หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords! 35 : การประลองยุทธ์ ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน?

Now you are reading หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords! Chapter 35 : การประลองยุทธ์ ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 35 : การประลองยุทธ์ ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน?

“จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจหรอ?”

 

โจวฉวนจีรู้สึกงง ๆ เขาคือใครล่ะนั่น?

 

เจียงฮือน้อยขมวดคิวด้วยความไม่พอใจเพราะความหยิ่งผยองของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจคนนั้น

 

ชายคนนั้นก็รีบอธิบายให้ทันที “ชายคนที่ว่าไม่ได้เป็นคนของอาณาจักรเหมันต์แดนใต้หรอกครับ แต่เขาพึ่งขึ้นระดับบรรลุญาณได้เมื่อ 4 ปีก่อน แถมวิชาดาบของเขาเองยังทั้งสง่างามและทรงพลังอีกด้วยครับ แต่เสียที่ค่อนข้างจะหยิ่งพอตัวนี่ล่ะครับเพราะครั้งนึงเขาเคยติดอยู่ในตารางจัดอันดับผู้มีชื่อเสียงแห่งมหาจักรวรรดิโจวนะครับ ถึงจะแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็เถอะ”

 

เขาขึ้นระดับบรรลุญาณได้เมื่อ 4 ปีก่อน?

 

โจวฉวนจีหรี่ตาลง เขาอยากจะท้าทายจอมยุทธเก่งๆที่อยู่ระดับบรรลุญาณพอดีเลย

 

เขาถาม “แล้วชายคนที่ว่านี่ยังอยู่ในเมืองกลืนเมฆาอยู่มั้ย?”

 

ชายหนุ่มพยักหน้า และพูดว่า “เขาบอกว่า เขาจะรอท่านอีกเดือนนึง และถ้าท่านไม่ยอมรับคําท้าล่ะก็ เช่นนั้นฉาย าเทพกระบี่โจวของท่านก็เป็นแค่ของเก๊เท่านั้นครับ…” 

 

ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดออกมา ชายหนุ่มดูจะพูดแบบไม่พอใจนัก

 

ไอจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจนั่นกล้ามาเทียบตนกับเทพกระบี่โจวได้ยังไงกัน?

 

ผู้คนน่ะไม่ได้ชื่นชมเทพกระบี่โจวเพราะพลังหรืออะไรหรอกนะ แต่พวกเขาชื่นชมในความเที่ยงธรรมและมีเมตตาต่างหากล่ะ!

 

เมื่อคิดเช่นนั้น ชายหนุ่มก็มองไปยังโจวฉวนจี ด้วยความหวังที่ว่าเขาจะเอาชนะเจ้าคนหยิ่งผยองแบบนั้นได้

 

โจวฉวนจีพยักหัวตอบ “ขอบคุณเจ้ามาก” เขาพูด

 

หลังจากนั้น เขาก็เดินตรงไปหาเจียงฉือน้อย

 

ชายหนุ่มไม่ได้เดินตามเขาไป แต่ตะโกนไล่หลังมาว่า “ท่านต้องยอมรับคําท้านะ! สอนบทเรียนให้มันได้รู้ซะบ้าง!”

 

โจวฉวนจีโบกมือตอบโดยไม่ได้หันกลับไปมอง และสายตาของเขาก็เริ่มจริงจังขึ้นมาทันที

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจงั้นหรอ?

 

เดี๋ยวข้าจะสอนให้มันรู้เองว่าใครเป็นใคร

 

หลังจากที่พวกเขาเดินไปได้ไม่กี่หลา เจียงฉือน้อยก็พึมพําถามขึ้นมาว่า “ฉวนจี เจ้ามั่นใจรึเปล่า?”

 

อยู่กับเขามาตั้ง 7 ปี ทําไมเธอถึงมองไม่ออกเนี่ยว่าเขาคิดอะไรอยู่?

 

เขากลอกตา ก่อนจะพูดว่า “ข้าเคยสังหารจอมยุทธระดับบัวภายในตั้งแต่อายุแค่ 2 ขวบมาแล้ว เจ้าคิดจริง ๆ หรอว่าข้าจะกลัวใครก็ไม่รู้ที่อยู่แค่ระดับบรรลุญาณน่ะ?”

 

เจียงฉือน้อยคิดและก็รู้สึกว่าจริงอย่างที่เขาบอก ฉายาเทพกระบี่โจวของเขาไม่ได้มาเล่น ๆ พวกโจรที่ถูกฆ่าด้วยดาบของเขามีตั้งมากมายจนแทบจะตั้งเป็นกองทัพได้เลยเชียวล่ะ

 

“ถ้างั้นเจ้าต้องสอนเขารู้จักบทเรียนซะบ้างนะ ข้าล่ะเกลียดพวกชอบหยิ่งจริง ๆ”

 

“ไม่ต้องห่วง ข้าทําแน่!”

 

ทั้งสองยังคงคุยกันระหว่างเดินตรงไปยังเมืองที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา

 

หลังจากที่เข้าเมืองมาได้ ทั้งสองก็เริ่มวิ่งไปทั่วถนน

 

นี่เป็นครั้งแรกที่โจวฉวนจีได้ลองเข้าเมืองของโลกในชาตินี้มันเลยค่อนข้างจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่และน่าสนใจสําหรับเขา

 

ทั้งสองรู้สึกตื่นเต้นมาก พวกเขาทั้งซื้อขนมระหว่างทางและเดินเข้าไปดูร้านต่าง ๆ

 

เป็นเวลา 3 วัน ที่ทั้งสองเดินสํารวจทั่วทั้งเมือง

 

โจวฉวนจีนั้นทั้งรวยและมีสมบัติอยู่มหาศาลในสุดยอดช่องเก็บของ พวกเขาจะซื้ออะไรก็ได้ที่อยากซื้อโดยไม่ต้องกังวลเรื่องตั้งค์เลยสักนิด

ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เริ่มตกเป็นเป้าของพวกโจรเช่นกันแต่พวกมันกลับถูกโจวฉวนจีจับได้ในตรอกด้านหลังแทน

 

ในวันที่ 4 ทั้งสองขึ้นรถม้าและตรงไปยังเมืองกลืนเมฆา 

 

มันไม่ไกลจากเมืองที่พวกเขาอยู่ตอนนี้นัก

 

ฉายา เทพกระบี่โจว นั้นดังสุด ๆ ทั่วเขตชายแดนอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ เพราะงั้นจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็ควรจะอยู่แถวชายแดนของอาณาจักรเช่นกัน

 

รถม้า 7 คันขับตามหลังมา โดยแต่ละคันมีคนขับ 2 คน คนนึงแก่อีกคนยังวัยรุ่น ซึ่งชายหนุ่มวัยรุ่นนั้นอยู่ในฐานะเด็กฝึกงาน

 

“ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่าเทพกระบี่โจวจะตอบรับคําท้าเปล่า?”

 

“ข้าคิดว่าบางทีเทพกระบี่โจวอาจจะยังไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ําไม่งั้น เจ้าคิดว่าทําไมไอเจ้าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจมันถึงเลือกท้าสู้ที่เมืองกลืนเมฆาล่ะ?”

 

“อ่าา? งั้นท่านหมายความว่าไอเจ้าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจมันแค่ตั้งใจจะพูดขู่ไปงั้นน่ะหรอ?”

“ก็ใช่น่ะสิ ถึงมันจะแข็งแกร่งจริง ๆ ก็เถอะ แต่เทพกระบี่โจวก็ถล่มแต่พวกโจรที่อยู่ระดับสร้างรากฐานอย่างเดียว คงพูดยากนะว่าใครจะชนะ”

 

“แล้วก็ข้าได้ยินมาว่า เทพกระบี่โจวเป็นแค่เด็กที่อายุยังไม่ถึง 10 ขวบด้วยซ้ํานี้ เป็นเรื่องจริงหรอ?”

 

ในรถม้านั้น โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยก็ได้ยินบทสนทนานั้นด้วย พวกต่างมองกันและยิ้มออกมา

 

เจียงฉือน้อยพึมพําออกมา “ฉวนจี ข้าไม่คิดเลยนะว่าเจ้าจะดังมากขนาดนี้แล้วนะ”

 

เธอรู้สึกภูมิใจอยู่ข้างใน เพราะเทพกระบี่โจวที่ดัง ๆ นั่นก็คือน้องชายของเธอนั้นเอง

 

โจวฉวนจีว่าจะลองใช้หน้ากากเคลือบเงินที่ปิดทั่วหน้าและมีรูแค่ช่วงตาดู เพรามันจะทําให้ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึมและดุดันมากขึ้น

 

เขาซื้อหน้ากากนี้มาด้วยราคาถึง 2 เหรียญเงิน เพราะคนขายอ้างว่ามันถูกสร้างผ่านการตีเหล็กและการหล่อหลอมขึ้นมาอย่างดี

 

เขาหัวเราะ “ข้าไม่ได้ดังอะไรขนาดนั้นหรอก”

 

เขานั้นเป็นถึงองค์ชายแห่งมหาจักรวรรดิโจว เพราะงั้นเขาเคยไม่สนใจพวกอาณาจักรเล็ก ๆ สักเท่าไหร่

 

โจวฉวนจีใส่หน้ากากเงินก่อนจะถามพลางยิ้มให้ว่า “ข้าดูหล่อมั้ย?”

 

เขาพูด พลางโพสต์ท่าที่เขาคิดว่าดูเท่ที่สุด

 

“ตุ๊บส์”

 

เจียงฉือน้อยแทบจะกลั้นขําไม่อยู่ เธอปิดปากพลางชี้นิ้วไปทางเขา และพูดว่า “เจ้าดูที่มสุด ๆ!”

 

เมื่อเขาได้ยินก็รู้สึกน้อยใจนิด ๆ ทันที

 

เขายังเด็กเกินกว่าจะหล่อได้สินะ

 

ถ้าเขาโตขึ้นเมื่อไหร่ เขาจะต้องกลายเป็นสุภาพบุรุษอันแสนจะหล่อเหลาและสง่างามอย่างแน่นอน!

 

เจียงฉือน้อยหยิบเซ็ทชุดสีดําออกมาจะแหวนเก็บของและพูดว่า “ลองนี่ดูสิ”

 

ตอนนี้เขายังใส่เสื้อที่เจียงฮือน้อยเย็บให้ เขาเลยดูจืดและธรรมดามาก

 

หลายวันมานี้ พวกเขาซื้อเสื้อผ้าจากในเมืองมาเยอะ เพื่อให้พวกเขามีชุดสับเปลี่ยนกันได้

 

ยังไงรูปลักษณ์ของเขาก็ต้องตรงกับฉายาเทพกระบี่โจว 

 

ดังคํากล่าวที่ว่า “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” 

 

หลังจากที่โจวฉวนจีเปลี่ยนเป็นชุดสีดําที่ถูกตัดออกมาอย่าง ประณีตนั่น เขาก็ดูดุดันและเฉียบคมมากขึ้นกว่าเดิม

 

มีลายลิ่มทองจํานวนมากที่ถูกทออยู่บนเสื้อเขา เขามัดผมส่วนใหญ่ไปด้านหลัง และปล่อยผมสองข้างตรงกรอบ หน้าซึ่งยาวถึงไหปลาร้า

 

จากนั้นเขาก็ใส่หน้ากากเงินอีกครั้ง และในครั้งนี้ แววตาของเจียงฮือน้อยก็เปล่งประกาย ก่อนจะพูดชมเขา “ตอนนี้เจ้าดูสมกับเป็นเทพกระบี่โจวมาก ๆ เลย ถึงตัวจะยังเล็กไปหน่อยก็เถอะ”

 

ถึงรูปลักษณ์ของเขาจะดูไม่ธรรมดาเลยสักนิดแต่ก็ยังขาดเรื่องส่วนสูงอยู่ดี

 

แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่า เทพกระบี่โจวนั้นมีรูปร่างเป็นแค่เด็กมันเลยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

 

เขาเอาหน้ากากออก หลังจากที่ได้รับคําชมจากเธอ เขาก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย

 

ทั้งสองเริ่มคุยกันอีกครั้ง

 

ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เริ่มคุยเกี่ยวกับเสี่ยวจิงหงโดยที่ทั้งสองนั้นไม่รู้เลยว่าลูกศิษย์กระจอก ๆ ของเขาทรงพลังมากแค่ไหน

 

ต่อหน้าเสี่ยวจิงหง เจ้าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจนั่นยังไม่กล้าแม้แต่จะตดออกมาเลยด้วยซ้ํา

 

การเดินทางยังคงดําเนินต่อไป

 

ตลอดเส้นทาง พวกเขาไม่เจอโจรเลยสักนิด

 

หลังจากผ่านมา 2 วัน 2 คืน ในที่สุดพวกเขาก็ถึงเมืองกลืน

เมฆา

 

เมืองกลืนเมฆา คือ 1 ในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ มีประชากรหลายล้านคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ และยังมีหลายสํานักมากมายถูกก่อตั้งขึ้นที่นี่ อีกทั้งการค้าขายยังรุ่งเรื่องสุด ๆ

 

ขณะที่เขาเดินไปตามถนน โจวฉวนจีก็รู้สึกได้ถึงปราณเฉพาะตัวของจอมยุทธระดับระดับสร้างรากฐานจํานวนมาก 

 

อาณาจักรนั้นไม่ได้เหมือนกับเขตอื่นๆ เพราะว่าคนส่วนมากในนั้นเป็นจอมยุทธ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังเป็นจอมยุทธระดับต่ํากันอยู่ก็เถอะ

 

ส่วนพวกเขตที่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรจําพวกเขตทั่วไปที่อยู่แถวชายแดนระหว่างอาณาจักรนั้น จะไม่ค่อยมีจอมยุทธ์อยู่สักเท่าไหร่

 

ระหว่างทาง ทั้งสองก็ได้ยินผู้คนเอาแต่พูดถึงเรื่องเทพกระบี่กับจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจกัน

 

หนึ่งเดือนที่แล้ว หลังจากที่มีจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ ประกาศท้าประลองออกไป ผู้คนมากมายก็เริ่มมารวมตัวกันที่เมืองกลืนเมฆา

 

จอมกระบี่ฆ้องอาจก็เป็นถึงจอมยุทธผู้ใช้ดาบที่ทรงพลังและเทพกระบี่โจวก็เกิดมาเพรียบพร้อมพรสวรรค์ ถ้าทั้งสองประชันหน้ากันล่ะก็ จะต้องเป็นการต่อสู้ที่สุดยอดอย่างแน่อน!

 

โจวฉวนจีไม่ได้รีบจะไปรับคําท้า แต่พาเจียงฉือน้อยเที่ยวทั่วเมืองก่อน

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ณ จตุรัสกลางเมืองกลืนเมฆา ที่ซึ่งมีสนามฝึกซ้อมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอยู่

 

สนามฝึกนั้นสูงเกือบ 2 หลา และกว้างหลายร้อยหลา ส่วนพื้นที่ด้านหลังนั้นเป็นที่พักอาศัยของท่านเจ้าเมือง ขณะที่อีก 3 ด้านที่เหลือนั้นนําไปสู่เส้นถนนที่ต่างกัน

 

บนสนามฝึกมีชายคนหนึ่งซึ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนระแวกนั้นมาก

 

เขาคือ จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ นั่นเอง

 

ดาบของเขาตั้งตรงอยู่กับพื้น ขณะที่เขายืนอยู่ บนด้ามดาบโดยใช้แค่ปลายนิ้วเท้า เขายืนอยู่ตรงนั้นและไม่ ขยับไปไหนซึ่งมันทําให้คนเดินถนนต่างรู้สึกประหลาดใจมาก

 

ท่าแบบนี้ใช่ว่าจะทําได้ง่าย ๆ เพราะแม้แต่จอมยุทธระดับรักษาปราณแค่ยืนยังยากเลย

 

แต่เขากลับอยู่ในท่านี้มาได้เป็นเดือนแล้ว

 

ท่ามกลางฝูงชน จางหรูหยูเบ้ปากก่อนจะสบถออกมาเบาๆ“ช่างเป็นคนที่โง่เขลาอะไรปานนี้นะ!”

 

เหล่าข้ารับใช้ที่ติดตามเขาอยู่ต่างหัวเราะอย่างอดไม่ได้จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและจางเถียนเจียนนั้นมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เพราะงั้นสิ่งที่เขาพูดนั้นต้องไม่ให้จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจได้ยินเป็นอันขาด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords! 35 : การประลองยุทธ์ ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน?

Now you are reading หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords! Chapter 35 : การประลองยุทธ์ ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 35 : การประลองยุทธ์ ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน?

“จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจหรอ?”

 

โจวฉวนจีรู้สึกงง ๆ เขาคือใครล่ะนั่น?

 

เจียงฮือน้อยขมวดคิวด้วยความไม่พอใจเพราะความหยิ่งผยองของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจคนนั้น

 

ชายคนนั้นก็รีบอธิบายให้ทันที “ชายคนที่ว่าไม่ได้เป็นคนของอาณาจักรเหมันต์แดนใต้หรอกครับ แต่เขาพึ่งขึ้นระดับบรรลุญาณได้เมื่อ 4 ปีก่อน แถมวิชาดาบของเขาเองยังทั้งสง่างามและทรงพลังอีกด้วยครับ แต่เสียที่ค่อนข้างจะหยิ่งพอตัวนี่ล่ะครับเพราะครั้งนึงเขาเคยติดอยู่ในตารางจัดอันดับผู้มีชื่อเสียงแห่งมหาจักรวรรดิโจวนะครับ ถึงจะแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็เถอะ”

 

เขาขึ้นระดับบรรลุญาณได้เมื่อ 4 ปีก่อน?

 

โจวฉวนจีหรี่ตาลง เขาอยากจะท้าทายจอมยุทธเก่งๆที่อยู่ระดับบรรลุญาณพอดีเลย

 

เขาถาม “แล้วชายคนที่ว่านี่ยังอยู่ในเมืองกลืนเมฆาอยู่มั้ย?”

 

ชายหนุ่มพยักหน้า และพูดว่า “เขาบอกว่า เขาจะรอท่านอีกเดือนนึง และถ้าท่านไม่ยอมรับคําท้าล่ะก็ เช่นนั้นฉาย าเทพกระบี่โจวของท่านก็เป็นแค่ของเก๊เท่านั้นครับ…” 

 

ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดออกมา ชายหนุ่มดูจะพูดแบบไม่พอใจนัก

 

ไอจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจนั่นกล้ามาเทียบตนกับเทพกระบี่โจวได้ยังไงกัน?

 

ผู้คนน่ะไม่ได้ชื่นชมเทพกระบี่โจวเพราะพลังหรืออะไรหรอกนะ แต่พวกเขาชื่นชมในความเที่ยงธรรมและมีเมตตาต่างหากล่ะ!

 

เมื่อคิดเช่นนั้น ชายหนุ่มก็มองไปยังโจวฉวนจี ด้วยความหวังที่ว่าเขาจะเอาชนะเจ้าคนหยิ่งผยองแบบนั้นได้

 

โจวฉวนจีพยักหัวตอบ “ขอบคุณเจ้ามาก” เขาพูด

 

หลังจากนั้น เขาก็เดินตรงไปหาเจียงฉือน้อย

 

ชายหนุ่มไม่ได้เดินตามเขาไป แต่ตะโกนไล่หลังมาว่า “ท่านต้องยอมรับคําท้านะ! สอนบทเรียนให้มันได้รู้ซะบ้าง!”

 

โจวฉวนจีโบกมือตอบโดยไม่ได้หันกลับไปมอง และสายตาของเขาก็เริ่มจริงจังขึ้นมาทันที

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจงั้นหรอ?

 

เดี๋ยวข้าจะสอนให้มันรู้เองว่าใครเป็นใคร

 

หลังจากที่พวกเขาเดินไปได้ไม่กี่หลา เจียงฉือน้อยก็พึมพําถามขึ้นมาว่า “ฉวนจี เจ้ามั่นใจรึเปล่า?”

 

อยู่กับเขามาตั้ง 7 ปี ทําไมเธอถึงมองไม่ออกเนี่ยว่าเขาคิดอะไรอยู่?

 

เขากลอกตา ก่อนจะพูดว่า “ข้าเคยสังหารจอมยุทธระดับบัวภายในตั้งแต่อายุแค่ 2 ขวบมาแล้ว เจ้าคิดจริง ๆ หรอว่าข้าจะกลัวใครก็ไม่รู้ที่อยู่แค่ระดับบรรลุญาณน่ะ?”

 

เจียงฉือน้อยคิดและก็รู้สึกว่าจริงอย่างที่เขาบอก ฉายาเทพกระบี่โจวของเขาไม่ได้มาเล่น ๆ พวกโจรที่ถูกฆ่าด้วยดาบของเขามีตั้งมากมายจนแทบจะตั้งเป็นกองทัพได้เลยเชียวล่ะ

 

“ถ้างั้นเจ้าต้องสอนเขารู้จักบทเรียนซะบ้างนะ ข้าล่ะเกลียดพวกชอบหยิ่งจริง ๆ”

 

“ไม่ต้องห่วง ข้าทําแน่!”

 

ทั้งสองยังคงคุยกันระหว่างเดินตรงไปยังเมืองที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา

 

หลังจากที่เข้าเมืองมาได้ ทั้งสองก็เริ่มวิ่งไปทั่วถนน

 

นี่เป็นครั้งแรกที่โจวฉวนจีได้ลองเข้าเมืองของโลกในชาตินี้มันเลยค่อนข้างจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่และน่าสนใจสําหรับเขา

 

ทั้งสองรู้สึกตื่นเต้นมาก พวกเขาทั้งซื้อขนมระหว่างทางและเดินเข้าไปดูร้านต่าง ๆ

 

เป็นเวลา 3 วัน ที่ทั้งสองเดินสํารวจทั่วทั้งเมือง

 

โจวฉวนจีนั้นทั้งรวยและมีสมบัติอยู่มหาศาลในสุดยอดช่องเก็บของ พวกเขาจะซื้ออะไรก็ได้ที่อยากซื้อโดยไม่ต้องกังวลเรื่องตั้งค์เลยสักนิด

ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เริ่มตกเป็นเป้าของพวกโจรเช่นกันแต่พวกมันกลับถูกโจวฉวนจีจับได้ในตรอกด้านหลังแทน

 

ในวันที่ 4 ทั้งสองขึ้นรถม้าและตรงไปยังเมืองกลืนเมฆา 

 

มันไม่ไกลจากเมืองที่พวกเขาอยู่ตอนนี้นัก

 

ฉายา เทพกระบี่โจว นั้นดังสุด ๆ ทั่วเขตชายแดนอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ เพราะงั้นจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็ควรจะอยู่แถวชายแดนของอาณาจักรเช่นกัน

 

รถม้า 7 คันขับตามหลังมา โดยแต่ละคันมีคนขับ 2 คน คนนึงแก่อีกคนยังวัยรุ่น ซึ่งชายหนุ่มวัยรุ่นนั้นอยู่ในฐานะเด็กฝึกงาน

 

“ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่าเทพกระบี่โจวจะตอบรับคําท้าเปล่า?”

 

“ข้าคิดว่าบางทีเทพกระบี่โจวอาจจะยังไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ําไม่งั้น เจ้าคิดว่าทําไมไอเจ้าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจมันถึงเลือกท้าสู้ที่เมืองกลืนเมฆาล่ะ?”

 

“อ่าา? งั้นท่านหมายความว่าไอเจ้าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจมันแค่ตั้งใจจะพูดขู่ไปงั้นน่ะหรอ?”

“ก็ใช่น่ะสิ ถึงมันจะแข็งแกร่งจริง ๆ ก็เถอะ แต่เทพกระบี่โจวก็ถล่มแต่พวกโจรที่อยู่ระดับสร้างรากฐานอย่างเดียว คงพูดยากนะว่าใครจะชนะ”

 

“แล้วก็ข้าได้ยินมาว่า เทพกระบี่โจวเป็นแค่เด็กที่อายุยังไม่ถึง 10 ขวบด้วยซ้ํานี้ เป็นเรื่องจริงหรอ?”

 

ในรถม้านั้น โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยก็ได้ยินบทสนทนานั้นด้วย พวกต่างมองกันและยิ้มออกมา

 

เจียงฉือน้อยพึมพําออกมา “ฉวนจี ข้าไม่คิดเลยนะว่าเจ้าจะดังมากขนาดนี้แล้วนะ”

 

เธอรู้สึกภูมิใจอยู่ข้างใน เพราะเทพกระบี่โจวที่ดัง ๆ นั่นก็คือน้องชายของเธอนั้นเอง

 

โจวฉวนจีว่าจะลองใช้หน้ากากเคลือบเงินที่ปิดทั่วหน้าและมีรูแค่ช่วงตาดู เพรามันจะทําให้ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึมและดุดันมากขึ้น

 

เขาซื้อหน้ากากนี้มาด้วยราคาถึง 2 เหรียญเงิน เพราะคนขายอ้างว่ามันถูกสร้างผ่านการตีเหล็กและการหล่อหลอมขึ้นมาอย่างดี

 

เขาหัวเราะ “ข้าไม่ได้ดังอะไรขนาดนั้นหรอก”

 

เขานั้นเป็นถึงองค์ชายแห่งมหาจักรวรรดิโจว เพราะงั้นเขาเคยไม่สนใจพวกอาณาจักรเล็ก ๆ สักเท่าไหร่

 

โจวฉวนจีใส่หน้ากากเงินก่อนจะถามพลางยิ้มให้ว่า “ข้าดูหล่อมั้ย?”

 

เขาพูด พลางโพสต์ท่าที่เขาคิดว่าดูเท่ที่สุด

 

“ตุ๊บส์”

 

เจียงฉือน้อยแทบจะกลั้นขําไม่อยู่ เธอปิดปากพลางชี้นิ้วไปทางเขา และพูดว่า “เจ้าดูที่มสุด ๆ!”

 

เมื่อเขาได้ยินก็รู้สึกน้อยใจนิด ๆ ทันที

 

เขายังเด็กเกินกว่าจะหล่อได้สินะ

 

ถ้าเขาโตขึ้นเมื่อไหร่ เขาจะต้องกลายเป็นสุภาพบุรุษอันแสนจะหล่อเหลาและสง่างามอย่างแน่นอน!

 

เจียงฉือน้อยหยิบเซ็ทชุดสีดําออกมาจะแหวนเก็บของและพูดว่า “ลองนี่ดูสิ”

 

ตอนนี้เขายังใส่เสื้อที่เจียงฮือน้อยเย็บให้ เขาเลยดูจืดและธรรมดามาก

 

หลายวันมานี้ พวกเขาซื้อเสื้อผ้าจากในเมืองมาเยอะ เพื่อให้พวกเขามีชุดสับเปลี่ยนกันได้

 

ยังไงรูปลักษณ์ของเขาก็ต้องตรงกับฉายาเทพกระบี่โจว 

 

ดังคํากล่าวที่ว่า “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” 

 

หลังจากที่โจวฉวนจีเปลี่ยนเป็นชุดสีดําที่ถูกตัดออกมาอย่าง ประณีตนั่น เขาก็ดูดุดันและเฉียบคมมากขึ้นกว่าเดิม

 

มีลายลิ่มทองจํานวนมากที่ถูกทออยู่บนเสื้อเขา เขามัดผมส่วนใหญ่ไปด้านหลัง และปล่อยผมสองข้างตรงกรอบ หน้าซึ่งยาวถึงไหปลาร้า

 

จากนั้นเขาก็ใส่หน้ากากเงินอีกครั้ง และในครั้งนี้ แววตาของเจียงฮือน้อยก็เปล่งประกาย ก่อนจะพูดชมเขา “ตอนนี้เจ้าดูสมกับเป็นเทพกระบี่โจวมาก ๆ เลย ถึงตัวจะยังเล็กไปหน่อยก็เถอะ”

 

ถึงรูปลักษณ์ของเขาจะดูไม่ธรรมดาเลยสักนิดแต่ก็ยังขาดเรื่องส่วนสูงอยู่ดี

 

แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่า เทพกระบี่โจวนั้นมีรูปร่างเป็นแค่เด็กมันเลยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

 

เขาเอาหน้ากากออก หลังจากที่ได้รับคําชมจากเธอ เขาก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย

 

ทั้งสองเริ่มคุยกันอีกครั้ง

 

ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เริ่มคุยเกี่ยวกับเสี่ยวจิงหงโดยที่ทั้งสองนั้นไม่รู้เลยว่าลูกศิษย์กระจอก ๆ ของเขาทรงพลังมากแค่ไหน

 

ต่อหน้าเสี่ยวจิงหง เจ้าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจนั่นยังไม่กล้าแม้แต่จะตดออกมาเลยด้วยซ้ํา

 

การเดินทางยังคงดําเนินต่อไป

 

ตลอดเส้นทาง พวกเขาไม่เจอโจรเลยสักนิด

 

หลังจากผ่านมา 2 วัน 2 คืน ในที่สุดพวกเขาก็ถึงเมืองกลืน

เมฆา

 

เมืองกลืนเมฆา คือ 1 ในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ มีประชากรหลายล้านคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ และยังมีหลายสํานักมากมายถูกก่อตั้งขึ้นที่นี่ อีกทั้งการค้าขายยังรุ่งเรื่องสุด ๆ

 

ขณะที่เขาเดินไปตามถนน โจวฉวนจีก็รู้สึกได้ถึงปราณเฉพาะตัวของจอมยุทธระดับระดับสร้างรากฐานจํานวนมาก 

 

อาณาจักรนั้นไม่ได้เหมือนกับเขตอื่นๆ เพราะว่าคนส่วนมากในนั้นเป็นจอมยุทธ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังเป็นจอมยุทธระดับต่ํากันอยู่ก็เถอะ

 

ส่วนพวกเขตที่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรจําพวกเขตทั่วไปที่อยู่แถวชายแดนระหว่างอาณาจักรนั้น จะไม่ค่อยมีจอมยุทธ์อยู่สักเท่าไหร่

 

ระหว่างทาง ทั้งสองก็ได้ยินผู้คนเอาแต่พูดถึงเรื่องเทพกระบี่กับจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจกัน

 

หนึ่งเดือนที่แล้ว หลังจากที่มีจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ ประกาศท้าประลองออกไป ผู้คนมากมายก็เริ่มมารวมตัวกันที่เมืองกลืนเมฆา

 

จอมกระบี่ฆ้องอาจก็เป็นถึงจอมยุทธผู้ใช้ดาบที่ทรงพลังและเทพกระบี่โจวก็เกิดมาเพรียบพร้อมพรสวรรค์ ถ้าทั้งสองประชันหน้ากันล่ะก็ จะต้องเป็นการต่อสู้ที่สุดยอดอย่างแน่อน!

 

โจวฉวนจีไม่ได้รีบจะไปรับคําท้า แต่พาเจียงฉือน้อยเที่ยวทั่วเมืองก่อน

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ณ จตุรัสกลางเมืองกลืนเมฆา ที่ซึ่งมีสนามฝึกซ้อมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอยู่

 

สนามฝึกนั้นสูงเกือบ 2 หลา และกว้างหลายร้อยหลา ส่วนพื้นที่ด้านหลังนั้นเป็นที่พักอาศัยของท่านเจ้าเมือง ขณะที่อีก 3 ด้านที่เหลือนั้นนําไปสู่เส้นถนนที่ต่างกัน

 

บนสนามฝึกมีชายคนหนึ่งซึ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนระแวกนั้นมาก

 

เขาคือ จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจ นั่นเอง

 

ดาบของเขาตั้งตรงอยู่กับพื้น ขณะที่เขายืนอยู่ บนด้ามดาบโดยใช้แค่ปลายนิ้วเท้า เขายืนอยู่ตรงนั้นและไม่ ขยับไปไหนซึ่งมันทําให้คนเดินถนนต่างรู้สึกประหลาดใจมาก

 

ท่าแบบนี้ใช่ว่าจะทําได้ง่าย ๆ เพราะแม้แต่จอมยุทธระดับรักษาปราณแค่ยืนยังยากเลย

 

แต่เขากลับอยู่ในท่านี้มาได้เป็นเดือนแล้ว

 

ท่ามกลางฝูงชน จางหรูหยูเบ้ปากก่อนจะสบถออกมาเบาๆ“ช่างเป็นคนที่โง่เขลาอะไรปานนี้นะ!”

 

เหล่าข้ารับใช้ที่ติดตามเขาอยู่ต่างหัวเราะอย่างอดไม่ได้จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจและจางเถียนเจียนนั้นมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เพราะงั้นสิ่งที่เขาพูดนั้นต้องไม่ให้จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจได้ยินเป็นอันขาด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+