การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 172

Now you are reading การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม Chapter 172 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 172 – อาณาจักรเวทมนตร์มิราลิส

 

อาณาจักรเวทมนตร์มิราลิส ฉันรู้จักอาณาจักรนี้..หนึ่งในสองอาณาจักรเวทมนตร์ที่ใหญ่ที่สุดของทวีป

อาณาจักรที่ไม่ได้มีการปกครองแบบราชา.. อันที่จริงอาณาจักรนี้ใช้ระบบประชาธิปไตยน่ะนะ

น่าจะเป็นอาณาจักรที่บุกเบิกระบอบประชาธิปไตยแห่งแรกของโลกนี้เลยล่ะ ไม่มีราชา ปกครองโดยการเลือกตั้ง

และอาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรเปิด ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ มันเหมือนกับเขตไร้อาณานั่นแหละ แต่ว่าที่นี่มีระเบียบ มีกฎเกณฑ์

ว่ากันเมื่อสิ้นยุคสงครามเมื่อหลายร้อยปีก่อนนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้สถาปนาประเทศประชาธิปไตยแห่งแรกขึ้นมา

ไม่มีใครรู้ว่านักปราชญ์ท่านนั้นเอาแนวคิดนี้มาจากไหน แต่ทว่ามันก็แสดงศักยภาพของสิ่งที่เรียกว่าความเท่าเทียมได้ดีที่สุด

แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าบอกว่าความเท่าเทียมแล้วทุกคนจะเห็นด้วย และนอกจากนี้ยังปัญหาโกงกินต่างๆ เพิ่มเข้ามา

เช่นมีนักรบที่กระหายอำนาจขึ้นมาปกครอง แล้วก็โกงกินก่อนจะมีการประท้วงนำพาไปสู่ความวุ่นวาย

และอื่นๆ อีกมาก นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้นยังไม่แพร่หลายและยังไม่มีอยู่อย่างแท้จริง

เพราะหากยังมีคนชั่วในสังคมสุดท้ายประชาธิปไตยก็ไม่อาจจะเป็นประชาธิปไตยได้นั่นเอง ตัวอย่างเองก็ให้เห็นกันเกลื่อนกลาดในโลกเดิมของฉัน

นอกจากประชาธิปไตยแล้วที่นี่ยังเป็นบ่อรวมความรู้ของเหล่าจอมเวทหรือนักรบทุกคน เพราะที่นี่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ที่ล้ำหน้าและทันสมัย

แม้แต่ไอ้ ‘เกท’ ก่อนหน้านี้ก็เป็นผลจากการพัฒนาเวทมนตร์ตลอดระยะเวลาหลายร้อนปีของอาณาจักรมิราลิส

เรียกได้ว่าระบบต่างๆ ของที่แห่งนี้มันพัฒนาไปไกลเหมือนกับอยู่คนละโลกเลยแหละ เอาเข้าจริงฉันเองก็สนใจที่นี่อยู่ไม่มากก็น้อย

เพราะว่ามีอะไรที่ฉันสนใจอยู่เรื่องหลีกการข้ามมิติเวลาก็เป็นส่วนหนึ่ง ฉันได้ยินแว่วๆ ว่าทางเบื้องลึกของอาณาจักรแห่งนี้มีการศึกษาการข้ามมิติอย่างจริงจัง

ฉันสงสัยว่าโลกนี้จะใช้ทฤษฎีเคลื่อนย้ายมวลสารเหมือนกันไหม ฉันไม่กล้าทดลองเวทมนตร์ข้ามมิติกับตัวเองเพราะไม่เข้าใจองค์ประกอบของร่างกาย

ถ้าหากฉันเคลื่อนย้ายมวลสารตัวเองแล้ววิญญาณฉันล่ะ อะไรทำนองนั้นน่ะนะ เพราะนี่มันโลกแฟนตาซีเหนือจินตนาการเลยนะ

จะมีอะไรแบบนั้นก็ไม่เหนือความคาดหมาย ฉันเลยไม่เคยลองใช้การเคลื่อนย้ายมวลสาร แต่หากฉันมาที่นี่ฉันอาจจะได้ข้อมูลส่วนนั้น

ถ้าเป็นแบบนั้นหากฉันต้องการเดินทางข้ามโลกก็คงเป็นไปได้เหมือนกัน แต่กรณีเลวร้ายที่สุดก็อาจจะเป็นไปได้ว่าโลกนี้ไม่ได้อยู่จักรวาลเดียวกันกับโลกเดิมฉัน

สิ่งที่ฉันเป็นห่วงในโลกเดิมก็คือตัวลูเซีย … ฉันกลัวว่าเธอตะเป็นอะไรไปน่ะสิ.. พอคิดแบบนั้นก็รีบส่ายหัว

“เธอต้องไม่เป็นอะไร.. เธอน่ะเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่าฉันซะอีก…”

หลังจากปลอบตัวเองแบบนั้นอาจารย์เวโรเน่ก็เรียกให้พวกเราตามไป เวลาตอนนี้ใกล้จะมืดแล้วด้วย แต่แม้จะเป็นแบบนั้นในเมืองก็ยังครึกครื้นดังเดิม

“อาณาจักรเวทมนตร์มิราลิส คือสถานที่ที่พวกเราจะมาแข่งขัน ว่าแต่เธอรู้หรือเปล่าว่าจะแข่งกันยังไง?”

“ข้ารู้ๆ ต้องต่อสู้ใช่ไหมล่ะ เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเลทิเซียของข้าน่ะแข็งแกร่งที่สุดอยู่แล้ว!”

คนที่ตอบคือซิลเวียที่เหมือนจะดีใจยิ่งกว่าอะไรซะอีก ว่าแต่เธอไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหน?

อาจารย์เวโรเน่ไม่ได้ใส่ใจท่าทางของซิลเวียเท่าไหร่ เหมือนว่าเธอชินหรืออาจจะรู้จักอยู่แล้ว นี่ซิลเวียไปทำอะไรแปลกๆ ไว้เยอะสินะ

แบบจนแม้แต่ครูคนอื่นก็เอือมอะไรแบบนี้น่ะ อาจารย์เวโรเน่เธอยิ้มแล้วก็ตอบซิลเวียว่า

“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก การแข่งขันจะมีมากกว่าหนึ่งรูปแบบ แต่ว่าในแต่ละปีการแข่งขันจะสุ่มกันออกไปเพื่อคัดคนออกทีละนิดทีละหน่อยนั่นแหละ แต่เพราะพวกเราแพ้มาตลอดสิทธิ์ในการส่งตัวแทนเข้าแข่งขันเลยเหลือแค่เพียงหนึ่งคนเท่านั้น หากแพ้อีกรอบนี้โรงเรียนพวกเราคงกลายเป็นพวกล้าหลังแน่ๆ”

“ปีนี้คงได้แต่คาดหวังว่าฉลากจะออกมาเป็นสู้ทัวร์นาเม้นทุกรอบแข่งเลย เราจะได้แบ่งเบาภาระของเลทิเซียได้.. แต่เอาเถอะไม่ว่าอย่างไหนเธอก็จ้องชนะอยู่ดีใช่ไหมล่ะ เลทิเซีย”

รู้แล้วน่า ไม่ต้องขู่ถึงขั้นนี้ก็ได้! เอาจริงคราวนี้คงต้องชนะอย่างเดียวเท่านั้น แถมตอนนี้ยังมีวิชาดาวไร้ลักษณ์ช่วยสนับสนุนร่างกาย

ถึงโดนรุมก็ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก แล้วก็หากจวนตัวจริงๆ ก็คงต้องใช้เวทมนตร์ปีศาจนั่นแหละ

ในขณะที่พวกเรากำลังเดินอยู่นั้น จู่ๆ อาจารย์เวโรเน่ก็ชี้นิ้วไปอีกด้านตรงข้ามของทางเดินที่มีคนกำลังเดินสวนมา

“นั่นคือนักเรียนจากโรงเรียนไลเบอร์ บางทีพวกเขาเองก็พึ่งมาถึง.. พวกจากโรงเรียนไลเบอร์เองก็นับเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของพวกเรา แม้ปีก่อนจะอยู่อันดับรั้งท้ายเหมือนพวกเรา แต่เห็นว่าปีนี้มีนักเรียนดีเด่น ที่เป็นว่าที่องค์ราชินีด้วย รู้สึกว่าจะชื่อ…”

“เซเลีย ที คริสกราฟต์ คนนี้ยังไงล่ะ!”

ก่อนที่อาจารย์เวโรเน่จะพูดเสร็จก็มีเด็กคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มคนเหล่านั้น คนจากโรงเรียนไลเบอร์นี่รู้สึกว่าจะมีเป็นสิบคนเลย..

นี่คือตัวแทนสิบคนเลยเรอะ ทำไมถึงต่างกับโรงเรียนลิเบอร์ขนาดนี้เนี่ย ฉันอยากจะบ่นออกไป แถมดูเหมือนว่าโรงเรียนอื่นน่าจะมีเยอะกว่านี้ด้วยนะ

เพราะโรงเรียนไลเบอร์ในปีก่อนก็แพ้ยับเหมือนโรงเรียนลิเบอร์ที่ฉันอยู่ เอาเถอะถึงแพ้ยับก็คงไม่เท่าโรงเรียนลิเบอร์หรอก

ผู้หญิงที่ชื่อเซเลียยืดอกขึ้นทำเหมือนผู้หญิงประเภทที่ชอบรับคำยกยอ.. แต่ว่าพอเธอหันมาเห็นฉันเธอก็อ้าปากค้าง

“ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริงๆ ด้วยสินะคะเนี่ย?!”

เธอทำหน้าแปลกๆ แล้วก็พูดขึ้นมาจนแม้แต่คนรอบข้างก็ยังงง ฉันเองก็งงเหมือนกันว่าเธอหมายถึงอะไร

เธอเดินเข้ามาจ้องฉัน แล้วก็เอามือแตะผม แตะกระโปรง ดมกลิ่น.. เอ่อ.. นี่มันอะไรเนี่ย ว่าแต่ชื่อเซเลียสินะ แต่ฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยนะ?

อืมมมม… ขณะคิด จู่ๆ ว่าที่ราชินีก็พูดขึ้น

“แอนนี่มาดูนี่สิ เธอยังไม่ตาย ไม่สิ คืนชีพขึ้นมาจริงด้วยอ่ะ?”

แล้วก็มีผู้หญิงอีกคนเดินมาสำรวจฉันซะเป็นเหมือนของหายากอะไรสักอย่างฉันเองก็ไม่รู้จะตอบสนองยังไงดี

ยินดีที่ได้รู้จักเหรอ ไม่สิเป็นศัตรูนี่น่า.. สวัสดีเหรอ … แต่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะสวัสดีฉันนี่น่า.. ในขณะที่คิดไม่ตกอยู่นั้นเอง

“เซเลีย แอนนี่หยุดก่อกวนคนอื่นได้แล้ว!”

เหมือนจะมีผู้ใหญ่คนหนึ่งเดินมาจับคอเสื้อทั้งสองลากออกไปแล้วก็กดหัวทั้งสองแล้วก้มลงมาทางฉัน

“ข้าต้องขออภัยแทนทั้งสองจริงๆ …”

“เอ่อ.. ไม่เป็นไรหรอก…”

ฉันตอบออกไปแบบนั้น แล้วพวกเขาก็เดินจากไปแบบเงียบๆ พอพวกเธอจากไปอาจารย์เวโรเน่กับซิลเวียก็พูดแทบพร้อมกัน

“เมื่อกี้คืออะไร เธอรู้จักซิลเวียด้วยเหรอ.. แล้วที่ว่าคืนชีพนี่หมายถึงอะไร?”

“เอ่อ…”

ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงเหมือนกันน่ะสิ ฉันไม่เคยเจอสองคนนั้นมาก่อน แม้แต่ชื่อก็พึ่งรู้จักเลยด้วยซ้ำ

แล้วคืนชีพนี่ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน.. ในขณะที่กำลังจะตีเซ่อว่าไม่รู้เรื่องเหมือนกันเสียงระฆังก็ดังขึ้น

“อ๊ะ ถึงเวลาแล้วเหรอ”

“รีบไปกันเถอะ”

ฉันรีบพูดและก็พากันไปเข้างานเลี้ยง พวกเราเดินตามทางไปไม่นานก็มาถึงห้องโถงที่จัดงานเลี้ยงแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 172

Now you are reading การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม Chapter 172 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 172 – อาณาจักรเวทมนตร์มิราลิส

 

อาณาจักรเวทมนตร์มิราลิส ฉันรู้จักอาณาจักรนี้..หนึ่งในสองอาณาจักรเวทมนตร์ที่ใหญ่ที่สุดของทวีป

อาณาจักรที่ไม่ได้มีการปกครองแบบราชา.. อันที่จริงอาณาจักรนี้ใช้ระบบประชาธิปไตยน่ะนะ

น่าจะเป็นอาณาจักรที่บุกเบิกระบอบประชาธิปไตยแห่งแรกของโลกนี้เลยล่ะ ไม่มีราชา ปกครองโดยการเลือกตั้ง

และอาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรเปิด ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ มันเหมือนกับเขตไร้อาณานั่นแหละ แต่ว่าที่นี่มีระเบียบ มีกฎเกณฑ์

ว่ากันเมื่อสิ้นยุคสงครามเมื่อหลายร้อยปีก่อนนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้สถาปนาประเทศประชาธิปไตยแห่งแรกขึ้นมา

ไม่มีใครรู้ว่านักปราชญ์ท่านนั้นเอาแนวคิดนี้มาจากไหน แต่ทว่ามันก็แสดงศักยภาพของสิ่งที่เรียกว่าความเท่าเทียมได้ดีที่สุด

แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าบอกว่าความเท่าเทียมแล้วทุกคนจะเห็นด้วย และนอกจากนี้ยังปัญหาโกงกินต่างๆ เพิ่มเข้ามา

เช่นมีนักรบที่กระหายอำนาจขึ้นมาปกครอง แล้วก็โกงกินก่อนจะมีการประท้วงนำพาไปสู่ความวุ่นวาย

และอื่นๆ อีกมาก นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้นยังไม่แพร่หลายและยังไม่มีอยู่อย่างแท้จริง

เพราะหากยังมีคนชั่วในสังคมสุดท้ายประชาธิปไตยก็ไม่อาจจะเป็นประชาธิปไตยได้นั่นเอง ตัวอย่างเองก็ให้เห็นกันเกลื่อนกลาดในโลกเดิมของฉัน

นอกจากประชาธิปไตยแล้วที่นี่ยังเป็นบ่อรวมความรู้ของเหล่าจอมเวทหรือนักรบทุกคน เพราะที่นี่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ที่ล้ำหน้าและทันสมัย

แม้แต่ไอ้ ‘เกท’ ก่อนหน้านี้ก็เป็นผลจากการพัฒนาเวทมนตร์ตลอดระยะเวลาหลายร้อนปีของอาณาจักรมิราลิส

เรียกได้ว่าระบบต่างๆ ของที่แห่งนี้มันพัฒนาไปไกลเหมือนกับอยู่คนละโลกเลยแหละ เอาเข้าจริงฉันเองก็สนใจที่นี่อยู่ไม่มากก็น้อย

เพราะว่ามีอะไรที่ฉันสนใจอยู่เรื่องหลีกการข้ามมิติเวลาก็เป็นส่วนหนึ่ง ฉันได้ยินแว่วๆ ว่าทางเบื้องลึกของอาณาจักรแห่งนี้มีการศึกษาการข้ามมิติอย่างจริงจัง

ฉันสงสัยว่าโลกนี้จะใช้ทฤษฎีเคลื่อนย้ายมวลสารเหมือนกันไหม ฉันไม่กล้าทดลองเวทมนตร์ข้ามมิติกับตัวเองเพราะไม่เข้าใจองค์ประกอบของร่างกาย

ถ้าหากฉันเคลื่อนย้ายมวลสารตัวเองแล้ววิญญาณฉันล่ะ อะไรทำนองนั้นน่ะนะ เพราะนี่มันโลกแฟนตาซีเหนือจินตนาการเลยนะ

จะมีอะไรแบบนั้นก็ไม่เหนือความคาดหมาย ฉันเลยไม่เคยลองใช้การเคลื่อนย้ายมวลสาร แต่หากฉันมาที่นี่ฉันอาจจะได้ข้อมูลส่วนนั้น

ถ้าเป็นแบบนั้นหากฉันต้องการเดินทางข้ามโลกก็คงเป็นไปได้เหมือนกัน แต่กรณีเลวร้ายที่สุดก็อาจจะเป็นไปได้ว่าโลกนี้ไม่ได้อยู่จักรวาลเดียวกันกับโลกเดิมฉัน

สิ่งที่ฉันเป็นห่วงในโลกเดิมก็คือตัวลูเซีย … ฉันกลัวว่าเธอตะเป็นอะไรไปน่ะสิ.. พอคิดแบบนั้นก็รีบส่ายหัว

“เธอต้องไม่เป็นอะไร.. เธอน่ะเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่าฉันซะอีก…”

หลังจากปลอบตัวเองแบบนั้นอาจารย์เวโรเน่ก็เรียกให้พวกเราตามไป เวลาตอนนี้ใกล้จะมืดแล้วด้วย แต่แม้จะเป็นแบบนั้นในเมืองก็ยังครึกครื้นดังเดิม

“อาณาจักรเวทมนตร์มิราลิส คือสถานที่ที่พวกเราจะมาแข่งขัน ว่าแต่เธอรู้หรือเปล่าว่าจะแข่งกันยังไง?”

“ข้ารู้ๆ ต้องต่อสู้ใช่ไหมล่ะ เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเลทิเซียของข้าน่ะแข็งแกร่งที่สุดอยู่แล้ว!”

คนที่ตอบคือซิลเวียที่เหมือนจะดีใจยิ่งกว่าอะไรซะอีก ว่าแต่เธอไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหน?

อาจารย์เวโรเน่ไม่ได้ใส่ใจท่าทางของซิลเวียเท่าไหร่ เหมือนว่าเธอชินหรืออาจจะรู้จักอยู่แล้ว นี่ซิลเวียไปทำอะไรแปลกๆ ไว้เยอะสินะ

แบบจนแม้แต่ครูคนอื่นก็เอือมอะไรแบบนี้น่ะ อาจารย์เวโรเน่เธอยิ้มแล้วก็ตอบซิลเวียว่า

“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก การแข่งขันจะมีมากกว่าหนึ่งรูปแบบ แต่ว่าในแต่ละปีการแข่งขันจะสุ่มกันออกไปเพื่อคัดคนออกทีละนิดทีละหน่อยนั่นแหละ แต่เพราะพวกเราแพ้มาตลอดสิทธิ์ในการส่งตัวแทนเข้าแข่งขันเลยเหลือแค่เพียงหนึ่งคนเท่านั้น หากแพ้อีกรอบนี้โรงเรียนพวกเราคงกลายเป็นพวกล้าหลังแน่ๆ”

“ปีนี้คงได้แต่คาดหวังว่าฉลากจะออกมาเป็นสู้ทัวร์นาเม้นทุกรอบแข่งเลย เราจะได้แบ่งเบาภาระของเลทิเซียได้.. แต่เอาเถอะไม่ว่าอย่างไหนเธอก็จ้องชนะอยู่ดีใช่ไหมล่ะ เลทิเซีย”

รู้แล้วน่า ไม่ต้องขู่ถึงขั้นนี้ก็ได้! เอาจริงคราวนี้คงต้องชนะอย่างเดียวเท่านั้น แถมตอนนี้ยังมีวิชาดาวไร้ลักษณ์ช่วยสนับสนุนร่างกาย

ถึงโดนรุมก็ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก แล้วก็หากจวนตัวจริงๆ ก็คงต้องใช้เวทมนตร์ปีศาจนั่นแหละ

ในขณะที่พวกเรากำลังเดินอยู่นั้น จู่ๆ อาจารย์เวโรเน่ก็ชี้นิ้วไปอีกด้านตรงข้ามของทางเดินที่มีคนกำลังเดินสวนมา

“นั่นคือนักเรียนจากโรงเรียนไลเบอร์ บางทีพวกเขาเองก็พึ่งมาถึง.. พวกจากโรงเรียนไลเบอร์เองก็นับเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของพวกเรา แม้ปีก่อนจะอยู่อันดับรั้งท้ายเหมือนพวกเรา แต่เห็นว่าปีนี้มีนักเรียนดีเด่น ที่เป็นว่าที่องค์ราชินีด้วย รู้สึกว่าจะชื่อ…”

“เซเลีย ที คริสกราฟต์ คนนี้ยังไงล่ะ!”

ก่อนที่อาจารย์เวโรเน่จะพูดเสร็จก็มีเด็กคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มคนเหล่านั้น คนจากโรงเรียนไลเบอร์นี่รู้สึกว่าจะมีเป็นสิบคนเลย..

นี่คือตัวแทนสิบคนเลยเรอะ ทำไมถึงต่างกับโรงเรียนลิเบอร์ขนาดนี้เนี่ย ฉันอยากจะบ่นออกไป แถมดูเหมือนว่าโรงเรียนอื่นน่าจะมีเยอะกว่านี้ด้วยนะ

เพราะโรงเรียนไลเบอร์ในปีก่อนก็แพ้ยับเหมือนโรงเรียนลิเบอร์ที่ฉันอยู่ เอาเถอะถึงแพ้ยับก็คงไม่เท่าโรงเรียนลิเบอร์หรอก

ผู้หญิงที่ชื่อเซเลียยืดอกขึ้นทำเหมือนผู้หญิงประเภทที่ชอบรับคำยกยอ.. แต่ว่าพอเธอหันมาเห็นฉันเธอก็อ้าปากค้าง

“ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริงๆ ด้วยสินะคะเนี่ย?!”

เธอทำหน้าแปลกๆ แล้วก็พูดขึ้นมาจนแม้แต่คนรอบข้างก็ยังงง ฉันเองก็งงเหมือนกันว่าเธอหมายถึงอะไร

เธอเดินเข้ามาจ้องฉัน แล้วก็เอามือแตะผม แตะกระโปรง ดมกลิ่น.. เอ่อ.. นี่มันอะไรเนี่ย ว่าแต่ชื่อเซเลียสินะ แต่ฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยนะ?

อืมมมม… ขณะคิด จู่ๆ ว่าที่ราชินีก็พูดขึ้น

“แอนนี่มาดูนี่สิ เธอยังไม่ตาย ไม่สิ คืนชีพขึ้นมาจริงด้วยอ่ะ?”

แล้วก็มีผู้หญิงอีกคนเดินมาสำรวจฉันซะเป็นเหมือนของหายากอะไรสักอย่างฉันเองก็ไม่รู้จะตอบสนองยังไงดี

ยินดีที่ได้รู้จักเหรอ ไม่สิเป็นศัตรูนี่น่า.. สวัสดีเหรอ … แต่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะสวัสดีฉันนี่น่า.. ในขณะที่คิดไม่ตกอยู่นั้นเอง

“เซเลีย แอนนี่หยุดก่อกวนคนอื่นได้แล้ว!”

เหมือนจะมีผู้ใหญ่คนหนึ่งเดินมาจับคอเสื้อทั้งสองลากออกไปแล้วก็กดหัวทั้งสองแล้วก้มลงมาทางฉัน

“ข้าต้องขออภัยแทนทั้งสองจริงๆ …”

“เอ่อ.. ไม่เป็นไรหรอก…”

ฉันตอบออกไปแบบนั้น แล้วพวกเขาก็เดินจากไปแบบเงียบๆ พอพวกเธอจากไปอาจารย์เวโรเน่กับซิลเวียก็พูดแทบพร้อมกัน

“เมื่อกี้คืออะไร เธอรู้จักซิลเวียด้วยเหรอ.. แล้วที่ว่าคืนชีพนี่หมายถึงอะไร?”

“เอ่อ…”

ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงเหมือนกันน่ะสิ ฉันไม่เคยเจอสองคนนั้นมาก่อน แม้แต่ชื่อก็พึ่งรู้จักเลยด้วยซ้ำ

แล้วคืนชีพนี่ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน.. ในขณะที่กำลังจะตีเซ่อว่าไม่รู้เรื่องเหมือนกันเสียงระฆังก็ดังขึ้น

“อ๊ะ ถึงเวลาแล้วเหรอ”

“รีบไปกันเถอะ”

ฉันรีบพูดและก็พากันไปเข้างานเลี้ยง พวกเราเดินตามทางไปไม่นานก็มาถึงห้องโถงที่จัดงานเลี้ยงแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+