การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวยบทที่ 20 ขยะแขยง

Now you are reading การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย Chapter บทที่ 20 ขยะแขยง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 20 ขยะแขยง

บทที่ 20 ขยะแขยง

ถังซวงรีบหยุดมือถังเซวี่ยที่กระตือรือร้น แล้วกล่าวว่า “เสี่ยวเซวี่ย โสมจะให้ดีที่สุดคือขุดมันออกมาทั้งหมดนะ เดี๋ยวพี่จะขุดมันเอง เธอคอยดูรอบ ๆ ไว้นะ แล้วพี่จะให้เธอต่อขุดทีหลัง”

เมื่อได้ยินดังนั้น ถังเซวี่ยก็พยักหน้าอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ได้เลยพี่สาว ขุดเลยค่ะ”

โชคดีที่พวกเธอนำเครื่องมือมาด้วย ดังนั้นถังซวงจึงขุดต้นที่แก่ที่สุดก่อนอย่างระมัดระวัง ทั้งราก ลำต้น และรูปร่างหน้าตาก็มีสภาพสมบูรณ์มาก “ต้นนี้มีอายุมากกว่าร้อยปีแล้ว สรรพคุณของมันต้องดีมากแน่”

เมื่อเห็นโสมตรงหน้า ถังซวงก็อารมณ์ดีขึ้น

“พี่สาว ให้ฉันลองบ้างสิ”

เมื่อได้ยินถังเซวี่ยพูดแบบนั้น ถังซวงก็กลับมามีสติ เธอพยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะ มาเลย พี่จะคอยดูอยู่ข้าง ๆ เอง”

เดิมทีถังซวงคิดว่าจะคอยช่วยเธอขุด แต่พอเห็นถังเซวี่ยขุดได้ดี อีกทั้งยังสามารถขุดต้นโสมที่มีอายุมากกว่าห้าสิบปีได้โดยที่เธอไม่ได้ช่วยเลย “เสี่ยวเซวี่ย เธอเก่งมาก ขุดได้ดีแล้วล่ะ”

เมื่อได้ยินคำชมจากพี่สาว ใบหน้าของถังเซวี่ยก็มีความสุขมากยิ่งขึ้น

“จริงเหรอคะพี่ ฉันเก่งจริง ๆ เหรอ? ฉันทำได้ดีเลยใช่ไหมคะ?”

ถังซวงลูบผมของถังเซวี่ยแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว เธอเก่งมากเลย แถมยังเรียนรู้เร็วอีกต่างหาก เสี่ยวเซวี่ยของเราฉลาดเกินไปแล้ว”

“พี่สาว เรามาขุดกันต่อเถอะ”

ถังซวงมองโสมขนาดเล็กที่เหลืออยู่ ก่อนจะส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ต้องขุดแล้วล่ะ โสมที่เหลือยังอ่อนเกินไป เราปล่อยมันไว้แบบนี้เถอะ”

ได้ยินแบบนี้แล้ว ถังเซวี่ยก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก หลังจากส่งโสมที่ขุดได้ให้ถังซวงแล้ว เธอก็จับมือพี่สาวเดินไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้น “พี่สาว เราไปดูกันต่อเถอะ บางทีอาจจะเจออะไรดี ๆ อีกก็ได้”

แต่ของดีแบบนี้ใช่ว่าจะเจอได้ง่าย ๆ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเจอได้บ่อย ๆ สุดท้ายถังซวงกับถังเซวี่ยก็ไม่พบอะไรอีก หลังจากนั้นพวกเธอก็ขุดผักป่าและกลับบ้าน

เมื่อทั้งสองเดินไปที่ประตูบ้านก็พบผู้คนมากมายกำลังจับกลุ่มคุยกัน

เมื่อเห็นฉากนี้ ถังซวงรู้ทันทีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปดูทันที

ถังเซวี่ยเองก็กังวลเช่นกัน จึงวิ่งตามหลังพี่สาวไป

หลังจากที่ทั้งสองเข้าไปใกล้ พวกเขาก็พบชายคนหนึ่งที่ตะโกนใส่เฮ่อหลานด้วยคำพูดน่ารังเกียจ “เฮ่อหลาน ตอนนี้เธออยู่คนเดียว มันคงดีไม่น้อยถ้าเราจะอยู่ด้วยกันจริงไหม? แล้วเธอยังจะปฏิเสธไปเพื่ออะไรอีก นี่เธอคิดว่าตัวเองยังเป็นสาวเบญจมาศ*[1]อยู่งั้นเหรอ?”

มันช่างเป็นคำพูดที่แฝงความหมายไว้มากมายจริง ๆ

“ใช่แล้วอาหลาน เธอยังมีลูกสาวอีกสองคนที่ต้องเลี้ยงดูนะ เพราะงั้นการหาคนมาช่วยแบ่งเบาภาระก็สมเหตุสมผลไม่ใช่เหรอ? แม้ว่าครอบครัวของเฉียนเหล่าซานจะยากจน แต่พวกเขาก็เป็นคนดีนะ นี่เป็นเรื่องดีสำหรับเธอซะอีก”

“ถูกต้อง เฉียนเหล่าซานไม่เคยแต่งงานแล้วมันยังไงล่ะ? เธอเองก็หย่าร้างแถมยังมีลูกสาวอีกสองคน นี่เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอที่ได้พบคนแบบนี้น่ะ”

ข่งหม่านจูเองก็ยืนดูด้วยอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน ยิ่งเมื่อเธอได้ยินพวกเขาพูดคุยกัน แววตาของเธอก็เป็นประกายด้วยความสนใจ จากนั้นเธอจึงพูดเสียงดังว่า “เฮ่อหลาน ฉันคิดว่าวันนี้เป็นวันที่ดีนะ ทำไมเธอไม่แต่งงานกับเฉียนเหล่าซานไปเลยล่ะ?”

เฮ่อหลานหันไปมองข่งหม่านจูและเฉียนเหล่าซานที่เอาแต่คุกคามเธอ นัยน์ตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง กำลังปักผ้าอยู่ดี ๆ ปัญหาก็วิ่งมาถึงหน้าบ้าน “ข่งหม่านจู ถ้าคิดว่าเฉียนเหล่าซานดีนักหนา ทำไมเธอไม่แต่งซะเองล่ะ? แต่งงานกับเขาไปเองสิ”

“เหอะ… ฉันไม่ได้หย่าร้างเหมือนกับคนแถวนี้ซะหน่อย อีกอย่างฉันกับจางกั่วมีชีวิตที่ดีจะตายไป เธออย่ามาพูดไร้สาระนะ”

เมื่อเห็นเฮ่อหลานปฏิเสธเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เฉียนเหล่าซานรู้สึกเสียหน้าทันที “เฮ่อหลาน ไม่ต้องละอายใจไป มันเป็นโชคดีของเธอนะ ที่ตอนนี้ฉันยังต้องการเธออยู่ พี่ข่งพูดถูกแล้ว เรามาแต่งงานแล้วอยู่ด้วยกันวันนี้เลยเถอะ” ในขณะที่พูด เขาก็คว้าแขนของเฮ่อหลาน และมองร่างกายของเฮ่อหลานด้วยสายตาที่ไร้ยางอาย

แม้ว่าตอนนี้เฮ่อหลานจะเริ่มมีอายุแล้ว แต่ใบหน้าของเธอยังดูเยาว์วัย และแม้ว่ารูปร่างของเธอจะผอมแห้ง แต่ก็ยังมีบางส่วนที่งดงามอยู่

“ปล่อยนะ! ปล่อย!”

เมื่อเห็นว่าเฉียนเหล่าซานยังคุกคามเธอไม่หยุด เฮ่อหลานก็โกรธและกลัวมาก แต่เรี่ยวแรงของผู้หญิงอย่างไรก็ไม่เท่าผู้ชาย ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของเขาได้

“หึ… เฮ่อหลาน ฉันเห็นนะว่า…”

ก่อนที่ข่งหม่านจูพูดจบ เธอก็ต้องตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า เมื่อเห็นว่าเฉียนเหล่าซานที่ยืนอยู่ จู่ ๆ กลับถูกเตะกระเด็นจนเกิดเสียงดัง ‘ตุบ!’ ร่างของเขากระแทกกับพื้นอย่างแรง

“บัดซบ! ไอ้สารเลวที่ไหนมันกล้ามาเตะฉัน!”

เฉียนเหล่าซานล้มลงจนสภาพดูไม่ได้ เมื่อเขาลุกขึ้นยืนก็อ้าปากสาปแช่งคนทำทันที และเมื่อเห็นถังซวงกับถังเซวี่ยอยู่ตรงหน้า เขาก็ระเบิดอารมณ์ใส่เด็กสาวอย่างไม่ไว้หน้า “เอาล่ะ นังตัวดีทั้งสอง ฉันจะบอกให้นะพอฉันแต่งงานกับแม่ของแกเมื่อไหร่ ฉันก็จะเป็นพ่อพวกแก ต่อจากนี้ไปแกต้องเชื่อฟังฉัน และก็ต้องทำทุกอย่างที่ฉันสั่ง!”

เมื่อถังซวงได้ยินคำพูดนี้ เธอก็รู้สึกขยะแขยงมากจนเลิกสนใจสิ่งที่เฉียนเหล่าซานพูดต่อ ร่างของเด็กสาวพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย แล้วกำปั้นนั้นก็ชกเฉียนเหล่าซานจนลงไปกองกับพื้นทันที

เฉียนเหล่าซานรู้สึกปวดแสบปวดร้อนบนใบหน้า ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าถังซวงไม่ใช่เด็กที่จะคุยกันรู้เรื่อง และเขาเองก็ไม่ใช่คนที่จะยอมอยู่เฉยด้วย เดิมทีเขามักจะทะเลาะกับผู้คนอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นเขาจึงยืนขึ้นและตะโกนว่า “ตอนแรก ฉันว่าจะไม่ตีแกเพราะเห็นว่าแกเป็นผู้หญิงหรอกนะ แต่แกมันบ้า เพราะงั้นอย่ามาหาว่าฉันหยาบคายแล้วกัน” พูดจบ เขาก็พุ่งเข้าไปหาถังซวงทันที

ทว่าถังซวงกลับยิ้มเย้ยหยันออกมา เธอยืนเผชิญหน้ากับเฉียนเหล่าซาน ขยับตัวเบี่ยงออกไปเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงกำปั้นของเฉียนเหล่าซาน จากนั้นก็ชกเข้าที่ท้องของเขาอย่างแรง จนอีกฝ่ายจุกจนแทบยืนไม่ไหว

“เมื่อกี้แกพูดว่ายังไงนะ อ้อ…พ่อเหรอ? นี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? แถมยังกล้าแตะต้องแม่ของฉันด้วย? นี่แกคงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้วสินะ”

ท่าทีของถังซวงในตอนนี้เย็นชาเป็นอย่างมาก แววตาของเธอฉายความอำมหิตออกมา กอปรกับท่าทางที่ดูดุร้ายและโหดเหี้ยมของเธอในตอนนี้ ถึงกับทำให้ทุกคนตกใจกลัวทันที และเพิ่งคิดได้ว่าตนเผลอเข้าไปยุ่งกับเรื่องยุ่งยากเข้าซะแล้ว

“หยุดตี! หยุดนะ! ทุกอย่างเป็นเรื่องเข้าใจผิด!”

แต่ถังซวงทำเป็นหูทวนลมต่อคำพูดของเฉียนเหล่าซาน และเธอยังคงสั่งสอนเขาอย่างไร้ความปรานี

ตอนนี้เอง ถังเซวี่ยซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ หันไปเห็นท่อนไม้วางอยู่พอดี เด็กสาวหยิบมันขึ้นมาไว้ในมือ แล้วก็ยกมันขึ้นตีเฉียนเหล่าซานอย่างแรง จนอีกฝ่ายถึงกับเลือดออกตามแขนขา

ในตอนแรก ทุกคนยังตกตะลึงกับการกระทำของถังซวงและถังเซวี่ย แต่เมื่อพวกเขาเห็นรอยเลือดบนร่างกายของชายหนุ่มแล้ว พวกเขาก็กลับมามีสติและรีบเข้าไปหยุดทันที “เดี๋ยว ๆ! อย่าตี อย่าตีกัน ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ เดี๋ยวเขาได้ตายกันพอดี!”

ถังซวงหันไปมองถังเซวี่ยที่กำลังทุบตีชายตรงหน้า เธอก็เข้าไปหยุดถังเซวี่ยด้วยตัวเอง จากนั้นถึงค่อยมองพวกคนที่เข้ามาห้ามอย่างเย็นชา “ทีกับแม่ของฉัน ทำไมไม่เห็นพูดแบบนี้บ้างล่ะ? ตอนนี้ทำมาเป็นคนดี ไม่คิดว่ามันไร้ยางอายไปหน่อยเหรอ?”

“นี่เธอ…”

[1]สาวเบญจมาศ หมายถึง สาวบริสุทธิ์

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *