การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 297

Now you are reading การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม Chapter 297 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 297 – แสงสว่างของข้า

 

ดวงตาของข้าค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ … สิ่งที่ข้าเห็นคือความมืดอันดำสนิท ไม่สิ บางทีมันอาจจะไม่ใช่ความมืดหรืออะไร

ที่แห่งนี้ไม่มีทั้งพื้นที่ ไม่มีทั้งเวลา ไม่มีทั้งความเป็นจริงใดๆ ที่ข้าสามารถนิยามมันขึ้นมาได้เพราะจากมุมมองของข้าเท่านั้น…

ใช่ นั่นคือสิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวของข้าหลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้น ไม่ใช่ว่าข้าไม่รู้จักที่แห่งนี้แต่ข้ารู้จัก

เพียงแต่ข้ายังไม่อาจรวบรวมความคิดได้ในเวลานี้ ข้าพยายามที่จะประคองสติอันพร่าเลือนของตนเอง

และย้อนทวนลึกเข้าไปในความทรงจำอดีตอันไกลโพ้น..

ข้ามีชื่อว่าซิลเวีย เป็นเทพธิดา.. ความทรงจำ ความคิดที่ปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้ก็กลับคืนมา..

ความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับตัวเองถาโถมเข้ามา.. ตาที่พร่ามัวของข้ากลับมาชัดเจนในทันทีที่นึกทุกอย่างออก

“เลทิเซีย!!”

ข้าตะโกนออกมา ก่อนที่ข้าจะหมดสติไปข้าอยู่กับเธอ ใช่ เธอคนนั้นที่ข้าต้องคอยอยู่ข้างๆ ..

พอข้าพยายามจะลุกขึ้นพอใช้มือทั้งสองข้างดันตัวเองแต่ก็พบว่าพื้นด้านล่างมันว่างเปล่าราวกับเธอกำลังลอยอยู่กลางอากาศ

ไม่เพียงแค่นั้นพอเธอขยับแขนเธอก็รู้สึกประหลาดที่มือ พอข้ามองก็พบว่า..มือทั้งสองข้างตัวเองที่ตอนแรกถูกเลทิเซียรักษาไปบ้างแล้ว

แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ซึ่งสภาพมือของข้าในตอนนี้มันเหมือนตอนนั้นทุกประการ ถึงมีเนื้อหนังและผิวพรรณฟื้นกลับมาบ้างแล้วก็เถอะ

แต่ก็มีบางส่วนที่มองลึกลงไปจนเห็นกระดูกขาวอยู่เลย ภาพนี้สร้างความประหลาดใจให้แก่ข้าอยู่ไม่น้อย..

“สองคนนั้นเป็นใครกัน..”

ข้าพึมพำ ข้าในตอนที่รับพลังอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ถูกผนึกพลังอยู่เพราะฝืนใช้อาภรณ์เทพ หมายความว่าพลังของข้านั้นไม่ต่างจากตอนปกติ

แต่อีกฝ่ายกลับทำให้ข้าบาดเจ็บได้.. บนโลกเทพก็มีไม่กี่คนที่ทำแบบนั้นได้ อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่.

แล้วก็ทำไมถึงเล็งเลทิเซีย.. พอพูดถึงเลทิเซียข้าก็ตกใจ

“ไม่สิ ตอนนี้ต้องหาเลทิเซียก่อน”

พอคิดแบบนั้นก็มองงงไปรอบๆ ทุกอย่างรอบตัวข้ามีเพียงความว่างเปล่าอันไกลโพ้น… ฉับพลันความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งนี้ก็ลอยกลับคืนมาในหัวข้า..

“ความว่างเปล่าอนันตกาล”

นั่นคือคำอธิบายสิ่งนี้.. ที่ไม่ใช่ทั้งมิติ ไม่ใช่ทั้งความเป็นจริง ไม่ใช่ทั้งโลกใบนี้หรือแม้แต่ต้นกำเนิดที่แท้จริง (ชินโนะเก็นเท็น)

หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือที่แห่งนี้คือความว่างเปล่าตามตำราที่ข้าเคยอ่านมาบนโลกเทพ..

แต่หากตามคำอธิบาย.. ความว่างเปล่าก็ต้องเป็นความว่างเปล่าสิ.. แต่ข้าหาใช่ความว่างเปล่าที่ไหนกัน..?

ไม่สิ ไม่ใช่เรื่องที่จะห่วงในตอนนี้ เลทิเซียล่ะ ตอนที่ข้าสลบไปเลทิเซียก็อยู่ใกล้ๆ เธอต้องโดนมาด้วยแน่..

หากสมมุติว่าข้าเป็นเทพเลยไม่เป็นอะไรแล้วเลทิเซียล่ะ.. เธอจะไม่เป็นอะไรเหรอ ข้าเหงื่อไหลด้วยความกังวล

กวาดสายตาหาในความว่างเปล่าเพราะร่างกายขยับไม่ได้ พลังทุกอย่างไม่อาจจะใช้ออกมาได้

แต่ตอนนั้นเองสายตาก็ไปหยุดชะงักอยู่บนจุดเรือนแสงจุดหนึ่งที่ห่างไกลออกไปไม่มา.. แสงที่ไม่ควรมีแต่ก็ยังมี

ข้าจึงเพ่งสายตาไปด้วยความสงสัย.. ใช่.. ที่ลอยอยู่ห่างไกลออกไปนั้นเป็นเลทิเซียแน่..

“เลทิเซีย!!”

ข้าพยายามจะเรียกเธอแต่กลับไร้ซึ่งแม้แต่เสียง แม้แต่พยายามจะขยับก็ยังทำไม่ได้ .. ใช่เพราะที่นี่คือความว่างเปล่าอันเป็นอนันตกาล..

ไม่มีทุกคลื่น ไม่มีทุกอณู.. ที่ข้ากับเลทิเซียยังไม่หายสาบสูญไปโดยสิ้นเชิงอาจจะเป็นปาฏิหาริย์ก็ได้

แต่จะทำยังไงละ..เลทิเซียก็สลบ ร่างกายก็เคลื่อนไหวไม่ได้… ในขณะที่ข้ากำลังคิดอยู่นั้นเองจู่ๆ สายตาก็ไปสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเข้า…

“อ่า ใช่.. ยังมีวิธีนั้นอยู่นี่น่า”

พอคิดได้แบบนั้นข้าก็หลับตาลงพร้อมกับ.. ภาวนาถึงเลทิเซีย.. เข้าใกล้เลทิเซียต้องเข้าใกล้เลทิเซียให้ได้..

พวกเราต้องอยู่ใกล้กัน.. ที่แห่งนี้ไม่มีทั้งระยะหรือเวลา กล่าวคือไม่มีเส้นทางให้ก้าวไปข้างหน้าหรือถอยหลัง

ไม่มีทางไปถึงหรือไม่มีทางถอยห่าง แต่ในทางกลับกันที่อยู่ห่างออกไปก็จะอยู่ใกล้ในเวลาเดียวกันเช่นกัน..

แถมพวกเราน่ะยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘มารดา’ อยู่.. ใช่ ข้าจึงภาวนา.. ภาวนา.. แล้วก็ภาวนาให้พวกเราได้อยู่ใกล้กัน…

ข้าทำเช่นนั้นไปอย่างยาวนาน.. ไม่รู้สิมันอาจจะผ่านไปเป็นสิบหรือร้อยปีแล้วก็ได้ แต่นิยามของกาลเวลาไม่อาจใช้อธิบายในโลกแห่งนี้ได้

ทั้งข้าหรือเลทิเซียจึงรู้สึกเหมือนช้าหรือเร็วไม่เท่ากัน… แต่ถึงจะไม่รู้วันรู้เวลา หรือมีเวลาให้หลับ ให้ง่วง.. แต่ทว่า..

ความคิดของข้าก็ยังคงทำงาน.. แม้ทุกอณูทั่วร่างจะหยุด บาดแผลจะไม่ฟื้นฟู.. ร่างกายราวกับเวลาถูกหยุด

แต่ความคิดที่เหนื่อยล้าก็ยังคงอยู่.. ใช่ ข้าพยายาม.. พยายามที่จะดึงตัวเข้าใกล้เลทิเซีย.. มันนานมาก..

รู้สึกเหมือนกับอยากจะอาเจียนออกมาแต่ก็อาเจียนไม่ออก ความคิดรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าทั้งที่ไม่ควรแท้ๆ ..

“เลทิเซีย… ข้า…”

ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นอะไร.. สำหรับข้าตลอดชีวิตที่ผ่านมาข้านั้นแตกต่างจากคนอื่นอยู่เสมอ..

เป็นคนที่มีพรสวรรค์แตกต่างจากคนอื่น เป็นคนที่มีสถานะราวกับเทพเทวา.. ไม่ว่าผ่านไปไหนก็มีแต่คนรู้จัก

บ้างก็อิจฉา บ้างก็หวาดกลัว บ้างก็มองด้วยสายตากลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ต่อให้ไม่บอกว่าเป็นใครทุกคนก็จะรู้..

ข้าพยายามจะทอดทิ้งสถานะและพรสวรรค์ของข้าอยู่เสมอ ไม่อยากจะตกเป็นเป้าของสายตาใคร ไม่อยากจะแข็งแกร่งมากกว่าใคร..

ข้ากลัวสายตาที่คนอื่นมองมาที่ข้าตลอด ทุกครั้งที่สายตานั้นมองมามันจะมากไปด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจจะระบุได้

ดังนั้นจึงหนีจากมันเข้าสู่สงครามและทำทุกอย่างเพื่อให้มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วมันก็มากไป.. มากจนเกินไป..

จนกลายเป็นคนน่ากลัว…ไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้.. พอถึงจุดนั้นข้าก็กลับกลายเป็นคนอารมณ์รุนแรงซะอย่างนั้น..

ทั้งๆ ที่ข้าเพียงแค่อยากจะให้ใครสักคนยอมรับข้า.. ใช่ จนกระทั่งได้เจอกับเจ้า.. เลทิเซียเจ้านั้นเหมือนกับข้าแต่ก็ไม่เหมือน..

เจ้ามีทั้งความสามารถ ทั้งพลัง เป็นเป้าสายตาของทุกคนแต่เจ้าก็ไม่เคยที่จะหยุดที่จะแข็งแกร่ง ไม่เคยยอมแพ้มีแต่จะไขว่คว้าหาความแข็งแกร่งที่มากยิ่งขึ้น

เรียนรู้มากยิ่งขึ้น.. และสายตาที่เจ้ามองมาที่ข้านั้นไม่มีทั้งความกลัว ไม่มีทั้งความอิจฉาริษยา..

สายตาที่เจ้ามองมานั้นมีแค่สายตาเดียว.. แม้ในตอนแรกข้าจะไม่รู้จักมันแต่มันก็คือสายตาที่รำคาญข้า..

ใช่ นี่เป็นสายตาของเธอเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้.. ข้าอยากจะเข้าใจเจ้าให้มากขึ้นอีกข้าถึงได้ตามติดเลทิเซียอยู่ตลอด..

จนนานวันข้าก็อยากจะเปลี่ยนมัน ข้าอยากจะเข้าใจและเปลี่ยนแปลง ดังนั้นข้าถึงพยายามจะกลายเป็นคนที่เธอมองไม่ใช่ในฐานะคนน่ารำคาญ

แต่เป็นเพื่อนที่เท่าเทียมโดยสิ้นเชิง.. ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ความพยายามที่จะเข้าใกล้นั้นก็กลายเป็นการดึงดันไปด้วย

แต่ในเมื่อทุกอย่างอำนวยมาทางนี้.. ความดึงดันของข้าถึงได้มากขึ้น..จนกลายเป็นการยอมแพ้ไม่ได้..

จนกระทั่งท้ายที่สุดเธอก็เปลี่ยนไป.. ใช่ สายตาที่เลทิเซียมองมาที่ข้าไม่ใช่รำคาญอีกต่อไป ไม่ใช่ทั้งความอิจฉาหรือเกลียดชัง..

แต่เป็นสายตาที่เหมือนกับเพื่อน..เหมือนคนสำคัญ.. ไม่เหมือนที่ท่านแม่มองมาเป็นสายตาที่ไม่เท่าเทียม

..แต่เป็นแบบแรกที่ข้าได้สัมผัส.. ใช่.. ตลอดห้าปีที่ผ่านมาข้าถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้น แม้ในตอนแรกข้าจะสับสน..

แต่พอผ่านไป.. ข้าก็รู้สึกแปลกประหลาด.. นับตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่พอข้านึกว่าสักวันจะต้องกลับไปโลกแห่งเทพข้าก็กลัว..

กลัวว่าจะไม่ได้เห็นสิ่งที่เจ้าเคยปฏิบัติกับข้า.. มอบสิ่งที่ธรรมดาให้ข้าไม่ใช่การรบราฆ่าฟัน ไม่ใช่การฝึกฝน.. แต่เป็นชีวิตธรรมดา

…แต่พอมาคิดว่าหากเจ้าจะหายไป.. ข้ากลับหวาดกลัวยิ่งกว่า.. เพราะงั้นเลทิเซีย.. ข้าจะเรียกเจ้า.. เรียกต่อไป

แสงสว่างของข้า..

 

………

[ซิลเวียเป็นคนที่ห่างไกลจากความ ธรรมดา มากที่สุดเพราะเธอนั้นสุดยอดกว่าใคร.. แต่ที่เลทิเซียทำไม่ใช่การมองเธอแบบนั้น แต่เป็นสายตาที่มองไม่ต่างจากคนอื่น.. และสิ่งที่เลทิเซียมอบให้ไม่ใช่พยายามคาดหวังให้เธอดีโดดเด่นกว่าใคร สิ่งที่เลทิเซียให้ทำคือช่วยทำนั่นทำนี่ซึ่งเป็นเรื่องที่ธรรมดาเขาทำกัน นั่นแหละคือต้นตอแห่งความรู้สึกยึดติดของซิลเวีย หรือพูดอีกอย่าง ยัยนี่เป็น M ชอบโดนมองแบบรำคาญนั่นเอง ผิด– แค่ก – ผู้เขียน]

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 297

Now you are reading การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม Chapter 297 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 297 – แสงสว่างของข้า

 

ดวงตาของข้าค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ … สิ่งที่ข้าเห็นคือความมืดอันดำสนิท ไม่สิ บางทีมันอาจจะไม่ใช่ความมืดหรืออะไร

ที่แห่งนี้ไม่มีทั้งพื้นที่ ไม่มีทั้งเวลา ไม่มีทั้งความเป็นจริงใดๆ ที่ข้าสามารถนิยามมันขึ้นมาได้เพราะจากมุมมองของข้าเท่านั้น…

ใช่ นั่นคือสิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวของข้าหลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้น ไม่ใช่ว่าข้าไม่รู้จักที่แห่งนี้แต่ข้ารู้จัก

เพียงแต่ข้ายังไม่อาจรวบรวมความคิดได้ในเวลานี้ ข้าพยายามที่จะประคองสติอันพร่าเลือนของตนเอง

และย้อนทวนลึกเข้าไปในความทรงจำอดีตอันไกลโพ้น..

ข้ามีชื่อว่าซิลเวีย เป็นเทพธิดา.. ความทรงจำ ความคิดที่ปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้ก็กลับคืนมา..

ความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับตัวเองถาโถมเข้ามา.. ตาที่พร่ามัวของข้ากลับมาชัดเจนในทันทีที่นึกทุกอย่างออก

“เลทิเซีย!!”

ข้าตะโกนออกมา ก่อนที่ข้าจะหมดสติไปข้าอยู่กับเธอ ใช่ เธอคนนั้นที่ข้าต้องคอยอยู่ข้างๆ ..

พอข้าพยายามจะลุกขึ้นพอใช้มือทั้งสองข้างดันตัวเองแต่ก็พบว่าพื้นด้านล่างมันว่างเปล่าราวกับเธอกำลังลอยอยู่กลางอากาศ

ไม่เพียงแค่นั้นพอเธอขยับแขนเธอก็รู้สึกประหลาดที่มือ พอข้ามองก็พบว่า..มือทั้งสองข้างตัวเองที่ตอนแรกถูกเลทิเซียรักษาไปบ้างแล้ว

แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ซึ่งสภาพมือของข้าในตอนนี้มันเหมือนตอนนั้นทุกประการ ถึงมีเนื้อหนังและผิวพรรณฟื้นกลับมาบ้างแล้วก็เถอะ

แต่ก็มีบางส่วนที่มองลึกลงไปจนเห็นกระดูกขาวอยู่เลย ภาพนี้สร้างความประหลาดใจให้แก่ข้าอยู่ไม่น้อย..

“สองคนนั้นเป็นใครกัน..”

ข้าพึมพำ ข้าในตอนที่รับพลังอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ถูกผนึกพลังอยู่เพราะฝืนใช้อาภรณ์เทพ หมายความว่าพลังของข้านั้นไม่ต่างจากตอนปกติ

แต่อีกฝ่ายกลับทำให้ข้าบาดเจ็บได้.. บนโลกเทพก็มีไม่กี่คนที่ทำแบบนั้นได้ อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่.

แล้วก็ทำไมถึงเล็งเลทิเซีย.. พอพูดถึงเลทิเซียข้าก็ตกใจ

“ไม่สิ ตอนนี้ต้องหาเลทิเซียก่อน”

พอคิดแบบนั้นก็มองงงไปรอบๆ ทุกอย่างรอบตัวข้ามีเพียงความว่างเปล่าอันไกลโพ้น… ฉับพลันความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งนี้ก็ลอยกลับคืนมาในหัวข้า..

“ความว่างเปล่าอนันตกาล”

นั่นคือคำอธิบายสิ่งนี้.. ที่ไม่ใช่ทั้งมิติ ไม่ใช่ทั้งความเป็นจริง ไม่ใช่ทั้งโลกใบนี้หรือแม้แต่ต้นกำเนิดที่แท้จริง (ชินโนะเก็นเท็น)

หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือที่แห่งนี้คือความว่างเปล่าตามตำราที่ข้าเคยอ่านมาบนโลกเทพ..

แต่หากตามคำอธิบาย.. ความว่างเปล่าก็ต้องเป็นความว่างเปล่าสิ.. แต่ข้าหาใช่ความว่างเปล่าที่ไหนกัน..?

ไม่สิ ไม่ใช่เรื่องที่จะห่วงในตอนนี้ เลทิเซียล่ะ ตอนที่ข้าสลบไปเลทิเซียก็อยู่ใกล้ๆ เธอต้องโดนมาด้วยแน่..

หากสมมุติว่าข้าเป็นเทพเลยไม่เป็นอะไรแล้วเลทิเซียล่ะ.. เธอจะไม่เป็นอะไรเหรอ ข้าเหงื่อไหลด้วยความกังวล

กวาดสายตาหาในความว่างเปล่าเพราะร่างกายขยับไม่ได้ พลังทุกอย่างไม่อาจจะใช้ออกมาได้

แต่ตอนนั้นเองสายตาก็ไปหยุดชะงักอยู่บนจุดเรือนแสงจุดหนึ่งที่ห่างไกลออกไปไม่มา.. แสงที่ไม่ควรมีแต่ก็ยังมี

ข้าจึงเพ่งสายตาไปด้วยความสงสัย.. ใช่.. ที่ลอยอยู่ห่างไกลออกไปนั้นเป็นเลทิเซียแน่..

“เลทิเซีย!!”

ข้าพยายามจะเรียกเธอแต่กลับไร้ซึ่งแม้แต่เสียง แม้แต่พยายามจะขยับก็ยังทำไม่ได้ .. ใช่เพราะที่นี่คือความว่างเปล่าอันเป็นอนันตกาล..

ไม่มีทุกคลื่น ไม่มีทุกอณู.. ที่ข้ากับเลทิเซียยังไม่หายสาบสูญไปโดยสิ้นเชิงอาจจะเป็นปาฏิหาริย์ก็ได้

แต่จะทำยังไงละ..เลทิเซียก็สลบ ร่างกายก็เคลื่อนไหวไม่ได้… ในขณะที่ข้ากำลังคิดอยู่นั้นเองจู่ๆ สายตาก็ไปสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเข้า…

“อ่า ใช่.. ยังมีวิธีนั้นอยู่นี่น่า”

พอคิดได้แบบนั้นข้าก็หลับตาลงพร้อมกับ.. ภาวนาถึงเลทิเซีย.. เข้าใกล้เลทิเซียต้องเข้าใกล้เลทิเซียให้ได้..

พวกเราต้องอยู่ใกล้กัน.. ที่แห่งนี้ไม่มีทั้งระยะหรือเวลา กล่าวคือไม่มีเส้นทางให้ก้าวไปข้างหน้าหรือถอยหลัง

ไม่มีทางไปถึงหรือไม่มีทางถอยห่าง แต่ในทางกลับกันที่อยู่ห่างออกไปก็จะอยู่ใกล้ในเวลาเดียวกันเช่นกัน..

แถมพวกเราน่ะยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘มารดา’ อยู่.. ใช่ ข้าจึงภาวนา.. ภาวนา.. แล้วก็ภาวนาให้พวกเราได้อยู่ใกล้กัน…

ข้าทำเช่นนั้นไปอย่างยาวนาน.. ไม่รู้สิมันอาจจะผ่านไปเป็นสิบหรือร้อยปีแล้วก็ได้ แต่นิยามของกาลเวลาไม่อาจใช้อธิบายในโลกแห่งนี้ได้

ทั้งข้าหรือเลทิเซียจึงรู้สึกเหมือนช้าหรือเร็วไม่เท่ากัน… แต่ถึงจะไม่รู้วันรู้เวลา หรือมีเวลาให้หลับ ให้ง่วง.. แต่ทว่า..

ความคิดของข้าก็ยังคงทำงาน.. แม้ทุกอณูทั่วร่างจะหยุด บาดแผลจะไม่ฟื้นฟู.. ร่างกายราวกับเวลาถูกหยุด

แต่ความคิดที่เหนื่อยล้าก็ยังคงอยู่.. ใช่ ข้าพยายาม.. พยายามที่จะดึงตัวเข้าใกล้เลทิเซีย.. มันนานมาก..

รู้สึกเหมือนกับอยากจะอาเจียนออกมาแต่ก็อาเจียนไม่ออก ความคิดรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าทั้งที่ไม่ควรแท้ๆ ..

“เลทิเซีย… ข้า…”

ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นอะไร.. สำหรับข้าตลอดชีวิตที่ผ่านมาข้านั้นแตกต่างจากคนอื่นอยู่เสมอ..

เป็นคนที่มีพรสวรรค์แตกต่างจากคนอื่น เป็นคนที่มีสถานะราวกับเทพเทวา.. ไม่ว่าผ่านไปไหนก็มีแต่คนรู้จัก

บ้างก็อิจฉา บ้างก็หวาดกลัว บ้างก็มองด้วยสายตากลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ต่อให้ไม่บอกว่าเป็นใครทุกคนก็จะรู้..

ข้าพยายามจะทอดทิ้งสถานะและพรสวรรค์ของข้าอยู่เสมอ ไม่อยากจะตกเป็นเป้าของสายตาใคร ไม่อยากจะแข็งแกร่งมากกว่าใคร..

ข้ากลัวสายตาที่คนอื่นมองมาที่ข้าตลอด ทุกครั้งที่สายตานั้นมองมามันจะมากไปด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจจะระบุได้

ดังนั้นจึงหนีจากมันเข้าสู่สงครามและทำทุกอย่างเพื่อให้มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วมันก็มากไป.. มากจนเกินไป..

จนกลายเป็นคนน่ากลัว…ไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้.. พอถึงจุดนั้นข้าก็กลับกลายเป็นคนอารมณ์รุนแรงซะอย่างนั้น..

ทั้งๆ ที่ข้าเพียงแค่อยากจะให้ใครสักคนยอมรับข้า.. ใช่ จนกระทั่งได้เจอกับเจ้า.. เลทิเซียเจ้านั้นเหมือนกับข้าแต่ก็ไม่เหมือน..

เจ้ามีทั้งความสามารถ ทั้งพลัง เป็นเป้าสายตาของทุกคนแต่เจ้าก็ไม่เคยที่จะหยุดที่จะแข็งแกร่ง ไม่เคยยอมแพ้มีแต่จะไขว่คว้าหาความแข็งแกร่งที่มากยิ่งขึ้น

เรียนรู้มากยิ่งขึ้น.. และสายตาที่เจ้ามองมาที่ข้านั้นไม่มีทั้งความกลัว ไม่มีทั้งความอิจฉาริษยา..

สายตาที่เจ้ามองมานั้นมีแค่สายตาเดียว.. แม้ในตอนแรกข้าจะไม่รู้จักมันแต่มันก็คือสายตาที่รำคาญข้า..

ใช่ นี่เป็นสายตาของเธอเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้.. ข้าอยากจะเข้าใจเจ้าให้มากขึ้นอีกข้าถึงได้ตามติดเลทิเซียอยู่ตลอด..

จนนานวันข้าก็อยากจะเปลี่ยนมัน ข้าอยากจะเข้าใจและเปลี่ยนแปลง ดังนั้นข้าถึงพยายามจะกลายเป็นคนที่เธอมองไม่ใช่ในฐานะคนน่ารำคาญ

แต่เป็นเพื่อนที่เท่าเทียมโดยสิ้นเชิง.. ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ความพยายามที่จะเข้าใกล้นั้นก็กลายเป็นการดึงดันไปด้วย

แต่ในเมื่อทุกอย่างอำนวยมาทางนี้.. ความดึงดันของข้าถึงได้มากขึ้น..จนกลายเป็นการยอมแพ้ไม่ได้..

จนกระทั่งท้ายที่สุดเธอก็เปลี่ยนไป.. ใช่ สายตาที่เลทิเซียมองมาที่ข้าไม่ใช่รำคาญอีกต่อไป ไม่ใช่ทั้งความอิจฉาหรือเกลียดชัง..

แต่เป็นสายตาที่เหมือนกับเพื่อน..เหมือนคนสำคัญ.. ไม่เหมือนที่ท่านแม่มองมาเป็นสายตาที่ไม่เท่าเทียม

..แต่เป็นแบบแรกที่ข้าได้สัมผัส.. ใช่.. ตลอดห้าปีที่ผ่านมาข้าถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้น แม้ในตอนแรกข้าจะสับสน..

แต่พอผ่านไป.. ข้าก็รู้สึกแปลกประหลาด.. นับตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่พอข้านึกว่าสักวันจะต้องกลับไปโลกแห่งเทพข้าก็กลัว..

กลัวว่าจะไม่ได้เห็นสิ่งที่เจ้าเคยปฏิบัติกับข้า.. มอบสิ่งที่ธรรมดาให้ข้าไม่ใช่การรบราฆ่าฟัน ไม่ใช่การฝึกฝน.. แต่เป็นชีวิตธรรมดา

…แต่พอมาคิดว่าหากเจ้าจะหายไป.. ข้ากลับหวาดกลัวยิ่งกว่า.. เพราะงั้นเลทิเซีย.. ข้าจะเรียกเจ้า.. เรียกต่อไป

แสงสว่างของข้า..

 

………

[ซิลเวียเป็นคนที่ห่างไกลจากความ ธรรมดา มากที่สุดเพราะเธอนั้นสุดยอดกว่าใคร.. แต่ที่เลทิเซียทำไม่ใช่การมองเธอแบบนั้น แต่เป็นสายตาที่มองไม่ต่างจากคนอื่น.. และสิ่งที่เลทิเซียมอบให้ไม่ใช่พยายามคาดหวังให้เธอดีโดดเด่นกว่าใคร สิ่งที่เลทิเซียให้ทำคือช่วยทำนั่นทำนี่ซึ่งเป็นเรื่องที่ธรรมดาเขาทำกัน นั่นแหละคือต้นตอแห่งความรู้สึกยึดติดของซิลเวีย หรือพูดอีกอย่าง ยัยนี่เป็น M ชอบโดนมองแบบรำคาญนั่นเอง ผิด– แค่ก – ผู้เขียน]

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+