การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 67

Now you are reading การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม Chapter 67 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 67 – เหตุการณ์ไม่คาดฝัน

 

ในขณะที่เหตุการณ์ดังกล่าวกำลังเกิดขึ้น ขอกล่าวย้อนกลับไปก่อนหน้านี้สักไม่กี่สิก่อน

โดยไม่มีใครรู้ตัวชิ้นส่วนกระจกขนาดเท่าฝ่ามือพลันสะท้อนแสงจากดวงตะวันยามเช้า

ชิ้นส่วนกระจกนี้ลอยอยู่เหนือพื้นดินไปกี่พันเมตรไม่มีคนทราบ ทว่าทันทีที่แสงสาดส่องกระทบใส่วัตถุดังกล่าวก็เห็นภาพภายในชิ้นส่วนกระจกนั่น

ภายในนั้นมีภูเขา ลำธาร ป่าไม้ เมืองร้าง สิ่งมีชีวิต แม้แต่บางอย่างที่คล้ายกับเผ่าอสูรรูปแบบมอนสเตอร์ หากใครเห็นคงไม่เชื่อว่านี่คือภาพสะท้อนของที่ไหนสักแห่ง

เพราะขนาดมันเล็กเกินกว่าจะสะท้อนทุกอย่างได้ ราวกับว่าชิ้นส่วนนี้มันมีโลกใบหนึ่งอยู่ข้างใน

อันตรายดังกล่าวได้คืบคลานเข้ามาโดยไม่มีใครทราบ…

ณ โรงเรียนลิเบอร์ ภายในป่าลึกในโรงเรียน ร่างของคนคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ คนเดียวบนบ้านหลังเล็กๆ

เธอเป็นผู้หญิงผมสีดำยาวเป็นเอกลักษณ์ ดวงตาสีดำสดใส ราวกับเป็นผู้มากประสบการณ์ทั้งๆ ที่อายุยังน้อย

เธอคนนี้คืออาจารย์ชิสุที่แสนใจดีสำหรับนักเรียน ที่ทุกคนก็ต่างรู้จัก เธอแสดงสีหน้าตกใจออกมา

“นี่มัน…”

เธอวิ่งออกมาจากบ้านและมองขึ้นไปบนฟ้าราวกับทะลุไปถึงชิ้นส่วนกระจกนั้นได้ สีหน้าเธอเปลี่ยนสี

“นั่นมันชิ้นส่วนเวหา แต่มันเร็วเกินไป! มันเกิดอะไรขึ้น!?”

เธอขมวดคิ้วด้วยสีหน้าค่อนข้างกระวนกระวาย หากไม่มีใครยุ่งเกี่ยวกับเวลามันไม่น่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้นี่น่า

อย่างน้อยที่สุดมันก็ต้องเหลือเวลาอีกหนึ่งวันอย่างน้อย เพราะว่า ‘เขา’ บอกไว้แบบนั้น ความคิดของชิสุโลดแล่น

“หรือว่าเวลาบนโลกคลาดเคลื่อน?”

อันที่จริงถ้าหากชิสุไม่เพลินกับผู้หญิงผมสีขาวเกินไปในวันหนึ่งเมื่อสิบสามปีก่อน เธอคงจะรู้ว่าเวลาของโลกได้ถูกข้ามไปเป็นวันใหม่

นั่นหมายความว่าเวลาในการรับรู้ของเธอช้ากว่าเวลาที่ไหลจริงๆ บนโลกไปหนึ่งวัน หากนึกภาพไม่ออกให้นึกว่า

วันนี้เป็นวันที่ 20 แต่คุณกลับยังคิดว่านี่วันที่ 19 นั่นแหละ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมชิ้นส่วนเวหาถึงปรากฏก่อนกำหนดถึงหนึ่งวัน

อันที่จริงหากอีกหนึ่งวันข้างหน้าคุณครูคนอื่นคงกลับมาแล้ว และสร้างเขตแดนเพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายของชิ้นส่วนเวหา

หากไม่มีสิ่งนั้นชิ้นส่วนเวหาจะเคลื่อนย้ายทุกคนในทวีปไปจนหมด ดังนั้นโรงเรียนทั้งห้าจึงต้องคอยควบคุมชิ้นส่วนเวหาไว้ซะก่อน

และกว่าจะเปิดทำงานได้มันต้องรอเวลาอีกหลายวัน พอถึงตอนนั้นนักเรียนเองก็กลับมาจากการไปเยี่ยมบ้านเกิดแล้ว

แต่นี่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป จนไม่ทันตั้งตัวนั่นเอง และคงมีไม่กี่คนที่สัมผัสถึงเวลาที่ถูกข้ามไปวันใหม่ในวันนั้นเมื่อสิบสามปีที่แล้ว

และบางคนที่อาจจะรู้ก็คงไม่ได้สนใจชิ้นส่วนเวหานี่อยู่ดี เพราะสำหรับพวกเขาที่แข็งแกร่งขนาดนั้นคงมองเห็นเหมือนเป็นแค่กล่องสมบัติเล็กๆ และไม่สนใจเท่านั้น

“หากปล่อยไว้แบบนี้.. การเคลื่อนย้ายจะทำงานทันที…”

อันที่จริงต้องขอบคุณชิสุที่เธอมีประสาทสัมผัสที่เหนือกว่าคนทั่วไปแบบคนละระดับ ทำให้เธอสัมผัสถึงมันได้

บางทีในโลกนี้คนที่สัมผัสถึงสิ่งนี้ทันทีได้เหมือนชิสุคงมีไม่ถึงสี่คนด้วยซ้ำละมั้ง ชิสุขมวดคิ้วและพึมพำ

“ทั่วทั้งทวีปคงปั่นป่วนแน่ๆ ฉันต้องทำอะไรสักอย่างแล้วสิ…”

เธอกัดฟันและรีบใช้เวทในการควบคุมชิ้นส่วนเวหาทันที ชิ้นส่วนเวหานั้นจะสะท้อนแสงไปทั่วผืนทวีปอละการเคลื่อนย้ายข้ามมิติจะทำงานทันทีเมื่อแสงนั้นสาดถึงสิ่งมีชีวิต

ทางเดียวที่ทำได้คือการควบคุมแสงเหล่านั้น แต่ก็อย่างที่ใครๆ ก็รู้ว่าแสงมันคือความเร็วที่สูงเป็นอันดับต้นๆ บนโลกใบนี้แล้ว

การที่จะมาควบคุมในจังหวะที่มันสะท้อนแสงแบบนี้มันก็เหมือนบอกว่าให้ใช้เวทด้วยความเร็วเหนือแสง ทั้งการใช้เวทมนตร์มันไม่ใช่แค่การพูดหรือคิด

แต่มันคือการสร้างเขตแดนเวทมนตร์แห่งการแทรกแซงแสงเหล่านั้นขึ้นมา ซึ่งอย่างน้อยก็ต้องใช้สิบถึงยี่สิบวงสำหรับการแทรกแซง

เพื่อไม่ให้แสงกระจายไปทั่วทวีป ดังนั้นนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ต้องเตรียมตัวรับมือก่อน และยิ่งหากปล่อยให้มันสาดส่องไปทั่วทวีปละก็..

นั่นคือหายนะทุกคนต้องไปตายในนั้นแน่ๆ!

แต่ยังโชคดีคนที่อยู่ตรงนี้เป็นชิสุ..

“อ่าาาา บ้าเอ๊ย ใครมันไปใช้เวท Time Skip เล่นวะเนี่ย!”

ชิสุขยี้หัวและบ่นคำหยาบออกมาเธอรีบสร้างมหาเวทของตัวเองขึ้นมา ถึงเห็นแบบนี้ชิสุก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านเวทมนตร์ในระดับสูง

ถึงเธอไม่ยอมประเมินระดับพลังตัวเอง แต่คงไม่น้อยกว่าระดับรองผู้อำนวยการอย่างแน่นอน

“ก่อนอื่นต้องควบคุมให้แสงสาดมาที่โรงเรียนทั้งห้า.. ถึงจะยังไม่ได้อธิบายเกี่ยวกับโลกฝั่งนั้นทั้งหมดให้กับนักเรียน แต่ลดความเสียหายให้มากที่สุดและโรงเรียนเองก็ไม่ได้สอนแค่เรื่องเวทมนตร์เท่านั้น… อีกทั้งตอนนี้โรงเรียนยังมีคนอยู่น้อยมาก”

แม้จะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและอาจจะมีความยุ่งยากในภายหลัง แต่ก็เป็นวิธีเดียวในตอนนี้!

เธอกัดนิ้วตัวเองและใช้เลือดวาดวงแหวนเวทบนอากาศ นี่คือหนึ่งในเวทมนตร์ ที่ไม่ว่าเผ่าไหนก็ใช้ได้

อันที่จริงมันก็คล้ายๆ กับพวกอาร์ติแฟ็คหรืออุปกรณ์เวทมนตร์ สามารถเก็บไว้ใช้ยามจำเป็นได้ มันมีชื่อว่า ‘วงแหวนเวท’

นิ้วของเธอวาดวงเวทขนาดใหญ่เสร็จสิ้นและก็ควบคุมพลังเวทสั่งให้มันทำงานทันที แทบจังหวะนั้นเองวงเวทพลันส่องแสงขึ้น

พลังในการแทรกแซงของวงแหวนเวทพลันเชื่อมต่อเข้ากับแสงจากเศษกระจกที่กำลังสาดลงมายังผืนแผ่นดิน

ชิสุรู้สึกถึงพลังในการควบคุมแสงเหล่านั้น เธอกัดฟันและควบคุมแสงทั้งหมดให้หดเล็กลง แต่ว่าการควบคุมแสงมันไม่ง่ายขนาดนั้น

การควบคุมแสงทั้งหมดก็คือการควบคุมอนุภาคนับไม่ถ้วนให้เล็กลง มันก็เหมือนกับการที่พยายามทำให้ฝูงผึ้งที่บินวนอยู่เป็นทรงกบขนาดใหญ่เล็กลงเป็นก้อนโดยใช้มือสองข้าง

แต่ความยากมันมากกว่านั้น เพราะแบบนี้จึงจำเป็นต้องใช้คนเป็นสิบคน และเพราะเหตุนี้จมูกของชิสุจึงมีเลือดไหลออกมา

“อย่า.. มาดูถูกคนสร้างแกนะไอ้โลกเฮงซวย!”

เธอตะโกนออกมาแสงทั้งหมดที่กำลังสาดส่องแทบจะถึงพื้นพลัน หดเล็กลงและสาดส่องไปทั่วโรงเรียนทั้งห้าแห่งเท่านั้นและการเคลื่อนย้ายก็ทำงาน

“อั้ก!”

ชิสุที่เป็นคนควบคุมเวทไม่ได้รับผลของการเคลื่อนย้ายอยู่ดี แต่เลือดก็พุ่งออกจากปากและล้มไปข้างหน้าเพราะหมดแรง

แต่ในตอนนั้นเองผมสีขาวก็สยายขึ้นต่อหน้าชิสุร่างของเธอถูกรับเอาไว้โดยผู้หญิงผมสีขาวคนหนึ่ง

“ไม่ช่วยกันเลยนะ…”

“ทำแบบนั้นเดี๋ยวก็โดนดุเหมือนเธอสิ”

“กลัวทำไมล่ะ.. แค่ยัยแก่เฒ่าโลลิแวมไพร์เท่านั้นล่ะ”

ริวคุงก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ไม่คิดว่าชิสุจะนินทาผู้อื่นระยะเผาขนขนาดนี้ และร่างของชิสุที่หนักอึ้งแปรเปลี่ยนเป็นเบาวิว แล้วชิสุก็พูดขึ้น

“แต่ว่า เหตุการณ์นี้มันทำเอาโลกปั่นป่วนแน่ๆ เลย โลกฝั่งนั้นเองก็มีกฎเกณฑ์ที่แตกต่าง.. เรายังไม่ได้อธิบายทั้งหมดเลยนะ”

“อืม.. และโลกนั่นนะ…”

“ใช่..  เศษส่วนชินโนะเก็นเท็นเพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลือตั้งแต่มหาสงครามสุดท้ายนั่น มันแตกต่างจากโลกแห่งนี้ในตอนนี้โดยสิ้นเชิง”

“ไม่เป็นไรหรอก คนที่เข้าไปในนั้นดูท่าจะมีไม่ถึงห้าร้อยคนด้วยซ้ำ”

“อะไรนะ ห้าร้อยคนเลยเหรอ? หมายความว่าไงริวคุง?”

ชิสุตกใจ ไม่ใช่ว่าแต่ละโรงเรียนเขาส่งนักเรียนกลับบ้านหมด แล้วคนหลายร้อยคนมาจากไหน ริวคุงก็ตอบกลับทันทีว่า

“ดูเหมือน….”

เสียงของเธอเหมือนกับถูกสายลมพัดผ่านไปจนไม่มีใครได้ยินยกเว้นชิสุ… ดวงตาของชิสุเบิกกว้างเล็กน้อย

“ถ้าแบบนั้น.. ก็อันตรายมากกว่าที่คิด.. รู้แบบนี้ส่งแสงไปทางทะเลสาบอาณาจักรที่แข็งแกร่งดีกว่านะ เฮ้อ…”

…….

ฉันเลทิเซีย ในตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกถึงความอันตรายแผ่ซ่านมาในอก อาจจะเป็นเพราะสัญชาตญาณเอาตัวรอดของฉัน

ซึ่งตอนนี้มันกำลังกรีดร้อง แน่นอนว่าเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ทสึรุกำลังวิ่งออกจากห้อง หรือว่าเธอคิดจะทำอะไรจริง?!

แต่ในตอนนั้นเองร่างฉันก็เหมือนถูกแสงบางอย่างสาดเข้ามาใส่จากทางหน้าต่างและความรู้สึกถึงอันตรายยิ่งแรงขึ้น

ฉันพยายามจะถอยหนีแต่ทว่าร่างของฉันก็แตกเป็นแสงโฟตอน ทำให้ฉันใจเต้นแรง และรีบหันไปหาทสึรุ ก็พบว่าเธอเองก็เจอสถานการณ์เดียวกันกับฉัน

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!”

“ข้าเองก็ไม่รู้….”

ทสึรุตอบออกมาแบบนั้นด้วยสีหน้าไม่ต่างจากฉัน ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้โกหกในสถานการณ์แบบนี้ แต่นั่นมันเกิดขึ้นแทบพริบตาเดียว

ร่างของฉันกับทสึรุพลันหายวับไปโดยไม่ทันรู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น.. แต่ก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่านี่คือการเคลื่อนย้ายข้ามมิติที่เคยเรียนมาหรือเปล่า…

 

…..

[ใครลืมเปิดไปตอนที่สี่.. มีคนเปลี่ยนกลางวันเป็นกลางคืนเพื่อเล่นพลุ – ผู้เขียน]

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด