กระบี่จงมา 756.1 เป็นแขก

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 756.1 เป็นแขก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ก่อนจะออกมาจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา เฉินผิงอันพาเผยเฉียนไปเยือนหาดหินหวงเฮ้อมารอบหนึ่ง เป็นฝ่ายแวะไปเยี่ยมเยือนเย่อวิ๋นอวิ๋นด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันสวมหน้ากากของชายวัยกลางคน ปักปิ่นหยกบนมวยผม สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว เก็บดาบแคบและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงไป ตรงเอวห้อยแค่ป้ายถือศีลชิ้นเดียวเท่านั้น

ส่วนเผยเฉียนนั้นสวมชุดสีดำสะอาดเอี่ยมคล่องตัว ถึงกับเป็นชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งที่เอามาใช้อำพรางปณิธานหมัดบนร่าง

นางมวยผมหางม้าให้เป็นก้อนกลมกลางกระหม่อม เปิดหน้าผากนูนสูง มองดูแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

ชุยตงซานไปเดินเล่นเตร็ดเตร่กับเจียงซ่างเจิน ไม่รู้ว่าไปยุ่งทำอะไรอยู่ตรงไหน เฉินผิงอันจึงไม่ได้เรียกเขามาด้วย

ตรงเอวห้อยป้ายถือศีลสามารถมองข้ามตราผนึกขุนเขาสายน้ำไปได้ ผู้ฝึกตนบนหอเรือนสูงแห่งหนึ่งใช้ดวงจิตมองสำรวจไปรอบด้าน เมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นป้ายถือศีลของจริงจึงไม่ได้มองประเมินคนทั้งสองต่อ

เฉินผิงอันพาเผยเฉียนเดินเข้าไปในหาดหินหวงเอ้อสถานที่ประกอบพิธีกรรมในเปลือกหอยแห่งนั้น ถนนใหญ่กว้างขวาง เรือนประตูสูงตั้งเรียงรายติดกัน ทำให้เฉินผิงอันเหม่อลอยไปชั่วขณะ

พอหาที่พักของเย่อวิ๋นอวิ๋นเจอ เฉินผิงอันก็จับห่วงเคาะประตูใบหน้าสัตว์เคาะลงเบาๆ สามที สาวงามยันต์หน้าตาละมุนละไม สายตาใสกระจ่างคนหนึ่งมาเปิดประตูให้ ยอบตัวคารวะแขกทั้งสอง เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เซียนซือทั้งสองท่านโปรดตามข้ามา”

นางได้รับคำสั่งจากเย่อวิ๋นอวิ๋นมาแล้วจึงพาอาจารย์และศิษย์สองคนเดินลอดผ่านระเบียง หนึ่งก้าวหนึ่งทัศนียภาพ ขยับก้าวเปลี่ยนทิวทัศน์ ในสายตานอกจากทัศนียภาพอันงดงามแล้ว อันที่จริงที่มากไปกว่านั้นก็คือเงินเทพเซียน

ในจวนน้อยใหญ่ของหาดหินหวงเฮ้อ สาวงามหุ่นเชิดจากยันต์ทั้งสามร้อยกว่าตนล้วนมาจากอวี้จือก่าง ว่ากันว่าลำพังเพียงแค่การค้าครั้งนี้ก็เคยทำให้อวี้จือก่างได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ อวี้จือก่างพบเจอกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัวครั้งนั้นทำให้ควันธูปขาดสะบั้นไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นสาวงามยันต์ที่หอซูอี๋ของอวี้จือก่างสร้างขึ้นด้วยวิชาลับจึงหายสาบสูญไปนับแต่นี้

สาวงามหนังจิ้งจอกของสกุลสวี่นครลมเย็นแจกันสมบัติทวีปก็ดูเหมือนว่าอยู่ดีๆ ก็หายไปเช่นกัน นครลมเย็นป่าวประกาศแก่โลกภายนอกว่าแคว้นหูจำเป็นต้องปิดผนึกร้อยปี ทำให้พรรคตระกูลเซียนไม่น้อยเสียดายอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองกำลังบนภูเขาที่เชี่ยวชาญด้านการทำการค้าของแจกันสมบัติทวีปที่ยิ่งรู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้ง ไม่อย่างนั้นหากนำมาขายต่อให้กับใบถงทวีปด้วยราคาสูง ย่อมต้องได้กำไรสูงมาก

เผยเฉียนขมวดคิ้วน้อยๆ รวมเสียงให้เป็นเส้นพูดคุยอย่างลับๆ ว่า “อาจารย์พ่อ มาดของหวงอีอวิ๋นค่อนข้างจะใหญ่ไปสักหน่อย”

หากไปอยู่บนภูเขาลั่วพั่วบ้านตนย่อมไม่มีทางรับรองแขกอย่างขอไปทีเช่นนี้แน่นอน

เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ข้าว่ามาดของเจ้าเองก็ไม่เล็กเลยนะ”

เผยเฉียนกล่าวอย่างอัดอั้น “หากข้ามาเคาะประตูคนเดียว ต่อให้ทางฝั่งนี้ไม่ยอมเปิดประตูก็ยังไม่เป็นไร แต่อาจารย์พ่ออุตส่าห์มาเยือนถึงที่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรเย่อวิ๋นอวิ๋นก็ควรจะโผล่หน้ามาบ้าง ตัวเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ไม่มีความใจกว้างเอาเสียเลย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ออกมาอยู่ข้างนอก ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ อย่าเห็นตัวเองสำคัญเกินไปนัก”

เผยเฉียนรู้สึกอยุติธรรมต่ออาจารย์พ่อ ผลกลับกลายเป็นว่าถูกสั่งสอนไปหนึ่งรอบ แต่นางกลับอารมณ์ดีอย่างมาก

สาวงามยันต์พาสองอาจารย์และศิษย์เดินมาถึงเรือนหลังหนึ่งที่เงียบสงบ ตรงประตูวงเดือนเห็นเงาต้นไผ่ไหวพะเยิบพะยาบอยู่ด้านใน นางยิ้มเอ่ย “ถึงแล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณนางหนึ่งคำ ครั้นจึงฉีกหน้ากากออก ปรากฏตัวด้วยโฉมหน้าที่แท้จริง เดินผ่านทางสายเล็กที่มีต้นไผ่เรียงราย การมองเห็นพลันเปิดกว้าง มีสิ่งปลูกสร้างแห่งหนึ่งที่ด้านหน้ากว้างเก้าห้อง หลังคาปูด้วยกระเบื้องแก้วใสสีมรกต เพียงแต่ว่าไม่อาจทัดเทียมกับกระเบื้องแก้วใสที่เฉินผิงอันเก็บจากอุตรกุรุทวีปในปีนั้นได้ ภายหลังตอนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์เล็กวังมังกร เฉินผิงอันยังอาศัยกระเบื้องแก้วใสเหล่านั้นทำการค้าที่สามารถหักคำนวณเป็นเงินฝนธัญพืชกับฮว่อหลงเจินเหริน ได้ส่วนลดห้าส่วน ดูเหมือนว่าฮว่อหลงเจินเหรินจะเอาไปขายต่อให้กับหอแก้วใสของนครจักรพรรดิขาว

ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าวาสนากับผู้อาวุโสนี้ไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้าจริงๆ

เรือนหลังนี้ใหญ่มาก สามารถเอามาใช้เป็นลานประลองยุทธได้เลย เซวียไหวกำลังประลองฝีมืออยู่กับกวอป๋ายลู่ เซวียไหวเป็นขอบเขตเดินทางไกล ดังนั้นจึงกดขอบเขตไว้หนึ่งขั้น

กวอป๋ายลู่อายุยี่สิบปี เพิ่งเลื่อนเป็นขอบเขตร่างทองได้ไม่นาน แต่กลับได้เลื่อนจากขั้นหกและขั้นเจ็ดด้วยคำว่าแข็งแกร่งที่สุดติดต่อกัน

ดังนั้นการถามหมัดของทั้งสองฝ่ายจึงไม่ถือว่าใครรังแกใคร

เย่อวิ๋นอวิ๋นยืนอยู่ใต้ชายคา กำลังชี้แนะการออกหมัดของคนทั้งสอง

เย่เสวียนจีผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นลูกหลานสกุลเย่ภูเขาผูซานยืนอยู่ด้านข้าง บนร่างสวมชุดกระโปรงเซียนมังกรสาว บนข้อมือสวมกำไลไข่มุกบนฝ่ามือที่หล่อหลอมมาจากไข่มุกฉิวของหลุมน้ำลู่

มิน่าเล่าเจียงซ่างเจินถึงได้มีความสัมพันธ์อันดีกับเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน

เฉินผิงอันหยุดอยู่ที่หน้าประตูลานบ้าน กุมหมัดคารวะ

เย่อวิ๋นอวิ๋นกุมหมัดคารวะกลับคืน

เฉินผิงอันไม่ได้เดินอ้อมผ่านคนทั้งสองที่ประลองยุทธกันอยู่ในลานไปยังใต้ชายคา แต่หยุดเท้าอยู่แค่ตรงนี้ไม่เดินต่อ พอเก็บหมัดมาแล้วก็ผายฝ่ามือเบาๆ บอกเป็นนัยให้เย่อวิ๋นอวิ๋นชี้แนะวิชาหมัดแก่ผู้เยาว์ทั้งสองต่อไป

เย่อวิ๋นอวิ๋นผงกศีรษะรับ แล้วก็ไม่คิดจะเกรงใจเฉาโม่ผู้นี้

ส่วนข้อที่ว่าผู้ฝึกยุทธจากต่างทวีปสองคนที่เป็นคนนอกยิ่งกว่ากวอป๋ายลู่จะขโมยเรียนวิชาหมัดหรือไม่ เย่อวิ๋นอวิ๋นยังไม่ดูแคลนเฉาโม่ถึงขั้นนั้น

เผยเฉียนไม่ได้มองการประมือของคนทั้งสองอย่างละเอียด สายตาของนางมองไปยังทัศนียภาพรอบด้านมากกว่า

เฉินผิงอันกลับไม่จงใจหลีกเลี่ยงการถามหมัดของทั้งสองฝ่าย โอกาสหาได้ยาก สามารถวิเคราะห์สัจธรรมแห่งหมัดของอู๋ซูอริยะบู๊และเรือนอวิ๋นฉ่าวได้คร่าวๆ แล้ว

แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีความเกี่ยวข้องกับขอบเขตที่สูง ไม่อย่างนั้นหากไปเจอกับตอนที่เฉินผิงอันยังเป็นแค่ขอบเขตสามขอบเขตห้า คาดว่าขอแค่อีกฝ่ายไม่ถือสา เฉินผิงอันก็คงจะขอให้ทั้งสองฝ่ายออกหมัดช้าลงสักหน่อย ไม่อย่างนั้นตนคงมองเห็นได้ไม่ชัดเจน

ดังนั้นสิ่งที่เฉินผิงอันให้ความสนใจจึงไม่ใช่กระบวนท่าหมัดของสองฝ่าย แต่เป็น ‘ความหมายเล็กน้อย’ บนร่างของผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ความหมายเล็กน้อยนี้แบ่งออกเป็นสองชนิด ชนิดหนึ่งคือความตั้งใจของวิชาหมัดที่มาจากการสืบทอดผ่านอาจารย์ ต้นกำเนิดน้ำเป็นนั้นมาจากไหน อีกชนิดหนึ่งคือนิสัยใจคอของผู้ฝึกยุทธที่เหมือนผืนนาหัวใจหนึ่งผืน เป็นตัวตัดสินว่าผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งจะสามารถรองรับปณิธานหมัดน้ำไหลได้มากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงความกว้างและแคบของเส้นทางวรยุทธใต้ฝ่าเท้าที่ต้องเดินต่อไป ผลสำเร็จในการเรียนวรยุทธจะสูงได้คร่าวๆ เท่าไร ส่วนนอกเหนือจากความหมายเล็กน้อยนี้แล้วก็หนีไม่พ้นระดับความแข็งแกร่งทางร่างกายของผู้ฝึกยุทธ ใช่กระดาษเปียกหรือไม่ อันที่จริงเจอเข้ากับหนึ่งหมัดก็รู้คำตอบได้แล้ว

เฉินผิงอันใช้เสียงในใจพูดกับเผยเฉียน “ผู้ฝึกยุทธในใต้หล้าที่เรียนหมัดก็มีแค่สองเรื่องคือตีคนอื่นกับโดนคนอื่นตี สิ่งที่แสวงหาในท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้น ‘ข้าปล่อยหมัดมากกว่าเจ้าหนึ่งหมัด’”

เผยเฉียนย่อมต้องฟังเข้าใจ

เฉินผิงอันยิ้มถาม “หากให้เจ้ากดขอบเขตถามหมัดกับกวอป๋ายลู่ผู้นั้นล่ะ?”

เผยเฉียนตอบตามสัตย์จริง “หมัดเดียวล้มคว่ำ เงื่อนไขก็คือกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าเท่ากับหนึ่งหมัด หากเปลี่ยนเป็นกระบวนท่าอื่นคาดว่าคงต้องสักสองสามหมัด”

เฉินผิงอันกำลังจะพูด เผยเฉียนก็รีบพูดเสริมขึ้นมาทันที “อาจารย์พ่อ ข้าหมายถึงตัวเองกดขอบเขตอยู่ที่ขอบเขตหก ไม่ได้บอกว่าดูแคลนผู้สืบทอดของอริยะบู๊ที่ประมาทกดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตห้านะ”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ แสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น ท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์

อันที่จริงความหมายของเขาเมื่อครู่นี้ก็คือให้เผยเฉียนกดขอบเขตอยู่ที่ขอบเขตร่างทองแล้วประลองฝีมือกับกวอป๋ายลู่ที่เป็นขอบเขตเดียวกัน

คุยกันได้ยากแล้ว

จะยังต้องถามหมัดทำบ้าอะไรอีก

เมื่อก่อนตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หนึ่งในเรื่องไม่กี่เรื่องที่ใต้เท้าอิ่นกวานพะวงถึงมากที่สุดหากว่าตัวเองสามารถกลับบ้านเกิดได้ นั่นก็คือจะต้องกดขอบเขตตั้งใจป้อนหมัดให้กับลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาบนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ให้ดีๆ ล้มจากตรงไหนก็คลานขึ้นมาจากตรงนั้น ตอนนี้ลองมองดูแล้วเหมือนว่าขอแค่ตนกล้ากดขอบเขตป้อนหมัดคงจะเป็นยืนอยู่ตรงไหนก็ล้มคว่ำอยู่ตรงนั้นมากกว่ากระมัง? แบบนี้จะได้อย่างไรกัน

เผยเฉียนทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ข้าไม่ใช่อาจารย์พ่อเสียหน่อย เรื่องของการกดขอบเขตต่อสู้กับคนอื่นมักจะทำได้ไม่ดีเลย”

เฉินผิงอันยังคงรักษารอยยิ้มบางๆ เอาไว้ “ถ้าอย่างนั้นก็พยายามให้มากๆ เข้า ไม่อย่างนั้นยังจะมีอาจารย์พ่อไว้ทำอะไรล่ะ เจ้าไม่ต้องจงใจทำเป็นไม่มองดูหมัดของพวกเขา กลับจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าร้อนตัว มองให้เปิดเผยไปเลย เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่ถือสาหรอก ไม่แน่ว่าวันหน้ากวอป๋ายลู่อาจมาเยือนภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเองแล้วขอถามหมัดกับ ‘เจิ้งเฉียน’ ก็เป็นได้”

เผยเฉียนเกาหัว

วิชาหมัดของเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซานมีความลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง พิถีพิถันในท่าทางการเดินเหมือนท่าเดินดารา ศึกษาวิชาหมัดนี้ก็เหมือนการฝึกตน ภาพค่ายกลสิบกว่าภาพที่ทางศาลบรรพจารย์ภูเขาผูซานเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี กระบวนท่าเดินและท่าหมัดส่วนใหญ่ล้วนวิวัฒนาการมาจากภาพเซียนเหริน ยามออกหมัดเน้นให้อยู่ในพื้นที่แค่วัวล้มเท่านั้น ตัดสินแพ้ชนะในพื้นที่หนึ่งจั้ง ยามประมือกับศัตรูที่มาพบเจอกันบนทางแคบ ให้มุ่งโจมตีอย่างรวดเร็วช่วงชิงความได้เปรียบ ฝีเท้าการรุกและถอยของผู้ฝึกยุทธผูซานน้อยแต่เร็ว ท่าหมัดกระชับเรียบง่าย พละกำลังหนักอึ้งมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่า โครงท่าหมัดขั้นต้นใดๆ ล้วนจำเป็นต้องให้ผู้ฝึกยุทธของภูเขาผูซานฝึกซ้อมซ้ำไปซ้ำมาหลายหมื่นครั้งหรืออาจถึงขั้นหลายแสนครั้ง สะสมจากวันเป็นเดือน ปณิธานหมัดทับซ้อน เป็นเหตุให้หากออกหมัดเมื่อไหร่ก็แทบจะใกล้เคียงกับสัญชาตญาณ ง่ายที่จะฉวยโอกาสชิงความได้เปรียบมาก่อน อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในการ ‘แลกหมัด’ กับศัตรู แต่กลับต้องให้ข้าปล่อยหมัดออกไปสองสามหมัด เพียงเพื่อแลกหมัดหนึ่งของคนอื่นกระทบบนร่าง นี่คือ ‘วิถีการรับรองแขก’ ที่มีเฉพาะของผู้ฝึกยุทธเรือนอวิ๋นฉ่าว

หากเป็นการเข่นฆ่าเอาชีวิตกันระหว่างผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธภูเขาผูซานก็ถูกขนานนามว่า ‘หมัดเดียวตัดสินเป็นตาย’

และนี่ก็คือสาเหตุหลักที่เจียงซ่างเจินเรียกร้องไม่ให้เย่อวิ๋นอวิ๋นประลองฝีมือกับอริยะบู๊อู๋ซูง่ายๆ หมัดของอู๋ซูหนักจนถึงขั้นไร้คุณธรรมใดๆ ให้กล่าวถึง หมัดและเท้าของเย่อวิ๋นอวิ๋นก็ไม่เบาเช่นกัน อำมหิตอย่างถึงที่สุด

หวังฟู่ซู่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางของอุตรกุรุทวีปเคยกล่าวไว้ว่าเพ่ยอาเซียงแห่งศาลเหลยกงต่อยหมัดเหมือนสตรี เย่อวิ๋นอวิ๋นแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าวออกหมัดเหมือนบุรุษ เพ่ยอาเซียงไม่แต่งงานเป็นภรรยาให้หวงอีอวิ๋นก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ

เผยเฉียนตั้งใจมองดูการถามหมัดทางด้านนั้นแล้วก็ต้องอดทน อดทนแล้วอดทนอีก สุดท้ายก็ยังอดไม่ไหว ต้องแอบกระซิบกับอาจารย์พ่อว่า “กวอป๋ายลู่ออกหมัดงดงามเกินไป ประมือกับศัตรูถือว่าพอจะมีประสบการณ์ แต่กลับไม่อาจเจอหมัดหนักๆ ได้จริงๆ หากพูดตามคำกล่าวของอาจารย์พ่อก็คือเรียนหมัดเรียนได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น หากเจอเข้ากับการเข่นฆ่าตัดสินเป็นตายที่ตกเป็นรองเล็กน้อย กวอป๋ายลู่ต้องเจอกับปัญหาใหญ่แน่นอน ส่วนเซวียไหวผู้นี้ก็หมัดตายตัวเกินไป ถึงขั้นกดขอบเขตจนมิดชิดแม้แต่ลมก็ไม่อาจลอดผ่าน เป็นเหตุให้ปณิธานหมัดชะงักค้าง อาจารย์พ่อ อู๋ซูอริยะบู๊กับหวงอีอวิ๋นไม่ได้ตั้งใจสอนวิชาหมัดและป้อนหมัดใช่ไหม?”

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างระอาใจ “มองให้มากพูดให้น้อย”

เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที

กวอป๋ายลู่คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอู๋ซู มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายด้วย ดังนั้นจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาหมัดจากอู๋ซูมาทั้งหมด

เซวียไหวเองก็เป็นลูกศิษย์ที่เย่อวิ๋นอวิ๋นให้ความสำคัญ การถามหมัดที่ใช้เวลาไปครึ่งก้านธูป โอกาสที่ทั้งสองฝ่ายได้ประมือกันอย่างแท้จริง อันที่จริงมีแค่สามครั้ง อีกทั้งแนวทางการใช้หมัดของทั้งสองฝ่ายยังเรียบง่ายไร้ลวดลาย แทบจะไม่ได้แสดงออกถึงโครงท่าที่ชัดเจนอะไรเลย พูดง่ายๆ ก็คือต่างก็ไม่ใช่นักสู้ในยุทธภพ ไม่กระโดดโลดเต้นไปทั่วลาน ไม่ตั้งท่าหมัดส่งเดช ปากก็ไม่ได้ตะโกนเสียงดังหืดหาด อยู่ในสายตาของคนนอกที่ดูเรื่องสนุก แน่นอนว่าไม่มีอะไรน่าดู

หากเพียงแค่เรียนท่าหมัดของสองสำนัก ไม่รู้ถึงความหมายของมัน ถ้าอย่างนั้นหากไปเปิดศูนย์สอนวรยุทธในยุทธภพก็รับรองว่าไม่มีการค้าอะไรแน่นอน จะต้องยากจนจนไม่มีข้าวสารกรอกหม้อเป็นแน่

เย่อวิ๋นอวิ๋นกล่าว “พักกันก่อนหนึ่งก้านธูป หลังจากนี้เซวียไหวไม่ต้องกดขอบเขตอีก”

เซวียไหวและกวอป๋ายลู่ต่างก็ถอยหลังไปกันคนละก้าวในเวลาเดียวกัน ต่างคนต่างกุมหมัดคารวะอีกฝ่าย

เข้ามาในห้องโถงใหญ่ของจวน ทั้งเจ้าบ้านและแขกต่างก็นั่งลง

เซวียไหวกับกวอป๋ายลู่ล้วนยังอยู่ด้านนอก

เย่เสวียนจีเตรียมน้ำชาดีๆ เอาไว้แล้ว คือชาล่านเสิง (เชือกเปื่อย/เชือกเน่า) ที่มีชื่อเสียงที่สุดของท่าเรืออวิ๋นสุ่ย ชื่อของใบชาไม่น่าฟัง แต่กลับรสชาติดี คือหนึ่งในสิบชาใหญ่ที่มีชื่อเสียงบนภูเขาของใบถงทวีป

เดิมทีเผยเฉียนอยากจะยืนอยู่ด้านหลังอาจารย์พ่อ แต่กลับถูกเฉินผิงอันไล่ให้ไปนั่งลง

เฉินผิงอันมองเผยเฉียนที่นั่งตัวตรงอย่างสำรวม

เผยเฉียนเมื่อหลายปีก่อนยังคงเป็นแม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านที่ขอแค่ได้นอนก็จะไม่ยอมนั่งเด็ดขาด และหากได้นั่งก็จะไม่ยอมยืนเด็ดขาด ทุกครั้งที่ได้หยุดพักเท้าหลังออกเดินทางไกล ขอแค่นางเห็นม้านั่งก็จะชักเท้าวิ่งเข้าไปยึดครองที่นั่งทันที แต่ว่าตอนนั้นนางอายุยังน้อย ทุกครั้งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สองเท้ามักจะเหยียบไม่ถึงพื้นเสมอ

เฉินผิงอันเก็บความคิด มองไปยังเย่อวิ๋นอวิ๋นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เปิดปากเอ่ยว่า “ผู้เยาว์สนิทกับเทพเซียนผู้เฒ่าลู่ของตำหนักพยัคฆ์เขียว ออกเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้น่าจะต้องผ่านยอดเขาชิงแจว๋ของภูเขาชิงจิ้ง ถึงเวลานั้นจะไปขอยานั่งลืมตนมาให้กับภูเขาผูซานสักสามสี่เม็ด ถือว่าเป็นของขวัญขออภัยแก่ผู้อาวุโส”

เย่อวิ๋นอวิ๋นส่ายหน้า “ของขวัญหนักเกินไป อาจารย์เฉาไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันเช่นนี้”

เห็นชุดที่เฉาโม่สวมเป็นชุดกว้าสีเขียวตัวยาวเหมือนบัณฑิต เย่อวิ๋นอวิ๋นจึงไม่สะดวกจะเรียกชื่อของอีกฝ่ายตามตรง เลยเลือกเรียกว่าอาจารย์แทน

ลู่ยงก่อกำเนิดผู้เฒ่าของตำหนักพยัคฆ์เขียว ทุกวันนี้กลายเป็นปรมาจารย์ด้านการหลอมโอสถที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งยานั่งลืมตนของตำหนักพยัคฆ์เขียวที่ยิ่งเป็นหนึ่งในวิชาหลอมยาที่ลู่ยงชำนาญ

ยานี้สามารถช่วยให้ผู้ฝึกตนสงบจิตใจ บำรุงให้ความอบอุ่นแก่ช่องโพรงหัวใจ ขจัดภัยแฝงเล็กๆ น้อยๆ ของผู้ฝึกตน เพียงแต่ว่ายานั่งลืมตนนั้นนอกจากจะต้องเผาผลาญวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินไปมหาศาลแล้ว ยังมีข้อเรียกร้องต่อฟ้าอำนวยและดินอวยพรสูงอย่างมาก กุญแจสำคัญคือต้องเผาผลาญปราณวิญญาณขุนเขาสายน้ำที่มีเฉพาะในภูเขาชิงจิ้ง ดังนั้นในอดีตตอนที่ศาลบรรพจารย์สำนักใบถงประทานรางวัลให้กับเซียนดินที่มีคุณความชอบก็มักจะมียานั่งลืมตนอยู่ด้วยสองสามเม็ดเสมอ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวใช่ว่าจะไม่สามารถกินยานี้ได้ แต่เป็นเพราะนั่นเป็นการเหยียบย่ำวัตถุดิบล้ำค่าให้สิ้นเปลืองมากเกินไป หากอิงตามคำกล่าวของลู่ยงที่เอ่ยกับ ‘คุณชายเฉิน’ ท่านหนึ่งในอดีตก็คือ ยานั่งลืมตนมอบให้กับคนมุทะลุที่เดินบนเส้นทางหัวขาดก็เหมือนวัวเคี้ยวดอกโบตั๋น เอาของดีมาใช้อย่างไร้ประโยชน์เกินไป

สำหรับเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซานที่เส้นแบ่งของผู้ฝึกยุทธและผู้ฝึกตนไม่ได้แบ่งแยกชัดเจนมากนัก การหลอมยานั่งลืมตนหนึ่งเตา ไม่ว่าจะได้กี่เม็ดก็ล้วนถือเป็นของบำรุงชิ้นใหญ่ที่เป็นดั่งการส่งถ่านท่ามกลางหิมะ

ดังนั้นเฉาโม่ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้จึงถือว่ารู้จักวางตัวอย่างแท้จริง

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 756.1 เป็นแขก

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 756.1 เป็นแขก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ก่อนจะออกมาจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา เฉินผิงอันพาเผยเฉียนไปเยือนหาดหินหวงเฮ้อมารอบหนึ่ง เป็นฝ่ายแวะไปเยี่ยมเยือนเย่อวิ๋นอวิ๋นด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันสวมหน้ากากของชายวัยกลางคน ปักปิ่นหยกบนมวยผม สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว เก็บดาบแคบและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงไป ตรงเอวห้อยแค่ป้ายถือศีลชิ้นเดียวเท่านั้น

ส่วนเผยเฉียนนั้นสวมชุดสีดำสะอาดเอี่ยมคล่องตัว ถึงกับเป็นชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งที่เอามาใช้อำพรางปณิธานหมัดบนร่าง

นางมวยผมหางม้าให้เป็นก้อนกลมกลางกระหม่อม เปิดหน้าผากนูนสูง มองดูแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

ชุยตงซานไปเดินเล่นเตร็ดเตร่กับเจียงซ่างเจิน ไม่รู้ว่าไปยุ่งทำอะไรอยู่ตรงไหน เฉินผิงอันจึงไม่ได้เรียกเขามาด้วย

ตรงเอวห้อยป้ายถือศีลสามารถมองข้ามตราผนึกขุนเขาสายน้ำไปได้ ผู้ฝึกตนบนหอเรือนสูงแห่งหนึ่งใช้ดวงจิตมองสำรวจไปรอบด้าน เมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นป้ายถือศีลของจริงจึงไม่ได้มองประเมินคนทั้งสองต่อ

เฉินผิงอันพาเผยเฉียนเดินเข้าไปในหาดหินหวงเอ้อสถานที่ประกอบพิธีกรรมในเปลือกหอยแห่งนั้น ถนนใหญ่กว้างขวาง เรือนประตูสูงตั้งเรียงรายติดกัน ทำให้เฉินผิงอันเหม่อลอยไปชั่วขณะ

พอหาที่พักของเย่อวิ๋นอวิ๋นเจอ เฉินผิงอันก็จับห่วงเคาะประตูใบหน้าสัตว์เคาะลงเบาๆ สามที สาวงามยันต์หน้าตาละมุนละไม สายตาใสกระจ่างคนหนึ่งมาเปิดประตูให้ ยอบตัวคารวะแขกทั้งสอง เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เซียนซือทั้งสองท่านโปรดตามข้ามา”

นางได้รับคำสั่งจากเย่อวิ๋นอวิ๋นมาแล้วจึงพาอาจารย์และศิษย์สองคนเดินลอดผ่านระเบียง หนึ่งก้าวหนึ่งทัศนียภาพ ขยับก้าวเปลี่ยนทิวทัศน์ ในสายตานอกจากทัศนียภาพอันงดงามแล้ว อันที่จริงที่มากไปกว่านั้นก็คือเงินเทพเซียน

ในจวนน้อยใหญ่ของหาดหินหวงเฮ้อ สาวงามหุ่นเชิดจากยันต์ทั้งสามร้อยกว่าตนล้วนมาจากอวี้จือก่าง ว่ากันว่าลำพังเพียงแค่การค้าครั้งนี้ก็เคยทำให้อวี้จือก่างได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ อวี้จือก่างพบเจอกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัวครั้งนั้นทำให้ควันธูปขาดสะบั้นไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นสาวงามยันต์ที่หอซูอี๋ของอวี้จือก่างสร้างขึ้นด้วยวิชาลับจึงหายสาบสูญไปนับแต่นี้

สาวงามหนังจิ้งจอกของสกุลสวี่นครลมเย็นแจกันสมบัติทวีปก็ดูเหมือนว่าอยู่ดีๆ ก็หายไปเช่นกัน นครลมเย็นป่าวประกาศแก่โลกภายนอกว่าแคว้นหูจำเป็นต้องปิดผนึกร้อยปี ทำให้พรรคตระกูลเซียนไม่น้อยเสียดายอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองกำลังบนภูเขาที่เชี่ยวชาญด้านการทำการค้าของแจกันสมบัติทวีปที่ยิ่งรู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้ง ไม่อย่างนั้นหากนำมาขายต่อให้กับใบถงทวีปด้วยราคาสูง ย่อมต้องได้กำไรสูงมาก

เผยเฉียนขมวดคิ้วน้อยๆ รวมเสียงให้เป็นเส้นพูดคุยอย่างลับๆ ว่า “อาจารย์พ่อ มาดของหวงอีอวิ๋นค่อนข้างจะใหญ่ไปสักหน่อย”

หากไปอยู่บนภูเขาลั่วพั่วบ้านตนย่อมไม่มีทางรับรองแขกอย่างขอไปทีเช่นนี้แน่นอน

เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ข้าว่ามาดของเจ้าเองก็ไม่เล็กเลยนะ”

เผยเฉียนกล่าวอย่างอัดอั้น “หากข้ามาเคาะประตูคนเดียว ต่อให้ทางฝั่งนี้ไม่ยอมเปิดประตูก็ยังไม่เป็นไร แต่อาจารย์พ่ออุตส่าห์มาเยือนถึงที่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรเย่อวิ๋นอวิ๋นก็ควรจะโผล่หน้ามาบ้าง ตัวเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ไม่มีความใจกว้างเอาเสียเลย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ออกมาอยู่ข้างนอก ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ อย่าเห็นตัวเองสำคัญเกินไปนัก”

เผยเฉียนรู้สึกอยุติธรรมต่ออาจารย์พ่อ ผลกลับกลายเป็นว่าถูกสั่งสอนไปหนึ่งรอบ แต่นางกลับอารมณ์ดีอย่างมาก

สาวงามยันต์พาสองอาจารย์และศิษย์เดินมาถึงเรือนหลังหนึ่งที่เงียบสงบ ตรงประตูวงเดือนเห็นเงาต้นไผ่ไหวพะเยิบพะยาบอยู่ด้านใน นางยิ้มเอ่ย “ถึงแล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณนางหนึ่งคำ ครั้นจึงฉีกหน้ากากออก ปรากฏตัวด้วยโฉมหน้าที่แท้จริง เดินผ่านทางสายเล็กที่มีต้นไผ่เรียงราย การมองเห็นพลันเปิดกว้าง มีสิ่งปลูกสร้างแห่งหนึ่งที่ด้านหน้ากว้างเก้าห้อง หลังคาปูด้วยกระเบื้องแก้วใสสีมรกต เพียงแต่ว่าไม่อาจทัดเทียมกับกระเบื้องแก้วใสที่เฉินผิงอันเก็บจากอุตรกุรุทวีปในปีนั้นได้ ภายหลังตอนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์เล็กวังมังกร เฉินผิงอันยังอาศัยกระเบื้องแก้วใสเหล่านั้นทำการค้าที่สามารถหักคำนวณเป็นเงินฝนธัญพืชกับฮว่อหลงเจินเหริน ได้ส่วนลดห้าส่วน ดูเหมือนว่าฮว่อหลงเจินเหรินจะเอาไปขายต่อให้กับหอแก้วใสของนครจักรพรรดิขาว

ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าวาสนากับผู้อาวุโสนี้ไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้าจริงๆ

เรือนหลังนี้ใหญ่มาก สามารถเอามาใช้เป็นลานประลองยุทธได้เลย เซวียไหวกำลังประลองฝีมืออยู่กับกวอป๋ายลู่ เซวียไหวเป็นขอบเขตเดินทางไกล ดังนั้นจึงกดขอบเขตไว้หนึ่งขั้น

กวอป๋ายลู่อายุยี่สิบปี เพิ่งเลื่อนเป็นขอบเขตร่างทองได้ไม่นาน แต่กลับได้เลื่อนจากขั้นหกและขั้นเจ็ดด้วยคำว่าแข็งแกร่งที่สุดติดต่อกัน

ดังนั้นการถามหมัดของทั้งสองฝ่ายจึงไม่ถือว่าใครรังแกใคร

เย่อวิ๋นอวิ๋นยืนอยู่ใต้ชายคา กำลังชี้แนะการออกหมัดของคนทั้งสอง

เย่เสวียนจีผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นลูกหลานสกุลเย่ภูเขาผูซานยืนอยู่ด้านข้าง บนร่างสวมชุดกระโปรงเซียนมังกรสาว บนข้อมือสวมกำไลไข่มุกบนฝ่ามือที่หล่อหลอมมาจากไข่มุกฉิวของหลุมน้ำลู่

มิน่าเล่าเจียงซ่างเจินถึงได้มีความสัมพันธ์อันดีกับเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน

เฉินผิงอันหยุดอยู่ที่หน้าประตูลานบ้าน กุมหมัดคารวะ

เย่อวิ๋นอวิ๋นกุมหมัดคารวะกลับคืน

เฉินผิงอันไม่ได้เดินอ้อมผ่านคนทั้งสองที่ประลองยุทธกันอยู่ในลานไปยังใต้ชายคา แต่หยุดเท้าอยู่แค่ตรงนี้ไม่เดินต่อ พอเก็บหมัดมาแล้วก็ผายฝ่ามือเบาๆ บอกเป็นนัยให้เย่อวิ๋นอวิ๋นชี้แนะวิชาหมัดแก่ผู้เยาว์ทั้งสองต่อไป

เย่อวิ๋นอวิ๋นผงกศีรษะรับ แล้วก็ไม่คิดจะเกรงใจเฉาโม่ผู้นี้

ส่วนข้อที่ว่าผู้ฝึกยุทธจากต่างทวีปสองคนที่เป็นคนนอกยิ่งกว่ากวอป๋ายลู่จะขโมยเรียนวิชาหมัดหรือไม่ เย่อวิ๋นอวิ๋นยังไม่ดูแคลนเฉาโม่ถึงขั้นนั้น

เผยเฉียนไม่ได้มองการประมือของคนทั้งสองอย่างละเอียด สายตาของนางมองไปยังทัศนียภาพรอบด้านมากกว่า

เฉินผิงอันกลับไม่จงใจหลีกเลี่ยงการถามหมัดของทั้งสองฝ่าย โอกาสหาได้ยาก สามารถวิเคราะห์สัจธรรมแห่งหมัดของอู๋ซูอริยะบู๊และเรือนอวิ๋นฉ่าวได้คร่าวๆ แล้ว

แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีความเกี่ยวข้องกับขอบเขตที่สูง ไม่อย่างนั้นหากไปเจอกับตอนที่เฉินผิงอันยังเป็นแค่ขอบเขตสามขอบเขตห้า คาดว่าขอแค่อีกฝ่ายไม่ถือสา เฉินผิงอันก็คงจะขอให้ทั้งสองฝ่ายออกหมัดช้าลงสักหน่อย ไม่อย่างนั้นตนคงมองเห็นได้ไม่ชัดเจน

ดังนั้นสิ่งที่เฉินผิงอันให้ความสนใจจึงไม่ใช่กระบวนท่าหมัดของสองฝ่าย แต่เป็น ‘ความหมายเล็กน้อย’ บนร่างของผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ความหมายเล็กน้อยนี้แบ่งออกเป็นสองชนิด ชนิดหนึ่งคือความตั้งใจของวิชาหมัดที่มาจากการสืบทอดผ่านอาจารย์ ต้นกำเนิดน้ำเป็นนั้นมาจากไหน อีกชนิดหนึ่งคือนิสัยใจคอของผู้ฝึกยุทธที่เหมือนผืนนาหัวใจหนึ่งผืน เป็นตัวตัดสินว่าผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งจะสามารถรองรับปณิธานหมัดน้ำไหลได้มากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงความกว้างและแคบของเส้นทางวรยุทธใต้ฝ่าเท้าที่ต้องเดินต่อไป ผลสำเร็จในการเรียนวรยุทธจะสูงได้คร่าวๆ เท่าไร ส่วนนอกเหนือจากความหมายเล็กน้อยนี้แล้วก็หนีไม่พ้นระดับความแข็งแกร่งทางร่างกายของผู้ฝึกยุทธ ใช่กระดาษเปียกหรือไม่ อันที่จริงเจอเข้ากับหนึ่งหมัดก็รู้คำตอบได้แล้ว

เฉินผิงอันใช้เสียงในใจพูดกับเผยเฉียน “ผู้ฝึกยุทธในใต้หล้าที่เรียนหมัดก็มีแค่สองเรื่องคือตีคนอื่นกับโดนคนอื่นตี สิ่งที่แสวงหาในท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้น ‘ข้าปล่อยหมัดมากกว่าเจ้าหนึ่งหมัด’”

เผยเฉียนย่อมต้องฟังเข้าใจ

เฉินผิงอันยิ้มถาม “หากให้เจ้ากดขอบเขตถามหมัดกับกวอป๋ายลู่ผู้นั้นล่ะ?”

เผยเฉียนตอบตามสัตย์จริง “หมัดเดียวล้มคว่ำ เงื่อนไขก็คือกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าเท่ากับหนึ่งหมัด หากเปลี่ยนเป็นกระบวนท่าอื่นคาดว่าคงต้องสักสองสามหมัด”

เฉินผิงอันกำลังจะพูด เผยเฉียนก็รีบพูดเสริมขึ้นมาทันที “อาจารย์พ่อ ข้าหมายถึงตัวเองกดขอบเขตอยู่ที่ขอบเขตหก ไม่ได้บอกว่าดูแคลนผู้สืบทอดของอริยะบู๊ที่ประมาทกดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตห้านะ”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ แสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น ท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์

อันที่จริงความหมายของเขาเมื่อครู่นี้ก็คือให้เผยเฉียนกดขอบเขตอยู่ที่ขอบเขตร่างทองแล้วประลองฝีมือกับกวอป๋ายลู่ที่เป็นขอบเขตเดียวกัน

คุยกันได้ยากแล้ว

จะยังต้องถามหมัดทำบ้าอะไรอีก

เมื่อก่อนตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หนึ่งในเรื่องไม่กี่เรื่องที่ใต้เท้าอิ่นกวานพะวงถึงมากที่สุดหากว่าตัวเองสามารถกลับบ้านเกิดได้ นั่นก็คือจะต้องกดขอบเขตตั้งใจป้อนหมัดให้กับลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาบนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ให้ดีๆ ล้มจากตรงไหนก็คลานขึ้นมาจากตรงนั้น ตอนนี้ลองมองดูแล้วเหมือนว่าขอแค่ตนกล้ากดขอบเขตป้อนหมัดคงจะเป็นยืนอยู่ตรงไหนก็ล้มคว่ำอยู่ตรงนั้นมากกว่ากระมัง? แบบนี้จะได้อย่างไรกัน

เผยเฉียนทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ข้าไม่ใช่อาจารย์พ่อเสียหน่อย เรื่องของการกดขอบเขตต่อสู้กับคนอื่นมักจะทำได้ไม่ดีเลย”

เฉินผิงอันยังคงรักษารอยยิ้มบางๆ เอาไว้ “ถ้าอย่างนั้นก็พยายามให้มากๆ เข้า ไม่อย่างนั้นยังจะมีอาจารย์พ่อไว้ทำอะไรล่ะ เจ้าไม่ต้องจงใจทำเป็นไม่มองดูหมัดของพวกเขา กลับจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าร้อนตัว มองให้เปิดเผยไปเลย เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่ถือสาหรอก ไม่แน่ว่าวันหน้ากวอป๋ายลู่อาจมาเยือนภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเองแล้วขอถามหมัดกับ ‘เจิ้งเฉียน’ ก็เป็นได้”

เผยเฉียนเกาหัว

วิชาหมัดของเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซานมีความลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง พิถีพิถันในท่าทางการเดินเหมือนท่าเดินดารา ศึกษาวิชาหมัดนี้ก็เหมือนการฝึกตน ภาพค่ายกลสิบกว่าภาพที่ทางศาลบรรพจารย์ภูเขาผูซานเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี กระบวนท่าเดินและท่าหมัดส่วนใหญ่ล้วนวิวัฒนาการมาจากภาพเซียนเหริน ยามออกหมัดเน้นให้อยู่ในพื้นที่แค่วัวล้มเท่านั้น ตัดสินแพ้ชนะในพื้นที่หนึ่งจั้ง ยามประมือกับศัตรูที่มาพบเจอกันบนทางแคบ ให้มุ่งโจมตีอย่างรวดเร็วช่วงชิงความได้เปรียบ ฝีเท้าการรุกและถอยของผู้ฝึกยุทธผูซานน้อยแต่เร็ว ท่าหมัดกระชับเรียบง่าย พละกำลังหนักอึ้งมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่า โครงท่าหมัดขั้นต้นใดๆ ล้วนจำเป็นต้องให้ผู้ฝึกยุทธของภูเขาผูซานฝึกซ้อมซ้ำไปซ้ำมาหลายหมื่นครั้งหรืออาจถึงขั้นหลายแสนครั้ง สะสมจากวันเป็นเดือน ปณิธานหมัดทับซ้อน เป็นเหตุให้หากออกหมัดเมื่อไหร่ก็แทบจะใกล้เคียงกับสัญชาตญาณ ง่ายที่จะฉวยโอกาสชิงความได้เปรียบมาก่อน อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในการ ‘แลกหมัด’ กับศัตรู แต่กลับต้องให้ข้าปล่อยหมัดออกไปสองสามหมัด เพียงเพื่อแลกหมัดหนึ่งของคนอื่นกระทบบนร่าง นี่คือ ‘วิถีการรับรองแขก’ ที่มีเฉพาะของผู้ฝึกยุทธเรือนอวิ๋นฉ่าว

หากเป็นการเข่นฆ่าเอาชีวิตกันระหว่างผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธภูเขาผูซานก็ถูกขนานนามว่า ‘หมัดเดียวตัดสินเป็นตาย’

และนี่ก็คือสาเหตุหลักที่เจียงซ่างเจินเรียกร้องไม่ให้เย่อวิ๋นอวิ๋นประลองฝีมือกับอริยะบู๊อู๋ซูง่ายๆ หมัดของอู๋ซูหนักจนถึงขั้นไร้คุณธรรมใดๆ ให้กล่าวถึง หมัดและเท้าของเย่อวิ๋นอวิ๋นก็ไม่เบาเช่นกัน อำมหิตอย่างถึงที่สุด

หวังฟู่ซู่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางของอุตรกุรุทวีปเคยกล่าวไว้ว่าเพ่ยอาเซียงแห่งศาลเหลยกงต่อยหมัดเหมือนสตรี เย่อวิ๋นอวิ๋นแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าวออกหมัดเหมือนบุรุษ เพ่ยอาเซียงไม่แต่งงานเป็นภรรยาให้หวงอีอวิ๋นก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ

เผยเฉียนตั้งใจมองดูการถามหมัดทางด้านนั้นแล้วก็ต้องอดทน อดทนแล้วอดทนอีก สุดท้ายก็ยังอดไม่ไหว ต้องแอบกระซิบกับอาจารย์พ่อว่า “กวอป๋ายลู่ออกหมัดงดงามเกินไป ประมือกับศัตรูถือว่าพอจะมีประสบการณ์ แต่กลับไม่อาจเจอหมัดหนักๆ ได้จริงๆ หากพูดตามคำกล่าวของอาจารย์พ่อก็คือเรียนหมัดเรียนได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น หากเจอเข้ากับการเข่นฆ่าตัดสินเป็นตายที่ตกเป็นรองเล็กน้อย กวอป๋ายลู่ต้องเจอกับปัญหาใหญ่แน่นอน ส่วนเซวียไหวผู้นี้ก็หมัดตายตัวเกินไป ถึงขั้นกดขอบเขตจนมิดชิดแม้แต่ลมก็ไม่อาจลอดผ่าน เป็นเหตุให้ปณิธานหมัดชะงักค้าง อาจารย์พ่อ อู๋ซูอริยะบู๊กับหวงอีอวิ๋นไม่ได้ตั้งใจสอนวิชาหมัดและป้อนหมัดใช่ไหม?”

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างระอาใจ “มองให้มากพูดให้น้อย”

เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที

กวอป๋ายลู่คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอู๋ซู มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายด้วย ดังนั้นจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาหมัดจากอู๋ซูมาทั้งหมด

เซวียไหวเองก็เป็นลูกศิษย์ที่เย่อวิ๋นอวิ๋นให้ความสำคัญ การถามหมัดที่ใช้เวลาไปครึ่งก้านธูป โอกาสที่ทั้งสองฝ่ายได้ประมือกันอย่างแท้จริง อันที่จริงมีแค่สามครั้ง อีกทั้งแนวทางการใช้หมัดของทั้งสองฝ่ายยังเรียบง่ายไร้ลวดลาย แทบจะไม่ได้แสดงออกถึงโครงท่าที่ชัดเจนอะไรเลย พูดง่ายๆ ก็คือต่างก็ไม่ใช่นักสู้ในยุทธภพ ไม่กระโดดโลดเต้นไปทั่วลาน ไม่ตั้งท่าหมัดส่งเดช ปากก็ไม่ได้ตะโกนเสียงดังหืดหาด อยู่ในสายตาของคนนอกที่ดูเรื่องสนุก แน่นอนว่าไม่มีอะไรน่าดู

หากเพียงแค่เรียนท่าหมัดของสองสำนัก ไม่รู้ถึงความหมายของมัน ถ้าอย่างนั้นหากไปเปิดศูนย์สอนวรยุทธในยุทธภพก็รับรองว่าไม่มีการค้าอะไรแน่นอน จะต้องยากจนจนไม่มีข้าวสารกรอกหม้อเป็นแน่

เย่อวิ๋นอวิ๋นกล่าว “พักกันก่อนหนึ่งก้านธูป หลังจากนี้เซวียไหวไม่ต้องกดขอบเขตอีก”

เซวียไหวและกวอป๋ายลู่ต่างก็ถอยหลังไปกันคนละก้าวในเวลาเดียวกัน ต่างคนต่างกุมหมัดคารวะอีกฝ่าย

เข้ามาในห้องโถงใหญ่ของจวน ทั้งเจ้าบ้านและแขกต่างก็นั่งลง

เซวียไหวกับกวอป๋ายลู่ล้วนยังอยู่ด้านนอก

เย่เสวียนจีเตรียมน้ำชาดีๆ เอาไว้แล้ว คือชาล่านเสิง (เชือกเปื่อย/เชือกเน่า) ที่มีชื่อเสียงที่สุดของท่าเรืออวิ๋นสุ่ย ชื่อของใบชาไม่น่าฟัง แต่กลับรสชาติดี คือหนึ่งในสิบชาใหญ่ที่มีชื่อเสียงบนภูเขาของใบถงทวีป

เดิมทีเผยเฉียนอยากจะยืนอยู่ด้านหลังอาจารย์พ่อ แต่กลับถูกเฉินผิงอันไล่ให้ไปนั่งลง

เฉินผิงอันมองเผยเฉียนที่นั่งตัวตรงอย่างสำรวม

เผยเฉียนเมื่อหลายปีก่อนยังคงเป็นแม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านที่ขอแค่ได้นอนก็จะไม่ยอมนั่งเด็ดขาด และหากได้นั่งก็จะไม่ยอมยืนเด็ดขาด ทุกครั้งที่ได้หยุดพักเท้าหลังออกเดินทางไกล ขอแค่นางเห็นม้านั่งก็จะชักเท้าวิ่งเข้าไปยึดครองที่นั่งทันที แต่ว่าตอนนั้นนางอายุยังน้อย ทุกครั้งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สองเท้ามักจะเหยียบไม่ถึงพื้นเสมอ

เฉินผิงอันเก็บความคิด มองไปยังเย่อวิ๋นอวิ๋นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เปิดปากเอ่ยว่า “ผู้เยาว์สนิทกับเทพเซียนผู้เฒ่าลู่ของตำหนักพยัคฆ์เขียว ออกเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้น่าจะต้องผ่านยอดเขาชิงแจว๋ของภูเขาชิงจิ้ง ถึงเวลานั้นจะไปขอยานั่งลืมตนมาให้กับภูเขาผูซานสักสามสี่เม็ด ถือว่าเป็นของขวัญขออภัยแก่ผู้อาวุโส”

เย่อวิ๋นอวิ๋นส่ายหน้า “ของขวัญหนักเกินไป อาจารย์เฉาไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันเช่นนี้”

เห็นชุดที่เฉาโม่สวมเป็นชุดกว้าสีเขียวตัวยาวเหมือนบัณฑิต เย่อวิ๋นอวิ๋นจึงไม่สะดวกจะเรียกชื่อของอีกฝ่ายตามตรง เลยเลือกเรียกว่าอาจารย์แทน

ลู่ยงก่อกำเนิดผู้เฒ่าของตำหนักพยัคฆ์เขียว ทุกวันนี้กลายเป็นปรมาจารย์ด้านการหลอมโอสถที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งยานั่งลืมตนของตำหนักพยัคฆ์เขียวที่ยิ่งเป็นหนึ่งในวิชาหลอมยาที่ลู่ยงชำนาญ

ยานี้สามารถช่วยให้ผู้ฝึกตนสงบจิตใจ บำรุงให้ความอบอุ่นแก่ช่องโพรงหัวใจ ขจัดภัยแฝงเล็กๆ น้อยๆ ของผู้ฝึกตน เพียงแต่ว่ายานั่งลืมตนนั้นนอกจากจะต้องเผาผลาญวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินไปมหาศาลแล้ว ยังมีข้อเรียกร้องต่อฟ้าอำนวยและดินอวยพรสูงอย่างมาก กุญแจสำคัญคือต้องเผาผลาญปราณวิญญาณขุนเขาสายน้ำที่มีเฉพาะในภูเขาชิงจิ้ง ดังนั้นในอดีตตอนที่ศาลบรรพจารย์สำนักใบถงประทานรางวัลให้กับเซียนดินที่มีคุณความชอบก็มักจะมียานั่งลืมตนอยู่ด้วยสองสามเม็ดเสมอ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวใช่ว่าจะไม่สามารถกินยานี้ได้ แต่เป็นเพราะนั่นเป็นการเหยียบย่ำวัตถุดิบล้ำค่าให้สิ้นเปลืองมากเกินไป หากอิงตามคำกล่าวของลู่ยงที่เอ่ยกับ ‘คุณชายเฉิน’ ท่านหนึ่งในอดีตก็คือ ยานั่งลืมตนมอบให้กับคนมุทะลุที่เดินบนเส้นทางหัวขาดก็เหมือนวัวเคี้ยวดอกโบตั๋น เอาของดีมาใช้อย่างไร้ประโยชน์เกินไป

สำหรับเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซานที่เส้นแบ่งของผู้ฝึกยุทธและผู้ฝึกตนไม่ได้แบ่งแยกชัดเจนมากนัก การหลอมยานั่งลืมตนหนึ่งเตา ไม่ว่าจะได้กี่เม็ดก็ล้วนถือเป็นของบำรุงชิ้นใหญ่ที่เป็นดั่งการส่งถ่านท่ามกลางหิมะ

ดังนั้นเฉาโม่ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้จึงถือว่ารู้จักวางตัวอย่างแท้จริง

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+