กระบี่จงมา 723.4 ผู้ดื่มทิ้งชื่อไว้ อาจารย์ผู้เฒ่าอยากจะพลิกอ่านตำรา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 723.4 ผู้ดื่มทิ้งชื่อไว้ อาจารย์ผู้เฒ่าอยากจะพลิกอ่านตำรา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในอดีตซิ่วไฉเฒ่าตัดใจตีหน้าเคร่ง ดุด่าสั่งสอนลูกศิษย์คนเล็กที่ไม่เคยต้องให้อาจารย์เป็นกังวลเรื่องการศึกษาหาความรู้อย่างที่หาได้ยาก ซิ่วไฉเฒ่าพูดถึงเรื่องในระยะยาวที่จะเกิดหลังจากนั้นกับเด็กหนุ่ม ‘เสี่ยวฉี! วันนี้อาจารย์จะต้องระบายโทสะใส่เจ้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนแล้ว เจ้าจงฟังให้ดี อาจารย์จะเสียงดังหน่อย เจ้าห้ามร้องไห้…ก็ได้ๆ เวลาพูดถึงหลักการเหตุผลไม่ควรใช้เสียงดังจริงๆ …หัวหมูเย็นๆ กินได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ อร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ?! กินได้ย่อมดีที่สุด แต่ถ้ากินไม่ได้ก็ไม่กิน! มีเพียงอย่างเดียวคือไม่ควรเป็นอริยะปราชญ์เพียงเพื่อจะได้กินหัวหมู! เป็นวิญญูชน เป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา ทำไมจะไม่ดีล่ะ ทำไมถึงจะไม่มีปณิธานสูงส่งยาวไกลล่ะ?’

คำกล่าวที่ว่ากินหัวหมูเย็นๆ นี้ ซิ่วไฉเฒ่าไม่ใช่คนคิดค้น แต่กลับเป็นซิ่วไฉเฒ่าที่เป็นคนเผยแพร่ไปอย่างแท้จริง เป็นเหตุให้บางครั้งที่อริยะปราชญ์หลายคนนึกอยากจะพูดเยาะเย้ยตัวเองก็มักจะยินดีพูดถึงประโยคนี้

อริยะเป็นกันได้ง่ายนักหรือ?

ซิ่วไฉเฒ่าเคยบอกว่าระบบสืบทอดของลัทธิขงจื๊อ วิญญูชนตายง่าย อริยะปราชญ์ตายยาก คำพูดของซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยแค่ครึ่งเดียว อริยะตายยากก็สบายใจแล้วหรือ?

เหตุใดอริยะลัทธิขงจื๊อที่นั่งเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้า อริยะลัทธิขงจื๊อผู้มีเทวรูปอยู่ในศาลบุ๋อย่างยิ่งใหญ่ ถึงได้ถือว่าเป็นบัณฑิตที่ความรู้ของแต่ละคนในโลกมนุษย์สูงส่งเทียมฟ้าแล้ว แม้แต่วิญญูชนและนักปราชญ์ก็ยังสามารถร่ายวิชาอภินิหารของลัทธิขงจื๊อได้

ยกตัวอย่างเช่นเจ้าขุนเขา วิญญูชนและอริยะปราชญ์ของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาในฝูเหยาทวีปและใบถงทวีปทั้งหลาย บัณฑิตที่ไม่มีโอกาสจะได้พลิกเปิดตำราอริยะปราชญ์อ่านอีกแล้วพวกนั้น ตอนที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ล้วนสามารถสังหารศัตรูให้ตายก่อนแล้วตัวเองค่อยตาย

ถ้าอย่างนั้นเหตุใดเมื่อเผชิญหน้ากับการบุกเข้ามาอย่างอาจหาญของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปที่นั่งเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าของลัทธิขงจื๊อกลับทำได้เพียงผสานรวมโชคชะตาของบนร่างเข้ากับฟ้าดินของทวีป?

นี่ก็คือเรื่องที่อริยะปราชญ์ผู้น่าสงสารเหล่านั้นสามารถทำได้เท่าที่ความสามารถของตัวเองอำนวยที่สุดแล้ว เจ้าโจรเฒ่าหวานเหยียนเหล่าจิ่งรู้หรือไม่? แน่นอนว่ารู้ สนใจหรือไม่? ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย

พวกคนที่บ้างก็นินทาบ้างก็ด่าทอว่าศาลบุ๋นแผ่นดินกลางไม่เคยสร้างความดีความชอบ ไร้ผลงานใดๆ รู้หรือไม่ว่านักปราชญ์ วิญญูชน อริยะและเจ้าขุนเขา ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสามทวีปต้องมีจุดจบเช่นไร? รู้ แล้วสนใจไหม? กลับไม่แน่เสมอไป ทั้งต้องการให้คนอื่นเป็นวีรบุรุษ แล้วยังพูดเรื่องชนะเป็นราชาแพ้เป็นโจรอีก

ก็เหมือนอย่างที่ ‘สหายเก่า’ ที่อริยะข้างกายพูดถึง ก็คืออริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปที่ปีนั้นอยู่ในใบถงทวีปแล้วปล่อยให้ตู้เม่าไปยังนครมังกรเฒ่า ซิ่วไฉเฒ่าด่าก็ส่วนด่า หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นหย่าเซิ่งออกมาขัดขวางไว้ คงยังลงมือต่อยตีกันด้วย

แต่แล้วอย่างไรเล่า ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางไม่มีหัวหมูเย็นๆ ให้กิน อาศัยช่วงเวลานานหลายปีที่ต้องนั่งพิทักษ์ม่านฟ้าปีแล้วปีเล่า กระนั้นก็ยังตั้งใจขัดเกลาวิชาความรู้ของตัวเองเป็นอย่างดี จนได้กลับไปกินควันธูปของศาลบุ๋นใหม่อีกครั้ง แต่ดันจะย้อนกลับมายังใบถงทวีปอีก ไม่เพียงแต่รนหาที่ตาย เจ้าหมอนั่นยังจะรีบร้อนไปตายอีกด้วย

ร่างจริงของเจ้าหมอนั่นติดตามหลี่เซิ่งคอยเฝ้าพิทักษ์ใต้หล้าไพศาล ท่ามกลางการเข่นฆ่าสังหารกับพวกกากเดนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาล ร่างจริงจึงปริแตกแหลกสลายไปนานแล้ว

สำหรับเรื่องนี้ซิ่วไฉเฒ่าจะยกนิ้วโป้งให้หรือไม่? ต้องยกสิ

ใต้หล้ามืดสลัวสร้างป๋ายอวี้จิงขึ้นมาสยบเทวบุตรมารนอกโลก ใต้หล้าบงกช ดินแดนพุทธะสุขาวดีสยบกำราบผีร้ายวิญญาณอาฆาตที่โง่เขลาดื้อดึง

มองดูเหมือนว่าใต้หล้าไพศาลรับหน้าที่คอยจัดการกับเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่แท้จริงแล้วกลับมากกว่านั้นไปไกล

กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มีฐานะเป็นแดนบินที่สำคัญที่สุดของใต้หล้าไพศาล ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา ผู้ฝึกกระบี่หลายหมื่นคนคอยเฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ คอยงัดข้ออยู่กับเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กำแพงเมืองปราณกระบี่หยัดยืนตั้งตระหง่านมาได้หมื่นปี ศาลบุ๋นก็นอนหลับอย่างไร้กังวลมาตลอดหมื่นปีแล้วใช่หรือไม่? เอาแต่นั่งดูดายชมงิ้วเฉยๆ ใช่หรือไม่? เหตุใดหลี่เซิ่งที่ตำแหน่งเทพอยู่เป็นอันดับที่สองของศาลบุ๋นถึงแทบไม่เคยโผล่หน้ามาในศาลบุ๋นเลย? ต่อให้เป็นศึกตรีจตุก็ยังไม่เคยออกเสียง? ต่อให้เหตุผลจะมีร้อยพันประการ แต่เหตุผลข้อที่ใหญ่ที่สุดก็ยังเป็นเพราะปีนั้นภัยภายนอกใหญ่เกินไป ความกังวลในระยะไกลแท้จริงแล้วกลับไม่เคยอยู่ไกลเลยแม้แต่น้อย

อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าของเก้าทวีปทุกคน ร่างจริงล้วนอยู่นอกฟ้าทั้งสิ้น! ติดตามหลี่เซิ่งไปต่อต้านพวกกากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลทั้งหลายเหล่านั้น! ทิ้งเพียงจิตหยินไว้ที่บ้านเกิด คนที่ร่อแร่ปางตายก็ยังต้องไปเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าของหนึ่งทวีป ทำหน้าที่เป็นเทวดาผายลมสุนัขที่น่าสงสาร!

ไม่อย่างนั้นพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลทั้งหลายที่โผล่ทะลุม่านฟ้ามาเป็นแขกในใต้หล้าไพศาล หมื่นปีที่ผ่านมาล้วนนั่งเหม่อ ทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลให้แก่ใต้หล้าไพศาลของพวกเราอย่างว่าง่ายเชื่อฟังอย่างนั้นหรือ?!

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “ก็เหมือนอย่างที่เจ้าเพิ่งพูดเมื่อครู่นี้ มีอะไรก็พูดอย่างนั้น ว่ากันไปตามเนื้อผ้า สหายคนนั้นของเจ้าอาศัยบทความคุณธรรมสร้างคุณประโยชน์ให้แก่วิถีทางโลกอย่างแท้จริง ถือว่าทำได้ไม่เลวเลยจริงๆ คำพูดประโยคนี้หาใช่พูดแค่ต่อหน้าของเจ้าไม่ ต่อหน้าลูกศิษย์ของข้าก็พูดแบบนี้เหมือนกัน”

อริยะพยักหน้า “เหตุผลนี้ของเหวินเซิ่งถูกใจข้าที่สุด”

ในความเป็นจริงแล้วนอกจากหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์แล้ว คำพูดประโยคหนึ่งของซิ่วไฉเฒ่าที่ทำให้อริยะบนม่านฟ้าจดจำได้ลึกซึ้งที่สุด กลับฟังไม่เหมือนซิ่วไฉเฒ่าอย่างมาก ไม่เหมือนเหวินเซิ่งเลย

คนที่เป็นปฏิปักษ์กับข้า ก็คือคนเลวที่ในท้องมีแต่ความคิดชั่วร้าย? คนที่ช่วงชิงบนมหามรรคากับข้า ก็คือโจรชั่วที่ไม่มีข้อดีใดให้เอาเป็นตัวอย่าง? บัณฑิตที่อยู่สายบุ๋นคนละสายกับข้า ก็คือคนที่อ่านตำรานอกรีตส่งเดช?

ข้าแม่งใหญ่ขนาดไหนกันเชียว?!

ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่าอยู่ในศาลบุ๋น ตะเบ็งเสียงพูดประโยคนี้ มองดูเหมือนว่าพูดถึงตัวเองก่อน แต่แท้จริงแล้วตอนหลังกลับพูดถึงทุกคน

ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้ามาถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อเลื่อมใสในความรู้ของข้า เลื่อมใสการวางตัวเป็นคนของข้าขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มาเป็นลูกศิษย์ของข้าล่ะ?”

อริยะพูดอย่างเฉยเมย “อายุของข้ามากกว่าเหวินเซิ่งหลายร้อยปี แล้วนับประสาอะไรกับที่ความรู้สายหลี่เซิ่งของพวกเราดีหรือไม่ดี เชื่อว่าเหวินเซิ่งน่าจะรู้อยู่แก่ใจ”

ซิ่วไฉเฒ่าถูมือเอ่ย “เจ้านะเจ้า ยังคงหน้าบางเกินไป ข้ากับท่านผู้เฒ่าหลี่เซิ่งของพวกเจ้าสนิทสนมกันจะตายไป หากเจ้าคิดจะเปลี่ยนสำนักย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ไม่แน่อาจยังชมว่าเจ้าแววตาดีอีกด้วย ต่อให้หลี่เซิ่งไม่ชมเจ้า ถึงเวลานั้นอยู่ต่อหน้าหลี่เซิ่งข้าก็ต้องชมเจ้าให้เขาฟังหลายคำว่าได้รับลูกศิษย์ที่ดีที่ไม่มีอคติเรื่องต่างสำนักมาจริงๆ”

อริยะท่านนี้ไม่ได้ต่อคำ

ซิ่วไฉเฒ่าขึ้นชื่อเรื่องชอบปีนไต่ตามไม้ที่ยื่นมาให้ ไม่มีท่อนไม้เขาก็สามารถตัดไม้ไผ่มาเหลาเป็นลำไม้ได้

ต่อให้เขาเผชิญหน้ากับหลี่เซิ่ง หรือแม้กระทั่งปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ตาม

ต่อให้เผชิญหน้ากับนายพรานชาวบ้าน หรือกระทั่งเด็กเล็กในโรงเรียนก็ไม่เว้น

ซิ่วไฉเฒ่ากระแอมเบาๆ อยู่หลายที

ตรงพื้นที่ห่างไกลไร้ผู้คนของขุนเขาสายน้ำสองทวีป โลกมนุษย์ที่ยังไม่ถูกดึงปราณแห่งความเที่ยงธรรมไพศาลไปอย่างสิ้นเชิงพลันมีภาพเหตุการณ์ผิดปกติบังเกิด บ้างก็เป็นเมฆม้วนตัวเมฆคลายออก บ้างก็เป็นภาพน้ำขึ้นน้ำลด

ส่วนทักษินาตยทวีป มีอริยะข้างกายซิ่วไฉเฒ่าคอยเฝ้าพิทักษ์โชคชะตาของขุนเขาสายน้ำ ริ้วคลื่นกระเพื่อมเหล่านั้นเพิ่งผุดขึ้นมาได้เล็กน้อยก็หายวับไป

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “ลำบากแล้ว แขกเช่นข้าคนนี้ไม่ถือว่าเป็นแขกที่ดีสักเท่าไร”

อริยะส่ายหน้า “เอาเป็นว่าข้าเองก็ไม่มีสุรามารับรองเหวินเซิ่งก็แล้วกัน”

ซิ่วไฉเฒ่าถาม “นี่คงจะไม่ได้ไล่กันกระมัง?”

อริยะพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เหวินเซิ่งว่าใช่ก็ใช่เถอะ”

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ได้แต่นั่งรอความตาย รสชาติคงไม่ค่อยดีเท่าไรกระมัง?”

อริยะส่ายหน้า “ถึงอย่างไรก็ดีกว่าเหวินเซิ่งอยู่หน่อย ไม่ต้องคอยแบกรับความเจ็บปวด”

อริยะปราชญ์เพียงแค่ทิ้งจิตหยินไว้เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้า รับผิดชอบสร้างความมั่นคงให้แก่โชคชะตาขุนเขาสายน้ำ นี่เป็นทั้งการกระทำด้วยความจนใจของศาลบุ๋น แล้วก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมซึ่งถือว่าโลกมนุษย์โชคดี เพราะนับแต่โบราณมาเหล่าอริยะปราชญ์ผู้เงียบเหงาที่ไม่เคยมีร่างจริงกลับบริสุทธิ์เข้มข้น สอดคล้องกับวิถีฟ้าได้ดียิ่งกว่า

ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นยืนแล้วจากไปพร้อมเสียงก่นด่า ร่างเซสะดุดทีหนึ่งก่อนจะหายวูบไปอย่างว่องไว

ถึงอย่างไรผู้ฝึกลมปราณในใต้หล้าไพศาลทุกวันนี้ แต่ละคนต่างก็เป็นเดือดเป็นแค้นฮึกเหิม พากันด่าอริยะเหล่านี้ว่าเป็นคนดีเกินเหตุ ดีแต่จะเอาหัวไปมอบให้พวกปีศาจ เขาซิ่วไฉเฒ่าย่อมหนีคำด่าไม่พ้นเช่นกัน

อริยะถอนหายใจหนึ่งที เซียวสวิ้นผู้นั้นออกกระบี่มางัดข้อกับจั่วโย่ว ซิ่วไฉเฒ่าแค่ต้องดื่มสุราไม่กี่อึกเสียเมื่อไหร่ หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานทั่วไป ป่านนี้คงเขมือบกลืนขุนเขาสายน้ำมาชดเชยรากฐานมหามรรคาแล้ว

อริยะท่านนี้ก้มหน้าลงมอง ทางฝั่งของสำนักศึกษาสกุลเฉินผู้รอบรู้ที่เป็นสถานที่รวบรวมผู้ประสบความสำเร็จในใต้หล้า ทะเลาะกันอีกแล้ว

ทุกวันนี้สำนักศึกษาและศูนย์ศึกษาของราชวงศ์ใหญ่แต่ละแห่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หรือแม้กระทั่งเหล่าลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาเอง ไม่เคยขาดแคลนคำพูดผดุงคุณธรรม ทุกคนล้วนพากันเปิดปากพูดทวงความเป็นธรรม ราวกับว่าต่อให้ต้องสละสถานะของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อทิ้งไป ก็ต้องด่าความไร้ประโยชน์ของพวกอริยะปราชญ์ให้จงได้ แต่ละคนเลอะเลือนจนเหมือนไม่เคยจับตำราพิชัยยุทธมาก่อน ถึงขนาดเบิกตามองดูใบถง ฝูเหยาสองทวีปและเกราะทองอีกเกินครึ่งทวีปถูกข้าศึกยึดครองไปเฉยๆ โดยไม่ทำอะไร? ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจำเป็นต้องสร้างแนวเส้นสนามรบเช่นไร? แผ่นดินกลางที่ยิ่งใหญ่ของข้า แม้แต่ใบถงทวีปกับฝูเหยาทวีปที่เป็นสถานที่เล็กๆ สองแห่งก็ยังเฝ้าพิทักษ์ไว้ไม่อยู่? ขอแค่อริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นลงมืออย่างพร้อมเพรียงกัน สิบคนของแผ่นดินกลางคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง หากสิบคนไม่พอก็เพิ่มตัวสำรองอีกสิบคนมาด้วย แล้วค่อยมีขอบเขตหยกดิบ ขอบเขตเซียนเหรินขบวนใหญ่คอยขนาบข้างช่วยเหลือ สัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างพวกนั้น สิบสี่บัลลังก์ไม่สิบสี่บัลลังก์อะไรนั่น ย่อมต้องถูกทุบทำลายจนเละทั้งหมด แค่ดีดนิ้วก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปสิ้น

หญิงสาวสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนหนึ่งยืนรับฟังอยู่ในห้องประชุมของเหล่าลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเงียบๆ มานานแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะพูดถูกหรือไม่ก็ฟังไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เพียงแต่ว่าฟังถ้อยคำที่เต็มไปด้วยเหตุผลเหล่านั้น นางก็นึกอยากจะถามคำถามสักสองสามข้อ ดังนั้นจึงไปหาลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาคนหนึ่งแล้วถามว่า “เจ้าจะไปเชิญให้ขอบเขตบินทะยานและเหล่าเซียนเหรินออกจากภูเขาหรือ?”

“ย่อมต้องมีปรมาจารย์มหาปราชญ์แล้วก็หลี่เซิ่งหย่าเซิ่งช่วยออกหน้าให้น่ะสิ”

“หากพวกเขาไม่ยินดีจะออกจากภูเขาล่ะ? เพราะถึงอย่างไรการทำสงครามก็ต้องมีคนตาย ขอบเขตบินทะยานของใบถงทวีปก็ล้วนตายกันไปหมดแล้ว คนที่รักชีวิตกลัวตาย ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขา ข้าคิดว่าก็คงเหมือนกับพวกเรา เพราะถึงอย่างไรฝึกตนอยู่บนภูเขา เดิมทีก็เพื่อมุ่งตรงไปสู่การพิสูจน์มรรคาเป็นอมตะอยู่แล้ว”

“ข้าไม่จำเป็นต้องพูดถึงปรมาจารย์มหาปราชญ์ด้วยซ้ำ พูดถึงแค่กฎของหลี่เซิ่ง มีหรือที่จะกล้าไม่ฟัง? ใครกล้าไม่ทำตาม!”

“แล้วถ้ามีคนกล้าไม่ฟังล่ะ? จะฆ่าให้ตายสักสองสามคนก่อนเพื่อสำแดงบารมีหรือ? จากนั้นคนที่เหลืออยู่ก็ได้แต่ไปสนามรบด้วยความไม่เต็มใจ? สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เจ้าบอก แต่ละคนพร้อมกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ ล้วนต้องตายอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิด? ตอนนี้ไม่ใช่ว่าประโยคนั้นของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่กำลังเป็นที่นิยมหรอกหรือ? บอกว่าผู้ฝึกตนใหญ่ของใต้หล้าไพศาลเราไม่มีอิสระมากพอ ถึงเวลานั้นก็จะมีอิสระอย่างแท้จริงแล้วหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นหันไปสวามิภักดิ์กับใต้หล้าเปลี่ยวร้างเสียเลย? ถึงเวลานั้นทั้งต้องทำสงครามกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แล้วยังต้องขัดขวางคนฝ่ายตัวเองไม่ให้ทรยศ จะกินแรงไปหน่อยหรือไม่ ประเด็นสำคัญคือยังมีจิตใจคน ยิ่งเป็นคนและเรื่องราวที่อยู่ในตำแหน่งสูง เดินขึ้นสู่ที่สูงมองไปไกล ก็หลักการเดียวกัน ยิ่งทำเรื่องของคนที่เดินขึ้นสู่ที่สูงมองการณ์ไกล ล่างภูเขาก็จะยิ่งมองเห็น มองเห็นอยู่ในสายตา แล้วจิตใจคนของตลอดทั้งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจะทำอย่างไรเล่า?”

“ใจคน? กลียุคเช่นนี้ เรื่องเล็กน้อยอย่างใจคนจะนับเป็นอะไรได้?! คนที่ทำการใหญ่ไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย! ขอแค่ชนะสงครามใหญ่ได้ ใจคนของทั้งบนและล่างภูเขาก็ย่อมเอนเอียงไปได้เอง”

“ต้องใส่ใจสิ เพราะคนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างนับตั้งแต่บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ไปจนถึงมหาสมุทรความรู้โจวมี่ แล้วก็ไปถึงกระโจมเจี่ยจื่อ อันที่จริงล้วนวางแผนคำนวณใจคนอยู่ตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่นโจวมี่ได้บอกอีกไม่ใช่หรือว่า ในอนาคตเมื่อขึ้นฝั่งมาถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว ใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะแค่รื้อถอนศาลบุ๋นและสำนักศึกษาเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ที่เหลือจะไม่ไปแตะต้อง? ราชวงศ์ยังคงมีดังเดิม ตระกูลเซียนยังคงอยู่ ทุกอย่างล้วนเหมือนเดิม อำนาจที่ศาลบุ๋นของพวกเรายกมาให้ ภูเขาทัวเยว่จะไม่ฮุบมาครองเพียงลำพัง ยินดีที่จะลงนามทำสัญญากับเซียนเหรินและบินทะยานของแผ่นดินกลาง ต้องการจะสร้างความเท่าเทียมให้กับสำนักใหญ่ทุกแห่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เงื่อนไขก็คือบรรพจารย์ห้าขอบเขตบนของภูเขาตระกูลเซียนเหล่านี้จะต้องไม่ช่วยเหลือทั้งสองฝ่าย แค่ต้องนั่งดูอยู่เฉยๆ เท่านั้น ส่วนเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ต่ำกว่าห้าขอบเขตบนลงไป ต่อให้จะเคยไปสังหารเผ่าปีศาจบนสนามรบของทวีปต่างๆ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ล้วนไม่คิดบัญชีย้อนหลัง เจ้าลองดูสิ นี่ไม่ใช่จิตใจคนหรอกหรือ?”

“เจ้าพูดเรื่องเหลวไหลไร้สาระพวกนี้ทำไม? คำพูดเลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ ยังจะกล้ามาพูดถึงใจคนบนภูเขาอย่างส่งเดชอีก? เจ้ายังมีความเที่ยงธรรมไพศาลของบัณฑิตอยู่หรือไม่? ได้ยินมาว่าเจ้ายังเป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาซานหยาด้วย คนของสถานที่เล็กๆ หูตาตื้นเขินความรู้คับแคบจริงเสียด้วย คุณธรรมความเมตตาในใจก็ยิ่งแทบไม่มีเหลือ”

“ข้าก็พูดคุยกับเจ้าไปตามสถานการณ์ไม่ใช่หรือ?”

“ไปๆๆ อย่ามาพูดมากให้หนวกหู สตรีคนหนึ่งจะไปเข้าใจอะไรได้”

ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อจากแผ่นดินกลางที่มาขอศึกษาในสำนักศึกษาผู้นี้เดินไปที่อื่น พูดคุยกับคนบนเส้นทางเดียวกันด้วยเสียงอันดังต่อไป ท่าทางฮึกเหิมเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา คอยให้คำชี้แนะในการปกครองบ้านเมือง

หากเปลี่ยนมาเป็นซิ่วหู่ชุยฉาน คาดว่าคงจะจับคนเหล่านี้มาขังไว้ทั้งหมด แล้วใช้เรือข้ามทวีปสองสามลำส่งพวกเขาตรงไปที่สนามรบทางทิศเหนือของเกราะทองทวีปแล้ว ไม่สนหรอกว่าพวกเจ้าจะอยากตายจริงๆ หรือแค่คิดจะสร้างชื่อเสียงจอมปลอม ตายไปก่อนค่อยว่ากัน

หลี่เป่าผิงที่เดินทางไกลจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมายังสกุลเฉินผู้รอบรู้เพียงลำพังถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ นางปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงมา แอบดื่มเหล้าไปหลายฮึก

พูดคุยกับคนนี่ช่างเหนื่อยจริงๆ ไม่ว่าข้าพูดถูกหรือไม่ จะดีจะชั่วพวกเจ้าก็ควรฟังก่อนสิว่าข้ากำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่ ไม่ใช่ว่าข้าพูดถูกสองสามเรื่องแล้วจะหมายความว่าพวกเจ้าต้องผิดเสมอไปสักหน่อย

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 723.4 ผู้ดื่มทิ้งชื่อไว้ อาจารย์ผู้เฒ่าอยากจะพลิกอ่านตำรา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 723.4 ผู้ดื่มทิ้งชื่อไว้ อาจารย์ผู้เฒ่าอยากจะพลิกอ่านตำรา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในอดีตซิ่วไฉเฒ่าตัดใจตีหน้าเคร่ง ดุด่าสั่งสอนลูกศิษย์คนเล็กที่ไม่เคยต้องให้อาจารย์เป็นกังวลเรื่องการศึกษาหาความรู้อย่างที่หาได้ยาก ซิ่วไฉเฒ่าพูดถึงเรื่องในระยะยาวที่จะเกิดหลังจากนั้นกับเด็กหนุ่ม ‘เสี่ยวฉี! วันนี้อาจารย์จะต้องระบายโทสะใส่เจ้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนแล้ว เจ้าจงฟังให้ดี อาจารย์จะเสียงดังหน่อย เจ้าห้ามร้องไห้…ก็ได้ๆ เวลาพูดถึงหลักการเหตุผลไม่ควรใช้เสียงดังจริงๆ …หัวหมูเย็นๆ กินได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ อร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ?! กินได้ย่อมดีที่สุด แต่ถ้ากินไม่ได้ก็ไม่กิน! มีเพียงอย่างเดียวคือไม่ควรเป็นอริยะปราชญ์เพียงเพื่อจะได้กินหัวหมู! เป็นวิญญูชน เป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา ทำไมจะไม่ดีล่ะ ทำไมถึงจะไม่มีปณิธานสูงส่งยาวไกลล่ะ?’

คำกล่าวที่ว่ากินหัวหมูเย็นๆ นี้ ซิ่วไฉเฒ่าไม่ใช่คนคิดค้น แต่กลับเป็นซิ่วไฉเฒ่าที่เป็นคนเผยแพร่ไปอย่างแท้จริง เป็นเหตุให้บางครั้งที่อริยะปราชญ์หลายคนนึกอยากจะพูดเยาะเย้ยตัวเองก็มักจะยินดีพูดถึงประโยคนี้

อริยะเป็นกันได้ง่ายนักหรือ?

ซิ่วไฉเฒ่าเคยบอกว่าระบบสืบทอดของลัทธิขงจื๊อ วิญญูชนตายง่าย อริยะปราชญ์ตายยาก คำพูดของซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยแค่ครึ่งเดียว อริยะตายยากก็สบายใจแล้วหรือ?

เหตุใดอริยะลัทธิขงจื๊อที่นั่งเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้า อริยะลัทธิขงจื๊อผู้มีเทวรูปอยู่ในศาลบุ๋อย่างยิ่งใหญ่ ถึงได้ถือว่าเป็นบัณฑิตที่ความรู้ของแต่ละคนในโลกมนุษย์สูงส่งเทียมฟ้าแล้ว แม้แต่วิญญูชนและนักปราชญ์ก็ยังสามารถร่ายวิชาอภินิหารของลัทธิขงจื๊อได้

ยกตัวอย่างเช่นเจ้าขุนเขา วิญญูชนและอริยะปราชญ์ของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาในฝูเหยาทวีปและใบถงทวีปทั้งหลาย บัณฑิตที่ไม่มีโอกาสจะได้พลิกเปิดตำราอริยะปราชญ์อ่านอีกแล้วพวกนั้น ตอนที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ล้วนสามารถสังหารศัตรูให้ตายก่อนแล้วตัวเองค่อยตาย

ถ้าอย่างนั้นเหตุใดเมื่อเผชิญหน้ากับการบุกเข้ามาอย่างอาจหาญของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปที่นั่งเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าของลัทธิขงจื๊อกลับทำได้เพียงผสานรวมโชคชะตาของบนร่างเข้ากับฟ้าดินของทวีป?

นี่ก็คือเรื่องที่อริยะปราชญ์ผู้น่าสงสารเหล่านั้นสามารถทำได้เท่าที่ความสามารถของตัวเองอำนวยที่สุดแล้ว เจ้าโจรเฒ่าหวานเหยียนเหล่าจิ่งรู้หรือไม่? แน่นอนว่ารู้ สนใจหรือไม่? ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย

พวกคนที่บ้างก็นินทาบ้างก็ด่าทอว่าศาลบุ๋นแผ่นดินกลางไม่เคยสร้างความดีความชอบ ไร้ผลงานใดๆ รู้หรือไม่ว่านักปราชญ์ วิญญูชน อริยะและเจ้าขุนเขา ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสามทวีปต้องมีจุดจบเช่นไร? รู้ แล้วสนใจไหม? กลับไม่แน่เสมอไป ทั้งต้องการให้คนอื่นเป็นวีรบุรุษ แล้วยังพูดเรื่องชนะเป็นราชาแพ้เป็นโจรอีก

ก็เหมือนอย่างที่ ‘สหายเก่า’ ที่อริยะข้างกายพูดถึง ก็คืออริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปที่ปีนั้นอยู่ในใบถงทวีปแล้วปล่อยให้ตู้เม่าไปยังนครมังกรเฒ่า ซิ่วไฉเฒ่าด่าก็ส่วนด่า หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นหย่าเซิ่งออกมาขัดขวางไว้ คงยังลงมือต่อยตีกันด้วย

แต่แล้วอย่างไรเล่า ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางไม่มีหัวหมูเย็นๆ ให้กิน อาศัยช่วงเวลานานหลายปีที่ต้องนั่งพิทักษ์ม่านฟ้าปีแล้วปีเล่า กระนั้นก็ยังตั้งใจขัดเกลาวิชาความรู้ของตัวเองเป็นอย่างดี จนได้กลับไปกินควันธูปของศาลบุ๋นใหม่อีกครั้ง แต่ดันจะย้อนกลับมายังใบถงทวีปอีก ไม่เพียงแต่รนหาที่ตาย เจ้าหมอนั่นยังจะรีบร้อนไปตายอีกด้วย

ร่างจริงของเจ้าหมอนั่นติดตามหลี่เซิ่งคอยเฝ้าพิทักษ์ใต้หล้าไพศาล ท่ามกลางการเข่นฆ่าสังหารกับพวกกากเดนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาล ร่างจริงจึงปริแตกแหลกสลายไปนานแล้ว

สำหรับเรื่องนี้ซิ่วไฉเฒ่าจะยกนิ้วโป้งให้หรือไม่? ต้องยกสิ

ใต้หล้ามืดสลัวสร้างป๋ายอวี้จิงขึ้นมาสยบเทวบุตรมารนอกโลก ใต้หล้าบงกช ดินแดนพุทธะสุขาวดีสยบกำราบผีร้ายวิญญาณอาฆาตที่โง่เขลาดื้อดึง

มองดูเหมือนว่าใต้หล้าไพศาลรับหน้าที่คอยจัดการกับเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่แท้จริงแล้วกลับมากกว่านั้นไปไกล

กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มีฐานะเป็นแดนบินที่สำคัญที่สุดของใต้หล้าไพศาล ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา ผู้ฝึกกระบี่หลายหมื่นคนคอยเฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ คอยงัดข้ออยู่กับเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กำแพงเมืองปราณกระบี่หยัดยืนตั้งตระหง่านมาได้หมื่นปี ศาลบุ๋นก็นอนหลับอย่างไร้กังวลมาตลอดหมื่นปีแล้วใช่หรือไม่? เอาแต่นั่งดูดายชมงิ้วเฉยๆ ใช่หรือไม่? เหตุใดหลี่เซิ่งที่ตำแหน่งเทพอยู่เป็นอันดับที่สองของศาลบุ๋นถึงแทบไม่เคยโผล่หน้ามาในศาลบุ๋นเลย? ต่อให้เป็นศึกตรีจตุก็ยังไม่เคยออกเสียง? ต่อให้เหตุผลจะมีร้อยพันประการ แต่เหตุผลข้อที่ใหญ่ที่สุดก็ยังเป็นเพราะปีนั้นภัยภายนอกใหญ่เกินไป ความกังวลในระยะไกลแท้จริงแล้วกลับไม่เคยอยู่ไกลเลยแม้แต่น้อย

อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าของเก้าทวีปทุกคน ร่างจริงล้วนอยู่นอกฟ้าทั้งสิ้น! ติดตามหลี่เซิ่งไปต่อต้านพวกกากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลทั้งหลายเหล่านั้น! ทิ้งเพียงจิตหยินไว้ที่บ้านเกิด คนที่ร่อแร่ปางตายก็ยังต้องไปเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าของหนึ่งทวีป ทำหน้าที่เป็นเทวดาผายลมสุนัขที่น่าสงสาร!

ไม่อย่างนั้นพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลทั้งหลายที่โผล่ทะลุม่านฟ้ามาเป็นแขกในใต้หล้าไพศาล หมื่นปีที่ผ่านมาล้วนนั่งเหม่อ ทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลให้แก่ใต้หล้าไพศาลของพวกเราอย่างว่าง่ายเชื่อฟังอย่างนั้นหรือ?!

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “ก็เหมือนอย่างที่เจ้าเพิ่งพูดเมื่อครู่นี้ มีอะไรก็พูดอย่างนั้น ว่ากันไปตามเนื้อผ้า สหายคนนั้นของเจ้าอาศัยบทความคุณธรรมสร้างคุณประโยชน์ให้แก่วิถีทางโลกอย่างแท้จริง ถือว่าทำได้ไม่เลวเลยจริงๆ คำพูดประโยคนี้หาใช่พูดแค่ต่อหน้าของเจ้าไม่ ต่อหน้าลูกศิษย์ของข้าก็พูดแบบนี้เหมือนกัน”

อริยะพยักหน้า “เหตุผลนี้ของเหวินเซิ่งถูกใจข้าที่สุด”

ในความเป็นจริงแล้วนอกจากหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์แล้ว คำพูดประโยคหนึ่งของซิ่วไฉเฒ่าที่ทำให้อริยะบนม่านฟ้าจดจำได้ลึกซึ้งที่สุด กลับฟังไม่เหมือนซิ่วไฉเฒ่าอย่างมาก ไม่เหมือนเหวินเซิ่งเลย

คนที่เป็นปฏิปักษ์กับข้า ก็คือคนเลวที่ในท้องมีแต่ความคิดชั่วร้าย? คนที่ช่วงชิงบนมหามรรคากับข้า ก็คือโจรชั่วที่ไม่มีข้อดีใดให้เอาเป็นตัวอย่าง? บัณฑิตที่อยู่สายบุ๋นคนละสายกับข้า ก็คือคนที่อ่านตำรานอกรีตส่งเดช?

ข้าแม่งใหญ่ขนาดไหนกันเชียว?!

ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่าอยู่ในศาลบุ๋น ตะเบ็งเสียงพูดประโยคนี้ มองดูเหมือนว่าพูดถึงตัวเองก่อน แต่แท้จริงแล้วตอนหลังกลับพูดถึงทุกคน

ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้ามาถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อเลื่อมใสในความรู้ของข้า เลื่อมใสการวางตัวเป็นคนของข้าขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มาเป็นลูกศิษย์ของข้าล่ะ?”

อริยะพูดอย่างเฉยเมย “อายุของข้ามากกว่าเหวินเซิ่งหลายร้อยปี แล้วนับประสาอะไรกับที่ความรู้สายหลี่เซิ่งของพวกเราดีหรือไม่ดี เชื่อว่าเหวินเซิ่งน่าจะรู้อยู่แก่ใจ”

ซิ่วไฉเฒ่าถูมือเอ่ย “เจ้านะเจ้า ยังคงหน้าบางเกินไป ข้ากับท่านผู้เฒ่าหลี่เซิ่งของพวกเจ้าสนิทสนมกันจะตายไป หากเจ้าคิดจะเปลี่ยนสำนักย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ไม่แน่อาจยังชมว่าเจ้าแววตาดีอีกด้วย ต่อให้หลี่เซิ่งไม่ชมเจ้า ถึงเวลานั้นอยู่ต่อหน้าหลี่เซิ่งข้าก็ต้องชมเจ้าให้เขาฟังหลายคำว่าได้รับลูกศิษย์ที่ดีที่ไม่มีอคติเรื่องต่างสำนักมาจริงๆ”

อริยะท่านนี้ไม่ได้ต่อคำ

ซิ่วไฉเฒ่าขึ้นชื่อเรื่องชอบปีนไต่ตามไม้ที่ยื่นมาให้ ไม่มีท่อนไม้เขาก็สามารถตัดไม้ไผ่มาเหลาเป็นลำไม้ได้

ต่อให้เขาเผชิญหน้ากับหลี่เซิ่ง หรือแม้กระทั่งปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ตาม

ต่อให้เผชิญหน้ากับนายพรานชาวบ้าน หรือกระทั่งเด็กเล็กในโรงเรียนก็ไม่เว้น

ซิ่วไฉเฒ่ากระแอมเบาๆ อยู่หลายที

ตรงพื้นที่ห่างไกลไร้ผู้คนของขุนเขาสายน้ำสองทวีป โลกมนุษย์ที่ยังไม่ถูกดึงปราณแห่งความเที่ยงธรรมไพศาลไปอย่างสิ้นเชิงพลันมีภาพเหตุการณ์ผิดปกติบังเกิด บ้างก็เป็นเมฆม้วนตัวเมฆคลายออก บ้างก็เป็นภาพน้ำขึ้นน้ำลด

ส่วนทักษินาตยทวีป มีอริยะข้างกายซิ่วไฉเฒ่าคอยเฝ้าพิทักษ์โชคชะตาของขุนเขาสายน้ำ ริ้วคลื่นกระเพื่อมเหล่านั้นเพิ่งผุดขึ้นมาได้เล็กน้อยก็หายวับไป

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “ลำบากแล้ว แขกเช่นข้าคนนี้ไม่ถือว่าเป็นแขกที่ดีสักเท่าไร”

อริยะส่ายหน้า “เอาเป็นว่าข้าเองก็ไม่มีสุรามารับรองเหวินเซิ่งก็แล้วกัน”

ซิ่วไฉเฒ่าถาม “นี่คงจะไม่ได้ไล่กันกระมัง?”

อริยะพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เหวินเซิ่งว่าใช่ก็ใช่เถอะ”

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ได้แต่นั่งรอความตาย รสชาติคงไม่ค่อยดีเท่าไรกระมัง?”

อริยะส่ายหน้า “ถึงอย่างไรก็ดีกว่าเหวินเซิ่งอยู่หน่อย ไม่ต้องคอยแบกรับความเจ็บปวด”

อริยะปราชญ์เพียงแค่ทิ้งจิตหยินไว้เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้า รับผิดชอบสร้างความมั่นคงให้แก่โชคชะตาขุนเขาสายน้ำ นี่เป็นทั้งการกระทำด้วยความจนใจของศาลบุ๋น แล้วก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมซึ่งถือว่าโลกมนุษย์โชคดี เพราะนับแต่โบราณมาเหล่าอริยะปราชญ์ผู้เงียบเหงาที่ไม่เคยมีร่างจริงกลับบริสุทธิ์เข้มข้น สอดคล้องกับวิถีฟ้าได้ดียิ่งกว่า

ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นยืนแล้วจากไปพร้อมเสียงก่นด่า ร่างเซสะดุดทีหนึ่งก่อนจะหายวูบไปอย่างว่องไว

ถึงอย่างไรผู้ฝึกลมปราณในใต้หล้าไพศาลทุกวันนี้ แต่ละคนต่างก็เป็นเดือดเป็นแค้นฮึกเหิม พากันด่าอริยะเหล่านี้ว่าเป็นคนดีเกินเหตุ ดีแต่จะเอาหัวไปมอบให้พวกปีศาจ เขาซิ่วไฉเฒ่าย่อมหนีคำด่าไม่พ้นเช่นกัน

อริยะถอนหายใจหนึ่งที เซียวสวิ้นผู้นั้นออกกระบี่มางัดข้อกับจั่วโย่ว ซิ่วไฉเฒ่าแค่ต้องดื่มสุราไม่กี่อึกเสียเมื่อไหร่ หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานทั่วไป ป่านนี้คงเขมือบกลืนขุนเขาสายน้ำมาชดเชยรากฐานมหามรรคาแล้ว

อริยะท่านนี้ก้มหน้าลงมอง ทางฝั่งของสำนักศึกษาสกุลเฉินผู้รอบรู้ที่เป็นสถานที่รวบรวมผู้ประสบความสำเร็จในใต้หล้า ทะเลาะกันอีกแล้ว

ทุกวันนี้สำนักศึกษาและศูนย์ศึกษาของราชวงศ์ใหญ่แต่ละแห่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หรือแม้กระทั่งเหล่าลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาเอง ไม่เคยขาดแคลนคำพูดผดุงคุณธรรม ทุกคนล้วนพากันเปิดปากพูดทวงความเป็นธรรม ราวกับว่าต่อให้ต้องสละสถานะของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อทิ้งไป ก็ต้องด่าความไร้ประโยชน์ของพวกอริยะปราชญ์ให้จงได้ แต่ละคนเลอะเลือนจนเหมือนไม่เคยจับตำราพิชัยยุทธมาก่อน ถึงขนาดเบิกตามองดูใบถง ฝูเหยาสองทวีปและเกราะทองอีกเกินครึ่งทวีปถูกข้าศึกยึดครองไปเฉยๆ โดยไม่ทำอะไร? ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจำเป็นต้องสร้างแนวเส้นสนามรบเช่นไร? แผ่นดินกลางที่ยิ่งใหญ่ของข้า แม้แต่ใบถงทวีปกับฝูเหยาทวีปที่เป็นสถานที่เล็กๆ สองแห่งก็ยังเฝ้าพิทักษ์ไว้ไม่อยู่? ขอแค่อริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นลงมืออย่างพร้อมเพรียงกัน สิบคนของแผ่นดินกลางคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง หากสิบคนไม่พอก็เพิ่มตัวสำรองอีกสิบคนมาด้วย แล้วค่อยมีขอบเขตหยกดิบ ขอบเขตเซียนเหรินขบวนใหญ่คอยขนาบข้างช่วยเหลือ สัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างพวกนั้น สิบสี่บัลลังก์ไม่สิบสี่บัลลังก์อะไรนั่น ย่อมต้องถูกทุบทำลายจนเละทั้งหมด แค่ดีดนิ้วก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปสิ้น

หญิงสาวสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนหนึ่งยืนรับฟังอยู่ในห้องประชุมของเหล่าลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเงียบๆ มานานแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะพูดถูกหรือไม่ก็ฟังไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เพียงแต่ว่าฟังถ้อยคำที่เต็มไปด้วยเหตุผลเหล่านั้น นางก็นึกอยากจะถามคำถามสักสองสามข้อ ดังนั้นจึงไปหาลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาคนหนึ่งแล้วถามว่า “เจ้าจะไปเชิญให้ขอบเขตบินทะยานและเหล่าเซียนเหรินออกจากภูเขาหรือ?”

“ย่อมต้องมีปรมาจารย์มหาปราชญ์แล้วก็หลี่เซิ่งหย่าเซิ่งช่วยออกหน้าให้น่ะสิ”

“หากพวกเขาไม่ยินดีจะออกจากภูเขาล่ะ? เพราะถึงอย่างไรการทำสงครามก็ต้องมีคนตาย ขอบเขตบินทะยานของใบถงทวีปก็ล้วนตายกันไปหมดแล้ว คนที่รักชีวิตกลัวตาย ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขา ข้าคิดว่าก็คงเหมือนกับพวกเรา เพราะถึงอย่างไรฝึกตนอยู่บนภูเขา เดิมทีก็เพื่อมุ่งตรงไปสู่การพิสูจน์มรรคาเป็นอมตะอยู่แล้ว”

“ข้าไม่จำเป็นต้องพูดถึงปรมาจารย์มหาปราชญ์ด้วยซ้ำ พูดถึงแค่กฎของหลี่เซิ่ง มีหรือที่จะกล้าไม่ฟัง? ใครกล้าไม่ทำตาม!”

“แล้วถ้ามีคนกล้าไม่ฟังล่ะ? จะฆ่าให้ตายสักสองสามคนก่อนเพื่อสำแดงบารมีหรือ? จากนั้นคนที่เหลืออยู่ก็ได้แต่ไปสนามรบด้วยความไม่เต็มใจ? สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เจ้าบอก แต่ละคนพร้อมกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ ล้วนต้องตายอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิด? ตอนนี้ไม่ใช่ว่าประโยคนั้นของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่กำลังเป็นที่นิยมหรอกหรือ? บอกว่าผู้ฝึกตนใหญ่ของใต้หล้าไพศาลเราไม่มีอิสระมากพอ ถึงเวลานั้นก็จะมีอิสระอย่างแท้จริงแล้วหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นหันไปสวามิภักดิ์กับใต้หล้าเปลี่ยวร้างเสียเลย? ถึงเวลานั้นทั้งต้องทำสงครามกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แล้วยังต้องขัดขวางคนฝ่ายตัวเองไม่ให้ทรยศ จะกินแรงไปหน่อยหรือไม่ ประเด็นสำคัญคือยังมีจิตใจคน ยิ่งเป็นคนและเรื่องราวที่อยู่ในตำแหน่งสูง เดินขึ้นสู่ที่สูงมองไปไกล ก็หลักการเดียวกัน ยิ่งทำเรื่องของคนที่เดินขึ้นสู่ที่สูงมองการณ์ไกล ล่างภูเขาก็จะยิ่งมองเห็น มองเห็นอยู่ในสายตา แล้วจิตใจคนของตลอดทั้งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจะทำอย่างไรเล่า?”

“ใจคน? กลียุคเช่นนี้ เรื่องเล็กน้อยอย่างใจคนจะนับเป็นอะไรได้?! คนที่ทำการใหญ่ไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย! ขอแค่ชนะสงครามใหญ่ได้ ใจคนของทั้งบนและล่างภูเขาก็ย่อมเอนเอียงไปได้เอง”

“ต้องใส่ใจสิ เพราะคนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างนับตั้งแต่บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ไปจนถึงมหาสมุทรความรู้โจวมี่ แล้วก็ไปถึงกระโจมเจี่ยจื่อ อันที่จริงล้วนวางแผนคำนวณใจคนอยู่ตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่นโจวมี่ได้บอกอีกไม่ใช่หรือว่า ในอนาคตเมื่อขึ้นฝั่งมาถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว ใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะแค่รื้อถอนศาลบุ๋นและสำนักศึกษาเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ที่เหลือจะไม่ไปแตะต้อง? ราชวงศ์ยังคงมีดังเดิม ตระกูลเซียนยังคงอยู่ ทุกอย่างล้วนเหมือนเดิม อำนาจที่ศาลบุ๋นของพวกเรายกมาให้ ภูเขาทัวเยว่จะไม่ฮุบมาครองเพียงลำพัง ยินดีที่จะลงนามทำสัญญากับเซียนเหรินและบินทะยานของแผ่นดินกลาง ต้องการจะสร้างความเท่าเทียมให้กับสำนักใหญ่ทุกแห่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เงื่อนไขก็คือบรรพจารย์ห้าขอบเขตบนของภูเขาตระกูลเซียนเหล่านี้จะต้องไม่ช่วยเหลือทั้งสองฝ่าย แค่ต้องนั่งดูอยู่เฉยๆ เท่านั้น ส่วนเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ต่ำกว่าห้าขอบเขตบนลงไป ต่อให้จะเคยไปสังหารเผ่าปีศาจบนสนามรบของทวีปต่างๆ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ล้วนไม่คิดบัญชีย้อนหลัง เจ้าลองดูสิ นี่ไม่ใช่จิตใจคนหรอกหรือ?”

“เจ้าพูดเรื่องเหลวไหลไร้สาระพวกนี้ทำไม? คำพูดเลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ ยังจะกล้ามาพูดถึงใจคนบนภูเขาอย่างส่งเดชอีก? เจ้ายังมีความเที่ยงธรรมไพศาลของบัณฑิตอยู่หรือไม่? ได้ยินมาว่าเจ้ายังเป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาซานหยาด้วย คนของสถานที่เล็กๆ หูตาตื้นเขินความรู้คับแคบจริงเสียด้วย คุณธรรมความเมตตาในใจก็ยิ่งแทบไม่มีเหลือ”

“ข้าก็พูดคุยกับเจ้าไปตามสถานการณ์ไม่ใช่หรือ?”

“ไปๆๆ อย่ามาพูดมากให้หนวกหู สตรีคนหนึ่งจะไปเข้าใจอะไรได้”

ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อจากแผ่นดินกลางที่มาขอศึกษาในสำนักศึกษาผู้นี้เดินไปที่อื่น พูดคุยกับคนบนเส้นทางเดียวกันด้วยเสียงอันดังต่อไป ท่าทางฮึกเหิมเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา คอยให้คำชี้แนะในการปกครองบ้านเมือง

หากเปลี่ยนมาเป็นซิ่วหู่ชุยฉาน คาดว่าคงจะจับคนเหล่านี้มาขังไว้ทั้งหมด แล้วใช้เรือข้ามทวีปสองสามลำส่งพวกเขาตรงไปที่สนามรบทางทิศเหนือของเกราะทองทวีปแล้ว ไม่สนหรอกว่าพวกเจ้าจะอยากตายจริงๆ หรือแค่คิดจะสร้างชื่อเสียงจอมปลอม ตายไปก่อนค่อยว่ากัน

หลี่เป่าผิงที่เดินทางไกลจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมายังสกุลเฉินผู้รอบรู้เพียงลำพังถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ นางปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงมา แอบดื่มเหล้าไปหลายฮึก

พูดคุยกับคนนี่ช่างเหนื่อยจริงๆ ไม่ว่าข้าพูดถูกหรือไม่ จะดีจะชั่วพวกเจ้าก็ควรฟังก่อนสิว่าข้ากำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่ ไม่ใช่ว่าข้าพูดถูกสองสามเรื่องแล้วจะหมายความว่าพวกเจ้าต้องผิดเสมอไปสักหน่อย

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+