การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 300

Now you are reading การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม Chapter 300 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 300 – ต้นกำเนิด

 

“แบบนั้นเองสินะ…”

ซิลเวียไม่ได้พูดอะไรมาก เธอรู้ดีกว่าใครว่าสงครามนั้นคือสถานที่เช่นไรกันแน่.. ไม่มีพ่อแม่หรือแม้แต่เพื่อน..

เลทิเซียเองก็เป็นเช่นนั้น ในชาติก่อนเธอไม่มีครอบครัวคนอื่นนอกจากพี่น้องสามคนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด

พี่สาวนั้นคอยค้ำจุนครอบครัวแทบทุกอย่าง ซึ่งเลทิเซียรู้ดีว่าที่เกิดแบบเรื่องเหล่านี้ขึ้นเป็นเพราะมีสงคราม..

อย่างน้อยพอโตขึ้นพี่สาวก็อาจจะไม่ได้เหนื่อยเหมือนในตอนมีสงครามก็ได้ เลทิเซียเชื่อแบบนั้น.. เพราะงั้นเธอจึงไม่อยากให้มีใครตายเพราะสงครามอีกแล้ว

“อืมมม ว่าแต่โลกที่ไม่มีเวทมนตร์เหรอ แล้วทำสงครามกันยังไง”

“ปืน เคมี นิวเคลียร์.. ถ้าจะให้อธิบายนิวเคลียร์ก็คงมีพลังพอๆ กับการปล่อยพลังที่รุนแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ของผู้กล้าที่อ่อนที่สุดละมั้ง?”

“ขนาดนั้นเชียวเหรอ เป็นไปได้เหรอนั่นน่ะ แน่ใจนะว่าไม่ใช่เพราะเจ้าไม่รู้ที่จริงแอบเป็นอาร์ติแฟ็ครูปแบบหนึ่ง”

“ก็บอกไปแล้วว่าที่นั่นไม่มีเวทมนตร์สักหน่อย..”

“แต่…ก็หมายความว่าเจ้าไม่ใช่คนจากโลกนี้น่ะสิ”

ซิลเวียกล่าววนลูป เลทิเซียก็พึ่งบอกไปหยกๆ ว่าตนเองมาจากต่างโลกนี่น่า.. ขณะที่เลทิเซียกำลังจะพูดว่าตนเองมาจากต่างโลก

เธอก็ต้องไม่ใช่คนในโลกนี้อยู่แล้ว.. แต่ซิลเวียรู้สิ่งที่เลทิเซียจะพูดถึงได้รีบพูดก่อน..

“ข้าไม่ได้หมายถึงโลกแบบนั้น.. โลกของเจ้าเป็นโลกแบบไหน”

“ก็เป็นดาวเคราะห์ที่ขนาดเล็กกว่าโลกนี้พอสมควร”

“ดาวเคราะห์..? ดาวเคราะห์คืออะไร?”

“อ้อ.. จะว่าไปโลกนี้ไม่ใช่ดาวเคราะห์นี่นะ”

ในขณะที่ทั้งสองคุยกัน ก็เหมือนกับคุยกันคนละเรื่อง.. หลังจากนั้นเลทิเซียก็เริ่มอธิบายความเป็นจริงเกี่ยวกับโลกของเธอ

ดาวเคราะห์ของดวงดาวขนาดใหญ่ที่ลอยเคว้งอยู่ในอวกาศโคจรรอบดาวตามแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์จึงเกิดการโคจรและกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุริยะ

พออธิบายถึงเรื่องจักรวาลและการถือกำเนิด.. ทุกอย่างเป็นล้านๆ ปีที่เลทิเซียพอจะรู้ซิลเวียก็อ้าปากค้าง..

“นั่นมันบ้าอะไรน่ะ..”

แน่นอนว่าเพราะเลทิเซียลืมไปว่าโลกใหม่ของเธอนั้นไม่เหมือนโลกเดิมทำให้ต้องอธิบายทุกอย่างนานพอสมควร

ซึ่งพอฟังจบ ซิลเวียใช้เวลาย่อยข้อมูลเหล่านั้นอยู่นานสองนาน พอเวลาผ่านไป.. เธอถึงได้พยักหน้าอย่างมั่นใจ

“เจ้าไม่ใช่คนของโลกนี้.. ไม่สิ จะพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือไม่ใช่คนของต้นกำเนิดแห่งนี้”

“ต้นกำเนิด.. มันคืออะไร”

พอเลทิเซียได้ยินเธอก็ขมวดคิ้ว คำคำนี้ที่เธอได้ยินครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก.. แถมแค่ฟังเธอก็รู้สึกถึงความพิศวงบางอย่าง..

“ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว.. ข้าก็จะอธิบายทุกอย่างให้ฟังเอง”

หลังจากนั้นซิลเวียก็เริ่มอธิบายทุกอย่างที่เธอเข้าใจเหมือนก่อนหน้า แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เธอเล่าทุกอย่างที่เธอรู้ให้กับเลทิเซียได้ฟัง

“เจ้ารู้ไหมว่าโลกนี้เกิดขึ้นมาจากอะไร?”

“กฎเกณฑ์? แนวคิด? สิ่งมีชีวิตหรือการรับรู้ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง?”

“เปล่าที่ว่ามาทั้งหมดล้วนผิด.. ไม่สิ ทุกอย่างที่ว่ามาทั้งหมดยังถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโลกใบนี้อีกทีหนึ่ง”

“ก่อนอื่นเจ้ารู้จักมิติหรือเปล่า.. แน่นว่าคงไม่รู้จักสินะ”

ในขณะที่ซิลเวียถาม แต่ก้นึกขึ้นมาได้ว่าคงไม่รู้หรอก แต่เลทิเซียก็พยักหน้าตอบพร้อมกับพูดว่า

“ฉันรู้จัก”

“เอ๊ะ รู้จักด้วยเหรอ.. งั้นก็ช่างเถอะ.. เอาเป็นว่ามิติเชิงโครงสร้างสามารถอธิบายทุกอย่างของโลกใบนี้ได้”

เธอกล่าวคำก่อนจะเหลือบมองเลทิเซียพอไม่เห็นอีกฝ่ายแย้งหรือแปลกใจ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นรู้เรื่องเดียวกันจริง

เพราะซิลเวียกลัวว่าจะคุยคนละเรื่องเหมือนตอนนั้น พอไม่เห็นท่าทีเลทิเซียเธอจึงแปลกใจ..

“มิติที่หนึ่งคือเส้น.. เส้นตรงที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากเส้นตรงที่ไร้จุดสิ้นสุด ส่วนมิติที่สองคือความกว้างที่ขยายออกรอบด้านอย่างไร้จุดสิ้นสุด”

“แล้วมิติที่สามล่ะ.. มิติที่สามคือรูปทรงที่ขยายออกไปอย่างไร้จุดสิ้นสุด.. แล้วมิติที่สี่ก็คือเวลา.. เวลาที่ไร้จุดจบ อดีต ปัจจุบันและอนาคต”

“ใช่แต่ละมิติเหล่านี้ล้วนถูกเรียกว่า โครงสร้างมิติ.. แต่ละมิติที่มากขึ้นจะมีโครงสร้างของมิติที่มากยิ่งขึ้นแน่นอนว่าแต่ละโครงสร้างนั้นไร้จุดสิ้นสุด”

“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหนก็มิอาจก้าวเข้าต่อกรผู้มิติที่สูงกว่าตนเองได้.. ใช่ แม้จะห่างกันเพียงแค่มิติเดียวแต่มีความห่างชั้นของโครงสร้างมิติกันมากยิ่งกว่าอนันต์เสียอีก”

เลทิเซียที่ได้ฟังถึงจุดนี้ก็นึกถึงชายคนที่ชื่อฮิสครอมคนนั้นขึ้นมา พร้อมกับมองกำปั้น.. ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะก้าวเข้าสู่มิติที่ห้า

และกลายเป็นเหมือนผู้ที่สามารถควบคุมทุกอย่างได้ในกำมือ.. หากไม่มีพลังของอามาเระ.. คนที่ตายคงเป็นเธอแน่ๆ

เพราะต่อให้เก่งกาจมากด้วยความสามารถขนาดไหนก็ไม่อาจจะก้าวขึ้นไปต่อกรกับอีกฝ่ายได้โดยไม่หลักการอะไรทั้งสิ้น..

แต่ว่า.. ถ้าแบบนั้นก็หมายความว่าอามาเระนั้นเก่งกว่ามิติที่ห้าเสียอีกงั้นเหรอ.. แล้วทำไมตอนนั้นถึงไม่สะท้อนความว่างเปล่าล่ะ..

ด้วยความสงสัยเลทิเซียจึงกล่าวถาม..

“แล้วมิติที่ห้านี่มันมีจริงเหรอ..”

“หืม.. เจ้ารู้จักได้ไง.. แน่นอนว่ามี.. อันที่จริงเรื่องของมิติเหลานี้นั้นมีมากมายอยู่ทุกหนแห่ง.. มิติไม่ได้มีเพียงแค่สี่แค่ห้า.. เพราะในเมื่อขนาดของโครงสร้างมิติยังมีอย่างไร้จุดสิ้นสุด.. จำนวนของมันก็ย่อมไร้จุดสิ้นสุดเช่นกัน.. บ้างก็ว่าเทพในอดีตนั้นเคยก้าวเข้าสู่ตัวตนที่ดำรงอยู่เหนือสรรพสิ่งที่..เป็นตัวตนที่มีโครงสร้างมิติอนันต์”

“..นั่นมัน..”

“ใช่.. ตัวตนที่สามารถทำลายพวกเราให้หายไปทั้งหมดได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ.. บุคคลที่ดำรงอยู่ในมิติอนันต์.. แต่ว่าเทพที่ว่านั่นก็หายไปแล้วหลังจากก้าวเข้าสู่ดินแดนระดับนั้น อาจจะเป็นแค่เรื่องแต่งก็ได้”

“แบบนี้นี่เอง”

เลทิเซียพยักหน้า สรุปว่ามีอยู่จริงสินะ.. พอคิดว่าหากมีศัตรูระดับนั้นอยู่จริงเลทิเซียคงตายไปตั้งแต่ยังไม่ทันรู้ว่าเป็นศัตรูกับเขา

ซึ่งเรื่องนี้สร้างความว้าวุ่นใจให้เลทิเซียมาก.. ซิลเวียที่เห็นท่าทางเลทิเซียจึงอธิบายต่อ

“กลับมาเรื่องเดิม.. ในเมื่อราวพูดถึงจำนวนมากที่ไร้จุดจบไปแล้ว.. ก็มองย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นเสียหน่อย….”

“ใช่.. นอกจากมิติที่หนึ่งนั้นยังมีบางสิ่งบางอย่างที่เล็กยิ่งกว่านั้น”

ก่อนที่ซิลเวียจะได้กล่าวเลทิเซียก็พูดขึ้น

“มิติที่ 0 .. จุด”

ซิลเวียที่กล่าวยืดเยื้อมานานพอโดนเลทิเซียชิงพูดก่อนก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ แถมอีกฝ่ายยังรู้จักอยู่แล้วด้วย

พอเลทิเซียเห็นซิลเวียไม่พอใจ เธอก็หัวเราะแห้งๆ ไม่คิดว่าซิลเวียจะเป็นคนชอบเล่าชอบพูดขนาดนี้

“มิติที่ 0 มันทำไมเหรอ”

“อะแฮ่ม.. จุด.. ก็ตามที่เจ้าว่านั่นแหละ คือจุดไม่มีอะไรเลย”

ซิลเวียที่เห็นเลทิเซียถามด้วยเสียงน่ารักก็มั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง เรียกได้ว่าง่ายมาก.. ง่ายสุดๆ

“จะพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ.. จุดก็คือจุดเริ่มต้นของทุกๆ มิติยังไงล่ะ”

“หรือที่เรียกอีกแบบว่า ‘ต้นกำเนิด’ ยังไงล่ะ”

“เจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘ต้นกำเนิด’ นี้นั้นมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เราไม่ว่าจะเป็นมิติ.. ความจริง เวทมนตร์ หรือแม้แต่ชีวิต”

“ทุกๆ อย่างที่เจ้ารู้จักนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ต้นกำเนิดมอบให้อย่างเท่าเทียม แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้มากมายว่าโลกของเจ้าจะเป็นส่วนหนึ่งของต้นกำเนิด”

“แต่ทว่า.. ต้นกำเนิดนั้นเป็นเหมือนมารดาของทุกอย่าง.. สร้างระเบียบ สร้างแนวคิด ประวัติศาสตร์ ความจริง ความเชื่อทุกๆ อย่าง.. หรือก็คือไม่มีทางที่โลกของเจ้าจะไม่มีเวทมนตร์”

“หากไม่มีก็หมายความว่า.. ตัวเจ้านั้นได้ข้ามผ่านวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดของโลกตัวเองมายัง… โลกแห่งนี้..”

“ซึ่ง.. ไม่มีทางที่เทพบนสวรรค์จะสามารถทำแบบนั้นได้แน่ๆ …”

ซิลเวียกล่าวอย่างมั่นใจ.. ใช่.. เพราะการเคลื่อนย้ายผ่านต้นกำเนิดนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน..

พอคิดแบบนั้นซิลเวียก็นึกถึง.. น้องเลทิเซีย..เธอคนนั้น.. มาที่แห่งนี้ได้ยังไง.. ไม่สิแรกเริ่มเดิมทีแล้วเลทิเซียมาที่แห่งนี้ได้ไง?

หรือว่า.. จะมีใครวางแผนอยู่..เบื้องหลัง

ซึ่งตัวตนนั้นอย่างน้อยก็ต้องข้ามไปมาระหว่างต้นกำเนิดได้..

ดวงตาของซิลเวียมองไปที่เลทิเซีย

หรือว่า…..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 300

Now you are reading การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม Chapter 300 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 300 – ต้นกำเนิด

 

“แบบนั้นเองสินะ…”

ซิลเวียไม่ได้พูดอะไรมาก เธอรู้ดีกว่าใครว่าสงครามนั้นคือสถานที่เช่นไรกันแน่.. ไม่มีพ่อแม่หรือแม้แต่เพื่อน..

เลทิเซียเองก็เป็นเช่นนั้น ในชาติก่อนเธอไม่มีครอบครัวคนอื่นนอกจากพี่น้องสามคนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด

พี่สาวนั้นคอยค้ำจุนครอบครัวแทบทุกอย่าง ซึ่งเลทิเซียรู้ดีว่าที่เกิดแบบเรื่องเหล่านี้ขึ้นเป็นเพราะมีสงคราม..

อย่างน้อยพอโตขึ้นพี่สาวก็อาจจะไม่ได้เหนื่อยเหมือนในตอนมีสงครามก็ได้ เลทิเซียเชื่อแบบนั้น.. เพราะงั้นเธอจึงไม่อยากให้มีใครตายเพราะสงครามอีกแล้ว

“อืมมม ว่าแต่โลกที่ไม่มีเวทมนตร์เหรอ แล้วทำสงครามกันยังไง”

“ปืน เคมี นิวเคลียร์.. ถ้าจะให้อธิบายนิวเคลียร์ก็คงมีพลังพอๆ กับการปล่อยพลังที่รุนแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ของผู้กล้าที่อ่อนที่สุดละมั้ง?”

“ขนาดนั้นเชียวเหรอ เป็นไปได้เหรอนั่นน่ะ แน่ใจนะว่าไม่ใช่เพราะเจ้าไม่รู้ที่จริงแอบเป็นอาร์ติแฟ็ครูปแบบหนึ่ง”

“ก็บอกไปแล้วว่าที่นั่นไม่มีเวทมนตร์สักหน่อย..”

“แต่…ก็หมายความว่าเจ้าไม่ใช่คนจากโลกนี้น่ะสิ”

ซิลเวียกล่าววนลูป เลทิเซียก็พึ่งบอกไปหยกๆ ว่าตนเองมาจากต่างโลกนี่น่า.. ขณะที่เลทิเซียกำลังจะพูดว่าตนเองมาจากต่างโลก

เธอก็ต้องไม่ใช่คนในโลกนี้อยู่แล้ว.. แต่ซิลเวียรู้สิ่งที่เลทิเซียจะพูดถึงได้รีบพูดก่อน..

“ข้าไม่ได้หมายถึงโลกแบบนั้น.. โลกของเจ้าเป็นโลกแบบไหน”

“ก็เป็นดาวเคราะห์ที่ขนาดเล็กกว่าโลกนี้พอสมควร”

“ดาวเคราะห์..? ดาวเคราะห์คืออะไร?”

“อ้อ.. จะว่าไปโลกนี้ไม่ใช่ดาวเคราะห์นี่นะ”

ในขณะที่ทั้งสองคุยกัน ก็เหมือนกับคุยกันคนละเรื่อง.. หลังจากนั้นเลทิเซียก็เริ่มอธิบายความเป็นจริงเกี่ยวกับโลกของเธอ

ดาวเคราะห์ของดวงดาวขนาดใหญ่ที่ลอยเคว้งอยู่ในอวกาศโคจรรอบดาวตามแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์จึงเกิดการโคจรและกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุริยะ

พออธิบายถึงเรื่องจักรวาลและการถือกำเนิด.. ทุกอย่างเป็นล้านๆ ปีที่เลทิเซียพอจะรู้ซิลเวียก็อ้าปากค้าง..

“นั่นมันบ้าอะไรน่ะ..”

แน่นอนว่าเพราะเลทิเซียลืมไปว่าโลกใหม่ของเธอนั้นไม่เหมือนโลกเดิมทำให้ต้องอธิบายทุกอย่างนานพอสมควร

ซึ่งพอฟังจบ ซิลเวียใช้เวลาย่อยข้อมูลเหล่านั้นอยู่นานสองนาน พอเวลาผ่านไป.. เธอถึงได้พยักหน้าอย่างมั่นใจ

“เจ้าไม่ใช่คนของโลกนี้.. ไม่สิ จะพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือไม่ใช่คนของต้นกำเนิดแห่งนี้”

“ต้นกำเนิด.. มันคืออะไร”

พอเลทิเซียได้ยินเธอก็ขมวดคิ้ว คำคำนี้ที่เธอได้ยินครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก.. แถมแค่ฟังเธอก็รู้สึกถึงความพิศวงบางอย่าง..

“ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว.. ข้าก็จะอธิบายทุกอย่างให้ฟังเอง”

หลังจากนั้นซิลเวียก็เริ่มอธิบายทุกอย่างที่เธอเข้าใจเหมือนก่อนหน้า แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เธอเล่าทุกอย่างที่เธอรู้ให้กับเลทิเซียได้ฟัง

“เจ้ารู้ไหมว่าโลกนี้เกิดขึ้นมาจากอะไร?”

“กฎเกณฑ์? แนวคิด? สิ่งมีชีวิตหรือการรับรู้ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง?”

“เปล่าที่ว่ามาทั้งหมดล้วนผิด.. ไม่สิ ทุกอย่างที่ว่ามาทั้งหมดยังถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโลกใบนี้อีกทีหนึ่ง”

“ก่อนอื่นเจ้ารู้จักมิติหรือเปล่า.. แน่นว่าคงไม่รู้จักสินะ”

ในขณะที่ซิลเวียถาม แต่ก้นึกขึ้นมาได้ว่าคงไม่รู้หรอก แต่เลทิเซียก็พยักหน้าตอบพร้อมกับพูดว่า

“ฉันรู้จัก”

“เอ๊ะ รู้จักด้วยเหรอ.. งั้นก็ช่างเถอะ.. เอาเป็นว่ามิติเชิงโครงสร้างสามารถอธิบายทุกอย่างของโลกใบนี้ได้”

เธอกล่าวคำก่อนจะเหลือบมองเลทิเซียพอไม่เห็นอีกฝ่ายแย้งหรือแปลกใจ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นรู้เรื่องเดียวกันจริง

เพราะซิลเวียกลัวว่าจะคุยคนละเรื่องเหมือนตอนนั้น พอไม่เห็นท่าทีเลทิเซียเธอจึงแปลกใจ..

“มิติที่หนึ่งคือเส้น.. เส้นตรงที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากเส้นตรงที่ไร้จุดสิ้นสุด ส่วนมิติที่สองคือความกว้างที่ขยายออกรอบด้านอย่างไร้จุดสิ้นสุด”

“แล้วมิติที่สามล่ะ.. มิติที่สามคือรูปทรงที่ขยายออกไปอย่างไร้จุดสิ้นสุด.. แล้วมิติที่สี่ก็คือเวลา.. เวลาที่ไร้จุดจบ อดีต ปัจจุบันและอนาคต”

“ใช่แต่ละมิติเหล่านี้ล้วนถูกเรียกว่า โครงสร้างมิติ.. แต่ละมิติที่มากขึ้นจะมีโครงสร้างของมิติที่มากยิ่งขึ้นแน่นอนว่าแต่ละโครงสร้างนั้นไร้จุดสิ้นสุด”

“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหนก็มิอาจก้าวเข้าต่อกรผู้มิติที่สูงกว่าตนเองได้.. ใช่ แม้จะห่างกันเพียงแค่มิติเดียวแต่มีความห่างชั้นของโครงสร้างมิติกันมากยิ่งกว่าอนันต์เสียอีก”

เลทิเซียที่ได้ฟังถึงจุดนี้ก็นึกถึงชายคนที่ชื่อฮิสครอมคนนั้นขึ้นมา พร้อมกับมองกำปั้น.. ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะก้าวเข้าสู่มิติที่ห้า

และกลายเป็นเหมือนผู้ที่สามารถควบคุมทุกอย่างได้ในกำมือ.. หากไม่มีพลังของอามาเระ.. คนที่ตายคงเป็นเธอแน่ๆ

เพราะต่อให้เก่งกาจมากด้วยความสามารถขนาดไหนก็ไม่อาจจะก้าวขึ้นไปต่อกรกับอีกฝ่ายได้โดยไม่หลักการอะไรทั้งสิ้น..

แต่ว่า.. ถ้าแบบนั้นก็หมายความว่าอามาเระนั้นเก่งกว่ามิติที่ห้าเสียอีกงั้นเหรอ.. แล้วทำไมตอนนั้นถึงไม่สะท้อนความว่างเปล่าล่ะ..

ด้วยความสงสัยเลทิเซียจึงกล่าวถาม..

“แล้วมิติที่ห้านี่มันมีจริงเหรอ..”

“หืม.. เจ้ารู้จักได้ไง.. แน่นอนว่ามี.. อันที่จริงเรื่องของมิติเหลานี้นั้นมีมากมายอยู่ทุกหนแห่ง.. มิติไม่ได้มีเพียงแค่สี่แค่ห้า.. เพราะในเมื่อขนาดของโครงสร้างมิติยังมีอย่างไร้จุดสิ้นสุด.. จำนวนของมันก็ย่อมไร้จุดสิ้นสุดเช่นกัน.. บ้างก็ว่าเทพในอดีตนั้นเคยก้าวเข้าสู่ตัวตนที่ดำรงอยู่เหนือสรรพสิ่งที่..เป็นตัวตนที่มีโครงสร้างมิติอนันต์”

“..นั่นมัน..”

“ใช่.. ตัวตนที่สามารถทำลายพวกเราให้หายไปทั้งหมดได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ.. บุคคลที่ดำรงอยู่ในมิติอนันต์.. แต่ว่าเทพที่ว่านั่นก็หายไปแล้วหลังจากก้าวเข้าสู่ดินแดนระดับนั้น อาจจะเป็นแค่เรื่องแต่งก็ได้”

“แบบนี้นี่เอง”

เลทิเซียพยักหน้า สรุปว่ามีอยู่จริงสินะ.. พอคิดว่าหากมีศัตรูระดับนั้นอยู่จริงเลทิเซียคงตายไปตั้งแต่ยังไม่ทันรู้ว่าเป็นศัตรูกับเขา

ซึ่งเรื่องนี้สร้างความว้าวุ่นใจให้เลทิเซียมาก.. ซิลเวียที่เห็นท่าทางเลทิเซียจึงอธิบายต่อ

“กลับมาเรื่องเดิม.. ในเมื่อราวพูดถึงจำนวนมากที่ไร้จุดจบไปแล้ว.. ก็มองย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นเสียหน่อย….”

“ใช่.. นอกจากมิติที่หนึ่งนั้นยังมีบางสิ่งบางอย่างที่เล็กยิ่งกว่านั้น”

ก่อนที่ซิลเวียจะได้กล่าวเลทิเซียก็พูดขึ้น

“มิติที่ 0 .. จุด”

ซิลเวียที่กล่าวยืดเยื้อมานานพอโดนเลทิเซียชิงพูดก่อนก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ แถมอีกฝ่ายยังรู้จักอยู่แล้วด้วย

พอเลทิเซียเห็นซิลเวียไม่พอใจ เธอก็หัวเราะแห้งๆ ไม่คิดว่าซิลเวียจะเป็นคนชอบเล่าชอบพูดขนาดนี้

“มิติที่ 0 มันทำไมเหรอ”

“อะแฮ่ม.. จุด.. ก็ตามที่เจ้าว่านั่นแหละ คือจุดไม่มีอะไรเลย”

ซิลเวียที่เห็นเลทิเซียถามด้วยเสียงน่ารักก็มั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง เรียกได้ว่าง่ายมาก.. ง่ายสุดๆ

“จะพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ.. จุดก็คือจุดเริ่มต้นของทุกๆ มิติยังไงล่ะ”

“หรือที่เรียกอีกแบบว่า ‘ต้นกำเนิด’ ยังไงล่ะ”

“เจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘ต้นกำเนิด’ นี้นั้นมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เราไม่ว่าจะเป็นมิติ.. ความจริง เวทมนตร์ หรือแม้แต่ชีวิต”

“ทุกๆ อย่างที่เจ้ารู้จักนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ต้นกำเนิดมอบให้อย่างเท่าเทียม แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้มากมายว่าโลกของเจ้าจะเป็นส่วนหนึ่งของต้นกำเนิด”

“แต่ทว่า.. ต้นกำเนิดนั้นเป็นเหมือนมารดาของทุกอย่าง.. สร้างระเบียบ สร้างแนวคิด ประวัติศาสตร์ ความจริง ความเชื่อทุกๆ อย่าง.. หรือก็คือไม่มีทางที่โลกของเจ้าจะไม่มีเวทมนตร์”

“หากไม่มีก็หมายความว่า.. ตัวเจ้านั้นได้ข้ามผ่านวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดของโลกตัวเองมายัง… โลกแห่งนี้..”

“ซึ่ง.. ไม่มีทางที่เทพบนสวรรค์จะสามารถทำแบบนั้นได้แน่ๆ …”

ซิลเวียกล่าวอย่างมั่นใจ.. ใช่.. เพราะการเคลื่อนย้ายผ่านต้นกำเนิดนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน..

พอคิดแบบนั้นซิลเวียก็นึกถึง.. น้องเลทิเซีย..เธอคนนั้น.. มาที่แห่งนี้ได้ยังไง.. ไม่สิแรกเริ่มเดิมทีแล้วเลทิเซียมาที่แห่งนี้ได้ไง?

หรือว่า.. จะมีใครวางแผนอยู่..เบื้องหลัง

ซึ่งตัวตนนั้นอย่างน้อยก็ต้องข้ามไปมาระหว่างต้นกำเนิดได้..

ดวงตาของซิลเวียมองไปที่เลทิเซีย

หรือว่า…..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+