ราชินีพลิกสวรรค์ 350 อ้าว ไหนล่ะความตื่นตาตื่นใจ

Now you are reading ราชินีพลิกสวรรค์ Chapter 350 อ้าว ไหนล่ะความตื่นตาตื่นใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“กลองหินอะไร” เจียงหลีขมวดคิ้วถาม

“เจ้าไม่รู้ก็ไม่ควรรู้ หากรู้แล้วเกรงว่าเจ้าจะเป็นอย่างข้า มองข้ามทุกสิ่งข้างกายเพียงเพื่อแสวงหาสิ่งลวงตา” โครงกระดูกหลิงจงเอ่ยตอบ

“…” เจียงหลีอยากจะกระอักเลือด

มีการบอกเล่าครึ่งๆ กลางๆ เยี่ยงนี้ด้วยหรือ

นางหันสายตากลับมาแต่ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เพียงแต่เอ่ยถาม “เจ้าเสียแรงชักจูงข้ามาถึงที่นี่ คงไม่ใช่เพราะเหงาเลยหาเพื่อนสนทนาเล่าเรื่องหรอกกระมัง”

“แน่นอนว่าข้ามีเรื่องขอร้องเจ้า” โครงกระดูกเองก็มิปิดบังต่อไป

“ไหนเจ้าว่ามาซิ” เจียงหลีกลับมาขี้เกียจเอนกายพิงไม้ไผ่ ยกมือขึ้นกอดอกแล้วมองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

“ค่ายกลที่เนี่ยนซือสร้างเอาไว้นั้นทำลายยากมาก หากไม่ใช่หลิงซือที่มีอาณาเขตระดับปรมาจารย์แล้วก็ต้องเป็นเนี่ยนซือที่มีความสามรถเก่งกาจมิแพ้กัน”

เจียงหลีหรี่ตาแต่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

ตอนนั้นที่ทางหลุดพ้นออกมาจากค่ายกลของลู่เจี้ยเพราะได้รับความช่วยเหลือจากเฟิงสิงอวิ๋น ตามที่

หลิงจงผู้นี้ได้กล่าวมา ขั้นบำเพ็ญของเฟิงสิงอวิ๋นเหนือกว่าหลิงจงใช่หรือไม่ ไม่ เป็นไปไม่ได้ แม้กระทั่งหนานอู๋เฮิ่นยังไม่บรรลุหลิงจงเลยแล้วเฟิงสิงอวิ๋นจะเป็นไปได้เยี่ยงไร มีทางเดียวคือเขาอาจจะฝึกพลังจิตไปพร้อมกันด้วย และคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับลู่เจี้ยอีกด้วย

“เจ้าฝึกเป็นเนี่ยนซือ แม้อาณาเขตยังไม่พอแต่ยังมีพลังช่วยเหลือมากกว่าข้าซึ่งน่าจะสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้ เมื่อทำลายค่ายกลได้แล้วขอความกรุณาแม่นางฝังกระดูกของข้าไว้ข้างภรรยาข้าด้วยเถิด พอทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วข้าจะไม่รวบรัดเอาเปรียบแม่นางอีก”

“อ้อ แล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง” เจียงหลีถามหยอกเล่น

“หากข้าดูไม่ผิดล่ะก็ ขั้นบำเพ็ญเนี่ยนซือของแม่นางคงไม่พ้นระดับเนี่ยนเจี้ยงขั้นต่ำหรอกกระมัง”

เจียงหลีไม่ตอบ แต่สีหน้าของนางก็อธิบายทุกอย่างหมดแล้ว

“ขอเพียงแม่นางยอมช่วยข้า ข้าจะถ่ายทอดพลังจิตที่ภรรยาข้าทิ้งไว้ให้กับเจ้า หลังจากดูดซับพลังแล้วขั้นบำเพ็ญเนี่ยนซือของเจ้าก็จะยกระดับสูงยิ่งขึ้น แม้แต่กระทั่งอาจสามารถบรรลุถึงขั้นเนี่ยนไซว่ก็เป็นได้ ส่วนข้ามีเวทย์อาคมมอบให้เพื่อเป็นสิ่งตอบแทน นอกจากนี้ยังมีน้ำศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งซึ่งข้าได้มาจากการสำรวจหลังจากรับมันไปแล้วมันเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อและจากร่างธรรมดาให้กลายเป็นกล้ามเนื้อน้ำแข็งและกระดูกหยกได้ มันมีพลังป้องกันตัวเองและยังสามารถชำระไขกระดูกและฝึกพรสวรรค์ได้อีกด้วย”

“สิ่งล้ำค่าถึงเพียงนี้ เจ้าทำใจยกให้ข้าได้หรือ” เมื่อเจียงหลีได้ฟังข้อเสนอก็ใจเต้นระส่ำ

ไม่พูดไม่ได้เลยว่าของขวัญสามชิ้นที่หลินจงผู้นี้ได้กล่าวมาล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาทั้งสิ้น

“พูดตามจริง มีเพียงแต่สตรีที่สามารถใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์ เดิมทีข้าคิดไว้ว่าจะเอาให้ภรรยา แต่…”

เจียงหลีเข้าใจถ่องแท้ ของล้ำค่าชิ้นนี้ยังไม่ทันถึงมือ ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาดันร้าวฉาน สุดท้ายจึงไม่ได้มอบของล้ำค่าชิ้นนี้ให้

“เก็บไว้ก็เสียดายนัก ในเมื่อสหายน้อยมีบุญคุณต่อพวกข้าสองสามีภรรยา มอบมันให้เจ้าก็สมควรแล้ว”

“เหตุใดถึงเลือกข้า แค่เพราะข้าเป็นเนี่ยนซือหรือ” เจียงหลีถามอีกครั้ง

“สุสานโบราณ เดิมทีเป็นสถานที่ๆ พวกข้าสองคนต้องการหวนคืนสู่ปรโลก ก่อนตายพวกข้าสัญญาไว้ว่าจะฝังร่างไปพร้อมกัน สุสานลวงข้างนอกเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น ส่วนที่แห่งนี้เป็นที่ๆ ภรรยาของข้าใช้พลังจิตสร้างเอาไว้แล้วมันคือสวรรค์ของพวกเรา แต่ว่าข้า เฮ้อ! การขุดพบสุสานโบราณในดินแดนหนานฮวงนั้น ทั้งยังดึงดูดผู้คนให้เข้ามา อย่างน้อยคนเหล่านั้นก็เป็นถึงเนี่ยนซือ และการปรากฏตัวของเจ้ามันจุดประกายความหวังในใจข้าจริงๆ”

เจียงหลีนิ่งเงียบไม่พูดจา ยังคงพิงอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ

โครงกระดูกเอ่ยต่อ “หากเจ้ายอมช่วยข้า นอกจากสามสิ่งที่ให้สัญญาเจ้าแล้ว ข้าจะบอกเรื่องที่ทำให้เจ้าตื่นตาตื่นใจ หากเจ้าสามารถรับมันเอาไว้ได้ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการฝึกฝนในอนาคตของเจ้า”

“ความตื่นตาตื่นใจอันใดรึ” เจียงหลีเอ่ยถาม

โครงกระดูกกลับหมกเม็ด “ในเมื่อเป็นความตื่นตาตื่นใจ แน่นอนว่าต้องรอให้เจ้าเปิดเผยด้วยตัวเอง”

“…” มุมปากของเจียงหลีกระตุกยิกๆ

“เจ้าเล่าเรื่องกลองหินต่อสิ ข้าจะได้รีบช่วยให้เจ้าสมปรารถนา” เจียงหลีวกกลับมาเรื่องที่ค้างไว้

“ทำไมล่ะ” หลิงจงยังคงพิรี้พิไรไม่ยอมเปิดเผย

“ไม่บอกหรือ ข้าก็ไม่บังคับ เช่นนั้นข้าขอลาก่อน ของล้ำค่าที่เจ้าสัญญาก็เก็บไว้ให้เนี่ยนซือที่เข้ามาคนต่อไปเถอะ” เมื่อสิ้นเสียงเจียงหลีก็ลุกขึ้นยืนจะหมุนตัวออกไป

“รอเดี๋ยว!” น้ำเสียงของหลิงจงฟังดูกระตือรือร้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

รอเดี๋ยวอย่างนั้นหรือ เจียงหลีรอเขาตั้งนานไม่รู้เท่าไหร่ ยังจะให้รอต่อไปอีกหรือ เบ้าตาของโครงกระดูกที่มองในกระท่อมตลอดเวลาก็หันมามองนาง ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงความอ่อนโยนในเบ้าตาของเขา

“เจ้าอยากรู้ข้าก็จะบอกเจ้า แต่ข้าอยากเตือนเจ้าสักคำ ตำนานกลองหิน เจ้าฟังเป็นเรื่องเล่าก็พอ หากเจ้าหลงใหลงมงาย เกรงว่าต่อไปเจ้าจะมานึกเสียใจทีหลังอย่างข้า” ในที่สุดหลิงจงก็ยอมประนีประนอม

“เจ้าเล่ามาสักที” เจียงหลีไม่สนใจคำเตือนของเขาเลยสักนิด

หลิงจงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้ม “ตำนานเล่าว่า ในยุคโบราณกาลอันไกลโพ้น ดินแดนทั้งเก้ารวมกันเป็นปึกแผ่นเรียกว่าต้าฮวง อยู่มาวันหนึ่งจู่ๆ ก็มีกลองหินร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า กลองหินได้แตกออกเป็นเก้าเสี่ยงตกลงไปตามที่ต่างๆ ในต้าฮวง ดินแดนของต้าฮวงถูกแบ่งเป็นเก้าส่วนโดยกลองหินก็เลยเรียกว่าจิ่วฮวง นับแต่นั้นมาก็ไม่เห็นกลองหินอีกเลย บางครั้งก่อให้เกิดการเข่นฆ่าเพราะเนื่องจากข่าวลือว่าบนหน้ากลองหินได้สลักอวิชชาเอาไว้ หากมีคนสามารถรวบรวมกลองหินทั้งเก้าส่วนและบรรลุอวิชชาได้สมบูรณ์ก็จะสามารถทะลุมิติหลุดพ้นจากจิ่วฮวงเพื่อไปสู่อีกโลกหนึ่งได้”

เจียงหลีได้ฟังก็ตกตะลึง นางพึ่งเคยได้ยินตำนานกลองหินเป็นครั้งแรก

เห็นได้ชัดว่าตำนานเช่นนี้ หากบำเพ็ญไม่ถึงขั้นก็มิอาจรู้ได้เลย

“ข้าลุ่มหลงมัวเมาเพราะตำนานกลองหิน ดินแดนทั้งเก้าของจิ่วฮวงแผ่ไพศาลและทุกดินแดนมีพื้นที่กว้างใหญ่ ส่วนหนานฮวงเป็นดินแดนที่เล็กและอ่อนแอที่สุดในจิ่วฮวงและเป็นดินแดนที่แห้งแล้งในสายตาของคนอีกแปดดินแดน ข้าเคยไปซีฮวงและตงฮวงเพื่อทำความเข้าใจ ได้เห็นกฎการแข่งขันที่โหดร้ายยิ่งกว่าหนานฮวง บางครั้งได้ข่าวคราวของกลองหิน ข้าต้องการกลองหินที่ตกลงมายังหนานฮวง เพื่อขจัดความยกจนข้นแค้นในดินแดนหนานฮวง”

“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นพ่อพระมาโปรดหรืออย่างไร” เจียงหลีเอ่ยขัดเขาด้วยความหยามหมิ่น เห็นได้ชัดว่ามิอาจต้านทานกิเลศจากกลองหินได้ อยากมีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าใครแล้วยังจะวาดฝันให้ตัวเองเป็นวีรบุรุษอีก

“เจ้าจะคิดอย่างไรก็ช่าง ถึงอย่างไรข้าเกิดมาก็มิเคยหากลองหินเจอแล้วยังจะสูญเสียคนรักไปอีก ต่อให้เสียใจก็ไร้ประโยชน์ ข้าเล่าจบแล้วเจ้าก็ควรทำตามสัญญาสักที”

“ข้าต้องทำอย่างไร” เจียงหลีไม่ถามให้มากความอีก ในเมื่อรู้เรื่องราวของกลองหินแล้ว ต่อไปหากมีโอกาสค่อยหาข้อพิสูจน์

“เจ้าต้องใช้พลังจิตทำลายค่ายกล ข้าจะใช้พลังวิญญาณที่เหลือช่วยเจ้าอีกแรง” หลิงจงกระตือรือร้นขึ้นมา

นี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เจียงหลีทำตามที่เขาบอกโดยการปล่อยพลังจิตออกมากลายเป็นหมัดพุ่งโจมตีค่ายกล ทันใดนั้นก็มีพายุก่อตัวขึ้นที่ด้านหลังของนาง นางรู้สึกถึงพลังที่น่าเกรงขามซึ่งติดอยู่กับพลังจิตของนางและทุบผนึกค่ายกลด้วยหมัดเดียว

“สำเร็จแล้ว! ที่เหลือลำบากเจ้าแล้ว” หลิงจงกระตุ้นนาง

เจียงหลีรู้สึกแปลกๆ แต่ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ คิดว่าเขาคงแค่ตื่นเต้น เมื่อนำกระดูกของหลิงจง เข้าไปในห้องด้านใน นางจึงเห็นผู้หญิงนอนอยู่บนเตียงชัดเจน ตอนนี้มันเป็นเพียงโครงกระดูก

“สิ่งของตามที่ข้าสัญญากับเจ้าวางอยู่บนโต๊ะ เจ้ารีบหยิบไปซะ ยังมีความตื่นตาตื่นใจรอเจ้าอยู่” หลิงจงที่นอนเคียงข้างภรรยาเอ่ยเร่งเร้านางอีกครั้ง

เจียงหลียิ่งสงสัยในใจแต่ยังคงเชื่อแล้วเดินเข้าไปหยิบกล่องทั้งสามที่วางบนโต๊ะใส่กระเป๋าเอาไว้

เมื่อนางเสร็จสิ้นทุกอย่างก็รู้สึกใต้เท้าว่างเปล่า ฟ้าดินหมุนเคว้ง กระท่อมไม้ไผ่และโครงกระดูกต่างมลายหายไปต่อหน้าต่อตานาง นางเองก็ร่วงลงไป ท่ามกลางความโกลาหลนางมองไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองตกลงมายังห้องหนึ่งในสุสานใหญ่ แล้วใต้ร่างของนางก็มีกลุ่มคนตระกูลไป๋เซี่ยงกำลังจ้องมองนางอยู่

…………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ราชินีพลิกสวรรค์ 350 อ้าว ไหนล่ะความตื่นตาตื่นใจ

Now you are reading ราชินีพลิกสวรรค์ Chapter 350 อ้าว ไหนล่ะความตื่นตาตื่นใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“กลองหินอะไร” เจียงหลีขมวดคิ้วถาม

“เจ้าไม่รู้ก็ไม่ควรรู้ หากรู้แล้วเกรงว่าเจ้าจะเป็นอย่างข้า มองข้ามทุกสิ่งข้างกายเพียงเพื่อแสวงหาสิ่งลวงตา” โครงกระดูกหลิงจงเอ่ยตอบ

“…” เจียงหลีอยากจะกระอักเลือด

มีการบอกเล่าครึ่งๆ กลางๆ เยี่ยงนี้ด้วยหรือ

นางหันสายตากลับมาแต่ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เพียงแต่เอ่ยถาม “เจ้าเสียแรงชักจูงข้ามาถึงที่นี่ คงไม่ใช่เพราะเหงาเลยหาเพื่อนสนทนาเล่าเรื่องหรอกกระมัง”

“แน่นอนว่าข้ามีเรื่องขอร้องเจ้า” โครงกระดูกเองก็มิปิดบังต่อไป

“ไหนเจ้าว่ามาซิ” เจียงหลีกลับมาขี้เกียจเอนกายพิงไม้ไผ่ ยกมือขึ้นกอดอกแล้วมองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

“ค่ายกลที่เนี่ยนซือสร้างเอาไว้นั้นทำลายยากมาก หากไม่ใช่หลิงซือที่มีอาณาเขตระดับปรมาจารย์แล้วก็ต้องเป็นเนี่ยนซือที่มีความสามรถเก่งกาจมิแพ้กัน”

เจียงหลีหรี่ตาแต่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

ตอนนั้นที่ทางหลุดพ้นออกมาจากค่ายกลของลู่เจี้ยเพราะได้รับความช่วยเหลือจากเฟิงสิงอวิ๋น ตามที่

หลิงจงผู้นี้ได้กล่าวมา ขั้นบำเพ็ญของเฟิงสิงอวิ๋นเหนือกว่าหลิงจงใช่หรือไม่ ไม่ เป็นไปไม่ได้ แม้กระทั่งหนานอู๋เฮิ่นยังไม่บรรลุหลิงจงเลยแล้วเฟิงสิงอวิ๋นจะเป็นไปได้เยี่ยงไร มีทางเดียวคือเขาอาจจะฝึกพลังจิตไปพร้อมกันด้วย และคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับลู่เจี้ยอีกด้วย

“เจ้าฝึกเป็นเนี่ยนซือ แม้อาณาเขตยังไม่พอแต่ยังมีพลังช่วยเหลือมากกว่าข้าซึ่งน่าจะสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้ เมื่อทำลายค่ายกลได้แล้วขอความกรุณาแม่นางฝังกระดูกของข้าไว้ข้างภรรยาข้าด้วยเถิด พอทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วข้าจะไม่รวบรัดเอาเปรียบแม่นางอีก”

“อ้อ แล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง” เจียงหลีถามหยอกเล่น

“หากข้าดูไม่ผิดล่ะก็ ขั้นบำเพ็ญเนี่ยนซือของแม่นางคงไม่พ้นระดับเนี่ยนเจี้ยงขั้นต่ำหรอกกระมัง”

เจียงหลีไม่ตอบ แต่สีหน้าของนางก็อธิบายทุกอย่างหมดแล้ว

“ขอเพียงแม่นางยอมช่วยข้า ข้าจะถ่ายทอดพลังจิตที่ภรรยาข้าทิ้งไว้ให้กับเจ้า หลังจากดูดซับพลังแล้วขั้นบำเพ็ญเนี่ยนซือของเจ้าก็จะยกระดับสูงยิ่งขึ้น แม้แต่กระทั่งอาจสามารถบรรลุถึงขั้นเนี่ยนไซว่ก็เป็นได้ ส่วนข้ามีเวทย์อาคมมอบให้เพื่อเป็นสิ่งตอบแทน นอกจากนี้ยังมีน้ำศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งซึ่งข้าได้มาจากการสำรวจหลังจากรับมันไปแล้วมันเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อและจากร่างธรรมดาให้กลายเป็นกล้ามเนื้อน้ำแข็งและกระดูกหยกได้ มันมีพลังป้องกันตัวเองและยังสามารถชำระไขกระดูกและฝึกพรสวรรค์ได้อีกด้วย”

“สิ่งล้ำค่าถึงเพียงนี้ เจ้าทำใจยกให้ข้าได้หรือ” เมื่อเจียงหลีได้ฟังข้อเสนอก็ใจเต้นระส่ำ

ไม่พูดไม่ได้เลยว่าของขวัญสามชิ้นที่หลินจงผู้นี้ได้กล่าวมาล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาทั้งสิ้น

“พูดตามจริง มีเพียงแต่สตรีที่สามารถใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์ เดิมทีข้าคิดไว้ว่าจะเอาให้ภรรยา แต่…”

เจียงหลีเข้าใจถ่องแท้ ของล้ำค่าชิ้นนี้ยังไม่ทันถึงมือ ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาดันร้าวฉาน สุดท้ายจึงไม่ได้มอบของล้ำค่าชิ้นนี้ให้

“เก็บไว้ก็เสียดายนัก ในเมื่อสหายน้อยมีบุญคุณต่อพวกข้าสองสามีภรรยา มอบมันให้เจ้าก็สมควรแล้ว”

“เหตุใดถึงเลือกข้า แค่เพราะข้าเป็นเนี่ยนซือหรือ” เจียงหลีถามอีกครั้ง

“สุสานโบราณ เดิมทีเป็นสถานที่ๆ พวกข้าสองคนต้องการหวนคืนสู่ปรโลก ก่อนตายพวกข้าสัญญาไว้ว่าจะฝังร่างไปพร้อมกัน สุสานลวงข้างนอกเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น ส่วนที่แห่งนี้เป็นที่ๆ ภรรยาของข้าใช้พลังจิตสร้างเอาไว้แล้วมันคือสวรรค์ของพวกเรา แต่ว่าข้า เฮ้อ! การขุดพบสุสานโบราณในดินแดนหนานฮวงนั้น ทั้งยังดึงดูดผู้คนให้เข้ามา อย่างน้อยคนเหล่านั้นก็เป็นถึงเนี่ยนซือ และการปรากฏตัวของเจ้ามันจุดประกายความหวังในใจข้าจริงๆ”

เจียงหลีนิ่งเงียบไม่พูดจา ยังคงพิงอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ

โครงกระดูกเอ่ยต่อ “หากเจ้ายอมช่วยข้า นอกจากสามสิ่งที่ให้สัญญาเจ้าแล้ว ข้าจะบอกเรื่องที่ทำให้เจ้าตื่นตาตื่นใจ หากเจ้าสามารถรับมันเอาไว้ได้ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการฝึกฝนในอนาคตของเจ้า”

“ความตื่นตาตื่นใจอันใดรึ” เจียงหลีเอ่ยถาม

โครงกระดูกกลับหมกเม็ด “ในเมื่อเป็นความตื่นตาตื่นใจ แน่นอนว่าต้องรอให้เจ้าเปิดเผยด้วยตัวเอง”

“…” มุมปากของเจียงหลีกระตุกยิกๆ

“เจ้าเล่าเรื่องกลองหินต่อสิ ข้าจะได้รีบช่วยให้เจ้าสมปรารถนา” เจียงหลีวกกลับมาเรื่องที่ค้างไว้

“ทำไมล่ะ” หลิงจงยังคงพิรี้พิไรไม่ยอมเปิดเผย

“ไม่บอกหรือ ข้าก็ไม่บังคับ เช่นนั้นข้าขอลาก่อน ของล้ำค่าที่เจ้าสัญญาก็เก็บไว้ให้เนี่ยนซือที่เข้ามาคนต่อไปเถอะ” เมื่อสิ้นเสียงเจียงหลีก็ลุกขึ้นยืนจะหมุนตัวออกไป

“รอเดี๋ยว!” น้ำเสียงของหลิงจงฟังดูกระตือรือร้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

รอเดี๋ยวอย่างนั้นหรือ เจียงหลีรอเขาตั้งนานไม่รู้เท่าไหร่ ยังจะให้รอต่อไปอีกหรือ เบ้าตาของโครงกระดูกที่มองในกระท่อมตลอดเวลาก็หันมามองนาง ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงความอ่อนโยนในเบ้าตาของเขา

“เจ้าอยากรู้ข้าก็จะบอกเจ้า แต่ข้าอยากเตือนเจ้าสักคำ ตำนานกลองหิน เจ้าฟังเป็นเรื่องเล่าก็พอ หากเจ้าหลงใหลงมงาย เกรงว่าต่อไปเจ้าจะมานึกเสียใจทีหลังอย่างข้า” ในที่สุดหลิงจงก็ยอมประนีประนอม

“เจ้าเล่ามาสักที” เจียงหลีไม่สนใจคำเตือนของเขาเลยสักนิด

หลิงจงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้ม “ตำนานเล่าว่า ในยุคโบราณกาลอันไกลโพ้น ดินแดนทั้งเก้ารวมกันเป็นปึกแผ่นเรียกว่าต้าฮวง อยู่มาวันหนึ่งจู่ๆ ก็มีกลองหินร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า กลองหินได้แตกออกเป็นเก้าเสี่ยงตกลงไปตามที่ต่างๆ ในต้าฮวง ดินแดนของต้าฮวงถูกแบ่งเป็นเก้าส่วนโดยกลองหินก็เลยเรียกว่าจิ่วฮวง นับแต่นั้นมาก็ไม่เห็นกลองหินอีกเลย บางครั้งก่อให้เกิดการเข่นฆ่าเพราะเนื่องจากข่าวลือว่าบนหน้ากลองหินได้สลักอวิชชาเอาไว้ หากมีคนสามารถรวบรวมกลองหินทั้งเก้าส่วนและบรรลุอวิชชาได้สมบูรณ์ก็จะสามารถทะลุมิติหลุดพ้นจากจิ่วฮวงเพื่อไปสู่อีกโลกหนึ่งได้”

เจียงหลีได้ฟังก็ตกตะลึง นางพึ่งเคยได้ยินตำนานกลองหินเป็นครั้งแรก

เห็นได้ชัดว่าตำนานเช่นนี้ หากบำเพ็ญไม่ถึงขั้นก็มิอาจรู้ได้เลย

“ข้าลุ่มหลงมัวเมาเพราะตำนานกลองหิน ดินแดนทั้งเก้าของจิ่วฮวงแผ่ไพศาลและทุกดินแดนมีพื้นที่กว้างใหญ่ ส่วนหนานฮวงเป็นดินแดนที่เล็กและอ่อนแอที่สุดในจิ่วฮวงและเป็นดินแดนที่แห้งแล้งในสายตาของคนอีกแปดดินแดน ข้าเคยไปซีฮวงและตงฮวงเพื่อทำความเข้าใจ ได้เห็นกฎการแข่งขันที่โหดร้ายยิ่งกว่าหนานฮวง บางครั้งได้ข่าวคราวของกลองหิน ข้าต้องการกลองหินที่ตกลงมายังหนานฮวง เพื่อขจัดความยกจนข้นแค้นในดินแดนหนานฮวง”

“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นพ่อพระมาโปรดหรืออย่างไร” เจียงหลีเอ่ยขัดเขาด้วยความหยามหมิ่น เห็นได้ชัดว่ามิอาจต้านทานกิเลศจากกลองหินได้ อยากมีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าใครแล้วยังจะวาดฝันให้ตัวเองเป็นวีรบุรุษอีก

“เจ้าจะคิดอย่างไรก็ช่าง ถึงอย่างไรข้าเกิดมาก็มิเคยหากลองหินเจอแล้วยังจะสูญเสียคนรักไปอีก ต่อให้เสียใจก็ไร้ประโยชน์ ข้าเล่าจบแล้วเจ้าก็ควรทำตามสัญญาสักที”

“ข้าต้องทำอย่างไร” เจียงหลีไม่ถามให้มากความอีก ในเมื่อรู้เรื่องราวของกลองหินแล้ว ต่อไปหากมีโอกาสค่อยหาข้อพิสูจน์

“เจ้าต้องใช้พลังจิตทำลายค่ายกล ข้าจะใช้พลังวิญญาณที่เหลือช่วยเจ้าอีกแรง” หลิงจงกระตือรือร้นขึ้นมา

นี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เจียงหลีทำตามที่เขาบอกโดยการปล่อยพลังจิตออกมากลายเป็นหมัดพุ่งโจมตีค่ายกล ทันใดนั้นก็มีพายุก่อตัวขึ้นที่ด้านหลังของนาง นางรู้สึกถึงพลังที่น่าเกรงขามซึ่งติดอยู่กับพลังจิตของนางและทุบผนึกค่ายกลด้วยหมัดเดียว

“สำเร็จแล้ว! ที่เหลือลำบากเจ้าแล้ว” หลิงจงกระตุ้นนาง

เจียงหลีรู้สึกแปลกๆ แต่ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ คิดว่าเขาคงแค่ตื่นเต้น เมื่อนำกระดูกของหลิงจง เข้าไปในห้องด้านใน นางจึงเห็นผู้หญิงนอนอยู่บนเตียงชัดเจน ตอนนี้มันเป็นเพียงโครงกระดูก

“สิ่งของตามที่ข้าสัญญากับเจ้าวางอยู่บนโต๊ะ เจ้ารีบหยิบไปซะ ยังมีความตื่นตาตื่นใจรอเจ้าอยู่” หลิงจงที่นอนเคียงข้างภรรยาเอ่ยเร่งเร้านางอีกครั้ง

เจียงหลียิ่งสงสัยในใจแต่ยังคงเชื่อแล้วเดินเข้าไปหยิบกล่องทั้งสามที่วางบนโต๊ะใส่กระเป๋าเอาไว้

เมื่อนางเสร็จสิ้นทุกอย่างก็รู้สึกใต้เท้าว่างเปล่า ฟ้าดินหมุนเคว้ง กระท่อมไม้ไผ่และโครงกระดูกต่างมลายหายไปต่อหน้าต่อตานาง นางเองก็ร่วงลงไป ท่ามกลางความโกลาหลนางมองไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองตกลงมายังห้องหนึ่งในสุสานใหญ่ แล้วใต้ร่างของนางก็มีกลุ่มคนตระกูลไป๋เซี่ยงกำลังจ้องมองนางอยู่

…………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+