การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 439

Now you are reading การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม Chapter 439 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 439 – ไอ้คนน่าขยะแขยง..

 

เลทิเซียลืมตาขึ้น.. เธอยืนอยู่ในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง ไม่มีใครอยู่ข้างๆ เลย ร่างกายของเธอแม้ตอนนี้จะมีร่างกายที่เล็กและบอบบาง

แต่เพราะสายตาของเธอมันแย่มาก การสูญเสียที่มากมายมันทำให้เธอเริ่มเปลี่ยนไป บางทีแม้แต่คนธรรมดาเห็นเลทิเซียในตอนนี้เธอยังรู้สึกได้ว่าเธอไม่ใช่เด็ก

เธอเป็นคนที่ผ่านความเจ็บปวดมามากมายจนเสียวร้องไห้นั้นไม่สามารถเปล่งออกมาได้แล้ว..

เธอตบเข้าที่หน้าตัวเองอย่างจังจนใบหน้าทั้งสองข้างแดง แต่พริบตาเดียวมันก็หายไปพอเธอลืมตาขึ้นเธอก็แย้มยิ้ม

“เอาล่ะ เลทิเซีย เธอน่ะน่ารักและเป็นมิตรที่สุด!”

เธอพึมพำกับตัวเอง ประสบการณ์ ความเจ็บปวด ความเหนื่อยล้าหายไป เธอมีใบหน้าที่ไร้เดียงสาราวกับเด็กประถมจริงๆ

“เอาล่ะ เลทิเซียเข้ามาได้แล้ว”

ในตอนนั้นเอง ครูในห้องเรียนก็เรียกเลทิเซียที่มีใบหน้าสดใสเข้าไปในห้อง เลทิเซียเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับรอยยิ้ม

ยังไม่ทันให้ครูได้บอกให้แนะนำตัวเลทิเซียก็ยกนิ้วขึ้นเป็น V ก่อนจะหลับตาข้างหนึ่งพร้อมกับวิ้งใส่คนทั้งห้อง

“สวัสดีทุกคน!ฉันชื่อว่าเลทิเซียยินดีที่ได้รู้จักนะ!”

การตอบรับของทุกคนในห้องแม้แต่คุณครูก็ยังยืนอึ้ง.. ทุกคนอึ้งก่อนเป็นอย่างแรกพวกผู้ชายก็จ้องมาที่เลทิเซียตาไม่กะพริบ

เพราะยังไงซะเลทิเซียในตอนนี้ก็ไม่มีความน่ากลัวเลยสักนิด พวกเขามองเลทิเซียด้วยความสนใจ

ฝั่งผู้หญิงเองก็เห็นเลทิเซียมีท่าทางที่ดูตลกไม่น้อย เพวกเธอจึงไม่มีความอคติต่อเลทิเซีย อันที่จริงพวกเธอกลับสงสัยด้วยซ้ำว่าทำไมเลทิเซียถึงแสดงท่าทีแบบนั้น

แต่ก็มีเด็กหลังห้องคนหนึ่งที่ไม่ได้สนเรื่องของเลทิเซียขนาดนั้น เลทิเซียก็เห็นคนคนนั้นเหมือนกันแต่เธอไม่ได้พูดอะไร

เธอเข้าเรียน.. เผลอแป๊บเดียวเธอก็ลืมตาอีกครั้งก็มาอยู่ตอนเย็น.. ตอนนี้เธอกำลังกลับไปที่ห้องเพราะเมื่อสักครู่เธอไปเข้าห้องน้ำ

นี่เป็นตอนเย็นแล้ว ทุกคนคงกลับไปจนหมดแล้ว แต่เดินกลับมาถึงห้องเธอกลับได้ยืนเสียงร้องไห้ของใครสักคนอยู่

เลทิเซียจึงเปิดประตูเข้าไปเพื่อดู แต่เหมือนประตูจะล็อคเอาไว้ ทั้งๆ ที่ยังมีคนร้องไห้ในห้องน่ะนะ..?

ถึงเธอจะเป็นคนทำเองก็เถอะ เทะเฮะ

เลทิเซียเปิดประตูเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ในนั้นมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังเช็ดโต๊ะพร้อมกับร้องไห้ออกมาอยู่

เด็กคนนี้คือคนที่ไม่ได้สนใจเลทิเซียในตอนแรกเลย ที่นั่งอยู่หลังห้องสุด แม้นี่จะเป็นชั้นเด็กประถมเท่านั้นก็เถอะ

แต่ร่างเขาค่อนข้างใหญ่ผิดปกติ จนแม้แต่หากเทียบกับเลทิเซีย เลทิเซียคงดูเด็กกว่าไปเยอะเลยล่ะ

เลทิเซียพูดพลางเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง

“เอ๊ะ นี่นายมายืนร้องไห้อะไรในนี้เนี่ย?”

“ว่าแต่ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ?”

“นายนี่ขี้แยชะมัดเลย ให้ตายสิ”

“อ๊ะนี่ ผ้าเช็ดหน้า!”

เลทิเซียพูดพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้ อีกฝ่ายที่ได้ยินแบบนั้นก็ตกใจก่อนในครั้งแรก แต่เขาก็รีบเช็ดน้ำตา

“ฉันไม่ได้ร้องสักหน่อย!”

“ไม่ นายร้องชัดๆ นายมันขี้แย!ต่อไปนี้นายมันไอ้ขี้แย!”

“ฉันไม่ได้ขี้แยสักหน่อย แล้วก็ฉันมีชื่อว่—”

แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้แนะนำตัว เลทิเซียก็ขยับตัวเข้าไปใกล้ เพราะอีกฝ่ายมีร่างกายที่สูงใหญ่เกินไป เธอยกนิ้วชี้วางไว้ที่ปากอีกฝ่าย

พร้อมกับหลับตาข้างหนึ่ง ท่าทางเจ้าเล่ห์เปรียบดั่งจิ้งจอกสีดำตัวน้อย ความใกล้ชิดขนาดนี้มันทำให้อีกฝ่ายแก้มแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ชู่ว.. จะพูดออกมาไม่ได้นะ.. เรามาเป็นเพื่อนไร้ชื่อกันดีกว่ามา!”

“เพื่อนไร้ชื่อ?”

“ใช่แล้ว ฉันจะเรียกนายว่า.. เจ้าขี้แย!นายเรียกฉันว่า นังคนน่ารักก็ได้นะ!”

“แบบนั้นมันขี้โกงนี่น่า ฉันจะเรียกเธอว่านังขี้เหร่แล้วกัน!”

“ก็ตามสบายนะ ถ้านายคิดว่าฉันขี้เหร่ก็ไม่ว่า..”

“…….. ก็ได้ เธอไม่ขี้เหร่ก็ได้ แต่ห้ามเรียกฉันว่าขี้แยด้วยนะ เอาชื่อใหม่สิ!”

เลทิเซียที่โดนต่อรองมาแบบนั้นเธอก็หน้ามุ่ยไม่พอใจ ก่อนที่จะขึ้นนั่งบนโต๊ะของอีกฝ่ายที่มีรอยขีดเขียนอยู่

“เดี๋ยวสิ ตรงนี้มันสกปรกนะ?”

“อ๊า.. โทษที.. เอ๊ะ? นี่นายร้องไห้เพราะนี่เหรอ?”

เลทิเซียประหลาดใจเธอก้มมองลงไปยังโต๊ะที่มีรอยขีดเขียนเกิดจากการบูลลี่ภายในโรงเรียน.. เพราะร่างกายที่ใหญ่โตของเขา

ทำให้เขาถูกปลีกแยกออกจากเพื่อนฝูง.. เลทิเซียครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งในขณะที่อีกฝ่ายก็ตอบกลับมา

“ช่างฉันเถอะน่า!”

“เอาแบบนี้ นายเรียกฉันว่าเซียดีกว่า จะได้ดูสนิทสนมกันใช่ไหมล่ะ งั้นฉันจะเรียกนายว่า.. อืมม…”

“เรียกฉันว่า เซอิ ก็ได้นะ จะได้จำง่ายเพราะเหมือนกันดี”

“นี่นายบ้ารึเปล่า คิดชื่อได้ห่วยแตกมาก!”

“โหดร้ายอ่ะ!”

“ช่างเถอะ จะเรียกแบบนั้นก็ได้ เซอิ ต่อจากนี้พวกเราเป็น.. เพื่อนกันแล้วนะ!”

นับตั้งแต่วันนั้นพวกเธอทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนกัน บางครั้งก็ไปเที่ยวด้วยกัน บางครั้งก็พาไปบ้าน น่าแปลกที่ทุกครั้งเมื่อเซอิพาเลทิเซียกลับบ้าน

ทุกคนมักไม่อยู่บ้านกันเลย.. แต่ถึงแบบนั้นพวกเธอก็สนิทกันมากขึ้น.. มากขึ้น เซอิเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง

เลทิเซียเล่าของตัวเองบ้าง.. คละกันไป ทุกครั้งที่เซอิเสียใจเลทิเซียจะเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วงและความสดใส

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ มีอะไรก็ต้องปรึกษากันสิ!”

ความเชื่อใจบังเกิด ความลับก็ไม่ถูกปิด ทั้งสองคนสนิทกันมากยิ่งขึ้น.. แม้แต่คนที่เคยกลั่นแกล้งเซอิก็ไม่อยากจะเข้ามาแกล้ง

ไม่สิ.. พวกเขาเข้ามาแกล้งไม่ได้เพราะมีเลทิเซียอยู่.. วันเวลาไหลผ่านไปอีกหลายสัปดาห์หรืออาจจะเป็นเดือน

ก็มีข่าวลือว่าเลทิเซียคบกับเซอิ.. จนมีคนลากเลทิเซียไปถามด้วย.. เพื่อนผู้หญิงสองสามคนนั้นลากเลทิเซียไปถาม

“นี่เธอ… เป็นแฟนกับเจ้ายักษ์นั่นเหรอ?”

“ห้ะ หมายถึงอะไรเหรอ?”

“ก็เจ้ายักษ์นั่นไง.. หรือว่าเธอถูกมันบังคับ.. บอกฉันได้นะ”

“อ้อ.. ไม่ใช่แบบนั้นหรอกน่า.. อันที่จริงเจ้านั่นน่ะ ชอบพี่ตัวเองล่ะ ส่วนน้องสาวนี่น่าจะสนิทกันมากๆ ?”

พอเด็กผู้หญิงได้ยินแบบนั้นเธอก็ประหลาดใจ.. แต่คำพูดแค่นี้มันก็แพร่สะพัดๆ ทั่วโรงเรียนได้ในพริบตาเดียว

ไม่นานข่าวลือก็เริ่มขยายกว้างขึ้น จากการเล่าปากต่อปาก จะแต่งเสริมเติมใส่อะไรก็ไม่มีใครรู้ว่าเริ่มจากตรงไหน..

เซอิเองก็เริ่มได้ยินเรื่องนี้เหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะเดินไปไหนก็มีได้ยินเสียงนินทาว่าร้าย… เกี่ยวกับครอบครัวของเขา

“นี่เธอได้ยินไหมว่า คนที่ชื่อเรนและดูน่ากลัวๆ นั่นน่ะ มีความสัมพันธ์ต้องห้ามกับพี่สาวตัวเองล่ะ”

“ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกันนะ.. ไม่แค่นั้นเขายังมีกับน้องสาวตัวเองด้วย.. น่ากลัวนะตำรวจมัวทำอะไรอยู่ ฉันพนันได้เลยว่าเขาต้องใช้กำลังกับพี่และน้องสาวแน่ๆ”

เสียงซุบซิบมากมายดังขึ้นจนเขาเริ่มสับสนและร้องหาเลทิเซียเพื่อปรึกษา.. ทั้งคู่ยืนอยู่บนดาดฟ้าโรงเรียน

เลทิเซียมองใบหน้าที่วิตกกังวลของอีกฝ่าย

“อ่าว มาแล้วเหรอ”

“ฉันมีเรื่องจะปรึกษา”

“อ้อ เรื่องที่เธอถูกนินทานั่นน่ะเหรอ?”

“เธอรู้..ได้ยังไง?”

ความสับสนก่อตัวในใจอีกฝ่าย.. เลทิเซียก็ถอนหายใจ เธอพึมพำกับตัวเองว่า ‘ถึงเวลาแล้ว’ เธอขยะแขยง.. ทุกครั้งที่มองไปยังความขี้ขลาดตรงหน้า

ความขี้ขลาดของเซอิ.. ไม่สิ.. เรน.. ไอ้คนตรงหน้ามันขี้ขลาดอย่างหาใดเปรียบ.. ขี้ขลาดจนไม่รู้จะขี้ขลาดยังไง

เพราะความขี้ขลาดของมันทุกคนถึงต้องตาย.. ทุกคนเลยจากไป เธอเกลียดมัน เกลียดไอ้คนที่ชื่อเรน.. ใช่ เธอขยะแขยงไอ้คนที่ชื่อเรนจนแทบอยากจะอ้วกตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน..

ใช่.. เพราะมันก็คือเธอในอดีต..

แต่ถึงแบบนั้นเลทิเซียก็ฉีกยิ้มออกมา

“อืม… ก็ฉันเป็นคนบอกคนอื่นไงล่ะ อ๊าาา พอดีกว่า.. เพื่อนรักนะ..บ้างล่ะ พวกเราเพื่อนสนิทกัน…บ้างล่ะ ดูชวนอ้วกสุดๆ เชื่อไปได้ไงไม่รู้นะ นายนี่มันไร้เดียงสาได้ที่เลยจริงๆ”

“…”

“ฉันจะบอกให้ว่าฉันเกลียดคนโง่แบบนายมาก เบื่อที่จะเล่นเป็นเพื่อนกับนายล่ะ… ใจอ่อน โลเล ขี้ขลาด คนแบบนายน่ะ สมควรอยู่คนเดียวมาตั้งแต่แรกแล้ว! ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับคนแบบนี้หรอก เฮอะ”

ประโยคคำพูดแรกเหมือนจะเจาะจงด่าโดยไม่สนอะไรเพื่อสร้างความเจ็บปวด แต่อันที่สองภาพความตายของเพื่อนๆ เธอก็ลอยกลับมา

ทุกคนตายเพราะเธอ..เป็นเพราะความขี้ขลาด ความโลเล ไม่มั่นใจของเธอเอง.. เธอโกรธ เธอเกลียด เกลียด เกลียด!

เรนที่โดนความจริงตอกหน้าเธอก็กรีดร้องออกมา.. ด้วยความเจ็บปวดราวกับถูกหักหลัง..

“ร้องน่ารำคาญจริงๆ ก็—”

เลทิเซียเดินเข้าไปจับหัวเรนเอาไว้.. สายตาเธอจ้องไปที่ใบหน้าที่แสนเจ็บปวดของเรน เธอยิ่งรู้สึกโกรธเคือง..

“จำไว้ซะว่า.. คนแบบนายมันไม่มีใครอยากยุ่งด้วยหรอก… และฉันก็รู้สึกขยะแขยงเต็มทีเหมือนกัน”

พลังบางอย่างที่จะกระตุ้นความรู้สึกหวาดกลัวของเรนไหลเข้าไปในหัวของเขา.. ผ่านฝ่ามือของเลทิเซีย

ก่อนที่เลทิเซียจะผลักเรนให้ร่วงลงจากดาดฟ้า

“พี่.. ไม่รับฉันหน่อยเหรอ ตกลงไปขนาดนี้ตายเลยนะ”

“…..เรน..ไม่สิ.. เลทิเซีย”

คนที่ปรากฏตัวขึ้นบนพื้นและรับร่างของเรนเอาไว้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพี่สาวที่ไม่ได้เจอกันมานาน.. เลทิเซียยืนมองเอลน่าจากบนดาดฟ้า

เอลน่าเองก็เงยหน้ามองเลทิเซียจากพื้นดิน

ทั้งสองเผชิญหน้ากันด้วยสายตาเป็นหนึ่งเดียว..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด