การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 104

Now you are reading การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม Chapter 104 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 104 – เหมือนมีคนนวดให้เลยอ่ะ

 

หลังจากทสึรุเดินมาประมาณสิบก้าว แอนนี่กับเซเลียจึงมองหน้ากันเห็นได้ชัดว่าทั้งสองตะลึงไปกับภาพตรงหน้านี้โดยสิ้นเชิง

ต่อให้ทสึรุจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งฟ้าประทาน เป็นนักกล้ามอันดับหนึ่งของโลก หรืออะไรก็แล้วแต่

แต่ต้องทราบว่าสายฟ้าก็คือสายฟ้า เนื้อหนังก็ยังเป็นเนื้อหนัง! ต่อให้ฝึกจนเก่งขนาดไหนภูมิต้านทานนี่มันก็น่าตื่นตะลึงไปหน่อย

ไม่ต้องพูดถึงการใช้เวทมนตร์มนุษย์ในการต้านทานสายฟ้า อันที่จริงถ้าจะสร้างม่านพลังอะไรเทือกนี้มาต้านสายฟ้าก็คงง่าย

แต่การปล่อยให้สายฟ้าวิ่งใส่ร่างทุกทิศทางแล้วเหมือนไม่รู้สึกอะไรแบบนี้ ต่อให้เป็นเซเลียก็ยังทำไม่ได้ เพราะยังไงซะสายฟ้าก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากๆ

ถ้าจะมาคอยทำให้สายฟ้าทีโจมตีมาทุกทิศทางไม่มีความเสียหายสู้สร้างม่านพลังมาป้องกันเลยจะง่ายกว่ามาก

แต่ที่น่าตกใจคือทสึรุไม่มีวี่แววใช้เวทมนตร์เลยแม้แต่นิด ซึ่งในฐานะที่เซเลียเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ เธอรู้ดีที่สุด

“หรือว่าเธอจะมี ‘พรสวรรค์’ ในการต้านทานสายฟ้า?”

แน่นอนว่าไม่ว่าใครก็ล้วนรู้จักพรสวรรค์ที่มีมาตั้งแต่เกิดของนักรบโดยพรสวรรค์นี้ไม่ต้องยอมเป็นหมากในกระดานของเทพก็สามารถใช้ได้

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ในเมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้วพวกเธอไม่สามารถหลีกหนีได้กลางทาง ไม่เช่นนั้นจะเป็นตัวเองที่ถูกเล่นงาน

“ไปกันเถอะแอนนี่!”

“อืม!!”

ทั้งสองพูดขึ้น เซเลียก็หยิบอาร์ติแฟ็คม่านพลังออกมาอีกครั้ง อาร์ติแฟ็คนี้คืออาร์ติแฟ็คที่ใช้ในการดำน้ำนั่นเอง

ทั้งสองเปิดใช้งานและก้าวเข้าไปในเขตสีดำ และชั่วพริบตาเดียวทั้งสองก็พบเจอเหตุการณ์แบบทสึรุไม่มีผิดเพี้ยน

แม้แต่คำพูดสั้นๆ เรียบง่ายนั้นยังคงดังเหมือนเดิม ทำให้เซเลียรู้ว่าหนทางอสนีแห่งนี้ ยังไม่ใช่แม้กระทั่งด่านทดสอบด่านแรกด้วยซ้ำ!

และดูจากคำเตือนนั่น บางทีหลังจากเข้าไปด่านหนึ่งแล้วสิทธิ์ในการยอมแพ้คงไม่มีแล้วแน่ๆ

ดังนั้นถ้าจะถอยก็มีแต่ตอนนี้ ทว่าดวงตาของเซเลียแสดงถึงความบ้าดีเดือด พวกเธอก้าวขาต่อไปสายฟ้าวิ่งเข้ามาและการมองเห็นมืดบอดไป

แต่สายฟ้าที่พุ่งมาโดนม่านพลังของแอนนี่กับเซเลีย มันกลับเปลี่ยนทิศทางราวกับถูกแรงผลักบางอย่าง ไม่สามารถฝ่าเข้ามาได้เลยแม้แต่น้อย

ทั้งคู่เมื่อรู้ว่าสายฟ้าไม่เป็นอันตรายก็ก้าวขาออกไปวิ่งตามทสึรุไปอย่างไม่ลังเล ทสึรุตอนนี้อยู่ห่างจากจุดเริ่มต้นประมาณยี่สิบเมตร

เพราะว่าหลังจากสิบก้าวแรก คำสาปตาบอดก็หายไป กลายมาเป็นคำสาปแห่งโคลนสีดำ ทุกครั้งที่ก้าวขาทสึรุจะรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในโคลนดูด

สร้างความรำคาญใจให้แก่เจ้าตัวเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าพอแอนนี่กับเซเลียก็โดนเช่นกัน แต่เธอดีกว่าหน่อยเพราะอยู่ในม่านพลัง

เธอสามารถลอยได้ ทำให้ผิวด้านใต้ของโคลนดูดไม่สามารถดูดเท้าของเซเลียกับแอนนี่ได้ เพราะหากไม่สัมผัสกับคำสาป คำสาปก็ไม่มีผล ยังไงซะโคลนดูดสีดำนี่ก็เป็นคำสาป!

ไม่นานทั้งสามก็ตามมาทันทสึรุที่กำลังเดินหลุดจากคำสาปของบ่อโคลน เมื่อหลุดมาได้ทสึรุก็มีเหงื่อไหลเป็นครั้งแรก หลังจากมาหยุดอยู่จุดตัดระหว่างเก้าที่ยี่สิบกับนี่สิบเอ็ด

เธอพักหายใจและมองสายฟ้าที่วิ่งอยู่รอบตัวเอง อดที่จะตกใจไม่ได้ เพราะเมื่อกี้มัวแต่กลัวเรื่องโคลนจนไม่ได้สังเกต

แต่มาตอนนี้เธอรู้สึกทึ่งไปในทันที อันที่จริงตอนนี้เธอรู้สึกถึงสายฟ้าบ้างแล้วเหมือนกัน ความรู้สึกนี้มันเหมือนมีอะไรสักอย่างมาจ่ออยู่ใกล้ๆ

และลูบไปทั่วร่างทำให้ขนลุก

“ดูจากระยะแล้ว ข้าคิดว่าประมาณร้อยเก้าก็น่าจะผ่านเข้าบททดสอบที่หนึ่ง.. และหากช้าเดาไม่ผิดเมื่อเข้าด่านที่หนึ่งแล้ว พวกเราจะไม่สามารถถอนตัวได้อีก!”

“ขอแค่ได้ออกไป..”

เซเลียที่ตามมาก็พูดขึ้น แต่ทสึรุก็ยังยืนกรานเช่นเดิม ทำให้เซเลียรู้สึกว่าทสึรุยึดติดเกินไปขึ้นมาบ้าง

นี่เหมือนกับว่าทสึรุน่ะหลงหัวปักหัวปำไปแล้วเลยไม่ใช่หรือไง แต่เธอก็พูดอะไรมากไม่ได้ ยังไงซะเธอก็เป็นแค่คนคนหนึ่งที่ผ่านมาเห็นเท่านั้น

ทสึรุก้าวลงไปที่ก้าวที่ยี่สิบเอ็ด สายฟ้าในมุมมองของสายตาก็เปลี่ยนไปกลายเป็นสีเหลืองอมทองราวกับเดินเข้าสู่ขอบเขตใหม่

พื้นดินไม่ใช่สีเ

ดำสนิทอีกต่อไป แต่ทุกอย่างล้วนกลายเป็นขี้เถ้า ต้นไม้ พืชหญ้า ทุกอย่างกลายเป็นสีขี้เถ้า สายฟ้าสีเหลืองที่รุนแรงกว่าก็ต่างพากันกรูเข้ามา!

“เปรี๊ยะ!!”

หากบอกว่ายี่สิบเก้าแรกเป็นสายฟ้าที่สลายก้อนหินจนไม่เหลือซาก หลังจากนี้คงสามารถแยกก้อนหินออกจากกันจนไม่เหลือแม้แต่ฝุ่นละออง

กลับคืนสู่อากาศธาตุ… นั่นแรงสั่นของสายฟ้าต่อจากนี้ แม้แต่ทสึรุยังรู้สึกคันหยิกๆ ขึ้นมา.. ใช่.. แค่คันน่ะนะ จะยังไงซะทสึรุก็เป็นเผ่าอสูร

ทางด้านแอนนี่กับเซเลีย ม่านพลังก็เพียงแค่สั่นสะเทือนนิดหน่อยเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะในหนทางอสนีแห่งนี้ถูกสร้างมาเพื่อให้สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา

สามารถรับรู้และเข้าใจเสียงในหัวได้ ความรุนแรงของสายฟ้าจะถูกลดลงประมาณห้าในสิบส่วนเลยทีเดียว

หากเป็นก้อนหินหรืออย่างอื่นที่ไม่มีสติปัญญามากพอ ก็จะโดนสายฟ้าที่มีความแรงเต็มที่

ส่วนธาตุมืดไม่ใช่คำสาปอีกต่อไป แต่เป็นภาพลวงตาที่แทรกแซงเข้าไปในจิตใจเพื่อหาความเศร้าโศกแงะความสิ้นหวังเหมือนขี้เถ้า

แต่ทสึรุมีจิตใจที่แปลกประหลาด เพราะจิตใจอันน่ารังเกียจที่จะสามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้ทุกครั้ง ภาพลวงตาอันประสีประสาพวกนี้จึงไม่มีผลเลย

ทางด้านของแอนนี่กับเซเลียเอง ก็ตกใจในตอนแรกแต่เซเลียเป็นคนหัวดีเมื่อเธอวิเคราะห์ได้ เธอก็ไม่ปล่อยตัวตามอารมณ์ เธอใช้อาร์ติแฟ็คบางอย่างเพื่อหยุดมัน

แอนนี่เองก็ถูกช่วยออกมาด้วย ใช้เวลาไม่นานก็สามารถเดินมาถึงเก้าที่สามสิบในที่สุด ภาพลวงตาหายไปแต่จู่ๆ จิตใจพวกเธอทั้งสามก็สิ้นหวังอย่างไม่ทราบสาเหตุ

แถมความสิ้นหวังนี้มันเรียกได้ว่าเพียงพอจะทำให้คนคนหนึ่งฆ่าตัวตายได้เลย แถมสายฟ้ายังรุนแรงกว่าเก่าอีกหลายเท่าตัว

ด่านด้านทำลายจิตใจเช่นนี้ ทสึรุยิ่งผ่านอย่างสบาย เธอสิ้นหวังมาตลอดชีวิตตั้งแต่ตอนยังไม่มีจิตใจที่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ แต่เธอก็ลุกขึ้นได้และมีปณิธานเสมอมา

แต่หลังจากตอนที่เธอได้รับจิตใจอันแข็งแกร่งนี้มา เธอก็ยังได้พบกับความสิ้นหวังอีกครั้ง แต่เธอก็บุกขึ้นมาได้แม้จะเป็นการหลอกตัวเอง แต่ว่า.. จิตใจของเธอแทบไม่สะทกสะท้านกับด่านนี้เลย!

แต่ไม่ใช่สำหรับเซเลียกับแอนนี่ ยังไงซะเด็กรุ่นเดียวกันน้อยคนนักที่จะเป็นแบบทสึรุได้ แต่ทสึรุก็ลากเซเลียกับแอนนี่จนผ่านไปถึงก้าวที่ยี่สิบได้

เซเลียกับแอนนี่ได้สติถึงกับผวาทันที.. แต่นังไม่ได้พูดอะไรมากก้าวที่สี่สิบเอ็ดก็มาถึง สายฟ้าไม่ใช่สีเหลืองอีกต่อไป แต่กลายเป็นสีส้ม!

สายฟ้าตรงนี้รุนแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เลย มองแบบธรรมดา ทุกๆ ที่ที่สายฟ้าสีส้มวิ่งผ่านจะเห็นรอยบิดเบี้ยวของอากาศอย่างชัดเจน ราวกับว่ามันจะฉีกพื้นที่ออกเป็นส่วนๆ

แต่ที่ประหลาดกว่านั้นคือพื้นดิน ต้นไม้ใบหญ้า.. ไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว! พื้นดินตอนนี้กลายเป็นสีนิลกาฬ

และทันทีที่ก้าวลงไปนั้น ความโกรธแค้น เกลียดชัง หรืออิจฉาริษยา เรียกได้ว่าด้านมืดของจิตใจราวกับถูกกระตุ้นขึ้นมา

แต่มันกลับไม่มีผลกับสามคนนี้เท่าไหร่นัก แอนนี่เป็นประเภทที่ไม่สนอะไรมาก และไม่แคร์ใครทั้งสิ้น เรียกได้ว่าจะโกรธ จะแค้น จะอิจฉาทำไมในเมื่อข้าไม่สนใจใคร

ส่วนเซเลียแม้จะมีหน้าที่ทวงบัลลังก์คืน เต็มไปด้วยความไม่ชอบขี้หน้าพวกเชื้อพระวงศ์จอมปลอม แต่เจ้าตัวก็มีศักดิ์ศรีสูงค้ำฟ้า ทำให้ความรู้สึกอยากทวงบัลลังก์คืนนั้นเหมือนกับการเอาของของตัวเองคืนมาจากคนชั้นต่ำกว่าตัวเองเท่านั้น

แล้วขุนนางที่กินทิ้งกินขว้างได้ ใจอิจฉา โกรธ แค้น คนในสลัมได้ยังไงล่ะ.. ดังนั้นมันจึงแทบไม่มีผลกับเซเลียเช่นกัน

ส่วนทสึรุนั้นเธอก็ไม่สนคนอื่นนอกจากเลทิเซียอยู่แล้ว อยู่ในกรณีเดียวกับแอนนี่.. เซเลียเองก็แปลกใจที่ธาตุมืดนี่จะอ่อนไปไหมเนี่ย?

“ข้ารู้สึกว่าธาตุมืดไม่ได้สุดยอดอย่างที่เจ้าบอกเลยนะ”

“นั่นสิ..”

ทสึรุพูดออกมาอย่างสับสนเล็กน้อย อันที่จริงตาบอดกับโคลนดูดยังยากกว่าซะอีกนะ เซเลียก็เห็นดีด้วย แต่อดที่จะมองไปยังทสึรุที่มีสายฟ้าสีส้มวิ่งเล่นตามร่าง

“เจ้าไม่รู้สึกอะไรเหรอ?”

“อืม… ตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนผ่อนคลายนะ เหมือนมีคนนวดให้เลยอ่ะ.. อ๊ะ จะว่าไปทำไมมันสบายตัวจังเลย?”

ทสึรุตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอเซเลียถามเธอเองก็สัมผัสไปกับสายฟ้าสีส้มที่วิ่งแล่นไปทั่วร่างกาย คำพูดของทสึรุทำเอาเซเลียอึกอักพูดไม่ออก

ก่อนจะหันมามองม่านพลังตัวเองที่บิดเบี้ยวและหม่นแสงลง.. นี่เธอยังเป็นคนอยู่หรือเปล่าละเนี่ย?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด