การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 289

Now you are reading การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม Chapter 289 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 289 – เรื่องราวที่แท้จริง

 

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไป.. เร็วเกินกว่าที่ทั้งสามคนจะตอบสนองได้ทัน.. นี่แหละความแข็งแกร่งของสิ่งที่เรียกว่าเทพ..

หากไม่ถูกผนึกพลัง..

“นี่มัน..หมายความว่ายังไง?”

เลวี่ที่ตามเรื่องไม่ทันที่สุด ไม่รู้ว่าทำไมท่านยายถึงเห็นหน้าเลทิเซียแล้วโกรธขนาดนั้น ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านแม่ถึงได้ตัวสั่นขนาดนั้น

เธอหันไปหาลูเซียโน่.. ลูเซียโน่ก็ก้มลงมองเลทิเซียแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขากล่าวด้วยรอยยิ้มปลอบใจว่า

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถึงท่านยายพวกเจ้าจะน่ากลัว แต่เธอไม่ทำอะไรท่านแม่พวกเจ้าหรอก.. เพราะเธอน่ะรักแม่ของพวกเจ้าจะตาย..”

ใช่ เรื่องนี้ลูเซียโน่มั่นใจยิ่งกว่าอะไร ถึงเขาจะไม่เคยอยู่ในสายตาของท่านแม่.. แต่เขารู้ดีว่าเทพคนนั้นน่ะรักลูกตัวเองขนาดไหน

เพราะถึงจะไม่ได้พบกันบ่อยขนาดนั้น แต่ว่าก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอ ทุกครั้งที่เธอปรากฏตัวสิ่งแรกที่เธอถามหาจะเป็นเลเวีย

เรื่องนี้ลูเซียโน่รู้ดีว่าเป็นเพราะเธอรักและห่วงใยเลเวียมาก ดังนั้นเขาจึงนับถือนางมาก และก็รู้สึกกลัวนางมากในเวลาเดียวกัน

ดังนั้นเขาคิดว่าที่ถูกลากไปแบบนั้นคงถูกซักถามเรื่องต่างๆ นั่นแหละ.. เพราะหากเป็นเธอตอนปกติถ้าเห็นปีศาจคงลงมือฆ่าไปแล้ว

แต่พอเป็นเลทิเซียเธอยังไม่ได้ทำอะไรเลย เรื่องนี้ทำให้ลูเซียโน่โล่งอกอยู่มาก ที่เหลือก็แค่ให้เลเวียกล่อมมารดาตนเองเท่านั้นแหละ

ถึงเธอจะขี้วีน แต่ทุกครั้งเธอก็จะยอมอ่อนข้อให้กับเลเวียเสมอ หลักฐานคือการที่เขาได้เป็นสามีของเลเวียอยู่ในตอนนี้ไงล่ะ

ถึงเธอจะปฏิเสธลูเซียโน่และไม่เคยยอมรับเขา แต่เธอก็ยอมให้เลเวียอยู่เสมอ ดังนั้นคราวนี้ก็คงเหมือนกันนั่นแหละ

“เอาล่ะ พวกเจ้าเองก็ไปพักผ่อนได้แล้ว.. นี่ก็บ่ายโมงแล้ว”

พุดเสร็จลูเซียโน่ก็จากไป.. เขาไม่อยากพูดอะไรมากกว่านี้ เพราะเรื่องของครอบครัวคนที่นำคือเลเวียไม่ใช่เขา

เขาไม่อยากตัดสินใจโดยพลการ.. ยังไงซะเลวี่ก็เติบโตมาพร้อมกับเลทิเซียทั้งยังคิดว่าเลทิเซียเป็นพี่สาวแท้ๆ ตัวเอง

ซึ่งหากรู้ว่าเลทิเซียเป็นพี่ไม่แท้ ลูเซียโน่ไม่รู้ว่าเลวี่จะมีท่าทียังไง.. แน่นอนว่าเลวี่ก็ไม่ใช่เด็กขนาดที่จะตามเรื่องครอบครัวไม่ทัน

เธอหันไปหาเลทิเซียที่ขมวดคิ้ว..

“เธอรู้ว่าฉันเป็นปีศาจได้ไง..?”

เลทิเซียคิดว่าตัวเองปกปิดทุกอย่างเกี่ยวกับการเป็นปีศาจของตัวเองได้แล้วนะ.. แต่แน่นอนว่าโลกเทพกับโลกมนุษย์นั้นแตกต่างเกินไป

ไม่มีทางที่จะสามารถใช้ความรู้ในโลกนี้ไปอ้างอิงจากสวรรค์ได้ ที่จะบอกก็คืออาจจะเป็นไปได้ว่าเทพมีเนตรที่สามารถแยกเผ่าพันธ์ชาติกำเนิดได้

ก็นะ คงจะเป็นแบบนั้นนั่นแหละ เทพเลยนะทำได้ไม่น่าแปลก เลทิเซียคิดว่าตัวเองประมาทเกินไปด้วยซ้ำ

ถ้าคิดให้มากกว่านี้เลเวียคงไม่ถูกตีแล้ว..

“ท่านพี่..”

เลวี่ที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็กำลังจะถาม แต่เลทิเซียพึ่งมานึกได้ว่านัดกับซิลเวียไว้จึงพูดด้วยความเร่งรีบ

“อ้ะ… ขอโทษนะเลวี่ พี่มีธุระหลังจากนี้น่ะ ไว้ค่อยคุยกันตอนเย็นนะ”

เลทิเซียพูดเสร็จก็หันหลังจากไปทันที ปล่อยให้เลวี่ยืนงงอยู่คนเดียว เธอเกาหัวเล็กน้อย..

พอมาคิดว่ามีตนคนเดียวที่เหมือนจะตามเรื่องไม่ทันเธอกระทืบเท้า

“ให้ตายสิ อธิบายข้าหน่อยก็ไม่ได้ เชอะ”

เธอกล่าวเสร็จก็กระทืบเท้าสองสามที ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นมาจ้องมอง..ดวงตาเธอเผยความเลื่อนลอยเล็กน้อย..

“ข้าเองก็คงต้องหาคำอธิบายว่ามันคืออะไรสินะ.. ผ่านมาแล้วสามปียังได้แค่หนึ่งในสามอยู่เลย..”

เธอปัดมือผ่านฝ่ามือตัวเองตราสัญลักษณ์แปลกๆ ก็หายไปพร้อมกับออกจากห้องรับแขกไป..

……..

ในที่แห่งไหนก็ไม่รู้.. แต่เป็นสถานที่ที่มืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่างจากด้านนอก มีเสียงหยดน้ำหยดจากหินย้อยจึงคาดเดาได้ว่านี่คือภายในถ้ำใต้ดิน

ในนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้..เบื้องหน้าเธอมีคนสี่คนนอนสลบไม่ได้สติอยู่ อันที่จริงร่างกายคนเหล่านั้นกำลังจางลงเรื่อยๆ .. เรื่อยๆ ..

หญิงสาวจ้องมองไปที่เบื้องหน้าตัวเอง..ข้าๆ คนทั้งสี่มีของบางอย่างวางอยู่ บ้างก็เป็นปากกา บ้างก็เป็นดินสอ

บ้างก็เป็นกระเป๋า บ้างก็เป็นหนังสือ.. และหนังสือเล่มนั้นที่วางอยู่มีชื่อชื่อหนึ่งเขียนอยู่บนนั้น.. เลทิเซีย

“ท่านแม่.. นี่จะทำได้จริงๆ เหรอ.. ไม่ใช่ว่าพวกเธอน่ะถูกนับว่าเป็น เรื่องราว ที่พังทลายไปแล้วไม่ใช่เหรอ..”

เด็กหญิงตัวเล้กๆ นั่งบนตักของหญิงสาวผมสีทองกล่าวถามขึ้นด้วยความสงสัย หญิงสาวผมสีทองกล่าวขึ้น

“ฉันกับเธอก็เป็นคนจากเรื่องราวที่พังทลายไม่ใช่หรือไง..”

“ก็ใช่ ตะ..แต่ว่าพวกเธอตายไปแล้วนี่น่า อีกอย่างท่านแม่เองก็เป็นผู้ส่งสาสนไปแล้วไม่ใช่เหรอ ยุ่งกับโลกนี้เกินไปท่านแม่มดจะโกรธเอานะ”

“เพราะงั้นฉันถึงยืมพลังของคนสร้างฉันไง”

“คนสร้างท่านแม่..? แม่มดไม่ใช่หรือไง?”

“ถ้าเธอจะบอกแบบนั้น ก็ทุกคนนั่นแหละถูกไหม?”

“แฮะๆ .. นั่นก็จริง เอ้ะ ว่าแต่ท่านแม่มีพ่อแม่ด้วยสินะ?”

“มีแค่แม่ต่างหาก”

“ท่านแม่ง่วงเหรอ ไปพักก่อนก็ได้นะ”

“เธอพูดเหมือนตัวเองมีพ่องั้นแหละ”

“แฮะๆ ”

เด็กผู้หญิงผมสีแดงหัวเราะ เหมือนพึ่งนึกได้ว่าตนเองก็ไม่มีพ่อ พอคิดได้แบบนั้นก็นิ่งเงียบไปก่อนที่จะชี้นิ้วข้างหน้า

“อ่า ท่านแม่ จะจบแล้วสินะ”

“อ่า.. ใกล้ถึงเวลาที่เราจะจากโลกนี้ไปแล้วล่ะ.. ห้าร้อยปีที่ผ่านมา”

ดวงตาสองสีของเด็กผู้หญิงผมสีทองเผยความเหนื่อยล้า ราวกับนึกย้อนไปในอดีต .. ไม่ใช่แค่ห้าร้อยปีแต่มันนานกว่านั้น.. นานกว่านั้น..อีก

แต่ในตอนนั้นเองหญิงสาวก็หันหน้าไปอีกทิศพร้อมกับกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ลึกลับ.. “อ่า.. เริ่มขึ้นแล้วสินะ… จุดจบของเรื่องราว..”

พอได้ยินแบบนั้นเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่บนตักก็กล่าวขึ้น

“ว่าแต่ท่านแม่จะไม่ไปลาไวท์หน่อยเหรอ?”

“เธอพึ่งบอกให้ฉันห้ามยุ่งมากไปไม่ใช่หรือไง”

“แต่ว่า ไวท์น่าสงสารออกนี่น่า”

“นั่นก็จริง.. เดี๋ยวค่อยไปลาก็ได้”

ขณะที่คุยๆ กันอยู่ จู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังอย่างไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงราวกับทะลุกาลเวลามาอยู่ในที่แห่งนี้

“อ่าว นี่มันฆาตกรฆ่าเพื่อนไม่ใช่เหรอ”

คนที่พูดขึ้นคือเด็กผู้หญิงผมสีแดง แต่คำพูดนั้นไม่ได้ทำให้คนที่พึ่งปรากฏเปลี่ยนสีหน้า เธอเพียงกล่าวขึ้นสั้นๆ ..

“ตามสัญญาเธอต้องรีบไสหัวไปจากที่นี่ อย่ามาขัดขวางข้า”

“เธอคิดว่าฉันจะผิดสัญญาหรือไง?”

“ก็ไม่หรอก แต่ว่า…”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น พอเสร็จทุกอย่างฉันจะไปจากที่นี่”

“ก็ดี…”

หญิงสาวผมสีทองกล่าวตัดอย่างเรียบง่าย ร่างนั้นที่กำลังจะหายไปก็ถูกหญิงสาวผมสีทองกล่าวขึ้นว่า

“อ้อ ระวังเอลเน่ไว้หน่อยก็ดีนะ”

“ยัยนั่นในตอนนี้จะทำอะไรได้”

“ไม่ใช่เธอ..แต่เป็นแฟนของเธอต่างหาก เจ้านั่นคือคนที่หลุดพ้นจากการพังทลายของเรื่องราวได้เลยนะ”

“ไม่ต้องมาทำเป็นห่วง”

อีกฝ่ายสบถหันหลังให้ แต่เด็กผู้หญิงผมสีแดงที่นั่งอยู่บนตักของหญิงสาวผมสีทองก็กล่าวขึ้นด้วยความไร้เดียงสา

“เอ้ะ ท่านแม่ คนคนนี้อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกท่านแม่ทำไมถึงขี้เก๊กจัง”

“…”

หญิงสาวผมสีทองพูดอะไรไม่ออก ร่างนั้นก็แข็งกึกอยู่กับที่ก่อนี่จะเดินจากไป ความไร้เดียงสานี่มันน่ากลัวจริงๆ นะ

“เอาล่ะ.. ควรค่าแก่การเปิดม่านแล้วล่ะ.. เธอน่ะกำลังดูอยู่หรือเปล่า เรื่องราวที่แท้จริงหลังจากนี้กำลังจะเปิดม่านขึ้นแล้ว.. จับตาดูกันให้ดีล่ะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 289

Now you are reading การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม Chapter 289 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 289 – เรื่องราวที่แท้จริง

 

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไป.. เร็วเกินกว่าที่ทั้งสามคนจะตอบสนองได้ทัน.. นี่แหละความแข็งแกร่งของสิ่งที่เรียกว่าเทพ..

หากไม่ถูกผนึกพลัง..

“นี่มัน..หมายความว่ายังไง?”

เลวี่ที่ตามเรื่องไม่ทันที่สุด ไม่รู้ว่าทำไมท่านยายถึงเห็นหน้าเลทิเซียแล้วโกรธขนาดนั้น ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านแม่ถึงได้ตัวสั่นขนาดนั้น

เธอหันไปหาลูเซียโน่.. ลูเซียโน่ก็ก้มลงมองเลทิเซียแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขากล่าวด้วยรอยยิ้มปลอบใจว่า

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถึงท่านยายพวกเจ้าจะน่ากลัว แต่เธอไม่ทำอะไรท่านแม่พวกเจ้าหรอก.. เพราะเธอน่ะรักแม่ของพวกเจ้าจะตาย..”

ใช่ เรื่องนี้ลูเซียโน่มั่นใจยิ่งกว่าอะไร ถึงเขาจะไม่เคยอยู่ในสายตาของท่านแม่.. แต่เขารู้ดีว่าเทพคนนั้นน่ะรักลูกตัวเองขนาดไหน

เพราะถึงจะไม่ได้พบกันบ่อยขนาดนั้น แต่ว่าก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอ ทุกครั้งที่เธอปรากฏตัวสิ่งแรกที่เธอถามหาจะเป็นเลเวีย

เรื่องนี้ลูเซียโน่รู้ดีว่าเป็นเพราะเธอรักและห่วงใยเลเวียมาก ดังนั้นเขาจึงนับถือนางมาก และก็รู้สึกกลัวนางมากในเวลาเดียวกัน

ดังนั้นเขาคิดว่าที่ถูกลากไปแบบนั้นคงถูกซักถามเรื่องต่างๆ นั่นแหละ.. เพราะหากเป็นเธอตอนปกติถ้าเห็นปีศาจคงลงมือฆ่าไปแล้ว

แต่พอเป็นเลทิเซียเธอยังไม่ได้ทำอะไรเลย เรื่องนี้ทำให้ลูเซียโน่โล่งอกอยู่มาก ที่เหลือก็แค่ให้เลเวียกล่อมมารดาตนเองเท่านั้นแหละ

ถึงเธอจะขี้วีน แต่ทุกครั้งเธอก็จะยอมอ่อนข้อให้กับเลเวียเสมอ หลักฐานคือการที่เขาได้เป็นสามีของเลเวียอยู่ในตอนนี้ไงล่ะ

ถึงเธอจะปฏิเสธลูเซียโน่และไม่เคยยอมรับเขา แต่เธอก็ยอมให้เลเวียอยู่เสมอ ดังนั้นคราวนี้ก็คงเหมือนกันนั่นแหละ

“เอาล่ะ พวกเจ้าเองก็ไปพักผ่อนได้แล้ว.. นี่ก็บ่ายโมงแล้ว”

พุดเสร็จลูเซียโน่ก็จากไป.. เขาไม่อยากพูดอะไรมากกว่านี้ เพราะเรื่องของครอบครัวคนที่นำคือเลเวียไม่ใช่เขา

เขาไม่อยากตัดสินใจโดยพลการ.. ยังไงซะเลวี่ก็เติบโตมาพร้อมกับเลทิเซียทั้งยังคิดว่าเลทิเซียเป็นพี่สาวแท้ๆ ตัวเอง

ซึ่งหากรู้ว่าเลทิเซียเป็นพี่ไม่แท้ ลูเซียโน่ไม่รู้ว่าเลวี่จะมีท่าทียังไง.. แน่นอนว่าเลวี่ก็ไม่ใช่เด็กขนาดที่จะตามเรื่องครอบครัวไม่ทัน

เธอหันไปหาเลทิเซียที่ขมวดคิ้ว..

“เธอรู้ว่าฉันเป็นปีศาจได้ไง..?”

เลทิเซียคิดว่าตัวเองปกปิดทุกอย่างเกี่ยวกับการเป็นปีศาจของตัวเองได้แล้วนะ.. แต่แน่นอนว่าโลกเทพกับโลกมนุษย์นั้นแตกต่างเกินไป

ไม่มีทางที่จะสามารถใช้ความรู้ในโลกนี้ไปอ้างอิงจากสวรรค์ได้ ที่จะบอกก็คืออาจจะเป็นไปได้ว่าเทพมีเนตรที่สามารถแยกเผ่าพันธ์ชาติกำเนิดได้

ก็นะ คงจะเป็นแบบนั้นนั่นแหละ เทพเลยนะทำได้ไม่น่าแปลก เลทิเซียคิดว่าตัวเองประมาทเกินไปด้วยซ้ำ

ถ้าคิดให้มากกว่านี้เลเวียคงไม่ถูกตีแล้ว..

“ท่านพี่..”

เลวี่ที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็กำลังจะถาม แต่เลทิเซียพึ่งมานึกได้ว่านัดกับซิลเวียไว้จึงพูดด้วยความเร่งรีบ

“อ้ะ… ขอโทษนะเลวี่ พี่มีธุระหลังจากนี้น่ะ ไว้ค่อยคุยกันตอนเย็นนะ”

เลทิเซียพูดเสร็จก็หันหลังจากไปทันที ปล่อยให้เลวี่ยืนงงอยู่คนเดียว เธอเกาหัวเล็กน้อย..

พอมาคิดว่ามีตนคนเดียวที่เหมือนจะตามเรื่องไม่ทันเธอกระทืบเท้า

“ให้ตายสิ อธิบายข้าหน่อยก็ไม่ได้ เชอะ”

เธอกล่าวเสร็จก็กระทืบเท้าสองสามที ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นมาจ้องมอง..ดวงตาเธอเผยความเลื่อนลอยเล็กน้อย..

“ข้าเองก็คงต้องหาคำอธิบายว่ามันคืออะไรสินะ.. ผ่านมาแล้วสามปียังได้แค่หนึ่งในสามอยู่เลย..”

เธอปัดมือผ่านฝ่ามือตัวเองตราสัญลักษณ์แปลกๆ ก็หายไปพร้อมกับออกจากห้องรับแขกไป..

……..

ในที่แห่งไหนก็ไม่รู้.. แต่เป็นสถานที่ที่มืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่างจากด้านนอก มีเสียงหยดน้ำหยดจากหินย้อยจึงคาดเดาได้ว่านี่คือภายในถ้ำใต้ดิน

ในนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้..เบื้องหน้าเธอมีคนสี่คนนอนสลบไม่ได้สติอยู่ อันที่จริงร่างกายคนเหล่านั้นกำลังจางลงเรื่อยๆ .. เรื่อยๆ ..

หญิงสาวจ้องมองไปที่เบื้องหน้าตัวเอง..ข้าๆ คนทั้งสี่มีของบางอย่างวางอยู่ บ้างก็เป็นปากกา บ้างก็เป็นดินสอ

บ้างก็เป็นกระเป๋า บ้างก็เป็นหนังสือ.. และหนังสือเล่มนั้นที่วางอยู่มีชื่อชื่อหนึ่งเขียนอยู่บนนั้น.. เลทิเซีย

“ท่านแม่.. นี่จะทำได้จริงๆ เหรอ.. ไม่ใช่ว่าพวกเธอน่ะถูกนับว่าเป็น เรื่องราว ที่พังทลายไปแล้วไม่ใช่เหรอ..”

เด็กหญิงตัวเล้กๆ นั่งบนตักของหญิงสาวผมสีทองกล่าวถามขึ้นด้วยความสงสัย หญิงสาวผมสีทองกล่าวขึ้น

“ฉันกับเธอก็เป็นคนจากเรื่องราวที่พังทลายไม่ใช่หรือไง..”

“ก็ใช่ ตะ..แต่ว่าพวกเธอตายไปแล้วนี่น่า อีกอย่างท่านแม่เองก็เป็นผู้ส่งสาสนไปแล้วไม่ใช่เหรอ ยุ่งกับโลกนี้เกินไปท่านแม่มดจะโกรธเอานะ”

“เพราะงั้นฉันถึงยืมพลังของคนสร้างฉันไง”

“คนสร้างท่านแม่..? แม่มดไม่ใช่หรือไง?”

“ถ้าเธอจะบอกแบบนั้น ก็ทุกคนนั่นแหละถูกไหม?”

“แฮะๆ .. นั่นก็จริง เอ้ะ ว่าแต่ท่านแม่มีพ่อแม่ด้วยสินะ?”

“มีแค่แม่ต่างหาก”

“ท่านแม่ง่วงเหรอ ไปพักก่อนก็ได้นะ”

“เธอพูดเหมือนตัวเองมีพ่องั้นแหละ”

“แฮะๆ ”

เด็กผู้หญิงผมสีแดงหัวเราะ เหมือนพึ่งนึกได้ว่าตนเองก็ไม่มีพ่อ พอคิดได้แบบนั้นก็นิ่งเงียบไปก่อนที่จะชี้นิ้วข้างหน้า

“อ่า ท่านแม่ จะจบแล้วสินะ”

“อ่า.. ใกล้ถึงเวลาที่เราจะจากโลกนี้ไปแล้วล่ะ.. ห้าร้อยปีที่ผ่านมา”

ดวงตาสองสีของเด็กผู้หญิงผมสีทองเผยความเหนื่อยล้า ราวกับนึกย้อนไปในอดีต .. ไม่ใช่แค่ห้าร้อยปีแต่มันนานกว่านั้น.. นานกว่านั้น..อีก

แต่ในตอนนั้นเองหญิงสาวก็หันหน้าไปอีกทิศพร้อมกับกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ลึกลับ.. “อ่า.. เริ่มขึ้นแล้วสินะ… จุดจบของเรื่องราว..”

พอได้ยินแบบนั้นเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่บนตักก็กล่าวขึ้น

“ว่าแต่ท่านแม่จะไม่ไปลาไวท์หน่อยเหรอ?”

“เธอพึ่งบอกให้ฉันห้ามยุ่งมากไปไม่ใช่หรือไง”

“แต่ว่า ไวท์น่าสงสารออกนี่น่า”

“นั่นก็จริง.. เดี๋ยวค่อยไปลาก็ได้”

ขณะที่คุยๆ กันอยู่ จู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังอย่างไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงราวกับทะลุกาลเวลามาอยู่ในที่แห่งนี้

“อ่าว นี่มันฆาตกรฆ่าเพื่อนไม่ใช่เหรอ”

คนที่พูดขึ้นคือเด็กผู้หญิงผมสีแดง แต่คำพูดนั้นไม่ได้ทำให้คนที่พึ่งปรากฏเปลี่ยนสีหน้า เธอเพียงกล่าวขึ้นสั้นๆ ..

“ตามสัญญาเธอต้องรีบไสหัวไปจากที่นี่ อย่ามาขัดขวางข้า”

“เธอคิดว่าฉันจะผิดสัญญาหรือไง?”

“ก็ไม่หรอก แต่ว่า…”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น พอเสร็จทุกอย่างฉันจะไปจากที่นี่”

“ก็ดี…”

หญิงสาวผมสีทองกล่าวตัดอย่างเรียบง่าย ร่างนั้นที่กำลังจะหายไปก็ถูกหญิงสาวผมสีทองกล่าวขึ้นว่า

“อ้อ ระวังเอลเน่ไว้หน่อยก็ดีนะ”

“ยัยนั่นในตอนนี้จะทำอะไรได้”

“ไม่ใช่เธอ..แต่เป็นแฟนของเธอต่างหาก เจ้านั่นคือคนที่หลุดพ้นจากการพังทลายของเรื่องราวได้เลยนะ”

“ไม่ต้องมาทำเป็นห่วง”

อีกฝ่ายสบถหันหลังให้ แต่เด็กผู้หญิงผมสีแดงที่นั่งอยู่บนตักของหญิงสาวผมสีทองก็กล่าวขึ้นด้วยความไร้เดียงสา

“เอ้ะ ท่านแม่ คนคนนี้อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกท่านแม่ทำไมถึงขี้เก๊กจัง”

“…”

หญิงสาวผมสีทองพูดอะไรไม่ออก ร่างนั้นก็แข็งกึกอยู่กับที่ก่อนี่จะเดินจากไป ความไร้เดียงสานี่มันน่ากลัวจริงๆ นะ

“เอาล่ะ.. ควรค่าแก่การเปิดม่านแล้วล่ะ.. เธอน่ะกำลังดูอยู่หรือเปล่า เรื่องราวที่แท้จริงหลังจากนี้กำลังจะเปิดม่านขึ้นแล้ว.. จับตาดูกันให้ดีล่ะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+