การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวยบทที่ 77 ความเศร้าถาโถม

Now you are reading การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย Chapter บทที่ 77 ความเศร้าถาโถม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 77 ความเศร้าถาโถม

บทที่ 77 ความเศร้าถาโถม

จวงเหวินเหอพอใจกับถังซวงลูกศิษย์ของเขามาก และสิ่งเดียวที่เขาเสียใจก็คือเขาไม่เจอเด็กคนนี้ให้เร็วกว่านี้

“อาจารย์ปู่คะ อาจารย์พูดมาตั้งแต่เช้าแล้ว พักผ่อนให้เพียงพอก่อนนะคะ”

จวงเหวินเหอรู้สึกเพียงว่าเขามีกำลังใจดี และสิ่งที่ต้องการจะพูดก็มีอีกมาก

“ซวงเอ๋อร์ เรียนต่อเถอะ”

เมื่อเห็นท่าทางที่กระฉับกระเฉงของจวงเหวินเหอ ดวงตาของถังซวงเต็มไปด้วยความกังวลแทน เธอหยุดมองเขาสักพักและพูดว่า “อาจารย์ปู่คะ แม้ว่าอาจารย์จะยังไม่อยากพักผ่อน แต่ก็ยังต้องกินนะคะ ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ จวงเหวินเหอมองเวลาแล้วก็ตระหนักว่าถึงเวลาอาหารกลางวันแล้วจริง ๆ

“งั้นก็ได้ กินข้าวก่อน”

วันนี้จวงเหวินเหอมีกำลังใจดีมาก และตามถังซวงไปที่ห้องรับประทานอาหาร

เมื่อเฉินกวงหยางเห็นจวงเหวินเหอออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ผู้เฒ่า ทำไมถึงออกมาละครับ ผมเตรียมอาหารไว้หมดแล้ว กำลังจะเอาไปให้เลย”

“ไม่ ๆ ฉันจะกินที่นี่กับพวกเธอ”

เมื่อเห็นว่าจวงเหวินเหอจิตใจแจ่มใสดี เฉินกวงหยางก็พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรักษารอยยิ้มบนใบหน้าของชายชราไว้ แต่หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความเศร้า พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก เขาต้องทำงานหนักเพื่อที่จะมีชีวิตรอดต่อไปให้ได้ในแต่ละวัน แต่แล้วเขาก็ถูกทรยศและเกือบตาย บังเอิญจวงเหวินเหอได้ช่วยเขาไว้ ทั้งสองไม่มีญาติคนอื่น ๆ เหมือนกัน หลังจากนั้นพวกเขาก็พึ่งพาอาศัยกันมาตลอด แต่ตอนนี้ อีกไม่นาน… ผู้เฒ่ากำลังจะจากไป

ด้านเฮ่อหลานก็มาตั้งแต่เช้าและเตรียมอาหารกลางวันสำหรับวันนี้ไว้ แม้ว่าผู้เฒ่าจวงจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ แต่เธอก็พอเดาได้จากสีหน้าของลูกสาวที่มองไปที่ผู้เฒ่า ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าสถานการณ์ของผู้เฒ่าจวงไม่ดีเลย แต่ก็ไม่ได้พูดถามอะไรออกไป แค่ทักทายทุกคนและชวนมาทานอาหารด้วยกัน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก…

ในเวลานี้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

จวงเหวินเหออดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ตอนนี้ฉันไม่รู้แล้วว่าใครมา เพราะไม่มีใครมาที่นี่นานแล้ว”

เฉินกวงหยางที่ยืนอยู่ข้างจวงเหวินเหอในขณะนี้ ประคองตัวให้ชายชรานั่งลงบนเก้าอี้อยู่ และเฮ่อหลานก็ยืนอยู่ใกล้ ๆ เธอจึงพูดขึ้นว่า “ฉันจะไปเปิดประตูเองค่ะ”

เฮ่อหลานวิ่งเหยาะ ๆ ไปที่ประตูลานบ้าน และเมื่อเปิดประตูก็ต้องตกตะลึง

“คุณจิง ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะคะ?”

เมื่อจิงเจ้อหรงเห็นเฮ่อหลาน ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจเช่นกัน จากนั้นเขาก็ยิ้มเบา ๆ แล้วพูดว่า “เหล่าจวงอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ?”

“คุณมาที่นี่เพื่อพบคุณจวงเหวินเหอหรือคะ?”

“ครับ”

จิงเจ้อหรงพยักหน้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เจอเฮ่อหลานที่นี่

“อ่อ งั้นเข้ามาเถอะค่ะ ผู้เฒ่าจวงอยู่ที่นี่ค่ะ” เฮ่อหลานปล่อยให้จิงเจ้อหรงเข้าไปในขณะที่พูด แต่เธอยังคงถามอย่างสงสัย “คุณรู้จักผู้เฒ่าจวงด้วยหรือคะ?”

“ครับ ครอบครัวเราสองคนเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนน่ะ”

ระหว่างที่คุยกัน ทั้งสองก็เดินไปที่ห้องอาหาร

ถังซวงและโม่เจ๋อหยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นจิงเจ้อหรงที่นี่

ส่วนจวงเหวินเหอก็หัวเราะอีกครั้ง “เสี่ยวหรง นายนี่เอง ฉันไม่คิดเลยว่านายจะมาที่นี่”

เมื่อเห็นจวงเหวินเหอ จิงเจ้อหรงก็รีบก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “เหล่าจวง ทำไมนายไม่บอกฉันว่าอยู่ที่นี่ละ ไม่อย่างนั้นฉันคงมาหานายเร็วกว่านี้แล้ว ฉันอยู่แถว ๆ นี้เอง แบบนี้เราคงจะได้พบกันบ่อยขึ้นในอนาคตแล้วนะ” เขาอยู่ที่เมืองเวิงซานมาระยะหนึ่งแล้ว ถ้าเขารู้เร็วกว่านี้ เขาคงมาที่นี่เร็วกว่านี้แล้ว

จวงเหวินเหอส่ายหัวและพูดว่า “ในฐานะชายชราธรรมดา ฉันติดต่อนายไม่ได้มากนักหรอก ยิ่งไม่ต้องพูดอีกว่าฉันไม่รู้ว่านายอยู่ที่นี่ด้วย”

ถ้าโม่หยานซงเป็นเพื่อนที่รู้จัก จิงเจ้อหรงก็ถือเป็นเพื่อนเก่าที่แท้จริงของเขา ทั้งสองรู้จักกันเมื่อพวกเขายังเด็ก และต่อมาก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ต้องขอบคุณจิงเจ้อหรงที่ทำให้เขาออกจากเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย แล้วก็ขาดการติดต่อจากเพื่อนเก่าคนนี้ เขากลัวว่าความสัมพันธ์ของเขากับจิงเจ้อหรงจะถูกค้นพบและจะส่งผลกระทบต่ออีกฝ่าย ท้ายที่สุดตระกูลจิงก็จะมีศัตรูมากมาย

แต่เขาไม่คาดคิดว่าจะเจอจิงเจ้อหรงที่นี่ในเวลานี้เลย

“เสี่ยวหรง นายมาทันพอดีเลย เรากำลังจะกินมื้อเที่ยง นั่งลงก่อนสิ มากินข้าวด้วยกัน”

จิงเจ้อหรงไม่ปฏิเสธ แต่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

เฮ่อหลานตักข้าวให้ทุกคน แล้วหยิบตะเกียบคู่ใหม่มาวางไว้ข้างหน้าจิงเจ้อหรง

“คุณจิง เชิญตามสบายเลยค่ะ”

จิงเจ้อหรงขอบคุณเฮ่อหลานด้วยรอยยิ้ม และพวกเขาก็นั่งรอบโต๊ะกลม รับประทานอาหารอย่างเงียบ ๆ

หลังอาหาร จิงเจ้อหรงหาโอกาสที่จะถามจวงเหวินเหอเกี่ยวกับชีวิตของเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

จวงเหวินเหอไม่ได้ตั้งใจจะพูดมากกว่านี้ เพียงแค่โบกมือและพูดว่า “ฉันไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นหรอก ฉันแค่อยากจะบอกข่าวดีให้นายฟังในวันนี้ ฉันรับลูกศิษย์ที่มีความสามารถพิเศษมากในทางการแพทย์มาล่ะ” ขณะเดียวกัน ถังซวงก็ก้าวมาข้างหน้า จากนั้นชายชราก็แนะนำ “นี่คือ ถังซวง ศิษย์เพียงคนเดียวของฉัน หากมีโอกาสในอนาคต ฉันฝากนายดูแลเธอด้วยนะ”

“ลูกศิษย์?”

จิงเจ้อหรงมองไปที่ถังซวงด้วยความประหลาดใจ เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าเธอมาเป็นลูกศิษย์ของผู้เฒ่าจวงได้ยังไง เธอซ่อมเครื่องจักรได้ไม่พอ แต่เธอยังเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์จากผู้เฒ่าจวงอีก

แม้ว่าเขาจะประหลาดใจ แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ได้ถามคำถามอะไรอีกต่อไป แค่พยักหน้า “อย่าห่วงเลยเหล่าจวง แม้ว่านายจะไม่บอกฉัน ฉันก็สนใจในตัวสหายเสี่ยวถังอยู่แล้ว”

“ดีแล้ว ๆ”

หากแต่เมื่อได้ยินอย่างนั้น เบ้าตาของถังซวงก็มีน้ำตารื้นขึ้นมาจนแดงเล็กน้อย

ตั้งแต่พบอาจารย์คนนี้ เขาเป็นผู้ให้มาตลอด ตอนนี้ในบั้นปลายชีวิต เขาก็ยังฝากฝังเธอกับคนใหญ่คนโต เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีที่สุด ได้เรียนวิชาแพทย์ใหม่ ๆ ได้เรียนรู้มากมาย แต่ก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอไม่รู้เกี่ยวกับการแพทย์แผนจีน เธอหวังจริง ๆ ว่าเวลาจะเดินช้าลงเพื่อที่เธอจะได้ใช้เวลากับอาจารย์มากขึ้น

จวงเหวินเหอสังเกตเห็นความแปลกประหลาดของถังซวงได้ทันที และส่ายหัวอย่างเอ็นดู

“เด็กโง่”

จิงเจ้อหรงรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นท่าทางของถังซวง

ในความคิดของเขา ถังซวงเป็นเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่สุขุม เป็นตัวของตัวเอง และมีความมั่นใจ แต่แล้วทำไมดวงตาของเธอถึงแดงก่อนที่เธอจะพูดอะไรล่ะ มันต่างจากถังซวงที่เขารู้จักมาก

แต่ในไม่ช้าจิงเจ้อหรงก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ นอกจากถังซวงแล้ว แม้แต่ชายร่างอ้วนที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็น้ำตารื้นขึ้นมา เกิดอะไรขึ้น?

จวงเหวินเหอไม่ได้มองคนอื่น แต่มองตรงไปที่ถังซวง และพูดว่า “ซวงเอ๋อร์ เธอต้องจำไว้ว่าหมอต้องมีบุคลิกที่เข้าถึงง่ายและรักพี่น้อง ฉันไม่ขอให้เธอเป็นหมอใจดีที่สามารถช่วยโลกได้ แต่หวังเพียงให้เธอนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้ช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ยังไงซะทุกอย่างก็ยังขึ้นอยู่กับตัวเธอเอง เธอคือสิ่งสำคัญที่สุด”

หากเป็นตัวเขาคงไม่คิดเช่นนั้นอย่างแน่นอน

แต่ถังซวงเป็นลูกศิษย์ตัวน้อยของเขา สาวน้อยตัวบางราวกับดอกไม้และหยก แน่นอนว่าเขาให้ความสำคัญกับเธอเป็นอันดับแรก

เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของจวงเหวินเหอ ถังซวงพยักหน้าด้วยน้ำตารื้นและพูดว่า “ค่ะอาจารย์ปู่ ฉัน… ฉันจะจำไว้”

“ดี… ดี… ฉันดีใจจริง ๆ ที่ได้เป็นอาจารย์… และมีเธอเป็นลูกศิษย์…”

หลังจากพูดแบบนี้แล้ว รอยยิ้มบนริมฝีปากของจวงเหวินเหอก็ค่อย ๆ จางหายไป และนั่งเท้าแขนบนเก้าอี้ด้วยท่าทางสงบ

“อาจารย์…”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *