม่อาจเป็นจักรพรรดิที่อยู่เบื้องหลังได้ ใต้หล้าไพศาลที่แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่อาจเป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อได้ ก็สมควรแล้วที่ต้องเผชิญความทุกข์ยากในวันนี้ นี่เป็นปัญหาที่พวกเจ้าศาลบุ๋นรนหาที่เอง เมื่อถึงช่วงเวลาที่ต้องการให้มีคนรบตายจริงๆ นักปราชญ์ วิญญูชน อริยะ พวกเจ้าจะเอาอะไรมาใช้อธิบายเหตุผล? หิ้วตำราอริยะปราชญ์สองสามเล่มไปพูดหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ในหน้าตำรากับพวกคนที่กำลังจะตายน่ะหรือ?

ปีนั้นใต้หล้าไพศาลไม่ฟัง เก็บรวบเอาสิบสองกลยุทธแห่งความสันติสุขที่ข้าตรากตรำเรียบเรียงขึ้นมาด้วยความยากลำบากไปวางไว้ในหอสูง

ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็จงฟังให้มาก คิดให้มาก ใคร่ครวญดูให้ดีๆ

น่าเสียดายที่มีชุยฉานเพียงผู้เดียว น่าเสียดายที่มีซิ่วหู่เพียงคนเดียว ไม่เพียงแต่ที่ตัวเองต้องตายเท่านั้น ยังจะต้องทิ้งชื่อเสียงฉาวโฉ่ไว้บนหน้าหนังสือประวัติศาสตร์ไปนานอีกหมื่นปี ต่อให้…ต่อให้ใต้หล้าไพศาลเอาชนะสงครามในครั้งนี้ได้ ก็ยังจะเป็นเช่นนี้ ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้

ศาลบุ๋นของเจ้ามอบเส้นทางให้วิถีทางโลกมากเกินไป มอบอิสระให้คนบนโลกมากเกินไป ทว่ากลับมีแต่จะทำให้ทุกคนรู้สึกไม่มีอิสระ อยู่ไกลเกินกว่าจะพอมากนัก

ดีมาก!

ต้องการอิสระไร้พันธนาการอย่างเต็มที่ ภูเขาทัวเยว่จะมอบให้พวกเจ้า

ต้องการให้ผู้แข็งแกร่งได้รับความเคารพนับถือเป็นเหตุผลเพียงหนึ่งเดียว แต่ไหนแต่ไรมาใต้หล้าเปลี่ยวร้างเน้นย้ำเรื่องนี้เป็นที่สุด ไม่ใช่แค่คำพูดจากปากของข้าโจวมี่เท่านั้น

โจวมี่สาวเท้าเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย ลูกศิษย์ทั้งสามคนก็ปล่อยให้อาจารย์เดินเล่นริมทะเลเพียงลำพังอย่างรู้กาลเทศะ

โซ่วเฉินหยุดเดิน มองไปยังสนามรบทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีป เฟยเฟยได้ส่งเทพแห่งโรคระบาดและกว้อเค่อสองคนไปยังนครมังกรเฒ่าแล้ว ดูท่าผลลัพธ์ที่ได้จะไม่เลว

ส่วนโจวชิงเกากับหลิวป๋ายกลับหมุนตัวเดินกลับไปอย่างเชื่องช้า โจวชิงเกาเงียบงันไปครู่หนึ่งก็พลันเอ่ยว่า “ศิษย์พี่หญิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองชอบอิ่นกวานผู้นั้น?”

หลิวป๋ายปากอ้าตาค้าง จากนั้นก็ด่าขำๆ “อะไรนะ?! มู่จีเจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไร?!”

โจวชิงเกาหยุดเดิน ยิ้มเอ่ย “ใครเป็นบ้า? ไม่มีใครบ้าทั้งนั้นแหละ”

หลิวป๋ายหน้าซีดขาว เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “เป็นไปไม่ได้! ศิษย์น้องเจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหล”

โจวชิงเกาสาวเท้าเดินไปข้างหน้าต่อ “แทนที่จะกังวลว่าจิตมารในอนาคตคือใต้เท้าอิ่นกวาน ไม่สู้เปิดใจให้กว้าง ยอมรับเรื่องที่ตัวเองชอบเขา ข้อแรก เฉินผิงอันต้องตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แน่นอน ต่อให้ถอยไปพูดหนึ่งก้าว เฉินผิงอันไม่ตาย ศิษย์พี่หญิงเจ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ชีวิตนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจแก้แค้นเขาด้วยตัวเองได้ ถ้าอย่างนั้นจิตมารก็จะอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนรอคอยหลิวป๋ายอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเจ้าหลอกตัวเอง จิตมารก็จะยิ่งมีโอกาสให้ฉกฉวย ข้อสอง ไม่เพียงแต่ต้องชอบ ยังจะต้องเปลี่ยนเป็นชอบที่สุดจากใจจริงอีกด้วย วันหน้าในใจหลิวป๋ายก็ควรมีแค่ความคิดเดียว นั่นคือจะต้องถามกระบี่ต่อนครบินทะยานแห่งนั้นด้วยตัวเองให้จงได้ เพื่อให้ตัวการร้ายที่ทำให้เฉินผิงต้องตาย ให้หนิงเหยาผู้นั้นได้รู้เรื่องหนึ่ง เฉินผิงอันชอบหนิงเหยา ไม่เท่ากับที่ชอบหลิวป๋าย”

หลิวป๋ายเหงื่อแตกท่วมศีรษะ หยุดยืนนิ่งไม่ยอมตามศิษย์น้องผู้นั้นไป

โซ่วเฉินใช้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะกับโจวมี่ว่า “อาจารย์รับลูกศิษย์ที่ดีมาคนหนึ่ง”

โจวมี่ยิ้มบางๆ “ศิษย์พี่สู้ศิษย์น้องไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าอย่าให้เกิดขึ้นเร็วเกินไปนัก”

“โจวชิงเกาไม่ค่อยเหมือนกับศิษย์พี่ชายหญิงอย่างพวกเจ้าเท่าไร เขาชื่นชมเลื่อมใสกำแพงเมืองปราณกระบี่จากใจจริง เลื่อมใสอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นอย่างยิ่ง ดังนั้นการปฏิเสธที่ในใจเขามีต่อใต้หล้าไพศาลจึงสำคัญยิ่งกว่าพวกเจ้า ขณะเดียวกันนี้เขาก็มีโอกาสมากยิ่งกว่าที่จะกลายเป็นเฉินผิงอันแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เหมือนก่อน แล้วค่อยเหนือกว่า ส่วนเฝ่ยหรานผู้นั้น ถึงอย่างไรก็มีเส้นทางของตัวเองให้เดินมาตั้งแต่แรกแล้ว ใช้นามแฝงว่าเฉินอิ่น ที่มากกว่านั้นคือพอขึ้นฝั่งที่ใบถงทวีปมาแล้ว อยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงเบื่อหน่ายเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่เฝ่ยหรานไม่จำเป็นต้องกลายเป็นคนอื่นเลยสักนิด”

“วันนี้อาจารย์อารมณ์ดีมาก ก็เลยพูดประโยคเหล่านี้ล่วงหน้ากับเจ้า มีคนรุ่นเยาว์บางส่วนที่ในใจข้าเห็นดีในตัวพวกเขา นอกจากเจ้า โจวชิงเกา เฝ่ยหราน แล้วก็พวกอวี่ซื่อ จวินทาน โต้วโค้วแล้ว ก็ยังมีอีกประมาณสิบกว่าคนกระมัง คนหนุ่มสาวไม่ถึงยี่สิบคนนี้ ข้ารอคอยจะได้เห็นผลสำเร็จบนมหามรรคาในอนาคตของพวกเจ้าอย่างยิ่ง เชื่ออาจารย์เถอะ ความสำเร็จนั้นไม่มีทางต่ำเป็นแน่”

“ข้าจะไปหาเซอเยว่สักหน่อย จะพานางไปดูหอสยบปีศาจและต้นอู๋ถงต้นนั้น โซ่วเฉิน ทางฝั่งนครมังกรเฒ่านี้เจ้ากับศิษย์น้องช่วยกันจับตามองให้มากหน่อย”

โซ่วเฉินรับคำสั่ง

อาจารย์โจวมี่ รอบคอบระมัดระวัง (ภาษาจีนคือโจวเฉวียนเจิ้นมี่) อยู่ร่วมกับคนบนโลก

ศิษย์น้องชิงเกา สายน้ำใสขุนเขาสูง (สุ่ยชิงซานเกา) วางตัวเข้ากับมารยาทสังคม

……

ซิ่วไฉเฒ่าเดินโซเซมานั่งลงบนม่านฟ้าจุดหนึ่งของทักษินาตยทวีป ห่างจากอริยะปราชญ์ที่มีรูปปั้นในศาลบุ๋นของสายหลี่เซิ่งคนหนึ่งไม่ไกลนัก

คนหนึ่งตอนนี้ไม่อยากเปิดปากพูดอะไร อีกคนหนึ่งรอให้อีกฝ่ายเปิดปากพูด เอาเป็นว่าซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ข้างกายต้องเปิดปากพูดแน่นอน จะขวางก็ขวางไม่อยู่

“นับแต่โบราณมาพวกอริยะปราชญ์อย่างพวกเจ้าล้วนต้องเงียบเหงาเสมอนะ ลำบากแล้ว ลำบากแล้ว”

แล้วก็จริงดังคาด ซิ่วไฉเฒ่ากระแอมแรงๆ อยู่หลายที แล้วก็เพราะผสานมรรคากับสามทวีปของใต้หล้า จึงกระอักเลือดสดออกมาจริงๆ ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ถือเสียว่าทำให้ลำคอชุ่มชื้นแล้วกัน พูดถึงความยากลำบากของคนอื่นก่อน จากนั้นค่อยระบายความทุกข์กับอริยะคนนั้น “ข้าเองก็ไม่ง่ายเลยเหมือกัน คุณความชอบในศาลบุ๋นนั้นก็ช่างเถิด ขาดไปแค่เรื่องสองเรื่องนี้ก็ไม่เห็นจะเป็นไร แต่เจ้าเองก็บันทึกคุณความชอบเพิ่มเติมให้ข้าอย่างหนึ่งด้วยล่ะ วันหน้าทะเลาะกันในศาลบุ๋นขึ้นมา เจ้าก็ต้องยืนอยู่ฝั่งข้าแล้วช่วยพูดทวงความเป็นธรรมให้ด้วย”

อริยะปราชญ์ผู้มีรูปปั้นในศาลบุ๋นคนนั้นพยักหน้า “มีอะไรก็พูดอย่างนั้น แต่ละเรื่องว่ากันไปตามเนื้อผ้า อะไรที่ข้าควรพูด จะไม่ขาดเรื่องของเจ้าเหวินเซิ่งไปแม้แต่คำเดียว อะไรที่ไม่ควรพูด เหวินเซิ่งต่อให้เจ้าลงไปชักดิ้นชักงออยู่กับพื้นก็ยังไม่มีประโยชน์”

ซิ่วไฉเฒ่านั่งขัดสมาธิ ทุบอกชกตัวพูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เจ้าทำอะไรไม่ใจกว้างเหมือนอาจารย์ของเจ้าเลยนะ มิน่าเล่าถึงได้ไม่มีคำนำหน้าคำว่าอริยะ เจ้าลองดูข้าสิ ลองเรียนรู้ไปจากข้าสิ…”

อริยะผู้นั้นพูดอย่างตรงไปตรงมา “มองดูอยู่ไม่น้อย แต่เรียนรู้ไม่ได้”

สายของหลี่เซิ่งแห่งศาลบุ๋นกับสายเหวินเซิ่งที่ควันธูปเจือจาง อันที่จริงแต่ไหนแต่ไรมาก็ใกล้ชิดกันมากที่สุด ไม่อย่างนั้นผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้ก็ไม่มีทางคาดหวังให้เหมาเสี่ยวตงที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอด แต่กลับเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของสายเหวินเซิ่งได้อยู่ศึกษาหาความรู้ในสถานศึกษาบ้านตน

และปีนั้นขุนนางผู้ตรวจตราการศึกของกำแพงเมืองปราณกระบี่ วิญญูชนหวังไจ่ที่มีชาติกำเนิดจากสถานศึกษาหลี่จี้ก็คงไม่มีทางพูดประโยคชั่วร้ายแต่แฝงไว้ด้วยเจตนาดีแทนเฉินผิงอันที่ตอนนั้นยังไม่ใช่อิ่นกวาน สุดท้ายยังเป็นฝ่ายขอตราประทับที่แกะสลักคำว่า ‘ดวงตะวันส่องสว่างยามทิวา ดวงจันทราส่องสว่างยามราตรี’ มาจากเฉินผิงอันด้วยตัวเอง ถึงขั้นยังขอผลงานที่ดีที่สุดของเฉินผิงอันอย่างไม่เกรงใจอีกด้วย

ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ รู้สึกเบื่อหน่ายถึงขีดสุด หากไม่เป็นเพราะขี้เกียจจะวิ่งไปไกล ป่านนี้ก็คงเปลี่ยนไปคุยเล่นกับคนที่มีอารมณ์ขันมากกว่านี้แล้ว

ศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง มีเทวรูปอริยะปราชญ์ทั้งสิ้นเจ็ดสิบสองรูป ในบรรดานี้คนที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าของเก้าทวีป ต้องคอย ‘นั่งเฝ้าเทียนอย่างเบื่อหน่าย’ ปีแล้วปีเล่า ต้องคอยจับตามองแสงไฟในโลกมนุษย์ที่สว่างจ้าที่สุดท่ามกลางขุนเขาสายน้ำในหนึ่งทวีป คอยสยบกำราบการกระทำของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานทุกคน ไม่อนุญาตให้พวกเขาออกจากทวีปไปโดยพลการ ยังต้องคอยตรวจสอบร่องรอยและการร่ายใช้วิชาอภินิหารอย่างพร่ำเพื่อของเซียนเหริน หลีกเลี่ยงไม่ให้เดือดร้อนไปถึงอาณาประชาราษฎร์ ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นผู้ที่เฝ้าใบถงทวีปและฝูเหยาทวีปก็มีถึงสามคน แจกันสมบัติทวีปที่เนื่องจากพื้นที่เล็กที่สุดจึงมีแค่สองคน ส่วนทักษินาตยทวีปแห่งนี้ เนื่องจากอยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด ดังนั้นจึงมีมากถึงสี่คน

ในบรรดานั้นที่ฝูเหยาทวีปเคยมีคนหนึ่งที่ค่อนข้างถูกชะตากับซิ่วไฉเฒ่า คือคนที่ค่อนข้างช่างพูดช่างคุย แล้วก็เคยพูดกับซิ่วไฉเฒ่าขำๆ เป็นการส่วนตัวว่า มองเห็นแสงตะเกียงจากการอธิฐานขอพรบนโลกมนุษย์อยู่ไกลๆ ตะเกียงแต่ละดวงพากันลอยขึ้นสูง ขยับมาใกล้ตนมากขึ้นทุกที รู้สึกจริงๆ ว่าทัศนียภาพอันงดงามของโลกมนุษย์งามได้ถึงขั้นนี้ก็ถือว่าเป็นที่สุดแล้ว

แล้วก็เพราะคำพูดประโยคนี้ของอริยะปราชญ์ ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้มีคำประเมินขำๆ ว่า ‘นั่งเทียน’ สามารถเอาคำพูดไม่ดีมาพูดให้ดูดีได้อย่างแท้จริง เดิมทีก็เป็นวิชาเอกเฉพาะตัวของซิ่วไฉเฒ่าอยู่แล้ว

ส่วนเรื่องที่สามารถเอาคำพูดดีๆ มาพูดประชดประชันให้คนฟังรู้สึกแปลกแปร่งพิกลได้นั้น…ผายลมกะมารดาเจ้าเถิด ข้าซิ่วไฉเฒ่าคือบัณฑิตที่มีคุณูปการติดตัวเชียวนะ! จะพูดจาร้ายๆ เป็นได้อย่างไร?!

ซิ่วไฉเฒ่าถาม “มีเหล้าหรือไม่? สุราเลิศรสบนโลกมีให้ดื่มไม่หมดไม่สิ้นอยู่เสมอ เจ้าไปขอยืมจากบ้านคนรวยมาสักสองกา พวกเราสองพี่น้องดื่มกันคนละกา จำไว้ว่าอย่าได้เลือกเหล้าหมักเทพเซียนของจวนเซียนบนภูเขาเด็ดขาดเชียว ข้าไม่ใช่คนที่พิถีพิถันอะไรส่งเดชแบบนั้น”

อริยะส่ายหน้า

ซิ่วไฉเฒ่าใช้หมัดทุบฝ่ามือ “ถ้าอย่างนั้นอีกเดี๋ยวข้าจะไปดื่มเหล้ากับเฉินฉุนอันก็ได้ ไม่ต้องให้ข้ายืมด้วยซ้ำ เฮ้อ เจ้าดูสิพอทำแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าบัณฑิตของสายหลี่เซิ่งใจกว้างสู้สายหย่าเซิ่งไม่ได้แล้ว ต้องโทษข้า ต้องโทษข้า ยากจะปฏิเสธความผิดพลาดได้ ก็แค่ว่าที่นี่ไม่มีเหล้า ไม่อย่างนั้นข้าจะต้องดื่มลงโทษตัวเองสักสามจอก”

อริยะเอ่ย “เหวินเซิ่งบอกว่าใช่ก็ใช่เถอะ”

ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ ทันใด “แค่ยืนตัวตรง ในใจมีปราณเที่ยงธรรมก็เพียงพอแล้ว มิน่าเล่าสามารถเป็นอริยะอยู่เหนือหัวเฉินฉุนอันได้ พวกอริยะปราชญ์ที่มีเทวรูปคนอื่นๆ ไม่มีบารมีอำนาจอย่างเจ้าเลยนะ ความไม่สมบูรณ์เพียงหนึ่งเดียวก็คือขี้เหนียวกับเรื่องเล็กๆ บางอย่างเกินไปหน่อย”

อริยะเอ่ย “หากข้าจำไม่ผิด ปีนั้นใครบางคนเกือบจะเอาถุงผ้าป่านครอบหัวลุกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อแล้วเอาไปโยนไว้ที่สถานศึกษาหลี่จี้ อีกอย่างก่อนจะทำเรื่องแบบนี้ยังพูดโน้มน้าวลูกศิษย์ บอกว่าหากวันใดได้เป็นอริยะที่มีรูปปั้นของสายหลี่เซิ่งจริงๆ วันหน้าจะต้องไปนั่งเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าของทักษินาตยทวีปให้จงได้? จะต้องช่วยระบายโทสะแทนอาจารย์ให้ได้?”

ซิ่วไฉเฒ่าโบกมือปฏิเสธเรื่องนี้เป็นพัลวัน “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เหมาเสี่ยวตงให้ความเคารพนับถือครูบาอาจารย์เป็นที่สุด ไม่มีทางขายอาจารย์ของตัวเองเด็ดขาด”

ไม่รู้ว่านี่เป็นการปฏิเสธหรือยอมรับกันแน่

อริยะเอ่ย “ตอนอยู่กับผู้อำนวยการใหญ่ เหมาเสี่ยวตงดื่มเหล้าจนเมาก็เลยเอามาดในอดีตของอาจารย์ออกมาเล่า”

ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดพยักหน้ารับ เอ่ยชื่นชมว่า “มีเหตุผลๆ ดีมากๆ”

อริยะพลันมองไปยังจุดที่ห่างไปไกลพ้นจากขุนเขาสายน้ำของทวีป ถามว่า “เหวินเซิ่ง จะสู้ชนะได้หรือ? จะมีคนตายน้อยลงได้หรือ?”

ซิ่วไฉเฒ่าคิดแล้วก็ตอบว่า “ในเมื่อทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เจ้าแค่คิดในแง่ดีให้มากก็พอแล้ว”

ศาลบุ๋นยังมีอริยะปราชญ์บางส่วนที่จ่ายค่าตอบแทนด้วยการเผาผลาญตบะบนมหามรรคา เพื่อตามหาพื้นที่ลับที่ปริแตกท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา จากนั้นก็เอามาวางไว้บนอาณาเขตของใต้หล้าไพศาล หรือไม่ก็รอคอยคนมีโชควาสนา รอให้ถือกำเนิดขึ้นตามโชคชะตาอย่างสงบ สุดท้ายล้วนกลายมาเป็นพื้นที่มงคลหรือไม่ก็ถ้ำสวรรค์แห่งใหม่ล่าสุดของใต้หล้าไพศาล แต่ไหนแต่ไรมาสายบุ๋นไม่เคยยึดครอง เคยมีรองเจ้าลัทธิท่านหนึ่งยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ไปช่วงชิงผลประโยชน์จากใต้หล้า จะยังต้องการหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ไปเพื่ออะไร

หมื่นปีที่ผ่านมา ผลเก็บเกี่ยวก้อนหนึ่งที่ใหญ่ที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นการปรากฏออกมาของใต้หล้าแห่งที่ห้า คุณความชอบใหญ่หลวงสองอย่างอย่างการค้นพบร่องรอยและสร้างความมั่นคงให้กับเส้นทาง ล้วนต้องยกให้กับอริยะผู้มีเทวรูปบางท่านที่ทะเลาะกับซิ่วไฉเฒ่ามากที่สุด ในศึกตรีจตุในอดีตก็ทำให้ซิ่วไฉเฒ่าตกอยู่ในสภาวะยากลำบากมากที่สุด รอกระทั่งซิ่วไฉเฒ่าพาป๋ายเหย่ออกมาปรากฏตัวพร้อมกัน อีกฝ่ายที่วางใจได้อย่างแท้จริงถึงได้จากไปในฉับพลัน ได้แต่ยิ้มให้ซิ่วไฉเฒ่าก่อนจากไปเท่านั้น

อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปส่วนที่เหลือ บ้างก็ไปด้วยความรู้สึกเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ บ้างก็ไปด้วยความรู้สึกพิลึกพิลั่น บ้างก็ไปแบบครึ่งๆ กลางๆ ไปยังต่างบ้านต่างเมืองอันห่างไกลที่หากไม่ได้กลับคืนมาก็คือไม่ได้กลับคืนมาจริงๆ อยู่เคียงข้างหลี่เซิ่งนานนับร้อยนับพันนับหมื่นปี

ดังนั้นซิ่วไฉเฒ่าที่แต่ไหนแต่ไรมารักและเอ็นดูลูกศิษย์คนเล็กที่สุด มีเพียงเรื่องเดินทางไกลเรื่องเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยพูดเพื่อลูกศิษย์คนสุดท้ายแม้แต่คำเดียว

เพียงแต่ว่าปีนั้นอยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้า เจอกับภรรยาที่ลูกศิษย์คนสุดท้ายต้องผ่านความยากลำบากแสนเข็ญกว่าจะได้พบเจอกัน หนิงเหยาแม่นางน้อยที่ดีงามยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้น อยู่ดีๆ ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็พลันรู้สึกเจ็บปวดเสียใจ เกือบจะน้ำตาไหลพรากต่อหน้าสหายรักป๋ายเหย่ ต่อหน้าเด็กรุ่นเยาว์คนหนึ่งเสียแล้ว และความขมขื่นจำพวกนี้ก็ไม่อาจพูดบอกใครได้ แล้วก็ยิ่งไม่ใช่แค่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของตนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ต้องเจอกับความยากลำบากเช่นนี้

อริยะเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนอย่างที่หาได้ยาก เขาพูดเรื่องราวเก่าๆ กับซิ่วไฉเฒ่าด้วยใบหน้าประดับยิ้ม อันที่จริงเมื่อเทียบกับคนอย่างพวกเขาแล้ว เวลาเท่านี้ถือว่าห่างกันไม่นานนัก เพียงแค่ว่านึกขึ้นมาในตอนนี้กลับดูเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว “สหายรักของข้าคนนั้น ในอดีตเคยเดินทางผ่านที่นี่ ก่อนจะกลับไปยังใบถงทวีปได้ด่าเหวินเซิ่งด้วยถ้อยคำหยาบๆ ไว้ไม่น้อย”

ซิ่วไฉเฒ่าเกาหัว แล้วพลันยกสองมือกอดอก หลุดหัวเราะพรืด “ถูกเขาด่าแค่ไม่กี่คำ เนื้อหนังไม่ได้หายไปสักหน่อย หากข้าเอาจริงเอาจัง ข้าก็ไม่ใช่เหวินเซิ่งแล้ว ตำราอริยะปราชญ์นับหมื่นจินที่อ่านมาก็นับว่าเสียเปล่าแล้ว!”

อริยะหัวเราะขึ้นมาอีก “คำพูดประโยคสุดท้ายของสหายเก่าก็คือ ‘หัวหมูเย็นๆ ของศาลบุ๋นอร่อยนัก ถึงอย่างไรซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นก็ไม่มีทางได้กินแล้ว วันใดไอ้หมอนี่ทำหน้าหนาไปที่ศาลบุ๋น ก็สามารถขโมยเอาจากเขาไปกินได้สองสามชิ้น’”

ซิ่วไฉเฒ่าตบเข่าฉาด “กินก็กินสิ ใครกลัวกันเล่า? บัณฑิตขโมยกินหัวหมูจะเรียกว่าขโมยได้หรือ?!”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+