ราชินีพลิกสวรรค์ 116 ยกเขาให้ข้าเถิด!

Now you are reading ราชินีพลิกสวรรค์ Chapter 116 ยกเขาให้ข้าเถิด! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เสด็จอาเขยเพคะ คนรูปงามของตระกูลลู่อยู่ที่ใดหรือเพคะ”

 

 

ดวงตาของฉู่เฟยชิงฉ่ำวาวนัก พร้อมกับมีความเย่อหยิ่งและเจ้าเล่ห์ปนอยู่ด้วย หลังจากกวาดสายตามองฝูงชนแล้วหนึ่งรอบ นางก็มองไปทางฮ่องเต้แห่งโฮ่วจิ้นอย่างผิดหวัง

 

 

เพียงแต่ ทันทีที่นางพูดจบ บรรยากาศภายในท้องพระโรงก็ดูแปลกไปเล็กน้อย

 

 

ความงามของลู่เจี้ยเป็นที่ประจักษ์ของคนทั้งโลก

 

 

แน่นอนว่าการพูดจาไร้ยางอายเฉกเช่นองค์หญิงน้อยนั้น มิใช่ทุกคนจะทำได้ เพราะคนของตระกูลลู่แห่งซูหนานก็นั่งอยู่ด้วยเช่นกัน

 

 

คนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงของราชสำนักจำนวนไม่น้อยเลย ทุกคนต่างสบตากันและดูการแสดงละครสดอย่างเงียบๆ

 

 

ฮ่องเต้ต่อกรกับตระกูลลู่มานานหลายปี ครานี้อาจจะเป็นหมากรุกอีกตาหนึ่งก็เป็นได้ พวกเขาไม่ควรลุยในน้ำโคลนจะดีที่สุด

 

 

ขณะเดียวกัน เจียงหลีและพระชายาลู่ซึ่งอยู่ในท้องพระโรงด้วยเช่นกัน พอได้ฟังคำพูดของฉู่เฟยชิงแล้ว สีหน้าของทั้งสองก็เย็นยะเยือกขึ้นทันที คำพูดที่เหยียดหยามเช่นนั้น ช่างทำให้ผู้คนไม่ชอบใจเสียจริงๆ

 

 

“จะบังอาจมากเกินไปแล้ว! บุตรชายของข้าเป็นถึงนายน้อยแห่งตระกูลลู่ แต่คำพูดของนางกลับทำให้ดูเหมือนนักแสดงงิ้วก็ไม่ปาน” พระชายาลู่กำผ้าเช็ดหน้าที่ทำจากผ้าไหมในมือแน่นและแววตาเย็นเยือก

 

 

เจียงหลียังคงจ้องมององค์หญิงน้อยแห่งรัฐฉู่ด้วยสายตาเย็นชา นางไม่รู้ว่าองค์หญิงมีเจตนาหรือไม่ได้มีเจตนาก็ตาม แต่สำหรับลู่เจี้ยแล้ว นี่คือความอัปยศอดสูประเภทหนึ่ง

 

 

“ฮ่าๆ ชิงชิงอย่ากังวลไป อีกสักครู่เจ้าก็ได้พบกับคนรูปงามแห่งตระกูลลู่แล้ว” โฮ่วจิ้นฮ่องเต้มู่เจิ้งเฟิงกลับยิ้มอย่างไม่ใส่ใจพร้อมกับปลอบใจองค์หญิงน้อย

 

 

หญิงงามที่อยู่ข้างๆ เขา ฉุนกุ้ยเฟยกำลังกวักมือเรียกฉู่เฟยชิงว่า “ชิงชิง มาหาข้ามา”

 

 

พอทั้งสามคนนั่งลงแล้ว ทุกคนในท้องพระโรงต่างร้องเรียกด้วยเสียงที่ดังว่าขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี ถึงจะนั่งลงได้

 

 

ตัวแสดงหลักนั่งลงแล้ว การแสดงทั้งร้องเพลงและร่ายรำก็ค่อยๆ ทยอยเข้ามา ซึ่งงานเลี้ยงของราชสำนักได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่กลับไม่เห็นใบหน้าของลู่เจี้ยเลย

 

 

เจียงหลีนั่งอยู่ด้านข้างของพระชายาลู่และรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่คมเหมือนใบมีดพัดโชยมาจากร่างกายของนาง ลมหายใจเช่นนี้ แพร่ความรู้สึกไปสู่นาง ทำให้นางเห็นใจกับสถานการณ์ที่ลู่เจี้ยเผชิญอยู่อย่างมาก

 

 

นางมองไปที่ทางเข้าของตำหนักบุปผา ภายในท้องพระโรงคึกคักนัก แต่ด้านนอกกลับเย็นเยือก

 

 

ลู่เจี้ยถูกเชิญให้ไปรอที่ตำหนักข้างๆ ก่อน เพียงเพื่อรอเวลาที่เหมาะสมที่สุด จากนั้นค่อยเดินเข้ามาภายใต้สายตาทุกคู่ที่จับจ้อง เพื่อจะให้องค์หญิงน้อยชื่นชมอย่างนั้นหรือ อารมณ์โกรธอย่างไม่ทราบสาเหตุได้ปรากฎออกมาจากหัวใจของเจียงหลีและทะยานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนแสดงออกมาผ่านแววตาของนาง

 

 

ฮ่องเต้มิได้มีเจตนาพุ่งเป้าไปที่พระชายาลู่หรือตระกูลลู่แต่อย่างใด

 

 

แต่ทว่า การกระทำของเขาที่ทำต่อลู่เจี้ยซึ่งเป็นนายน้อยแห่งตระกูลลู่ ใยมิใช่การหยามเกียรติตระกูลลู่หรอกหรือ

 

 

เกมการเมืองระหว่างเขากับตระกูลลู่ จะใช้ลู่เจี้ยเป็นหมากเดิมพันเช่นนั้นหรือ

 

 

แววตาของเจียงหลีเย็นเยือกลง

 

 

ทันใดนั้น ภายในจิตใจของนางก็มีแรงปรารถนาที่จะพาลู่เจี้ยออกไปจากตรงนี้และให้ห่างจากการนินทาว่าร้าย เขาเกิดมาเพื่อเป็นเซียน มิได้ข้องเกี่ยวกับชีวิตความเป็นไปในทางโลก จึงไม่ควรถูกรบกวนจากกิเลสทางโลกีย์เหล่านี้

 

 

“หลีเอ๋อร์” ทันใดนั้นพระชายาลู่ก็เรียกเจียงหลีด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

 

เจียงหลีละสายตาและมองไปที่หญิงงามที่นั่งอยู่ข้างๆ

 

 

“เจ้านำป้ายอาญาสิทธิ์นี้ไปหาเจี้ยเอ๋อร์ แล้วพาเขาออกไปจากที่นี่ หากมีใครเข้ามาขวาง ให้บอกว่าเจี้ยเอ๋อร์ไม่สบาย ต้องกลับเรือนแล้ว” พระชายาลู่กระซิบพร้อมกับหยิบป้ายอาญาสิทธิ์ออกจากแขนเสื้อแล้วส่งมอบไปที่มือของเจียงหลี

 

 

เจียงหลีรับป้ายอาญาสิทธิ์ โดยมิได้ปฏิเสธ

 

 

เพียงแต่ก่อนที่นางจะออกไปหาลู่เจี้ยอย่างเงียบๆ มู่เจิ้งเฟิงก็โบกมือให้นางรำถอยออกไปและนักดนตรีก็หยุดเล่นดนตรีเช่นกัน

 

 

ณ ตำหนักบุปผา จู่ๆ ก็เงียบสงัดลง ซึ่งทำให้เจียงหลีหลบหนีออกได้ยากขึ้นยิ่งนัก

 

 

เจียงหลีและพระชายาลู่ขมวดคิ้วอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยคนหลังเผยให้เห็นถึงแววตาแห่งความกังวล

 

 

“ไปเชิญนายน้อยลู่เข้ามา” มู่เจิ้งเฟิงเอ่ย

 

 

คำพูดนี้ทำลายแผนของพระชายาลู่และขัดขวางการแยกตัวออกไปของเจียงหลี

 

 

เจียงหลีรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่มาจากพระชายาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ จึงหันกลับไปมองและเห็นว่านางกำลังกัดริมฝีปากล่างอย่างแผ่วเบา โดยใบหน้าเขียวคล้ำพร้อมกับกำลังอดทนอดกลั้นอยู่

 

 

ฮ่องเต้และราษฎร ฮ่องเต้และราษฎร สถานะแตกต่างกันเช่นนี้ ทำให้นางมิสามารถสละทุกสิ่งเพื่อปกป้องลูกของตนได้

 

 

เพราะนางไม่ได้เป็นเพียงมารดาของลู่เจี้ย แต่เป็นนายหญิงของตระกูลลู่ด้วย

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ข้าหลวงรับคำและรีบถอยออกจากตำหนักบุปผาทันที

 

 

พอได้ยินว่าในที่สุดลู่เจี้ยจะเข้ามาแล้ว คนเดิมทีที่ไม่ได้ตั้งใจดูการแสดงร้องเพลงและร่ายรำก็กลับเริ่มมีพลังขึ้นทันที สายตาจ้องมองไปที่ทางเข้าของตำหนักแห่งนี้โดยมิได้กะพริบตาเลยแม้แต่น้อย

 

 

ณ ตำหนักบุปผานิ่งเงียบไปชั่วขณะและทุกคนที่มาร่วมงานเลี้ยงของราชสำนักต่างมองไปที่ประตูทางเข้าอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย

 

 

นายน้อยรูปงามแห่งตระกูลลู่ มิใช่ว่าใครๆ ก็จะสามารถพบเจอได้ง่ายๆ

 

 

คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ มีจำนวนน้อยคนนักที่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของลู่เจี้ยมาก่อน คนส่วนใหญ่จึงเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นถึงใบหน้าที่งดงามที่สุดแห่งโฮ่วจิ้นกันทั้งนั้น

 

 

มิได้ปล่อยให้ผู้คนรอนานเลย ข้าหลวงหลังจากเดินจากไปก็กลับมาจากด้านนอกของตำหนักแล้ว ชุดราชสำนักทรงหลวมใหญ่สีม่วง ค่อยๆ เปล่งประกายฉายออกมาจากแสงยามค่ำคืน

 

 

ฉับบบ!

 

 

เสียงคนเดินพัดผ่านมา แววตาของเจียงหลีก็มองไปทางนอกประตูเช่นกัน

 

 

ขณะนี้ ทั้งในตำหนักบุปผา นอกจากพระชายาลู่แล้ว ทุกคนต่างถูกดึงดูดโดยเงาร่างยาวที่กำลังเดินเข้ามา

 

 

บุคคลรูปงามเดินเข้ามาอย่างพลิ้วไหวราวกับเป็นเทพบุตรและเหมือนกับซาตานภายใต้จันทรา ระหว่างที่เขาแกว่งมือและเดินอยู่นั้น ก็ได้เปล่งประกายความงดงามตระการตา ซึ่งทำให้ผู้คนไม่สามารถละสายตาไปได้เลย แต่ก็มิกล้าไม่เคารพนอบน้อม

 

 

ทันทีที่ใบหน้าหล่อเหลางดงามเช่นนั้นปรากฏขึ้น ไม่มีสายตาคู่ใดที่จะจ้องมองไปที่คนอื่นได้เลย ราวกับว่ายินยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกกับรอยยิ้มที่งดงามนั้น

 

 

ฉู่เฟยชิงซึ่งนั่งอยู่บนแท่นสูง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนมองเงาที่อยู่ภายในท้องพระโรงด้วยความหลงใหล ความป่าเถื่อนในดวงตาคู่นั้นได้เต็มไปด้วยความใคร่และอยากได้มาครอบครอง เป็นเพราะลู่เจี้ยจึงทำให้เกิดคลื่นอารมณ์กระทบเป็นระลอกเช่นนี้

 

 

แม้แต่ฉุนกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ข้างๆ นาง พอเห็นลู่เจี้ยแล้ว ก็ปรากฏสีแดงก่ำจางๆ บนแก้มทั้งสองข้างและแววตาก็เต็มไปด้วยท่าทางเขินอายของหญิงสาววัยแรกรุ่น

 

 

“มีบุคคลที่งดงามเช่นนี้อยู่บนโลกได้อย่างไร” ฉู่เฟยชิงพึมพำกับตัวเองด้วยความประหลาดใจ

 

 

และทุกคนในท้องพระโรงก็เห็นด้วยในใจเช่นกัน ใช่แล้ว จะมีบุคคลที่งดงามเช่นนี้อยู่บนโลกได้อย่างไร ความงดงามของลู่เจี้ยทำให้ผู้ชายอย่างเขา แม้จะไม่สามารถค้นเจอความงามตามแบบฉบับของผู้หญิงได้ แต่เขาก็ทำได้เพียงใช้คำว่างดงามมาอธิบายรูปลักษณ์ของเขาเท่านั้น

 

 

พอเห็นกับตาครานี้แล้ว คนส่วนใหญ่ก็ถึงบางอ้อว่าเหตุใดความงดงามของลู่เจี้ยจึงมีชื่อเสียงเทียบเท่ากับเขาฝูถูซานที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ของเมืองซั่งตูได้

 

 

เมื่อจิตวิญญาณของมนุษย์ถึงขีดสุดแล้ว จะไม่ลงมาเกิดยังโลกมนุษย์แล้ว

 

 

แน่นอนว่าทุกคนต่างหลงใหลในความงดงามของลู่เจี้ยไปเสียหมด แต่แรงโกรธเคืองในใจของพระชายาลู่กลับแผดเผามากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

แววตาของเจียงหลีสว่างและชัดเจน นางมองไปที่ลู่เจี้ย แต่อารมณ์กลับสับสนยิ่งนัก

 

 

คนเย่อหยิ่งเช่นนั้น บัดนี้เปรียบเสมือนสมบัติที่หายาก เพื่อให้คนเชยชม วิธีการของโห่วจิ้นฮ่องเต้ ช่างเฉือดคนโดยไม่เห็นเลือดเนื้ออย่างแท้จริง

 

 

“เสด็จอาเขย ท่านมอบเขาให้ข้านำกลับไปรัฐฉู่ได้หรือไม่เพคะ” คำพูดของฉู่เฟยชิงที่เปล่งออกมานั้น ทำให้ทุกคนถึงกับตื่นทันที

 

 

อะไรนะ อะไรนะ

 

 

องค์หญิงแห่งรัฐฉู่พูดว่าอะไรกัน

 

 

มอบนายน้อยแห่งตระกูลลู่ให้แก่นางและนำกลับไปรัฐฉู่หรือ

 

 

เห็นว่านายน้อยแห่งตระกูลลู่เป็นสมบัติแปลกจริงๆ อย่างนั้นหรือ

 

 

พอได้ยินเพียงเท่านี้ โดยมู่เจิ้งเฟิงยังไม่ทันเปล่งวาจาออกมา ใบหน้าอันผอมเรียวของเจียงหลีก็เย็นเยือกแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด