กระบี่จงมา 755.4 เลือกที่ตั้ง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 755.4 เลือกที่ตั้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“นี่น่าจะเป็นความจริงแล้ว”

เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ “หากไม่ได้ควบรวมภูเขาไท่ผิงและยอดเขาเทียนแจว๋เข้าไปด้วย เปลี่ยนเป็นภูเขาสองลูกอื่นเข้ามาแทนที่ ก็ได้แต่ถือว่าเป็นเจ็ดสำแดงสองอำพรางที่ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ต่อให้รวบรวมสถานการณ์ใหญ่กฎฟ้าปรากฎการณ์ดินของเป่ยโต่วเก้าดวงดาวได้ครบถ้วน ก็ยังคงขาดอยู่อีกเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรอารามจินติ่งก็มีแค่แห่งเดียว รากฐานยังไม่ถือว่าแน่นหนามากพอ”

“แค่นี้ก็น่าตะลึงพรึงเพริดมากแล้ว ตู้หันหลิงเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่ง อารามจินติ่งคือตัวสำรองสำนัก ก็กล้าคิดกล้าทำถึงเพียงนี้แล้ว ร้ายกาจ ร้ายกาจ”

เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “ตู้หันหลิงไม่เสียแรงที่เป็นราชันบนภูเขาของใบถงทวีปพวกเจ้า เป็นทั้งผู้พิชิตในกลียุค แล้วยังรักษาตัวรอดปลอดภัย ทั้งยังเป็นวีรบุรุษผู้กล้าที่จะปกครองโลก สามารถลุกผงาดขึ้นมาตามสถานการณ์ได้ นักพรตเป่าเจินและเส้ายวนหรานช่างโชคดียิ่งนักที่ได้มาเจอกับเจ้าอารามที่เป็นเช่นนี้”

เจียงซ่างเจินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ข้ากับเจ้าขุนเขา ความคิดเห็นของวีรบุรุษค่อนข้างจะเหมือนกัน”

ชุยตงซานเหลือกตามองบน

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ภูเขาไท่ผิง อารามจินติ่งและเสี่ยวหลงชิวอย่าเพิ่งไปคิดถึงเลย ส่วนทางฝั่งของตำหนักพยัคฆ์เขียวอารามเทียนแจว๋ล่ะ? เทพเซียนผู้เฒ่าลู่ได้ฉวยโอกาสเปลี่ยนภูเขาลูกที่ใหญ่กว่าเดิมหรือไม่?”

เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ลู่ยงคือสหายเก่าแก่ของพวกเรานะ เขาเป็นคนที่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวาน อีกทั้งทุกวันนี้ยังเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าจำนวนน้อยนิดที่สามารถสวมชุดแพรจากทวีปอื่นกลับคืนมายังบ้านเกิดได้อีกด้วย กอดขาใหญ่สองข้างอย่างกองทัพม้าเหล็กต้าหลีและอ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่เอาไว้ได้ ไม่น่าจะเป็นพันธมิตรกับอารามจินติ่งหรอก”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ หรี่ตาเอ่ย “ซูคือฟ้า เสวียนคือดิน จีคือคน เฉวียนคือเวลา หนึ่งในนั้นคือเทียนเฉวียนที่มืดที่สุด เหวินฉวี่คือจุดเชื่อมโยงระหว่างตัวกระบวยกับด้ามกระบวยพอดี” (ดาวเป่ยโต่วหรือดาวกระบวยใหญ่เจ็ดดวง เป็นหนึ่งในกลุ่มดาวของดาวหมีใหญ่)

เจียงซ่างเจินยิ้มถาม “เจ้าขุนเขามีความแค้นกับอารามจินติ่งหรือ?”

ความคิดของเฉินผิงอันก้าวกระโดดอย่างยิ่ง เขาย้อนถามว่า “ราชวงศ์ต้าเฉวียนมีเมืองแห่งหนึ่งมีชื่อว่าเมืองฉีเฮ้อ เล่าลือกันว่าในยุคโบราณมีเซียนขี่กระเรียนบินทะยาน อันที่จริงก็คือภูเขาเล็กลูกหนึ่ง อาณาเขตรอบด้าน ทุกชุ่นล้วนเป็นทอง มีความเกี่ยวข้องกับอาจารย์ผู้เฒ่าหนีหรือไม่?”

ปีนั้นตอนที่อยู่ในเมืองฉีเฮ้อยังเคยมีมรสุมที่ผู้ฝึกยุทธเด็กหนุ่มยืมดาบจากศาลด้วย

แน่นอนว่าก็เคยเจอกับเทพแห่งผืนดินที่เข้าใจเรื่องราวทางโลกและความรู้สึกของมนุษย์ดีอย่างยิ่ง ตอนนั้นเฉินผิงอันอยากจะมอบเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งให้เป็นค่าตอบแทน เพียงแต่ว่าอาจารย์ผู้เฒ่าไม่ได้รับเอาไว้

ส่วนลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตู้หันหลิง นักพรตเป่าเจินแห่งยอดเขาอิ่นเมี่ยว รวมไปถึงศิษย์หลานอย่างเส้ายวนหราน คู่อาจารย์และศิษย์ที่เป็นผู้ถวายงานของต้าเฉวียนสองคนนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเฉินผิงอัน อาจารย์และศิษย์สองคนเคยรับหน้าที่ช่วยฮ่องเต้สกุลหลิวจับตามองกองทัพชายแดนตระกูลเหยา เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันยังไม่รู้ว่าเมื่อหลายปีก่อนนักพรตเป่าเจินได้ลาออกจากตำแหน่งผู้ถวายงาน ปิดด่านฝึกตนอยู่ในอารามจินติ่งแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตประตูมังกรไปได้ แต่ลูกศิษย์อย่างเส้ายวนหรานกลับเป็นผู้ถวายงานลำดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียนแล้ว เป็นเซียนดินโอสถทองที่อายุน้อยคนหนึ่ง

เจียงซ่างเจินปรบมือหัวเราะร่า “เรื่องนี้เจ้าขุนเขาก็เดาได้ด้วยหรือ!”

เป็นอาจารย์หนีจากพื้นที่มงคลดอกบัวจริง เพราะท่วงทำนองที่เหลืออยู่ของภาพบรรยากาศในการ ‘บินทะยาน’ มาถึงใต้หล้าไพศาลนั้น ถึงได้สร้างซากปรักเซียนเหรินที่โลกยุคหลังพากันพูดถึงอย่างออกรสอกชาติขึ้นมา

เฉินผิงอันกล่าว “ปีนั้นราชวงศ์ต้าเฉวียนถูกคนล้อมฆ่า หลังจบเรื่องมักจะรู้สึกว่าไม่ค่อยปกติสักเท่าไร ข้าสงสัยว่าอันที่จริงอารามจินติ่งเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้ไม่ปรากฏตัว พอมาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ของใบถงทวีปในทุกวันนี้ หลังจากสงครามใหญ่ผ่านพ้นไป ตู้หันหลิงถึงขั้นสามารถคัดสรรภูเขาออกมาได้เจ็ดลูก นำมาใช้สร้างค่ายกลใหญ่ ข้าถึงกับสงสัยเจ้าอารามผู้เฒ่าท่านนี้ของพวกเราเสียแล้วว่าปีนั้นเขาได้แอบสมคบคิดกับกระโจมทัพของใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรือไม่”

เจียงซ่างเจินกล่าว “แน่นอนว่าสามารถเดาเช่นนี้ได้ แต่ไม่มีหลักฐานใดๆ เบาะแสสักนิดก็ไม่มี”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วางใจเถอะ ข้าเองก็ไม่ได้โง่ ไม่มีทางเป็นศัตรูกับผู้ฝึกตนครึ่งหนึ่งของใบถงทวีปเพียงเพราะตู้หันหลิงที่ยังไม่เคยเจอหน้ากันหรอก”

ตู้หันหลิงในทุกวันนี้ขอบเขตไม่สูง แต่กลับเป็นศูนย์รวมใจคนของผู้ฝึกตนบนภูเขาของใบถงทวีป เป็นศัตรูกับอารามจินติ่งก็เท่ากับว่าเป็นศัตรูกับพันธมิตรใบท้อทั้งหมด

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “มีภาพสำเนาของภาพขุนเขาสายน้ำนี้หรือไม่ ข้าต้องดูให้มากอีกหน่อย การเลือกที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญมาก”

เชื่อว่าเจียงซ่างเจินน่าจะคาดเดาความคิดของตนออกแล้ว แล้วนับประสาอะไรที่กับผู้ถวายงานบ้านตนคนนี้ก็ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบังกัน

ไม่แน่ว่าก่อนหน้านี้การที่เย่อวิ๋นอวิ๋นปรากฏตัวที่หาดหินหวงเฮ้อ ก็ยังเป็นการกระทำด้วยความตั้งใจของเจียงซ่างเจิน เป็นการวางเส้นสายเชื่อมสะพานความสัมพันธ์ระหว่างภูเขาลั่วพั่วกับภูเขาผูซาน

เจียงซ่างเจินกล่าว “หากมีภาพสำเนาของภูเขาสายน้ำจะค่อนข้างเป็นการละเมิดข้อห้ามแล้ว แต่ข้าสามารถให้คนรีบคัดลอกออกมาให้ได้”

เฉินผิงอันจึงกลืนประโยคหนึ่งกลับลงท้อง เดิมทีอยากพูดว่าตนสามารถควักเงินซื้อได้

คนทั้งกลุ่มออกไปจากอาณาเขตของภูเขาเหล่าจวินด้วยกัน ทะยานลมไปยังภูเขาเยี่ยนซานที่อยู่ห่างไปประมาณสิบกว่าลี้ เฉินผิงอันทำตามสัญญา ไม่ได้ขึ้นไปกวาดภูเขาจนเกลี้ยง เพียงแค่รอคอยอยู่ที่ตีนเขาอย่างอดทน

ชุยตงซานได้รับคำเตือนประโยคหนึ่งจากเสียงในใจของอาจารย์ตนก็พลันเปิดปากพูดเสียงดังว่า “อาจารย์ แม่นางคนหนึ่งที่ชื่อว่าเซอเยว่ ทุกวันนี้เข้าพักที่ร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวีแล้ว ดูเหมือนว่าจะสนิทสนมกับหลิวเสี้ยนหยางอย่างมาก”

เฉินผิงอันหันหน้ากลับมามองเจียงซ่างเจิน

เดิมทีเฉินผิงอันนึกว่าเซอเยว่ผู้นั้นเพียงแค่เคยไปบริเวณใกล้เคียงกับบ้านเกิด คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นถึงขั้นนี้ ด้วยนิสัยของหลิวเสี้ยนหยาง ไม่ว่ามีอะไรแล้วหรือว่ายังไม่มีอะไรกับเซอเยว่ชั่วคราว รอกระทั่งตนกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่ว จะเจอเรื่องดีๆ ได้หรือ?

เจียงซ่างเจินแกล้งโง่ โบกมือเป็นวงกว้าง พูดอย่างคนที่ทำความดีชดใช้ความผิดว่า “ขึ้นเขา! ข้ารู้จักถ้ำเก่าสองแห่งที่ซ่อนวัสดุทำหินฝนหมึกที่ดีเยี่ยมเอาไว้”

เฉินผิงอันยื่นมือออกไป

เจียงซ่างเจินถามอย่างสงสัย “เจ้าขุนเขา นี่คือ?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ขอยืมวัตถุจื่อชื่อจากเจ้าสักสองสามชิ้นน่ะสิ”

เจียงซ่างเจินยอมรับชะตากรรม เริ่มตรวจสอบชายแขนเสื้อ คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เฉินผิงอันจะเอ่ยว่า “ตงซาน สกัดกั้นฟ้าดิน”

ชุยตงซานรีบใช้กระบี่บินจินสุ้ยวาดบ่อสายฟ้าสีทองบ่อหนึ่งขึ้นมาทันใด เฉินผิงอันเอาคราบเซียนเหรินของหันอวี้ซู่ออกมาจากชายแขนเสื้อ เจียงซ่างเจินหัวเราะร่า เก็บใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งที่อยู่ในจักรวาลชายแขนเสื้อ การท่องยุทธภพต่อจากนี้ก็จะมีเนื้อหนังมังสาที่ดีเยี่ยมเพิ่มมาอีกชิ้นหนึ่งแล้ว

เฉินผิงอันเอ่ยเตือนว่า “ในช่วงเวลาสำคัญบางอย่างที่เจ้ารู้สึกว่าโอกาสเหมาะสมก็ให้ปรากฎตัวด้วยโฉมหน้าของหันอวี้ซู่ครั้งหนึ่ง อีกทั้งต้องอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลด้วย ห้ามปรากฏตัวในใต้หล้าไพศาลเด็ดขาด เวลานานวันเข้า ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์สำนักว่านเหยาและทางฝั่งของหันเจี้ยงซู่จะต้องเกิดความสงสัยอย่างแน่นอน ตกลงกันไว้ก่อนว่า เรื่องนี้มีความเสี่ยงสูงมาก ถือว่าข้าติดค้างน้ำใจเจ้าครั้งหนึ่ง ส่วนคราบร่างเซียนเหรินร่างนี้ รวมไปถึงวิชาหมัดครึ่งบทนั้น ล้วนถือว่าเป็นค่าตอบแทนแล้ว”

เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร”

สุดท้ายแล้วเฉินผิงอันก็ไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขาเยี่ยนซาน พวกเผยเฉียนลงจากภูเขามาด้วยผลเก็บเกี่ยวเต็มไม้เต็มมือ

น่าหลันอวี้เตี๋ยกระโดดโลดเต้นลงจากเขามาตลอดทาง พอมาถึงประตูภูเขาก็จงใจพูดบ่นให้ฟังว่า “เหตุใดพี่หญิงเผยถึงได้ยากจนขนาดนี้ล่ะ ไม่มีวัตถุฟางชุ่นติดตัวแม้แต่ชิ้นเดียว”

เผยเฉียนหัวเราะร่วนพลางพยักหน้ารับ

เจียงซ่างเจินทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง

เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว แม่นางน้อยวาดงูเติมขาเสียแล้ว ประสบการณ์ในยุทธภพยังตื้นเขินไปสักหน่อย

กลับไปที่ยอดเขาอวิ๋นจี๋ด้วยกัน เจียงซ่างเจินเอ่ยขอตัวจากไป ไปให้คนคัดลอกภาพขุนเขาสายน้ำ ชุยตงซานตามไปร่วมวงความครึกครื้นด้วย

เฉินผิงอันมองเห็นว่าบนพื้นมีภูเขาเยี่ยนซานขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งลูกก็รู้สึกพูดไม่ออก ป๋ายเสวียนไม่เห็นเงาร่างของชุยตงซานแล้วก็รีบเอาสองมือไพล่หลัง เดินอาดๆ ออกมาจากห้องทันที มายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน มานะตั้งใจฝึกกระบี่? นายน้อยมีคุณสมบัติเช่นนี้ เฉลียวฉลาดปานนี้ จำเป็นด้วยหรือ?

เฉินผิงอันเรียกเฉิงเฉาลู่ให้มาหา จากนั้นจึงกวักมือเรียกเผยเฉียน “มาช่วยป้อนหมัดให้เขาหน่อยไหม?”

เผยเฉียนเกาหัว “ให้อาจารย์พ่อเป็นคนทำดีกว่ากระมัง ข้าสอนวิชาหมัดเป็นเสียที่ไหน”

เฉินผิงอันหัวเราะ เรียกป๋ายเสวียนมาด้วยกัน พาเฉิงเฉาลู่ไปยังพื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่ง แล้วพูดเข้าประเด็นทันทีว่า “เรียนหมัดก็ต้องเรียนรู้ที่จะฟังหมัด”

ป๋ายเสวียนอืมรับหนึ่งที พยักหน้า “ถูกต้องแล้ว พอจะมีความนัยให้ขบคิดอยู่บ้าง อาจารย์เฉามีความเล็กน้อยรู้อยู่บ้างจริงๆ พ่อครัวน้อยเจ้าต้องตั้งใจฟังให้ดีล่ะ”

เผยเฉียนที่ยุ่งอยู่กับการแยกภูเขาหินฝนหมึกหันขวับกลับมามองป๋ายเสวียนทันที

ป๋ายเสวียนสัมผัสได้ถึงสายตาของเผยเฉียนก็ถามอย่างสงสัย “พี่หญิงเผย มีอะไรหรือ?”

เผยเฉียนยิ้มบางๆ

ป๋ายเสวียนที่ตอนนี้ยังไม่รู้ถึงความหนักเบาความร้ายแรงของเรื่องนี้ยิ้มอ่อนตอบรับเผยเฉียน

เฉินผิงอันเอ่ยต่อไปว่า “เรียนวรยุทธจะได้ก้าวเดินเข้าห้องเรียนหรือไม่ก็ต้องดูว่ามีปณิธานหมัดอยู่บนร่างหรือไม่ อะไรคือคำว่ามีปณิธานหมัดอยู่บนร่าง อันที่จริงไม่ใช่มายาเลื่อนลอยอะไร ก็หนีไม่พ้นคำว่าความจำ เลือดเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกและเส้นชีพจรของคนล้วนมีความทรงจำ หากคิดจะเรียนวิชาหมัดให้ประสบความสำเร็จ ก็ต้องต้านรับการถูกทุบตีให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นต่อให้กระบวนท่าหมัดมีมากแค่ไหนก็ล้วนเป็นเพียงแค่ชั้นวางดอกไม้กระดาษเปียก ดังนั้นการฝึกหมัดจึงกลัวการที่ถูกต่อยตีแต่กลับไม่จดจำการต่อยตีมากที่สุด”

น่าหลันอวี้เตี๋ยไม่มีเวลามามัวสนใจเลือกหินฝนหมึกอีกแล้ว รีบหยิบกระดาษพู่กันออกมาเริ่มจดทันที

เผยเฉียนลูบศีรษะของแม่นางน้อย

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองป๋ายเสวียน “ข้าจะกดขอบเขต เจ้าแค่ออกกระบี่บินให้เต็มที่ก็พอ ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ใครบาดเจ็บ”

เดิมทีป๋ายเสวียนอยากจะเอ่ยหนึ่งคำว่านายน้อยกลัวจะฟันคนให้ตายด้วยกระบี่เดียวเสียมากกว่า

เพียงแต่ว่าพอเห็นรอยยิ้มตาหยีของอาจารย์เฉา เขาก็รีบกลืนคำพูดนั้นกลับลงท้องไปแต่โดยดี

เฉินผิงอันเอียงศีรษะเบี่ยงหลบ กระบี่บินของป๋ายเสวียนพุ่งวาบผ่านไป

กระบี่บินของป๋ายเสวียนอ้อมเป็นวงโค้งขนาดใหญ่ กระบี่บินแทงไปยังหว่างเคิ้วของเฉินผิงอัน

ครั้งนี้เฉินผิงอันกลับยืนนิ่งไม่ขยับ

ป๋ายเสวียนขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะหยุดกระบี่? อีกอย่าง ไม่กลัวข้าจะเปลี่ยนใจกะทันหันหรือ?”

เฉินผิงอันยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาดึงกระบี่บินที่อยู่ตรงหน้าออกเบาๆ ชี้ไปที่ป๋ายเสวียน จากนั้นก็เอ่ยกับเฉิงเฉาลู่ว่า “ฟังหมัด ขั้นแรกก็คือต้องแน่ใจถึงเส้นทางมา ความหนักเบา เส้นทางไปของหมัดเสียก่อน ขั้นที่สองคือดูคน มองแขน ไหล่ ท่าหมัด ปณิธานหมัด สายตา สีหน้าของคนที่ปล่อยหมัดออกมา แม้กระทั่งความคิดของเขา ขั้นที่สามก็คือคิดคำนวณฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคีให้แม่นยำ ล้วนต้อง ‘ฟัง’ ให้ละเอียดและชัดเจน”

เจ้าอ้วนน้อยพูดกับป๋ายเสวียนว่า “ต่อให้เจ้าเปลี่ยนใจ อาจารย์เฉาก็รู้เหมือนกัน เพียงแต่เพราะอาจารย์เฉารู้ว่าเจ้าไม่ได้เปลี่ยนความคิด เขาถึงได้ไม่ขยับ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถูกต้อง”

ป๋ายเสวียนหัวเราะเสียงหยัน เอาสองมือไพล่หลัง ก้าวเดินเนิบช้า พูดโดยเลียนแบบน้ำเสียงของเฉินผิงอัน “หลักการเดียวกัน เรียนวรยุทธวิชาการต่อสู้จากผู้อื่น หรือประลองฝีมือแลกชีวิตก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นถามหมัดกับคนอื่นก็ต้องเหมือนกัน ไม่อาจเอาแต่จับจ้องหมัดและเท้าหรือกระบี่บินของฝ่ายตรงข้ามได้ ต้องแบ่งความคิดออกมา การจับคู่เข่นฆ่า การแบ่งแพ้ชนะกับคนอื่น นี่ก็คือสถานการณ์หมากที่ซับซ้อนอย่างมากกระดานหนึ่ง วิเคราะห์ความเป็นมาของอีกฝ่าย วิชาอภินิหาร ชุดคลุมอาคมมีกี่ชุด สมบัติอาคมที่ใช้ป้องกันและโจมตี ขอบเขตสูงต่ำ ปราณวิญญาณมากน้อย ฝึกวิชานอกรีตควบด้วยหรือไม่ ท่าไม้ตายวิชาก้นกรุสรุปแล้วว่าเคยใช้หรือยัง ใช้หมดแล้วหรือยัง เป็นต้น ล้วนเป็นความรู้ที่จำเป็นต้องใคร่ครวญอย่างละเอียด ความคิดต้องว่องไว จะต้องไวกว่าการออกหมัดออกกระบี่ สุดท้ายก็เพื่อให้ผู้ฝึกยุทธและผู้ฝึกกระบี่ก้าวไปถึงขอบเขตที่มีญาณล่วงรู้อนาคต”

เฉิงเฉาลู่รับฟังด้วยอาการตกตะลึงอึ้งค้าง

เฉินผิงอันยื่นมือไปตบหัวป๋ายเสวียน เอ่ยชมเชยว่า “ใช้ได้นี่นา เฉลียวฉลาดจริงเสียด้วย แข็งแกร่งกว่าตอนที่ข้าเพิ่งเริ่มเรียนวิชาหมัดมากนัก”

ป๋ายเสวียนโบกมือ “มาตรฐานทั่วไป ไม่มีค่าพอให้พูดถึง”

เผยเฉียนยิ้มกล่าว “ไม่เรียนวิชาหมัดก็น่าเสียดายแล้ว”

ป๋ายเสวียนหัวเราะคิกคักพลางกุมหมัดเอ่ย “มีโอกาสจะต้องประลองฝีมือกับพี่หญิงเผยสักหน่อยแล้ว”

เผยเฉียนยิ้มตาหยีพยักหน้ารับ “ได้เลยๆ”

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้ป๋ายเสวียนกระโดดเข้าไปทิ้งชื่อไว้บนสมุดบัญชีบางเล่ม คาดว่ารอให้ในอนาคตป๋ายเสวียนไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็จะค่อยๆ เข้าใจเองว่าวันนี้ตนมีมาดองอาจเป็นผู้กล้ามาแค่ไหน เฉินผิงอันบอกให้เฉิงเฉาลู่กลับมาเดินนิ่ง ส่วนตัวเขาคอยชี้ข้อบกพร่องในรายละเอียดของวิชาหมัดบางอย่าง

อันที่จริงเฉิงเฉาลู่เรียนวิชาหมัดไม่ช้าแล้ว เฉินผิงอันให้เจ้าอ้วนน้อยเดินนิ่งต่อไป ส่วนตัวเองไปนั่งพักผ่อนที่เก้าอี้ไม้ไผ่

เผยเฉียนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กด้านข้าง ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

เฉินผิงอันยิ้มถาม “มีอะไรหรือ?”

สายตาของเผยเฉียนเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน ก้มหน้าเอ่ยว่า “ข้าเคยเห็นป๋ายอวี้จิงจำลองแห่งหนึ่ง”

เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “แล้วยังไงต่อ?”

สองมือของเผยเฉียนกำเป็นหมัดแน่น “ข้าเชื่อฟังอาจารย์พ่อ ไม่มองดูสภาพจิตใจของคนอื่นมากเกินไป ดังนั้นสภาพจิตใจของคนใกล้ชิดที่อยู่ข้างกาย อย่างมากสุดข้าก็มองแค่ครั้งเดียว พ่อครัวเฒ่าก็แค่ครั้งเดียวเหมือนกัน”

ยกตัวอย่างเช่นภาพเหตุการณ์ในสภาพจิตใจของชุยตงซานคือบ่อลึกดำมืด ริมขอบบ่อมีตำราสีทองหลายเล่มวางกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ยกตัวอย่างเช่นลมคาวฝนเลือดของจูเหลี่ยนพ่อครัวเฒ่า มีเพียงหอเรือนสูงหลังหนึ่งตั้งตระหง่าน มีคนยืนพิงราวรั้วมองลงมาจากที่สูง

ตอนที่จูเหลี่ยนกลับคืนสู่บ้านเกิดเคยยิ้มเอ่ยกับเพ่ยเซียงว่า ใครจะมาเป็นคนบอกข้าว่าสรุปแล้วฟ้าดินใช่ของจริงหรือไม่ แล้วยังทอดถอนใจอีกประโยคว่า ‘ตื่นจากฝันคือการกระโดดหน้าผา’

จูเหลี่ยนคุณชายผู้สูงศักดิ์ อันที่จริงในอดีตครั้งแรกที่ออกท่องยุทธภพ ตอนอยู่นอกร้านสุราในชนบท มองสุนัขข้างทางแวบเดียวก็ยากจะปล่อยวางได้อีกตลอดชีวิต ราวกับว่าในความฝันไม่รู้ว่าตัวเองคือแขกผู้มาเยือน น้ำไหลบุปผาร่วงโรยวสันต์จากไป บนฟ้าโลกมนุษย์ ดวงจันทร์กระจ่างหอเรือนสูง

เรื่องพวกนี้เฉินผิงอันล้วนไม่เคยรู้ เผยเฉียนเองก็ไม่รู้ เผยเฉียนเพียงแค่มองเห็นป๋ายอวี้จิงจำลองของราชวงศ์ต้าหลีแล้วยากจะสงบจิตใจได้อีก

เฉินผิงอันครุ่นคิด เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ สีหน้าเป็นธรรมชาติ แหงนหน้ามองท้องฟ้า พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “เจ้าต้องเชื่อมั่นในตัวพ่อครัวเฒ่า ข้าเชื่อมั่นในตัวจูเหลี่ยน”

เผยเฉียนเหมือนได้ยกก้อนหินออกจากอก “ข้าเชื่ออาจารย์พ่อ”

เฉินผิงอันพยักหน้า “เตรียมตัวกลับบ้านกันเถอะ”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 755.4 เลือกที่ตั้ง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 755.4 เลือกที่ตั้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“นี่น่าจะเป็นความจริงแล้ว”

เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ “หากไม่ได้ควบรวมภูเขาไท่ผิงและยอดเขาเทียนแจว๋เข้าไปด้วย เปลี่ยนเป็นภูเขาสองลูกอื่นเข้ามาแทนที่ ก็ได้แต่ถือว่าเป็นเจ็ดสำแดงสองอำพรางที่ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ต่อให้รวบรวมสถานการณ์ใหญ่กฎฟ้าปรากฎการณ์ดินของเป่ยโต่วเก้าดวงดาวได้ครบถ้วน ก็ยังคงขาดอยู่อีกเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรอารามจินติ่งก็มีแค่แห่งเดียว รากฐานยังไม่ถือว่าแน่นหนามากพอ”

“แค่นี้ก็น่าตะลึงพรึงเพริดมากแล้ว ตู้หันหลิงเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่ง อารามจินติ่งคือตัวสำรองสำนัก ก็กล้าคิดกล้าทำถึงเพียงนี้แล้ว ร้ายกาจ ร้ายกาจ”

เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “ตู้หันหลิงไม่เสียแรงที่เป็นราชันบนภูเขาของใบถงทวีปพวกเจ้า เป็นทั้งผู้พิชิตในกลียุค แล้วยังรักษาตัวรอดปลอดภัย ทั้งยังเป็นวีรบุรุษผู้กล้าที่จะปกครองโลก สามารถลุกผงาดขึ้นมาตามสถานการณ์ได้ นักพรตเป่าเจินและเส้ายวนหรานช่างโชคดียิ่งนักที่ได้มาเจอกับเจ้าอารามที่เป็นเช่นนี้”

เจียงซ่างเจินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ข้ากับเจ้าขุนเขา ความคิดเห็นของวีรบุรุษค่อนข้างจะเหมือนกัน”

ชุยตงซานเหลือกตามองบน

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ภูเขาไท่ผิง อารามจินติ่งและเสี่ยวหลงชิวอย่าเพิ่งไปคิดถึงเลย ส่วนทางฝั่งของตำหนักพยัคฆ์เขียวอารามเทียนแจว๋ล่ะ? เทพเซียนผู้เฒ่าลู่ได้ฉวยโอกาสเปลี่ยนภูเขาลูกที่ใหญ่กว่าเดิมหรือไม่?”

เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ลู่ยงคือสหายเก่าแก่ของพวกเรานะ เขาเป็นคนที่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวาน อีกทั้งทุกวันนี้ยังเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าจำนวนน้อยนิดที่สามารถสวมชุดแพรจากทวีปอื่นกลับคืนมายังบ้านเกิดได้อีกด้วย กอดขาใหญ่สองข้างอย่างกองทัพม้าเหล็กต้าหลีและอ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่เอาไว้ได้ ไม่น่าจะเป็นพันธมิตรกับอารามจินติ่งหรอก”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ หรี่ตาเอ่ย “ซูคือฟ้า เสวียนคือดิน จีคือคน เฉวียนคือเวลา หนึ่งในนั้นคือเทียนเฉวียนที่มืดที่สุด เหวินฉวี่คือจุดเชื่อมโยงระหว่างตัวกระบวยกับด้ามกระบวยพอดี” (ดาวเป่ยโต่วหรือดาวกระบวยใหญ่เจ็ดดวง เป็นหนึ่งในกลุ่มดาวของดาวหมีใหญ่)

เจียงซ่างเจินยิ้มถาม “เจ้าขุนเขามีความแค้นกับอารามจินติ่งหรือ?”

ความคิดของเฉินผิงอันก้าวกระโดดอย่างยิ่ง เขาย้อนถามว่า “ราชวงศ์ต้าเฉวียนมีเมืองแห่งหนึ่งมีชื่อว่าเมืองฉีเฮ้อ เล่าลือกันว่าในยุคโบราณมีเซียนขี่กระเรียนบินทะยาน อันที่จริงก็คือภูเขาเล็กลูกหนึ่ง อาณาเขตรอบด้าน ทุกชุ่นล้วนเป็นทอง มีความเกี่ยวข้องกับอาจารย์ผู้เฒ่าหนีหรือไม่?”

ปีนั้นตอนที่อยู่ในเมืองฉีเฮ้อยังเคยมีมรสุมที่ผู้ฝึกยุทธเด็กหนุ่มยืมดาบจากศาลด้วย

แน่นอนว่าก็เคยเจอกับเทพแห่งผืนดินที่เข้าใจเรื่องราวทางโลกและความรู้สึกของมนุษย์ดีอย่างยิ่ง ตอนนั้นเฉินผิงอันอยากจะมอบเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งให้เป็นค่าตอบแทน เพียงแต่ว่าอาจารย์ผู้เฒ่าไม่ได้รับเอาไว้

ส่วนลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตู้หันหลิง นักพรตเป่าเจินแห่งยอดเขาอิ่นเมี่ยว รวมไปถึงศิษย์หลานอย่างเส้ายวนหราน คู่อาจารย์และศิษย์ที่เป็นผู้ถวายงานของต้าเฉวียนสองคนนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเฉินผิงอัน อาจารย์และศิษย์สองคนเคยรับหน้าที่ช่วยฮ่องเต้สกุลหลิวจับตามองกองทัพชายแดนตระกูลเหยา เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันยังไม่รู้ว่าเมื่อหลายปีก่อนนักพรตเป่าเจินได้ลาออกจากตำแหน่งผู้ถวายงาน ปิดด่านฝึกตนอยู่ในอารามจินติ่งแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตประตูมังกรไปได้ แต่ลูกศิษย์อย่างเส้ายวนหรานกลับเป็นผู้ถวายงานลำดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียนแล้ว เป็นเซียนดินโอสถทองที่อายุน้อยคนหนึ่ง

เจียงซ่างเจินปรบมือหัวเราะร่า “เรื่องนี้เจ้าขุนเขาก็เดาได้ด้วยหรือ!”

เป็นอาจารย์หนีจากพื้นที่มงคลดอกบัวจริง เพราะท่วงทำนองที่เหลืออยู่ของภาพบรรยากาศในการ ‘บินทะยาน’ มาถึงใต้หล้าไพศาลนั้น ถึงได้สร้างซากปรักเซียนเหรินที่โลกยุคหลังพากันพูดถึงอย่างออกรสอกชาติขึ้นมา

เฉินผิงอันกล่าว “ปีนั้นราชวงศ์ต้าเฉวียนถูกคนล้อมฆ่า หลังจบเรื่องมักจะรู้สึกว่าไม่ค่อยปกติสักเท่าไร ข้าสงสัยว่าอันที่จริงอารามจินติ่งเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้ไม่ปรากฏตัว พอมาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ของใบถงทวีปในทุกวันนี้ หลังจากสงครามใหญ่ผ่านพ้นไป ตู้หันหลิงถึงขั้นสามารถคัดสรรภูเขาออกมาได้เจ็ดลูก นำมาใช้สร้างค่ายกลใหญ่ ข้าถึงกับสงสัยเจ้าอารามผู้เฒ่าท่านนี้ของพวกเราเสียแล้วว่าปีนั้นเขาได้แอบสมคบคิดกับกระโจมทัพของใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรือไม่”

เจียงซ่างเจินกล่าว “แน่นอนว่าสามารถเดาเช่นนี้ได้ แต่ไม่มีหลักฐานใดๆ เบาะแสสักนิดก็ไม่มี”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วางใจเถอะ ข้าเองก็ไม่ได้โง่ ไม่มีทางเป็นศัตรูกับผู้ฝึกตนครึ่งหนึ่งของใบถงทวีปเพียงเพราะตู้หันหลิงที่ยังไม่เคยเจอหน้ากันหรอก”

ตู้หันหลิงในทุกวันนี้ขอบเขตไม่สูง แต่กลับเป็นศูนย์รวมใจคนของผู้ฝึกตนบนภูเขาของใบถงทวีป เป็นศัตรูกับอารามจินติ่งก็เท่ากับว่าเป็นศัตรูกับพันธมิตรใบท้อทั้งหมด

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “มีภาพสำเนาของภาพขุนเขาสายน้ำนี้หรือไม่ ข้าต้องดูให้มากอีกหน่อย การเลือกที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญมาก”

เชื่อว่าเจียงซ่างเจินน่าจะคาดเดาความคิดของตนออกแล้ว แล้วนับประสาอะไรที่กับผู้ถวายงานบ้านตนคนนี้ก็ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบังกัน

ไม่แน่ว่าก่อนหน้านี้การที่เย่อวิ๋นอวิ๋นปรากฏตัวที่หาดหินหวงเฮ้อ ก็ยังเป็นการกระทำด้วยความตั้งใจของเจียงซ่างเจิน เป็นการวางเส้นสายเชื่อมสะพานความสัมพันธ์ระหว่างภูเขาลั่วพั่วกับภูเขาผูซาน

เจียงซ่างเจินกล่าว “หากมีภาพสำเนาของภูเขาสายน้ำจะค่อนข้างเป็นการละเมิดข้อห้ามแล้ว แต่ข้าสามารถให้คนรีบคัดลอกออกมาให้ได้”

เฉินผิงอันจึงกลืนประโยคหนึ่งกลับลงท้อง เดิมทีอยากพูดว่าตนสามารถควักเงินซื้อได้

คนทั้งกลุ่มออกไปจากอาณาเขตของภูเขาเหล่าจวินด้วยกัน ทะยานลมไปยังภูเขาเยี่ยนซานที่อยู่ห่างไปประมาณสิบกว่าลี้ เฉินผิงอันทำตามสัญญา ไม่ได้ขึ้นไปกวาดภูเขาจนเกลี้ยง เพียงแค่รอคอยอยู่ที่ตีนเขาอย่างอดทน

ชุยตงซานได้รับคำเตือนประโยคหนึ่งจากเสียงในใจของอาจารย์ตนก็พลันเปิดปากพูดเสียงดังว่า “อาจารย์ แม่นางคนหนึ่งที่ชื่อว่าเซอเยว่ ทุกวันนี้เข้าพักที่ร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวีแล้ว ดูเหมือนว่าจะสนิทสนมกับหลิวเสี้ยนหยางอย่างมาก”

เฉินผิงอันหันหน้ากลับมามองเจียงซ่างเจิน

เดิมทีเฉินผิงอันนึกว่าเซอเยว่ผู้นั้นเพียงแค่เคยไปบริเวณใกล้เคียงกับบ้านเกิด คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นถึงขั้นนี้ ด้วยนิสัยของหลิวเสี้ยนหยาง ไม่ว่ามีอะไรแล้วหรือว่ายังไม่มีอะไรกับเซอเยว่ชั่วคราว รอกระทั่งตนกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่ว จะเจอเรื่องดีๆ ได้หรือ?

เจียงซ่างเจินแกล้งโง่ โบกมือเป็นวงกว้าง พูดอย่างคนที่ทำความดีชดใช้ความผิดว่า “ขึ้นเขา! ข้ารู้จักถ้ำเก่าสองแห่งที่ซ่อนวัสดุทำหินฝนหมึกที่ดีเยี่ยมเอาไว้”

เฉินผิงอันยื่นมือออกไป

เจียงซ่างเจินถามอย่างสงสัย “เจ้าขุนเขา นี่คือ?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ขอยืมวัตถุจื่อชื่อจากเจ้าสักสองสามชิ้นน่ะสิ”

เจียงซ่างเจินยอมรับชะตากรรม เริ่มตรวจสอบชายแขนเสื้อ คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เฉินผิงอันจะเอ่ยว่า “ตงซาน สกัดกั้นฟ้าดิน”

ชุยตงซานรีบใช้กระบี่บินจินสุ้ยวาดบ่อสายฟ้าสีทองบ่อหนึ่งขึ้นมาทันใด เฉินผิงอันเอาคราบเซียนเหรินของหันอวี้ซู่ออกมาจากชายแขนเสื้อ เจียงซ่างเจินหัวเราะร่า เก็บใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งที่อยู่ในจักรวาลชายแขนเสื้อ การท่องยุทธภพต่อจากนี้ก็จะมีเนื้อหนังมังสาที่ดีเยี่ยมเพิ่มมาอีกชิ้นหนึ่งแล้ว

เฉินผิงอันเอ่ยเตือนว่า “ในช่วงเวลาสำคัญบางอย่างที่เจ้ารู้สึกว่าโอกาสเหมาะสมก็ให้ปรากฎตัวด้วยโฉมหน้าของหันอวี้ซู่ครั้งหนึ่ง อีกทั้งต้องอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลด้วย ห้ามปรากฏตัวในใต้หล้าไพศาลเด็ดขาด เวลานานวันเข้า ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์สำนักว่านเหยาและทางฝั่งของหันเจี้ยงซู่จะต้องเกิดความสงสัยอย่างแน่นอน ตกลงกันไว้ก่อนว่า เรื่องนี้มีความเสี่ยงสูงมาก ถือว่าข้าติดค้างน้ำใจเจ้าครั้งหนึ่ง ส่วนคราบร่างเซียนเหรินร่างนี้ รวมไปถึงวิชาหมัดครึ่งบทนั้น ล้วนถือว่าเป็นค่าตอบแทนแล้ว”

เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร”

สุดท้ายแล้วเฉินผิงอันก็ไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขาเยี่ยนซาน พวกเผยเฉียนลงจากภูเขามาด้วยผลเก็บเกี่ยวเต็มไม้เต็มมือ

น่าหลันอวี้เตี๋ยกระโดดโลดเต้นลงจากเขามาตลอดทาง พอมาถึงประตูภูเขาก็จงใจพูดบ่นให้ฟังว่า “เหตุใดพี่หญิงเผยถึงได้ยากจนขนาดนี้ล่ะ ไม่มีวัตถุฟางชุ่นติดตัวแม้แต่ชิ้นเดียว”

เผยเฉียนหัวเราะร่วนพลางพยักหน้ารับ

เจียงซ่างเจินทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง

เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว แม่นางน้อยวาดงูเติมขาเสียแล้ว ประสบการณ์ในยุทธภพยังตื้นเขินไปสักหน่อย

กลับไปที่ยอดเขาอวิ๋นจี๋ด้วยกัน เจียงซ่างเจินเอ่ยขอตัวจากไป ไปให้คนคัดลอกภาพขุนเขาสายน้ำ ชุยตงซานตามไปร่วมวงความครึกครื้นด้วย

เฉินผิงอันมองเห็นว่าบนพื้นมีภูเขาเยี่ยนซานขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งลูกก็รู้สึกพูดไม่ออก ป๋ายเสวียนไม่เห็นเงาร่างของชุยตงซานแล้วก็รีบเอาสองมือไพล่หลัง เดินอาดๆ ออกมาจากห้องทันที มายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน มานะตั้งใจฝึกกระบี่? นายน้อยมีคุณสมบัติเช่นนี้ เฉลียวฉลาดปานนี้ จำเป็นด้วยหรือ?

เฉินผิงอันเรียกเฉิงเฉาลู่ให้มาหา จากนั้นจึงกวักมือเรียกเผยเฉียน “มาช่วยป้อนหมัดให้เขาหน่อยไหม?”

เผยเฉียนเกาหัว “ให้อาจารย์พ่อเป็นคนทำดีกว่ากระมัง ข้าสอนวิชาหมัดเป็นเสียที่ไหน”

เฉินผิงอันหัวเราะ เรียกป๋ายเสวียนมาด้วยกัน พาเฉิงเฉาลู่ไปยังพื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่ง แล้วพูดเข้าประเด็นทันทีว่า “เรียนหมัดก็ต้องเรียนรู้ที่จะฟังหมัด”

ป๋ายเสวียนอืมรับหนึ่งที พยักหน้า “ถูกต้องแล้ว พอจะมีความนัยให้ขบคิดอยู่บ้าง อาจารย์เฉามีความเล็กน้อยรู้อยู่บ้างจริงๆ พ่อครัวน้อยเจ้าต้องตั้งใจฟังให้ดีล่ะ”

เผยเฉียนที่ยุ่งอยู่กับการแยกภูเขาหินฝนหมึกหันขวับกลับมามองป๋ายเสวียนทันที

ป๋ายเสวียนสัมผัสได้ถึงสายตาของเผยเฉียนก็ถามอย่างสงสัย “พี่หญิงเผย มีอะไรหรือ?”

เผยเฉียนยิ้มบางๆ

ป๋ายเสวียนที่ตอนนี้ยังไม่รู้ถึงความหนักเบาความร้ายแรงของเรื่องนี้ยิ้มอ่อนตอบรับเผยเฉียน

เฉินผิงอันเอ่ยต่อไปว่า “เรียนวรยุทธจะได้ก้าวเดินเข้าห้องเรียนหรือไม่ก็ต้องดูว่ามีปณิธานหมัดอยู่บนร่างหรือไม่ อะไรคือคำว่ามีปณิธานหมัดอยู่บนร่าง อันที่จริงไม่ใช่มายาเลื่อนลอยอะไร ก็หนีไม่พ้นคำว่าความจำ เลือดเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกและเส้นชีพจรของคนล้วนมีความทรงจำ หากคิดจะเรียนวิชาหมัดให้ประสบความสำเร็จ ก็ต้องต้านรับการถูกทุบตีให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นต่อให้กระบวนท่าหมัดมีมากแค่ไหนก็ล้วนเป็นเพียงแค่ชั้นวางดอกไม้กระดาษเปียก ดังนั้นการฝึกหมัดจึงกลัวการที่ถูกต่อยตีแต่กลับไม่จดจำการต่อยตีมากที่สุด”

น่าหลันอวี้เตี๋ยไม่มีเวลามามัวสนใจเลือกหินฝนหมึกอีกแล้ว รีบหยิบกระดาษพู่กันออกมาเริ่มจดทันที

เผยเฉียนลูบศีรษะของแม่นางน้อย

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองป๋ายเสวียน “ข้าจะกดขอบเขต เจ้าแค่ออกกระบี่บินให้เต็มที่ก็พอ ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ใครบาดเจ็บ”

เดิมทีป๋ายเสวียนอยากจะเอ่ยหนึ่งคำว่านายน้อยกลัวจะฟันคนให้ตายด้วยกระบี่เดียวเสียมากกว่า

เพียงแต่ว่าพอเห็นรอยยิ้มตาหยีของอาจารย์เฉา เขาก็รีบกลืนคำพูดนั้นกลับลงท้องไปแต่โดยดี

เฉินผิงอันเอียงศีรษะเบี่ยงหลบ กระบี่บินของป๋ายเสวียนพุ่งวาบผ่านไป

กระบี่บินของป๋ายเสวียนอ้อมเป็นวงโค้งขนาดใหญ่ กระบี่บินแทงไปยังหว่างเคิ้วของเฉินผิงอัน

ครั้งนี้เฉินผิงอันกลับยืนนิ่งไม่ขยับ

ป๋ายเสวียนขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะหยุดกระบี่? อีกอย่าง ไม่กลัวข้าจะเปลี่ยนใจกะทันหันหรือ?”

เฉินผิงอันยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาดึงกระบี่บินที่อยู่ตรงหน้าออกเบาๆ ชี้ไปที่ป๋ายเสวียน จากนั้นก็เอ่ยกับเฉิงเฉาลู่ว่า “ฟังหมัด ขั้นแรกก็คือต้องแน่ใจถึงเส้นทางมา ความหนักเบา เส้นทางไปของหมัดเสียก่อน ขั้นที่สองคือดูคน มองแขน ไหล่ ท่าหมัด ปณิธานหมัด สายตา สีหน้าของคนที่ปล่อยหมัดออกมา แม้กระทั่งความคิดของเขา ขั้นที่สามก็คือคิดคำนวณฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคีให้แม่นยำ ล้วนต้อง ‘ฟัง’ ให้ละเอียดและชัดเจน”

เจ้าอ้วนน้อยพูดกับป๋ายเสวียนว่า “ต่อให้เจ้าเปลี่ยนใจ อาจารย์เฉาก็รู้เหมือนกัน เพียงแต่เพราะอาจารย์เฉารู้ว่าเจ้าไม่ได้เปลี่ยนความคิด เขาถึงได้ไม่ขยับ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถูกต้อง”

ป๋ายเสวียนหัวเราะเสียงหยัน เอาสองมือไพล่หลัง ก้าวเดินเนิบช้า พูดโดยเลียนแบบน้ำเสียงของเฉินผิงอัน “หลักการเดียวกัน เรียนวรยุทธวิชาการต่อสู้จากผู้อื่น หรือประลองฝีมือแลกชีวิตก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นถามหมัดกับคนอื่นก็ต้องเหมือนกัน ไม่อาจเอาแต่จับจ้องหมัดและเท้าหรือกระบี่บินของฝ่ายตรงข้ามได้ ต้องแบ่งความคิดออกมา การจับคู่เข่นฆ่า การแบ่งแพ้ชนะกับคนอื่น นี่ก็คือสถานการณ์หมากที่ซับซ้อนอย่างมากกระดานหนึ่ง วิเคราะห์ความเป็นมาของอีกฝ่าย วิชาอภินิหาร ชุดคลุมอาคมมีกี่ชุด สมบัติอาคมที่ใช้ป้องกันและโจมตี ขอบเขตสูงต่ำ ปราณวิญญาณมากน้อย ฝึกวิชานอกรีตควบด้วยหรือไม่ ท่าไม้ตายวิชาก้นกรุสรุปแล้วว่าเคยใช้หรือยัง ใช้หมดแล้วหรือยัง เป็นต้น ล้วนเป็นความรู้ที่จำเป็นต้องใคร่ครวญอย่างละเอียด ความคิดต้องว่องไว จะต้องไวกว่าการออกหมัดออกกระบี่ สุดท้ายก็เพื่อให้ผู้ฝึกยุทธและผู้ฝึกกระบี่ก้าวไปถึงขอบเขตที่มีญาณล่วงรู้อนาคต”

เฉิงเฉาลู่รับฟังด้วยอาการตกตะลึงอึ้งค้าง

เฉินผิงอันยื่นมือไปตบหัวป๋ายเสวียน เอ่ยชมเชยว่า “ใช้ได้นี่นา เฉลียวฉลาดจริงเสียด้วย แข็งแกร่งกว่าตอนที่ข้าเพิ่งเริ่มเรียนวิชาหมัดมากนัก”

ป๋ายเสวียนโบกมือ “มาตรฐานทั่วไป ไม่มีค่าพอให้พูดถึง”

เผยเฉียนยิ้มกล่าว “ไม่เรียนวิชาหมัดก็น่าเสียดายแล้ว”

ป๋ายเสวียนหัวเราะคิกคักพลางกุมหมัดเอ่ย “มีโอกาสจะต้องประลองฝีมือกับพี่หญิงเผยสักหน่อยแล้ว”

เผยเฉียนยิ้มตาหยีพยักหน้ารับ “ได้เลยๆ”

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้ป๋ายเสวียนกระโดดเข้าไปทิ้งชื่อไว้บนสมุดบัญชีบางเล่ม คาดว่ารอให้ในอนาคตป๋ายเสวียนไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็จะค่อยๆ เข้าใจเองว่าวันนี้ตนมีมาดองอาจเป็นผู้กล้ามาแค่ไหน เฉินผิงอันบอกให้เฉิงเฉาลู่กลับมาเดินนิ่ง ส่วนตัวเขาคอยชี้ข้อบกพร่องในรายละเอียดของวิชาหมัดบางอย่าง

อันที่จริงเฉิงเฉาลู่เรียนวิชาหมัดไม่ช้าแล้ว เฉินผิงอันให้เจ้าอ้วนน้อยเดินนิ่งต่อไป ส่วนตัวเองไปนั่งพักผ่อนที่เก้าอี้ไม้ไผ่

เผยเฉียนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กด้านข้าง ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

เฉินผิงอันยิ้มถาม “มีอะไรหรือ?”

สายตาของเผยเฉียนเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน ก้มหน้าเอ่ยว่า “ข้าเคยเห็นป๋ายอวี้จิงจำลองแห่งหนึ่ง”

เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “แล้วยังไงต่อ?”

สองมือของเผยเฉียนกำเป็นหมัดแน่น “ข้าเชื่อฟังอาจารย์พ่อ ไม่มองดูสภาพจิตใจของคนอื่นมากเกินไป ดังนั้นสภาพจิตใจของคนใกล้ชิดที่อยู่ข้างกาย อย่างมากสุดข้าก็มองแค่ครั้งเดียว พ่อครัวเฒ่าก็แค่ครั้งเดียวเหมือนกัน”

ยกตัวอย่างเช่นภาพเหตุการณ์ในสภาพจิตใจของชุยตงซานคือบ่อลึกดำมืด ริมขอบบ่อมีตำราสีทองหลายเล่มวางกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ยกตัวอย่างเช่นลมคาวฝนเลือดของจูเหลี่ยนพ่อครัวเฒ่า มีเพียงหอเรือนสูงหลังหนึ่งตั้งตระหง่าน มีคนยืนพิงราวรั้วมองลงมาจากที่สูง

ตอนที่จูเหลี่ยนกลับคืนสู่บ้านเกิดเคยยิ้มเอ่ยกับเพ่ยเซียงว่า ใครจะมาเป็นคนบอกข้าว่าสรุปแล้วฟ้าดินใช่ของจริงหรือไม่ แล้วยังทอดถอนใจอีกประโยคว่า ‘ตื่นจากฝันคือการกระโดดหน้าผา’

จูเหลี่ยนคุณชายผู้สูงศักดิ์ อันที่จริงในอดีตครั้งแรกที่ออกท่องยุทธภพ ตอนอยู่นอกร้านสุราในชนบท มองสุนัขข้างทางแวบเดียวก็ยากจะปล่อยวางได้อีกตลอดชีวิต ราวกับว่าในความฝันไม่รู้ว่าตัวเองคือแขกผู้มาเยือน น้ำไหลบุปผาร่วงโรยวสันต์จากไป บนฟ้าโลกมนุษย์ ดวงจันทร์กระจ่างหอเรือนสูง

เรื่องพวกนี้เฉินผิงอันล้วนไม่เคยรู้ เผยเฉียนเองก็ไม่รู้ เผยเฉียนเพียงแค่มองเห็นป๋ายอวี้จิงจำลองของราชวงศ์ต้าหลีแล้วยากจะสงบจิตใจได้อีก

เฉินผิงอันครุ่นคิด เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ สีหน้าเป็นธรรมชาติ แหงนหน้ามองท้องฟ้า พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “เจ้าต้องเชื่อมั่นในตัวพ่อครัวเฒ่า ข้าเชื่อมั่นในตัวจูเหลี่ยน”

เผยเฉียนเหมือนได้ยกก้อนหินออกจากอก “ข้าเชื่ออาจารย์พ่อ”

เฉินผิงอันพยักหน้า “เตรียมตัวกลับบ้านกันเถอะ”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+