การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 194

Now you are reading การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม Chapter 194 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 194 – เปรียบเสมือนหมากรุก

 

“นี่เจ้าจะบอกว่า เจ้าสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ไร้ตรรกะของข้า? เป็นไปไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นหมายความว่าเจ้าต้องใช้ทั้งเวทมนตร์จำนวนมากและพลังแห่งการแทรกแซง..”

เสียงเลมิสทาเรียค่อยๆ เบาลงไปเรื่อยๆ ก่อนที่เธอจะเบิกตากว้างพร้อมกับเงยหน้าขึ้นจ้องเลทิเซีย

“อย่าบอกนะว่าเจ้าทำทั้งหมดที่ว่ามา”

เลทิเซียไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่ทว่านั่นยิ่งเป็นการยืนยันว่าเลทิเซียทำมันจริงๆ ใช้เวทมนตร์มากของจอมมารในรูปแบบของการแทรกแซง

แต่ก็ไม่ใช่การแทรกแซงเพราะมันไร้ซึ่งตรรกะ หมายความว่าเป็นการใช้เวทมนตร์อย่างเลื่อนลอยที่ไม่มีเหตุหรือผลอะไรมาจำกัด

ไม่มีใครรู้ว่าจะทำสำเร็จไม่มีใครทราบว่ามันจะแสดงผลออกมาได้ แม้แต่ตัวเลทิเซีย แต่ว่าเลทิเซียกลับทำมันสำเร็จแล้วตรงนี้ต่อหน้าเลมิสทาเรีย

คำเดียวที่สามารถอธิบายสิ่งตรงหน้านี้ได้มีเพียงแค่คำว่าเป็นไปไม่ได้ เลทิเซียกำมือแน่นขึ้นด้ายรัดแน่นขึ้น

เธอไม่ชอบคนตรงหน้าอย่างมาก อีกทั้งยังต้องการที่จะฉีกเป็นชิ้นๆ แต่ทว่าเธอไม่เหมือนเมื่อก่อน

เธอพยายามคุมอารมณ์ความรู้สึกให้ได้มากที่สุด หากยัยคนนี้ตายตรงนี้ ปัญหามากมายต้องตามมาแน่

เพราะว่านี่ไม่ใชการฆ่าแบบไม่มีใครรู้ผีไม่เห็น เพราะเป็นการแข่งขันที่มีคนทั่วทวีปมองอยู่ นั่นหมายความว่าหากเธอเดินหมากพลาด

เธอจะตกเป็นเป้าสายตาของคนทั่วทั้งทวีป แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากชนะต่อไป ดังนั้นแม้จะรู้สึกโกรธกับสิ่งที่นังคนนี้พูดเธอก็พยายามควบคุมอารมณ์อย่างสุดความสามารถ

“ตอนนี้เธออยู่ในกำมือฉันแล้ว ฉันมีเรื่องอยากจะถามเป็นกองเลย ทำไมพวกเธอถึงต้อ—”

ก่อนที่เลทิเซียจะทันได้พูดจบเลมิสทาเรียที่ก้มหน้าเหมือนทบทวนอะไรอยู่ก็เงยหน้าขึ้นฟ้าพลางหัวเราะลั่น

“ฮ่าๆ แบบนั้นแหละ ความรู้แบบนั้นแหละ ความมั่นใจแบบนั้นแหละ ทุกอย่างของเธอน่ะ…”

ก่อนที่สายตานั้นจะจ้องกลับลงมามองที่เลทิเซีย เธอฉีกยิ้มออกจนกูน่ากลัว ลมหายใจหอบถี่ขึ้นน้ำลายไหลย้อยออกมา

แก้มเริ่มแดง มองแล้วเหมือนพวกสติวิปลาสโรคจิตยังไงยังงั้น

“ข้ารู้สึกต้องการมัน อยากจะฉีกออกทีละนิด ทีละนิดตรวจสอบไปยันสมองว่า.. ทำไมถึงได้ฉลาดขนาดนี้นะ อ่าาาาห์ ข้ารู้สึกตื่นเต้นจนร่างกายร้อนรุ่มไปหมดแล้ว”

“เลทิเซีย เลทิเซีย ข้า..ข้า ต้องการร่างกายของเจ้า ความรู้ของเจ้า วิญญาณของเจ้า อ่าาาห์”

อีกฝ่ายพูดเหมือนพวกที่มากไปด้วยตัณหาที่แม้แต่เลทิเซียพอได้เจอเธอก็ยังผงะด้วยความประหลาดใจ

ยิ่งเลมิสทาเรียรู้สึกว่าตัวเองโดนเลทิเซียถูกต้อนให้จนมุม เธอยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ใช่นี่คือความแปลกประหลาดของเธอเมื่อกลายเป็นผู้ย้ายราง

ชื่นชอบในการทำร้ายร่างกายคนอื่น เสียงกรีดร้อง น้ำตา ความเศร้าโศก เสียงแห่งความสิ้นหวัง ยิ่งเธอถูกต้อนให้จนมุม

ยิ่งเธอรู้สึกว่าตัวเองเกือบจะถูกฆ่า ตัวเธอจะยิ่งอยากเห็นสิ่งที่ว่ามาจากคนที่ทำให้เธอรู้สึกแบบนั้น

ใช่หากจะให้พูดนี่คงเป็น ตัณหาราคะ ของเธอ ทรมานคนอื่นไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตใจ เธอไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่

กลับกันเธอรู้สึกว่ามันคืองานอดิเรกใหม่ของเธอ ยิ่งได้เสพก็ยิ่งติด และท้ายที่สุดเธอก็กลายเป็นคนที่ชอบฆ่ามนุษย์

ไม่สิ ถ้าจะให้พูดคงเป็นชื่นชอบในการทำร้ายผู้อื่น เด็กเล็ก ผู้ใหญ่ คนชรา เธอต้องการ มากขึ้น

เสียงกรีดร้องของสิ่งมีชีวิตมันทำให้เธอสามารถระบายความใคร่เบื้องลึกของเธอ ดังนั้นในตอนนี้นอกจากจะมองเลทิเซียเป็นภาชนะของตัวเอง

เธอยังมองเลทิเซียเป็นเครื่องมือในการใช้สนองตัณหาความใครของตัวเอง ดังนั้นไม่แปลกที่สภาพของเธอในตอนนี้จะดูวิปลาสมาก

“ถ้าหากข้าใช้เวทไร้ตรรกะใช้สิ่งอื่นไม่ได้ ข้าก็แค่ใช้มันกับตัวเองก็พอ”

พออีกฝ่ายพูดแบบนั้นขึ้น เลทิเซียถึงกับตกใจไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าได้กล้าเสียขนาดนั้น เพราะพริบตาต่อมานั่นเอง

ร่างกายอีกฝ่ายก็แปลกเป็นหมอกสีแดงจนทำให้เลทิเซียต้องถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนที่ร่างกายอีกฝ่ายจะปรากฏขึ้นมาด้านหลังเลทิเซีย

ไม่สิ แทนที่จะบอกว่าปรากฏขึ้น ควรบอกว่าถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีเหตุมีผลมากกว่า พริบตาเดียวร่างกายเลมิสทาเรียก็โผล่ขึ้นมาอยู่หลังเลทิเซียนั่นเอง

เลทิเซียพนันได้เลยว่าความเจ็บปวดตอนฉีกร่างตัวเองเป็นชิ้นๆ น่ะต้องเจ็บปวดมากอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายก็กำหมัดขึ้นและต่อยออกมา พริบตาเดียวกันที่ต่อยมานั้น แขนอีกฝ่ายบิดเบี้ยวเป็นรูปร่างประหลาด

และพองโตขึ้นจนดูผิดรูป เมื่อกระแทกใส่หลังเลทิเซียแรงมหาศาลก็ถูกซัดออกมาจากหมัดนั้น เลทิเซียเบิกตากว้าง

เธอคงจะเจ็บกว่านี้ ถ้าเธอไม่ได้คาดไว้แล้วว่าหากอีกฝ่ายบ้าบิ่นจะยอมใช้วิธีนี้เพื่อเอาตัวรอดละก็นะ

เพราะทันทีที่หมัดอีกฝ่ายปะทะกับร่างเลทิเซียนั้น ร่างเธอก็แตกสลายกลายเป็นเส้นใยนับไม่ถ้วนพุ่งใส่ร่างอีกฝ่าย

“อย่าคิดว่าวิธีนี้จะใช้กับข้าได้ผลอีกเป็นครั้งที่สอง”

เลมิสทาเรียบ่นอุบอิบออกมาแบบนั้น พร้อมกับใช้เวทไร้ตรรกะใส่เลทิเซีย หรือจะพูดให้ชัดๆ เลยก็คือด้ายที่เคยเป็นเลทิเซีย

“ไร้ทิศไร้ทาง”

ในตอนนั้นเองหลักการเคลื่อนที่ของด้ายก็เหมือนจะไม่เป็นตามกฎฟิสิกส์หรือที่เลทิเซียควบคุม มันลอยขึ้นฟ้าราวกับสำหรับด้ายเส้นนี้บนฟ้ามีแรงโน้มถ่วงดึงมันขึ้นไป

แทนที่จะตกลงพื้นด้านล่าง แต่เลทิเซียก็พอเดาไว้แล้วว่าพลังแบบนี้ต้องสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ ดังนั้นเธอจึงใช้นั่นเป็นตัวล่อ

เพราะเวลาที่อีกฝ่ายพูดว่า “ไร้ทิศไร้ทาง” นั้น ร่างของเลทิเซียก็โผล่ออกมาจากช่องว่างมิติ ย่อตัวลงต่ำกว่าระยะสายตาอีกฝ่ายพร้อมกับเตะข้อพับขาเข่าของเธอ

หวังจะสกัดให้ล้มพลางคิดในใจว่า “ก็ไม่ได้คิดว่าจะได้ผลเหมือนกันนั่นแหละ” แต่เหมือนอีกฝ่ายจะพอเดาได้เช่นกัน

เพราะในทันทีที่เลทิเซียเตะข้อพับขาเข่าของเลมิสทาเรียเธอก็อาศัยการล้มนี้ ทิ้งน้ำหนักลงไปที่ศอกขวากระแทกลงใส่หัวเลทิเซีย

ศอกขนาดใหญ่ผิดมนุษย์นี่ หากโดนไปอาจจะหัวเละเลยก็เป็นได้ เลทิเซียตอบสนองไวอย่างมาก

เพราะในวินาทีนั้น ชั้นบรรยากาศที่มองไม่เห็นก็หยุดศอกของเลมิสทาเรียไว้ทันอย่างหวุดหวิด

แต่อย่าที่บอกว่าของแบบนี้ไม่มีผลกับเลมิสทาเรีย เธอสบถออกมาเบาๆ ศอกของเธอพังชั้นบรรยากาศนั้นไปทันที

ทันทีทันใดมันก็แตกกระจายเหมือนเศษกระจก แต่ว่าคนที่เบิกตากว้างหาใช่เลทิเซีย แต่เป็นเลมิสทาเรีย

เพราะด้านล่างนั่นไม่มีเลทิเซียอยู่แล้ว เธอมองลูกเล่นของเลทิเซียออกทันที ชั้นบรรยากาศสร้างมาขัดการโจมตีเธอและหลอกล่อสายตาเธอว่าเลทิเซียยังอยู่ด้านล่าง

เพราะเลทิเซียใช้ประโยชน์จากเวทลวงตา พอมีชั้นบรรยากาศโผล่ขึ้นเลทิเซียก็หลบออกจากตรงนั้น โดยที่ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า

ชั้นบรรยากาศนี้คือชั้นบรรยากาศมองทะลุเห็นเลทิเซีย แต่ความจริงกลับไม่ใช่ มันคือกำแพงลวงตา

เพราะเลทิเซียตอนนี้ก็มายืนอยู่ตรงหน้าเลมิสทาเรียพร้อมกับยื่นมือออกมาหวังจะคว้าจับคอของศัตรูไว้เพื่อควบคุมอีกฝ่าย

แต่ว่าอีกฝ่ารู้ดีว่าหากถูกจับได้อาจจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ดังนั้นในชั่วพริบตานั้นร่างของเธอก็แตกกลายเป็นหมอกสีเลือดอีกครั้ง

เลทิเซียเองก็ตกใจ จนเธออดคิดไม่ได้ว่า นี่อีกฝ่ายทำตัวเองตัวแตกแบบนั้น ไม่รู้สึกเจ็บบ้างหรือยังไง

พอร่างอีกฝ่ายโผล่ขึ้นมาอีกครั้งก็อยู่ห่างออกไปหลายเมตร แต่ดูเหมือนว่าในสายตาของเลมิสทาเรีย จะไม่มีความหวั่นเกรงหรือเจ็บปวดอะไรเลย

กลับกันสายตาที่จ้องมาที่เลทิเซียยังมากไปด้วยความต้องการ

“ข้าต้องเอาให้ได้ ร่างกายของเจ้า… ต้องเป็นของข้า”

เธอพึมพำอย่างกระหาย อย่างไรก็ตามในสถานการณ์อันดุเดือดเหล่านี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า

ทั้งคู่ต่างเป็นคู่ต่อสู้ประเภทเดียวกัน มองการโจมตีและคาดเดาการเคลื่อนไหวศัตรูไว้ก่อนหน้าถึงห้าหกรอบ

หากเปรียบเทียบว่าเป็นหมากรุก บางทีทั้งขุนทั้งเบี้ยของพวกเธอคงจะเหลือเท่ากันอย่างแน่นอน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 194

Now you are reading การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม Chapter 194 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 194 – เปรียบเสมือนหมากรุก

 

“นี่เจ้าจะบอกว่า เจ้าสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ไร้ตรรกะของข้า? เป็นไปไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นหมายความว่าเจ้าต้องใช้ทั้งเวทมนตร์จำนวนมากและพลังแห่งการแทรกแซง..”

เสียงเลมิสทาเรียค่อยๆ เบาลงไปเรื่อยๆ ก่อนที่เธอจะเบิกตากว้างพร้อมกับเงยหน้าขึ้นจ้องเลทิเซีย

“อย่าบอกนะว่าเจ้าทำทั้งหมดที่ว่ามา”

เลทิเซียไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่ทว่านั่นยิ่งเป็นการยืนยันว่าเลทิเซียทำมันจริงๆ ใช้เวทมนตร์มากของจอมมารในรูปแบบของการแทรกแซง

แต่ก็ไม่ใช่การแทรกแซงเพราะมันไร้ซึ่งตรรกะ หมายความว่าเป็นการใช้เวทมนตร์อย่างเลื่อนลอยที่ไม่มีเหตุหรือผลอะไรมาจำกัด

ไม่มีใครรู้ว่าจะทำสำเร็จไม่มีใครทราบว่ามันจะแสดงผลออกมาได้ แม้แต่ตัวเลทิเซีย แต่ว่าเลทิเซียกลับทำมันสำเร็จแล้วตรงนี้ต่อหน้าเลมิสทาเรีย

คำเดียวที่สามารถอธิบายสิ่งตรงหน้านี้ได้มีเพียงแค่คำว่าเป็นไปไม่ได้ เลทิเซียกำมือแน่นขึ้นด้ายรัดแน่นขึ้น

เธอไม่ชอบคนตรงหน้าอย่างมาก อีกทั้งยังต้องการที่จะฉีกเป็นชิ้นๆ แต่ทว่าเธอไม่เหมือนเมื่อก่อน

เธอพยายามคุมอารมณ์ความรู้สึกให้ได้มากที่สุด หากยัยคนนี้ตายตรงนี้ ปัญหามากมายต้องตามมาแน่

เพราะว่านี่ไม่ใชการฆ่าแบบไม่มีใครรู้ผีไม่เห็น เพราะเป็นการแข่งขันที่มีคนทั่วทวีปมองอยู่ นั่นหมายความว่าหากเธอเดินหมากพลาด

เธอจะตกเป็นเป้าสายตาของคนทั่วทั้งทวีป แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากชนะต่อไป ดังนั้นแม้จะรู้สึกโกรธกับสิ่งที่นังคนนี้พูดเธอก็พยายามควบคุมอารมณ์อย่างสุดความสามารถ

“ตอนนี้เธออยู่ในกำมือฉันแล้ว ฉันมีเรื่องอยากจะถามเป็นกองเลย ทำไมพวกเธอถึงต้อ—”

ก่อนที่เลทิเซียจะทันได้พูดจบเลมิสทาเรียที่ก้มหน้าเหมือนทบทวนอะไรอยู่ก็เงยหน้าขึ้นฟ้าพลางหัวเราะลั่น

“ฮ่าๆ แบบนั้นแหละ ความรู้แบบนั้นแหละ ความมั่นใจแบบนั้นแหละ ทุกอย่างของเธอน่ะ…”

ก่อนที่สายตานั้นจะจ้องกลับลงมามองที่เลทิเซีย เธอฉีกยิ้มออกจนกูน่ากลัว ลมหายใจหอบถี่ขึ้นน้ำลายไหลย้อยออกมา

แก้มเริ่มแดง มองแล้วเหมือนพวกสติวิปลาสโรคจิตยังไงยังงั้น

“ข้ารู้สึกต้องการมัน อยากจะฉีกออกทีละนิด ทีละนิดตรวจสอบไปยันสมองว่า.. ทำไมถึงได้ฉลาดขนาดนี้นะ อ่าาาาห์ ข้ารู้สึกตื่นเต้นจนร่างกายร้อนรุ่มไปหมดแล้ว”

“เลทิเซีย เลทิเซีย ข้า..ข้า ต้องการร่างกายของเจ้า ความรู้ของเจ้า วิญญาณของเจ้า อ่าาาห์”

อีกฝ่ายพูดเหมือนพวกที่มากไปด้วยตัณหาที่แม้แต่เลทิเซียพอได้เจอเธอก็ยังผงะด้วยความประหลาดใจ

ยิ่งเลมิสทาเรียรู้สึกว่าตัวเองโดนเลทิเซียถูกต้อนให้จนมุม เธอยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ใช่นี่คือความแปลกประหลาดของเธอเมื่อกลายเป็นผู้ย้ายราง

ชื่นชอบในการทำร้ายร่างกายคนอื่น เสียงกรีดร้อง น้ำตา ความเศร้าโศก เสียงแห่งความสิ้นหวัง ยิ่งเธอถูกต้อนให้จนมุม

ยิ่งเธอรู้สึกว่าตัวเองเกือบจะถูกฆ่า ตัวเธอจะยิ่งอยากเห็นสิ่งที่ว่ามาจากคนที่ทำให้เธอรู้สึกแบบนั้น

ใช่หากจะให้พูดนี่คงเป็น ตัณหาราคะ ของเธอ ทรมานคนอื่นไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตใจ เธอไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่

กลับกันเธอรู้สึกว่ามันคืองานอดิเรกใหม่ของเธอ ยิ่งได้เสพก็ยิ่งติด และท้ายที่สุดเธอก็กลายเป็นคนที่ชอบฆ่ามนุษย์

ไม่สิ ถ้าจะให้พูดคงเป็นชื่นชอบในการทำร้ายผู้อื่น เด็กเล็ก ผู้ใหญ่ คนชรา เธอต้องการ มากขึ้น

เสียงกรีดร้องของสิ่งมีชีวิตมันทำให้เธอสามารถระบายความใคร่เบื้องลึกของเธอ ดังนั้นในตอนนี้นอกจากจะมองเลทิเซียเป็นภาชนะของตัวเอง

เธอยังมองเลทิเซียเป็นเครื่องมือในการใช้สนองตัณหาความใครของตัวเอง ดังนั้นไม่แปลกที่สภาพของเธอในตอนนี้จะดูวิปลาสมาก

“ถ้าหากข้าใช้เวทไร้ตรรกะใช้สิ่งอื่นไม่ได้ ข้าก็แค่ใช้มันกับตัวเองก็พอ”

พออีกฝ่ายพูดแบบนั้นขึ้น เลทิเซียถึงกับตกใจไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าได้กล้าเสียขนาดนั้น เพราะพริบตาต่อมานั่นเอง

ร่างกายอีกฝ่ายก็แปลกเป็นหมอกสีแดงจนทำให้เลทิเซียต้องถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนที่ร่างกายอีกฝ่ายจะปรากฏขึ้นมาด้านหลังเลทิเซีย

ไม่สิ แทนที่จะบอกว่าปรากฏขึ้น ควรบอกว่าถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีเหตุมีผลมากกว่า พริบตาเดียวร่างกายเลมิสทาเรียก็โผล่ขึ้นมาอยู่หลังเลทิเซียนั่นเอง

เลทิเซียพนันได้เลยว่าความเจ็บปวดตอนฉีกร่างตัวเองเป็นชิ้นๆ น่ะต้องเจ็บปวดมากอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายก็กำหมัดขึ้นและต่อยออกมา พริบตาเดียวกันที่ต่อยมานั้น แขนอีกฝ่ายบิดเบี้ยวเป็นรูปร่างประหลาด

และพองโตขึ้นจนดูผิดรูป เมื่อกระแทกใส่หลังเลทิเซียแรงมหาศาลก็ถูกซัดออกมาจากหมัดนั้น เลทิเซียเบิกตากว้าง

เธอคงจะเจ็บกว่านี้ ถ้าเธอไม่ได้คาดไว้แล้วว่าหากอีกฝ่ายบ้าบิ่นจะยอมใช้วิธีนี้เพื่อเอาตัวรอดละก็นะ

เพราะทันทีที่หมัดอีกฝ่ายปะทะกับร่างเลทิเซียนั้น ร่างเธอก็แตกสลายกลายเป็นเส้นใยนับไม่ถ้วนพุ่งใส่ร่างอีกฝ่าย

“อย่าคิดว่าวิธีนี้จะใช้กับข้าได้ผลอีกเป็นครั้งที่สอง”

เลมิสทาเรียบ่นอุบอิบออกมาแบบนั้น พร้อมกับใช้เวทไร้ตรรกะใส่เลทิเซีย หรือจะพูดให้ชัดๆ เลยก็คือด้ายที่เคยเป็นเลทิเซีย

“ไร้ทิศไร้ทาง”

ในตอนนั้นเองหลักการเคลื่อนที่ของด้ายก็เหมือนจะไม่เป็นตามกฎฟิสิกส์หรือที่เลทิเซียควบคุม มันลอยขึ้นฟ้าราวกับสำหรับด้ายเส้นนี้บนฟ้ามีแรงโน้มถ่วงดึงมันขึ้นไป

แทนที่จะตกลงพื้นด้านล่าง แต่เลทิเซียก็พอเดาไว้แล้วว่าพลังแบบนี้ต้องสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ ดังนั้นเธอจึงใช้นั่นเป็นตัวล่อ

เพราะเวลาที่อีกฝ่ายพูดว่า “ไร้ทิศไร้ทาง” นั้น ร่างของเลทิเซียก็โผล่ออกมาจากช่องว่างมิติ ย่อตัวลงต่ำกว่าระยะสายตาอีกฝ่ายพร้อมกับเตะข้อพับขาเข่าของเธอ

หวังจะสกัดให้ล้มพลางคิดในใจว่า “ก็ไม่ได้คิดว่าจะได้ผลเหมือนกันนั่นแหละ” แต่เหมือนอีกฝ่ายจะพอเดาได้เช่นกัน

เพราะในทันทีที่เลทิเซียเตะข้อพับขาเข่าของเลมิสทาเรียเธอก็อาศัยการล้มนี้ ทิ้งน้ำหนักลงไปที่ศอกขวากระแทกลงใส่หัวเลทิเซีย

ศอกขนาดใหญ่ผิดมนุษย์นี่ หากโดนไปอาจจะหัวเละเลยก็เป็นได้ เลทิเซียตอบสนองไวอย่างมาก

เพราะในวินาทีนั้น ชั้นบรรยากาศที่มองไม่เห็นก็หยุดศอกของเลมิสทาเรียไว้ทันอย่างหวุดหวิด

แต่อย่าที่บอกว่าของแบบนี้ไม่มีผลกับเลมิสทาเรีย เธอสบถออกมาเบาๆ ศอกของเธอพังชั้นบรรยากาศนั้นไปทันที

ทันทีทันใดมันก็แตกกระจายเหมือนเศษกระจก แต่ว่าคนที่เบิกตากว้างหาใช่เลทิเซีย แต่เป็นเลมิสทาเรีย

เพราะด้านล่างนั่นไม่มีเลทิเซียอยู่แล้ว เธอมองลูกเล่นของเลทิเซียออกทันที ชั้นบรรยากาศสร้างมาขัดการโจมตีเธอและหลอกล่อสายตาเธอว่าเลทิเซียยังอยู่ด้านล่าง

เพราะเลทิเซียใช้ประโยชน์จากเวทลวงตา พอมีชั้นบรรยากาศโผล่ขึ้นเลทิเซียก็หลบออกจากตรงนั้น โดยที่ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า

ชั้นบรรยากาศนี้คือชั้นบรรยากาศมองทะลุเห็นเลทิเซีย แต่ความจริงกลับไม่ใช่ มันคือกำแพงลวงตา

เพราะเลทิเซียตอนนี้ก็มายืนอยู่ตรงหน้าเลมิสทาเรียพร้อมกับยื่นมือออกมาหวังจะคว้าจับคอของศัตรูไว้เพื่อควบคุมอีกฝ่าย

แต่ว่าอีกฝ่ารู้ดีว่าหากถูกจับได้อาจจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ดังนั้นในชั่วพริบตานั้นร่างของเธอก็แตกกลายเป็นหมอกสีเลือดอีกครั้ง

เลทิเซียเองก็ตกใจ จนเธออดคิดไม่ได้ว่า นี่อีกฝ่ายทำตัวเองตัวแตกแบบนั้น ไม่รู้สึกเจ็บบ้างหรือยังไง

พอร่างอีกฝ่ายโผล่ขึ้นมาอีกครั้งก็อยู่ห่างออกไปหลายเมตร แต่ดูเหมือนว่าในสายตาของเลมิสทาเรีย จะไม่มีความหวั่นเกรงหรือเจ็บปวดอะไรเลย

กลับกันสายตาที่จ้องมาที่เลทิเซียยังมากไปด้วยความต้องการ

“ข้าต้องเอาให้ได้ ร่างกายของเจ้า… ต้องเป็นของข้า”

เธอพึมพำอย่างกระหาย อย่างไรก็ตามในสถานการณ์อันดุเดือดเหล่านี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า

ทั้งคู่ต่างเป็นคู่ต่อสู้ประเภทเดียวกัน มองการโจมตีและคาดเดาการเคลื่อนไหวศัตรูไว้ก่อนหน้าถึงห้าหกรอบ

หากเปรียบเทียบว่าเป็นหมากรุก บางทีทั้งขุนทั้งเบี้ยของพวกเธอคงจะเหลือเท่ากันอย่างแน่นอน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+