ราชินีพลิกสวรรค์ 266 บรรลุและชำระไขกระดูกจนโฉมหน้าจริงปรากฏ

Now you are reading ราชินีพลิกสวรรค์ Chapter 266 บรรลุและชำระไขกระดูกจนโฉมหน้าจริงปรากฏ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

สามชีวิต!

 

 

เจียงหลีตกใจมาก

 

 

มิน่าล่ะสถาบันไป๋หยวนแห่งซีเฉียนถึงเก็บซ่อนวิญญาณยุทธ์ของนกอมตะเอาไว้! มิน่าล่ะเฉียนจวิ้นถึงพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้มาครอบครอง! มิน่าล่ะ… ลู่เจี้ยถึงชักนำนางมาที่นี่

 

 

เมื่อนึกถึงลู่เจี้ย เจียงหลีก็รู้สึกไม่สบายใจอีกครั้ง

 

 

“และยังมีประโยชน์อีกมากมาย รอเจ้าประสานสำเร็จแล้ว เจ้าก็จะได้สัมผัสมันเอง” ผู้จัดเอ่ย

 

 

เจียงหลีเม้มริมฝีปาก ดวงตาเริ่มร้อนระอุขึ้น

 

 

“พูดกันตามตรง ไม่นึกเลยว่าเจ้าต้องการฝึกฝนทั้งสามทิศทางไปพร้อมๆ กัน เพราะมันเสี่ยงมาก อันที่จริงข้าเองไม่อยากให้วิญญาณยุทธ์อันล้ำค่าเช่นนี้สูญเปล่าไปกับเจ้า แต่ทว่านี่เป็นการตัดสินใจของเจ้าสำนัก และข้าก็ตกลงกับเฟิงสิงอวิ๋นไว้แล้วด้วย ดังนั้น ข้าจึงทำได้เพียงกัดฟันและนำมันออกมา” ดวงตาของผู้จัดปรากฏความอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย

 

 

เจียงหลีกล่าวว่า “ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านอาจารย์ แต่ข้าสัญญากับท่านได้ว่า หากข้าประสานนกอมตะได้แล้ว ข้าจะไม่ทำให้มันต้องแปดเปื้อน”

 

 

ผู้จัดกระตุกมุมปากขึ้นและยิ้มอย่างไม่เต็มใจ

 

 

คำพูดรับประกันของเจียงหลีนั้น ไม่รู้ว่าเข้าหูเขาหรือไม่

 

 

ท้ายที่สุดแล้ว เขามองไปที่ลูกเก็บวิญญาณยุทธ์ในมือของเขาด้วยความอาลัย “ภารกิจของข้าที่นี่คือปกป้องมันและรอเจ้าของของมัน ในเมื่อวันนี้จะประสานรวมกับเจ้าแล้ว ก็ถึงเวลาแล้วที่ข้าต้องจากไปแล้วเช่นกัน”

 

 

ทันใดนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เจียงหลี “เจียงหลี ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ซีฮวง บางที เราอาจจะได้พบกันอีก”

 

 

เจียงหลีกะพริบตาและเริ่มสงสัยในตัวตนของผู้จัด

 

 

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าคนเขาไม่ต้องการพูดให้กระจ่าง นางจึงเขินอายที่จะถามต่อ

 

 

ผู้จัดชูเนตรญาณขึ้นแล้วโยนเข้าไปในประตู

 

 

เจียงหลียื่นมือออกไปด้วยความตกตะลึงและทำท่าตั้งรับ ลูกเก็บวิญญาณยุทธ์ได้ทะลุผ่านตาข่ายป้องกันที่ลู่เจี้ยสร้างไว้อย่างง่ายดาย และตกลงบนมือของเจียงหลีอย่างแม่นยำ

 

 

ตาข่ายที่ลู่เจี้ยสร้างไว้ วัตถุสามารถเข้าและออกได้ตามต้องการ แต่กับคนไม่สามารถทำได้ โดยเฉพาะ เจียงหลีเอง ดังนั้น นางจึงมาเก็บตัวที่นี่ และไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องการเป็นอยู่ และเรื่องทรัพยากรในการฝึกฝนยิ่งไม่ต้องพูดถึง

 

 

เมื่อมองไปที่ลูกเก็บวิญญาณยุทธ์อันหนักหน่วงในมือ หัวใจของเจียงหลีก็เริ่มเต้นแรง

 

 

“เจียงหลีเริ่มได้เลย ข้าจะช่วยเฝ้าระวังยู่ด้านนอก เจ้าต้องทำสมาธิและประสานวิญญาณยุทธ์นกอมตะเข้าด้วยกัน” เฟิงสิงอวิ๋นกล่าว

 

 

เจียงหลีค่อยๆ ละสายตาจากผู้จัดและหันไปมองเฟิงสิงอวิ๋นแล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง

 

 

เฟิงสิงอวิ๋นหันไปหาเจียงเฮ่าและลู่เสวียนแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าแต่ละคนกลับไปฝึกฝนกันก่อน ตอนนี้นางกำลังจะประสานวิญญาณยุทธ์ พวกเจ้าทั้งสองก็ช่วยอะไรไม่ได้

 

 

“ท่านอาจารย์เฟิง ข้าไม่สบายใจและอยากอยู่ต่อ” เจียงเฮ่ากล่าว

 

 

ลู่เสวียนก็ไม่อยากกลับเช่นกัน

 

 

เมื่อเห็นท่าทีของพวกเขาทั้งสอง เฟิงสิงอวิ๋นก็หยุดที่จะเกลี้ยกล่อมและทำเพียงพยักหน้า “พวกเจ้าไม่กลับก็ได้ แต่ต้องถอยไปที่ประตูหน้าลานบ้าน ห้ามเข้ามาใกล้ เพราะจะส่งผลต่อการประสานของยาโถ่ว

 

 

“ขอรับ!”

 

 

“ขอรับ!”

 

 

เจียงเฮ่าและลู่เสวียนถอยหลังออกไปทีละคน ราวกับเทพพิทักษ์ประตูที่เฝ้าหน้าบ้านของเจียงหลีก็ไม่ปาน

 

 

เจียงหลีถือลูกเก็บวิญญาณยุทธ์และเดินเข้าไปในห้อง

 

 

ห้องนี้ถูกปกคลุมไปด้วยพลังจิตของลู่เจี้ย โดยนางไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครบุกเข้ามาได้ และตอนนี้ยังมีเฟิงสิงอวิ๋นคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกอีกด้วย นางจึงรู้สึกสบายใจมากขึ้น

 

 

“นกอมตะหรือ หากข้าประสานรวมกับเจ้าได้ จะมีพลังที่จะฟื้นคืนชีพได้หรือไม่ จะสามารถช่วยลู่เจี้ยให้พ้นจากความตายได้หรือไม่” เจียงหลีบ่นพึมพำอย่างขมขื่น

 

 

ความคิดนี้นางรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเป็นไปไม่ได้

 

 

มู่ชิงเกอพูดอย่างชัดเจนแล้วว่าลู่เจี้ยตอนนี้มีชีวิตอยู่เหมือนร่างแยกของผู้มีพลังอันแรงกล้าเท่านั้น และความตายของเขาคือการเรียกร้องของร่างกาย

 

 

เว้นเสียแต่ผู้มีพลังอันแรงกล้าเท่านั้นที่จะทำให้เขาเป็นเหมือนคนทั่วไปได้

 

 

สิ่งที่เขาขาดคือวิญญาณหลัก!

 

 

นิ้วของเจียงหลีค่อยๆ ออกแรงและกำลูกเก็บวิญญาณยุทธ์ไว้แน่นจนรู้สึกไม่นิ่งบ้างเล็กน้อย

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน นางได้ถอนหายใจและวางลูกเก็บวิญญาณยุทธ์ไว้ตรงหน้า แล้วหลับตาและทำสมาธิปรับอารมณ์ โดยข้างๆ นางเต็มไปด้วยหินวิญญาณเพื่อจะได้หยิบใช้ขณะที่ประสานวิญญาณยุทธ์เข้าด้วยกัน

 

 

การประสานวิญญาณยุทธ์ต้องอาศัยสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและต้องใช้พลังวิญญาณจำนวนมาก

 

 

ครั้งที่แล้วนางลองเสี่ยงโดยประสานกับเสวียนกังกุย เพราะไม่มีทางเลือก และยังดีที่โชคดี ครั้งนี้แม้ว่านางจะมีประสบการณ์ในการประสานถึงสองครั้งแล้ว แต่นางก็มิกล้าประมาท

 

 

หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งวัน เจียงหลีถึงลืมตา โดยหินวิญญาณที่อยู่ตรงหน้าก็ถูกใช้ไปส่วนหนึ่งแล้ว

 

 

พลังวิญญาณค่อยๆ แผ่กระจายออกจากร่างกายนาง และโอบล้อมลูกเก็บวิญญาณยุทธ์ที่อยู่ตรงหน้า

 

 

เจียงหลีหลับตาลงอย่างช้าๆ อีกครั้ง เพื่อสัมผัสวิญญาณยุทธ์ที่อยู่ในลูกเก็บวิญญาณยุทธ์และสื่อสารกับมัน

 

 

เจ้าคือใคร

 

 

มีเสียงผู้หญิงที่หยิ่งผยองดังขึ้นจากทะเลเพลิง

 

 

ข้าคือนายของเจ้า เจียงหลีตอบในใจ

 

 

นายรึ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความประชดประชัน

 

 

บูมมม!

 

 

เจียงหลีลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน แต่กลับพบว่าตนติดอยู่ในทะเลเพลิง ท่ามกลางเปลวไฟที่ปกคลุมอยู่นั้น นางมองเห็นนกที่สวยงาม

 

 

มันมีขนที่งดงามตระการตา หัวหงส์ หางนกยูง กรงเล็บนกอินทรี และกางปีกกว้างสง่างามราวกับก้อนเมฆที่ลุกเป็นไฟ

 

 

ดวงตาของมันประดุจน้ำแข็งที่ถูกล้อมรอบด้วยเพลิงไฟสีแดงงดงามราวกับไพลิน

 

 

นกอมตะ เจียงหลีเรียกชื่อของมันออกมาและเห็นความหยิ่งผยองในสายตาของมันอย่างชัดเจน

 

 

ลมปราณขั้นสูงสุด! นกอมตะกล่าวด้วยความตกตะลึง มันสัมผัสได้ถึงลมปราณที่ผู้เป็นใหญ่ยิ่งพึงมีอยู่ในตัวหญิงสาวผู้นั้นอย่างไม่คาดคิด

 

 

มีเพียงคนสองประเภทเท่านั้นที่สามารถมีลมปราณเช่นนี้ได้

 

 

ประเภทแรกคือการกลับชาติมาเกิดด้วยพลังอันยิ่งใหญ่และมีโชคชะตาของผู้เป็นใหญ่ยิ่ง

 

 

ประเภทที่สองคือผู้เป็นใหญ่ยิ่งโดยกำเนิด มีมหาโชคดีและเป็นบุคคลแห่งผู้สร้าง

 

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นประเภทไหน ก็มิควรประมาท!

 

 

แววตาของนกอมตะเปลี่ยนไป

 

 

เจียงหลีไม่เข้าใจคำพูดที่ว่า ลมปราณขั้นสูงสุด นั้นหมายถึงอะไร นางลองก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและพูดกับมันว่า “ประสานเข้ากับข้า และมาเป็นวิญญาณยุทธ์ตัวที่สามของข้า”

 

 

ดวงตาของนกอมตะกลับคืนสู่ความสงบและถามว่า “วิญญาณยุทธ์ก่อนหน้านี้สองตัวคือตัวไหนบ้าง”

 

 

เจียงหลีไม่ตอบ ขณะที่ด้านหลังของนางปรากฏร่างของเลี่ยเทียนซื่อกับเสวียนกังกุยขึ้น ส่วนในโลกแห่งความเป็นจริง ร่างกายของเจียงหลีได้ปรากฏประกายแสงสีทองขนาดใหญ่ เนตรญาณทั้งหลายปรากฏ

 

 

ขึ้นรอบๆ ตัวนางจนท้ายที่สุดก็เหลือเพียงเนตรญาณที่สามเท่านั้น

 

 

“เลี่ยเทียนซื่อกับเสวียนกังกุยหรือ ตัวหนึ่งเป็นประเภททักษะโจมตีและอีกตัวเป็นประเภททักษะป้องกัน และตอนนี้เจ้าต้องการประสานรวมกับประเภทช่วยเหลืออย่างข้ารึ” เสียงของนกอมตะเต็มไปด้วยความหยอกเย้า

 

 

เจียงหลีมองไปที่มันอย่างแน่วแน่และไม่ได้อธิบายอะไร เพราะคำทำนายในเชิงอธิบายใดๆ ล้วนอ่อนแอและไร้น้ำหนัก มีเพียงการกระทำเท่านั้นที่จะพิสูจน์ได้ว่านางกล้าคิด กล้าทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้!

 

 

ลู่เจี้ยชี้ทางนี้ให้กับนางและนางเชื่อว่าไม่ใช่ทางตันแน่นอน!

 

 

“หากไม่ยินยอมและนอนหลับต่อไป ข้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องรออีกกี่ปี แต่ถ้าหากติดตามข้า ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องแปดเปื้อนเป็นอันขาด” ระหว่างที่เจียงหลีพูดขึ้น เนตรญาณทีละดวงก็ได้ปรากฏตัวขึ้นบนร่างกายของนาง

 

 

“เนตรญาณเก้าดวงในตำนาน!” นกอมตะตกใจ ทันใดนั้น มันก็นึกขึ้นได้และพึมพำกับตัวเองว่า “มิน่าล่ะเลี่ยเทียนซื่อกับเสวียนกังกุยถึงได้ยอมจำนน”

 

 

มันเงียบไปชั่วครู่ และทันใดนั้นก็กระพือปีกไปทางเจียงหลี “เอาล่ะ! เห็นแก่เนตรญาณเก้าดวงก็แล้วกัน”

 

 

ฟิ้ววว!

 

 

อ้ากกก! นกอมตะพุ่งตัวเข้าไปในร่างของเจียงหลีอย่างไม่ทันตั้งตัว และกองไฟขนาดใหญ่ได้โอบอุ้มนางไว้ ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะร้องออกมา ร่างกายของนางเหมือนถูกแผดเผาและใบหน้าอันอ่อนเยาว์ก็ถูกทำลายไปกับกองไฟขนาดใหญ่นั้น…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ราชินีพลิกสวรรค์ 266 บรรลุและชำระไขกระดูกจนโฉมหน้าจริงปรากฏ

Now you are reading ราชินีพลิกสวรรค์ Chapter 266 บรรลุและชำระไขกระดูกจนโฉมหน้าจริงปรากฏ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

สามชีวิต!

 

 

เจียงหลีตกใจมาก

 

 

มิน่าล่ะสถาบันไป๋หยวนแห่งซีเฉียนถึงเก็บซ่อนวิญญาณยุทธ์ของนกอมตะเอาไว้! มิน่าล่ะเฉียนจวิ้นถึงพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้มาครอบครอง! มิน่าล่ะ… ลู่เจี้ยถึงชักนำนางมาที่นี่

 

 

เมื่อนึกถึงลู่เจี้ย เจียงหลีก็รู้สึกไม่สบายใจอีกครั้ง

 

 

“และยังมีประโยชน์อีกมากมาย รอเจ้าประสานสำเร็จแล้ว เจ้าก็จะได้สัมผัสมันเอง” ผู้จัดเอ่ย

 

 

เจียงหลีเม้มริมฝีปาก ดวงตาเริ่มร้อนระอุขึ้น

 

 

“พูดกันตามตรง ไม่นึกเลยว่าเจ้าต้องการฝึกฝนทั้งสามทิศทางไปพร้อมๆ กัน เพราะมันเสี่ยงมาก อันที่จริงข้าเองไม่อยากให้วิญญาณยุทธ์อันล้ำค่าเช่นนี้สูญเปล่าไปกับเจ้า แต่ทว่านี่เป็นการตัดสินใจของเจ้าสำนัก และข้าก็ตกลงกับเฟิงสิงอวิ๋นไว้แล้วด้วย ดังนั้น ข้าจึงทำได้เพียงกัดฟันและนำมันออกมา” ดวงตาของผู้จัดปรากฏความอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย

 

 

เจียงหลีกล่าวว่า “ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านอาจารย์ แต่ข้าสัญญากับท่านได้ว่า หากข้าประสานนกอมตะได้แล้ว ข้าจะไม่ทำให้มันต้องแปดเปื้อน”

 

 

ผู้จัดกระตุกมุมปากขึ้นและยิ้มอย่างไม่เต็มใจ

 

 

คำพูดรับประกันของเจียงหลีนั้น ไม่รู้ว่าเข้าหูเขาหรือไม่

 

 

ท้ายที่สุดแล้ว เขามองไปที่ลูกเก็บวิญญาณยุทธ์ในมือของเขาด้วยความอาลัย “ภารกิจของข้าที่นี่คือปกป้องมันและรอเจ้าของของมัน ในเมื่อวันนี้จะประสานรวมกับเจ้าแล้ว ก็ถึงเวลาแล้วที่ข้าต้องจากไปแล้วเช่นกัน”

 

 

ทันใดนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เจียงหลี “เจียงหลี ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ซีฮวง บางที เราอาจจะได้พบกันอีก”

 

 

เจียงหลีกะพริบตาและเริ่มสงสัยในตัวตนของผู้จัด

 

 

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าคนเขาไม่ต้องการพูดให้กระจ่าง นางจึงเขินอายที่จะถามต่อ

 

 

ผู้จัดชูเนตรญาณขึ้นแล้วโยนเข้าไปในประตู

 

 

เจียงหลียื่นมือออกไปด้วยความตกตะลึงและทำท่าตั้งรับ ลูกเก็บวิญญาณยุทธ์ได้ทะลุผ่านตาข่ายป้องกันที่ลู่เจี้ยสร้างไว้อย่างง่ายดาย และตกลงบนมือของเจียงหลีอย่างแม่นยำ

 

 

ตาข่ายที่ลู่เจี้ยสร้างไว้ วัตถุสามารถเข้าและออกได้ตามต้องการ แต่กับคนไม่สามารถทำได้ โดยเฉพาะ เจียงหลีเอง ดังนั้น นางจึงมาเก็บตัวที่นี่ และไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องการเป็นอยู่ และเรื่องทรัพยากรในการฝึกฝนยิ่งไม่ต้องพูดถึง

 

 

เมื่อมองไปที่ลูกเก็บวิญญาณยุทธ์อันหนักหน่วงในมือ หัวใจของเจียงหลีก็เริ่มเต้นแรง

 

 

“เจียงหลีเริ่มได้เลย ข้าจะช่วยเฝ้าระวังยู่ด้านนอก เจ้าต้องทำสมาธิและประสานวิญญาณยุทธ์นกอมตะเข้าด้วยกัน” เฟิงสิงอวิ๋นกล่าว

 

 

เจียงหลีค่อยๆ ละสายตาจากผู้จัดและหันไปมองเฟิงสิงอวิ๋นแล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง

 

 

เฟิงสิงอวิ๋นหันไปหาเจียงเฮ่าและลู่เสวียนแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าแต่ละคนกลับไปฝึกฝนกันก่อน ตอนนี้นางกำลังจะประสานวิญญาณยุทธ์ พวกเจ้าทั้งสองก็ช่วยอะไรไม่ได้

 

 

“ท่านอาจารย์เฟิง ข้าไม่สบายใจและอยากอยู่ต่อ” เจียงเฮ่ากล่าว

 

 

ลู่เสวียนก็ไม่อยากกลับเช่นกัน

 

 

เมื่อเห็นท่าทีของพวกเขาทั้งสอง เฟิงสิงอวิ๋นก็หยุดที่จะเกลี้ยกล่อมและทำเพียงพยักหน้า “พวกเจ้าไม่กลับก็ได้ แต่ต้องถอยไปที่ประตูหน้าลานบ้าน ห้ามเข้ามาใกล้ เพราะจะส่งผลต่อการประสานของยาโถ่ว

 

 

“ขอรับ!”

 

 

“ขอรับ!”

 

 

เจียงเฮ่าและลู่เสวียนถอยหลังออกไปทีละคน ราวกับเทพพิทักษ์ประตูที่เฝ้าหน้าบ้านของเจียงหลีก็ไม่ปาน

 

 

เจียงหลีถือลูกเก็บวิญญาณยุทธ์และเดินเข้าไปในห้อง

 

 

ห้องนี้ถูกปกคลุมไปด้วยพลังจิตของลู่เจี้ย โดยนางไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครบุกเข้ามาได้ และตอนนี้ยังมีเฟิงสิงอวิ๋นคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกอีกด้วย นางจึงรู้สึกสบายใจมากขึ้น

 

 

“นกอมตะหรือ หากข้าประสานรวมกับเจ้าได้ จะมีพลังที่จะฟื้นคืนชีพได้หรือไม่ จะสามารถช่วยลู่เจี้ยให้พ้นจากความตายได้หรือไม่” เจียงหลีบ่นพึมพำอย่างขมขื่น

 

 

ความคิดนี้นางรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเป็นไปไม่ได้

 

 

มู่ชิงเกอพูดอย่างชัดเจนแล้วว่าลู่เจี้ยตอนนี้มีชีวิตอยู่เหมือนร่างแยกของผู้มีพลังอันแรงกล้าเท่านั้น และความตายของเขาคือการเรียกร้องของร่างกาย

 

 

เว้นเสียแต่ผู้มีพลังอันแรงกล้าเท่านั้นที่จะทำให้เขาเป็นเหมือนคนทั่วไปได้

 

 

สิ่งที่เขาขาดคือวิญญาณหลัก!

 

 

นิ้วของเจียงหลีค่อยๆ ออกแรงและกำลูกเก็บวิญญาณยุทธ์ไว้แน่นจนรู้สึกไม่นิ่งบ้างเล็กน้อย

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน นางได้ถอนหายใจและวางลูกเก็บวิญญาณยุทธ์ไว้ตรงหน้า แล้วหลับตาและทำสมาธิปรับอารมณ์ โดยข้างๆ นางเต็มไปด้วยหินวิญญาณเพื่อจะได้หยิบใช้ขณะที่ประสานวิญญาณยุทธ์เข้าด้วยกัน

 

 

การประสานวิญญาณยุทธ์ต้องอาศัยสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและต้องใช้พลังวิญญาณจำนวนมาก

 

 

ครั้งที่แล้วนางลองเสี่ยงโดยประสานกับเสวียนกังกุย เพราะไม่มีทางเลือก และยังดีที่โชคดี ครั้งนี้แม้ว่านางจะมีประสบการณ์ในการประสานถึงสองครั้งแล้ว แต่นางก็มิกล้าประมาท

 

 

หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งวัน เจียงหลีถึงลืมตา โดยหินวิญญาณที่อยู่ตรงหน้าก็ถูกใช้ไปส่วนหนึ่งแล้ว

 

 

พลังวิญญาณค่อยๆ แผ่กระจายออกจากร่างกายนาง และโอบล้อมลูกเก็บวิญญาณยุทธ์ที่อยู่ตรงหน้า

 

 

เจียงหลีหลับตาลงอย่างช้าๆ อีกครั้ง เพื่อสัมผัสวิญญาณยุทธ์ที่อยู่ในลูกเก็บวิญญาณยุทธ์และสื่อสารกับมัน

 

 

เจ้าคือใคร

 

 

มีเสียงผู้หญิงที่หยิ่งผยองดังขึ้นจากทะเลเพลิง

 

 

ข้าคือนายของเจ้า เจียงหลีตอบในใจ

 

 

นายรึ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความประชดประชัน

 

 

บูมมม!

 

 

เจียงหลีลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน แต่กลับพบว่าตนติดอยู่ในทะเลเพลิง ท่ามกลางเปลวไฟที่ปกคลุมอยู่นั้น นางมองเห็นนกที่สวยงาม

 

 

มันมีขนที่งดงามตระการตา หัวหงส์ หางนกยูง กรงเล็บนกอินทรี และกางปีกกว้างสง่างามราวกับก้อนเมฆที่ลุกเป็นไฟ

 

 

ดวงตาของมันประดุจน้ำแข็งที่ถูกล้อมรอบด้วยเพลิงไฟสีแดงงดงามราวกับไพลิน

 

 

นกอมตะ เจียงหลีเรียกชื่อของมันออกมาและเห็นความหยิ่งผยองในสายตาของมันอย่างชัดเจน

 

 

ลมปราณขั้นสูงสุด! นกอมตะกล่าวด้วยความตกตะลึง มันสัมผัสได้ถึงลมปราณที่ผู้เป็นใหญ่ยิ่งพึงมีอยู่ในตัวหญิงสาวผู้นั้นอย่างไม่คาดคิด

 

 

มีเพียงคนสองประเภทเท่านั้นที่สามารถมีลมปราณเช่นนี้ได้

 

 

ประเภทแรกคือการกลับชาติมาเกิดด้วยพลังอันยิ่งใหญ่และมีโชคชะตาของผู้เป็นใหญ่ยิ่ง

 

 

ประเภทที่สองคือผู้เป็นใหญ่ยิ่งโดยกำเนิด มีมหาโชคดีและเป็นบุคคลแห่งผู้สร้าง

 

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นประเภทไหน ก็มิควรประมาท!

 

 

แววตาของนกอมตะเปลี่ยนไป

 

 

เจียงหลีไม่เข้าใจคำพูดที่ว่า ลมปราณขั้นสูงสุด นั้นหมายถึงอะไร นางลองก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและพูดกับมันว่า “ประสานเข้ากับข้า และมาเป็นวิญญาณยุทธ์ตัวที่สามของข้า”

 

 

ดวงตาของนกอมตะกลับคืนสู่ความสงบและถามว่า “วิญญาณยุทธ์ก่อนหน้านี้สองตัวคือตัวไหนบ้าง”

 

 

เจียงหลีไม่ตอบ ขณะที่ด้านหลังของนางปรากฏร่างของเลี่ยเทียนซื่อกับเสวียนกังกุยขึ้น ส่วนในโลกแห่งความเป็นจริง ร่างกายของเจียงหลีได้ปรากฏประกายแสงสีทองขนาดใหญ่ เนตรญาณทั้งหลายปรากฏ

 

 

ขึ้นรอบๆ ตัวนางจนท้ายที่สุดก็เหลือเพียงเนตรญาณที่สามเท่านั้น

 

 

“เลี่ยเทียนซื่อกับเสวียนกังกุยหรือ ตัวหนึ่งเป็นประเภททักษะโจมตีและอีกตัวเป็นประเภททักษะป้องกัน และตอนนี้เจ้าต้องการประสานรวมกับประเภทช่วยเหลืออย่างข้ารึ” เสียงของนกอมตะเต็มไปด้วยความหยอกเย้า

 

 

เจียงหลีมองไปที่มันอย่างแน่วแน่และไม่ได้อธิบายอะไร เพราะคำทำนายในเชิงอธิบายใดๆ ล้วนอ่อนแอและไร้น้ำหนัก มีเพียงการกระทำเท่านั้นที่จะพิสูจน์ได้ว่านางกล้าคิด กล้าทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้!

 

 

ลู่เจี้ยชี้ทางนี้ให้กับนางและนางเชื่อว่าไม่ใช่ทางตันแน่นอน!

 

 

“หากไม่ยินยอมและนอนหลับต่อไป ข้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องรออีกกี่ปี แต่ถ้าหากติดตามข้า ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องแปดเปื้อนเป็นอันขาด” ระหว่างที่เจียงหลีพูดขึ้น เนตรญาณทีละดวงก็ได้ปรากฏตัวขึ้นบนร่างกายของนาง

 

 

“เนตรญาณเก้าดวงในตำนาน!” นกอมตะตกใจ ทันใดนั้น มันก็นึกขึ้นได้และพึมพำกับตัวเองว่า “มิน่าล่ะเลี่ยเทียนซื่อกับเสวียนกังกุยถึงได้ยอมจำนน”

 

 

มันเงียบไปชั่วครู่ และทันใดนั้นก็กระพือปีกไปทางเจียงหลี “เอาล่ะ! เห็นแก่เนตรญาณเก้าดวงก็แล้วกัน”

 

 

ฟิ้ววว!

 

 

อ้ากกก! นกอมตะพุ่งตัวเข้าไปในร่างของเจียงหลีอย่างไม่ทันตั้งตัว และกองไฟขนาดใหญ่ได้โอบอุ้มนางไว้ ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะร้องออกมา ร่างกายของนางเหมือนถูกแผดเผาและใบหน้าอันอ่อนเยาว์ก็ถูกทำลายไปกับกองไฟขนาดใหญ่นั้น…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+