ราชินีพลิกสวรรค์ 263 เจ้าแพ้ข้าอีกแล้ว

Now you are reading ราชินีพลิกสวรรค์ Chapter 263 เจ้าแพ้ข้าอีกแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฟิงสิงอวิ๋นเดินจากไปและยังคงหล่อเหลาไม่สร่าง

คนในเป่ยย่วนไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับเจียงหลี อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไปในคืนนั้นเจียงหลีก็นิ่งสงบลง

บางคนอยากรู้อยากเห็นและอยากขยับเข้าไปดูใกล้ๆ

พบว่านอกลานบ้านของนางกลับมีฝ่ายยุติธรรมผลัดกันเฝ้าเวรยามและไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้

ปรากฏการณ์แปลกประหลาดดังกล่าวก่อให้เกิดข้อถกเถียงรุนแรงในสถาบันไป๋หยวนอยู่พักหนึ่ง

ณ หนานย่วน ภายในห้องพักของเฉียนจวิ้น

ชายคนหนึ่งโค้งคำนับและรายงานต่อเข้า “องค์ชายรอง เมื่อพวกเราเริ่มเข้าใกล้บ้านพักของเจียงหลี ก็ถูกฝ่ายยุติธรรมพบเข้าและไล่กลับทันที ท่านหัวหน้าเจียงซย่าถึงกับออกคำสั่ง ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าใกล้เจียงหลีในระยะน้อยกว่าสามจั้ง จะถูกลงโทษโบยหนึ่งร้อยทีโดยฝ่ายยุติธรรม บัดนี้ ที่พักของนางกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามของสถาบันไปแล้ว

เฉียนจวิ้นฟังรายงานด้วยสีหน้าเศร้าหมองและโมโหนจนปัดถ้วยน้ำชาลงกับพื้น

น้ำชาที่กระเซ็นไปทั่วสารทิศ สาดใส่มุมเสื้อผ้าของชายคนนั้นเป็นจำนวนมาก แต่เขาก็มิบังอาจส่งเสียงและได้แต่ก้มศีรษะให้ต่ำลง

“เจียงหลีคนเดียวสำคัญกับสถาบันมากถึงเพียงนี้เชียวรึ!” เฉียนจวิ้นพูดด้วยความโมโห

เดือนที่แล้ว ในงานเลี้ยงราชสำนักเขารู้สึกอับอายมากและยังไม่ทันได้แก้แค้นเจียงหลี นางกลับได้รับคุ้มครองจากสถาบันไปเสียแล้ว

มันทำให้ไฟในใจของเขาไม่มีทางปลดปล่อยออกไปได้

ซึ่งแม้แต่ความก้าวหน้าของการฝึกฝนก็ได้รับผลกระทบ

“เจียวหลีซ่อนตัวโดยไม่ยอมออกมา แล้วเจียงเฮ่ากับและลู่เสวียนล่ะ” เฉียนจวิ้นเงยหน้าขึ้นมองชายคนนั้นอย่างดุดัน

ชายคนนั้นกระซิบ “เมื่อหลายวันก่อน ดูเหมือนว่าลู่เสวียนพบโอกาสประสานวิญญาณยุทธ์ขั้นที่สองได้แล้ว และทั้งสองเข้าสู่อาณาเขตหลิงอู่ด้วยกันขอรับ”

“ฮึ!”

เฉียนจวิ้นทุบโต๊ะอย่างแรง

เจียงหลีซ่อนตัว ลู่เสวียนและเจียงเฮ่าเข้าสู่อาณาเขตหลิงอู่อีกครั้ง ขณะที่เขาแม้แต่เป้าหมายในการแก้แค้นยังหาไม่เจอ!

“ออกไป! ไสหัวออกไป!” เฉียนจวิ้นตะโกน

ชายคนนั้นรีบถอยออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับได้รับการอภัยโทษ

เพียงแต่ หลังจากเขาออกไปได้ไม่นาน โจวยวนก็ผลักประตูเดินเข้ามาและมองเห็นใบหน้าอันหม่นหมองของเฉียนจวิ้น นางจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “องค์ชายกำลังโมโหอยู่หรือ”

เฉียนจวิ้นชำเมืองมองด้วยสายตาที่เศร้าหมองและไม่ได้พูดอะไร

โจวยวนยิ้มหวานและเดินไปที่ด้านหลังของเขาแล้วบีบไหล่เขาเบาๆ “องค์ชาย ไม่ว่าเจียงหลี หรือใครก็ตาม ล้วนอยู่ในสถาบันไป๋หยวนแห่งนี้กันทั้งนั้น ยังไงพวกเขาก็ต้องปรากฏตัวอย่างแน่นอน ยวนเอ๋อร์คิดว่าคนที่องค์ชายควรระวังคือองค์รัชทายาทนะเพค”

แสงอันแหลมคมสว่างวาบในดวงตาของเฉียนจวิ้นและเขาก็พูดอย่างใจเย็น “องค์รัชทายาทเป็นอะไรหรือ”

โจวยวนถอนหายใจ “ยวนเอ๋อร์เสียดายแทนองค์ชาย องค์ชายเป็นโอรสที่รักยิ่งของฝ่าบาท องค์ชายควรเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งมกุฎราชกุมาร แต่เพียงเพราะองค์รัชทายาทเกิดจากชายาเอก จึงได้ครอบครองตำแหน่งนั้นไป องค์ชาย องค์รัชทายาทมองว่าท่านเป็นหนามทิ่มแทงตา วันนี้ ยังจะทำลายแผนการขององค์ชายอีก ท่านยังทนได้อยู่หรือเพคะ”

ดวงตาของเฉียนจวิ้นหรี่ลง “ใช่ เขาเป็นศัตรูกับข้าตลอดเวลา!”

“ใช่! จริงๆ แล้วองค์รัชทายาทเป็นศัตรูตัวฉกาจของท่านต่างหาก หากกำจัดองค์รัชทายาทได้แล้ว ท่านก็คือฮ่องเต้คนใหม่แห่งอาณาจักรซีเฉียน ถึงตอนนั้น ท่านจะฆ่าเจียงหลีให้ตายกี่คนก็ย่อมได้” ในแววตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มของโจวยวนนั้น กลับปรากฏความเย็นเยือกขึ้นทันที

นางคิดถี่ถ้วนแล้ว! นางต้องพึ่งพาเฉียนจวิ้นและช่วยให้เขาได้ครองบัลลังก์ และเมื่อซีเฉียนอยู่ในกำมือ นางถึงจะมีโอกาสที่จะฆ่าเขาเพื่อล้างแค้นได้ ซึ่งนางจะไม่เพียงเข่นฆ่าศัตรูเหล่านั้น แต่จะทำลายอาณาจักรจยาเซียนด้วย!

เฉียนจวิ้นกระหายในบัลลังก์มานานมากแล้ว นางเพียงแค่ต้องประโคมเปลวไฟอยู่ข้างๆ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเร่งให้เหตุการณ์เกิดเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังได้รับความไว้วางใจจากเฉียนจวิ้นด้วย! เมื่อถึงเวลานั้น นางก็จะสามารถชำระแค้นครั้งใหญ่ได้สำเร็จ!

โจวยวนนวดไหล่ให้กับเฉียนจวิ้นอย่างใจเย็น และดวงตาเปล่งประกายความตื่นเต้น

“อืม ช่วงนี้พี่ใหญ่เคลื่อนไหวมากเกินไปแล้ว” เฉียนจวิ้นแสยะยิ้ม ราวกับว่าในที่สุดเขาก็พบเป้าหมายที่จะระบายความโกรธแค้นได้แล้ว

“ยวนเอ๋อร์” เขายื่นมือออกไปกุมมือของโจวยวนบนไหล่และดึงนางไว้ตรงหน้า แล้วบีบนวดมือเล็กๆ ที่นุ่มและไร้กระดูกของนาง จากนั้นดวงตาก็มืดมิดลง “เจ้าช่างเป็นผู้ช่วยที่ดีของข้าจริงๆ”

โจวยวนอดกลั้นความรู้สึกรังเกียจนั้นไว้ ยิ้มสู้ต่อไปและพูดด้วยน้ำเสียงหวานหยาดเยิ้ม “ขอเพียงแค่องค์ชายมีความสุข ยวนเอ๋อร์ก็พอใจแล้ว”

ณ อาณาจักรจยาเซียน ความเหน็บหนาวได้ผ่านพ้นไปแล้ว และทุกสิ่งกลับมามีชีวิตชีวา

คำสั่งทั้งหลายถูกสั่งออกไปจากพระราชวังที่ลู่เจี้ยพักอาศัยอยู่ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ของอาณาจักรแห่งนี้ ได้กำลังทำงานภายใต้คำสั่งจากเขา

เขากลับมาได้ครึ่งเดือนแล้ว แต่กลับไม่ได้หยุดพักเลยแม้แต่วันเดียว

วางแผนและจัดแจงงานทั้งวันทั้งคืนจนแทบจะไม่ได้นอนเลย

แค่กๆ

กลิ่นยาสมุนไพรในวังหลวงฉุนมากขึ้น

หลายวันมานี้ อาหารทั้งสามมื้อของลู่เจี้ยถูกแทนที่ด้วยยาต้มและร่างกายของเขาสูบผอมลงเรื่อยๆ

เดิมที่เขาควรพักผ่อนให้เพียงพอ แต่กลับไม่มีใครห้ามปรามเขาได้

“นายน้อย พักผ่อนก่อนเถิด” ลู่หวายืนเฝ้าอยู่ตรงหน้าลู่เจี้ยและจำไม่ได้แล้วว่าเตือนเขาไปครั้งที่เท่าไรแล้ว

ลู่เจี้ยกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และพูดเพียงว่า “วันนี้ลู่จ้านน่าจะเดินทางถึงแคว้นสุ่ยหันแล้ว”

ลู่หวาตอบอย่างจนปัญญาว่า “ขอรับ”

ลู่เจี้ยยิ้มจางๆ ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา

ลู่หวาอดไม่ได้ที่จะสงสัย “นายน้อย เมืองสุ่ยหันจะยินยอมอยู่ภายใต้อาณัติจริงตามที่รับปากกับขุนนางหรือ” จะสามารถยึดครองแคว้นหนึ่งได้โดยไม่สูญเสียทหารแม้แต่คนเดียวได้จริงๆ หรือ

“เจ้าผู้ปกครองแห่งแคว้นสุ่ยหันไม่มีทางเลือกอื่น” ลู่เจี้ยพูดเสียงเรียบ

ในช่วงกลางฤดูหนาว ไม่สามารถส่งทหารไปได้ หลังจากวางกลยุทธ์มานานแล้ว จะมิสามารถยึดครองแคว้นสุ่ยหันที่อ่อนแอมานานได้อย่างไร

            เพียงแต่…

ไม่รู้ว่าเขาจะรอถึงวันนั้นได้หรือไม่

“เหลือเพียงหมากตัวสุดท้าย” ลู่เจี้ยบ่นพึมพำและกำชับลู่หวาว่า “เรียกท่านชายจิ่งเข้าวังมาที”

หลังจากได้รับคำเชิญจากลู่เจี้ย หรงจิ่งก็ปรากฏตัวต่อหน้าลู่เจี้ยภายในครึ่งชั่วยาม

เมื่อเห็นท่าทางซีดเซียวของเขาแล้ว หรงจิ่งจึงพูดว่า “ดูแล้วช่วงนี้อาการเจ้าไม่ดีเลย”

“เล่นหมากล้อมกันเถอะ” ลู่เจี้ยชี้ไปที่หมากล้อมซึ่งจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว

หรงจิ่งไม่ปฏิเสธและนั่งลงตรงข้ามลู่เจี้ย

ทั้งสองคน หนึ่งคน หนึ่งหมาก หยิบขึ้น วางลง และเป็นการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกันบนหมากกระดาน

บริเวณโดยรอบภายในพระตำหนักเงียบสงบ แต่การต่อสู้บนหมากกระดานนั้นกลับดุเดือดนัก ทำให้ลู่หวาที่รออยู่ข้างๆ เฝ้ามองจนตกใจและเหงื่อตก

เขามองไปที่ชายผู้สง่างามทั้งสองคน และแววตาก็ปรากฏความหวั่นเกรงที่ไม่มีใครสามารถทัดเทียมได้

หนึ่งชั่วยามต่อมา ลู่เจี้ยวางหมากตัวสุดท้าย และเงยหน้ามองไปที่หรงจิ่งอย่างสงบนิ่ง “เจ้าแพ้ข้าอีกแล้ว”

หรงจิ่งยังคงถือหมากตัวสุดท้ายอยู่ในมือ แต่เขากลับหาที่วางหมากไม่ได้ และเมื่อได้ยินคำพูดของลู่เจี้ย เขาก็ยิ้มอย่างผ่อนคลาย และวางหมากลงกล่องแล้วยอมรับว่า “ครั้งนี้ข้าแพ้ให้เจ้าแล้วจริงด้วย”

“ไม่ ข้าหมายถึงเจ้าพ่ายแพ้ให้กับข้าทั้งชีวิต” ลู่เจี้ยแก้ไขคำพูดของเขา

หรงจิ่งค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับคำถามและขอคำแนะนำ ดวงตาที่ชัดเจนยังคงเงียบสงบเหมือนเช่นเคย และไม่มีอารมณ์ใดๆ ปรากฏหลังจากคำพูดของลู่เจี้ย

ลู่เจี้ยโบกมือ และลู่หวาก็ถอยออกไปอย่างเงียบๆ ตอนนี้เหลือเพียงพวกเขาสองคนในตำหนัก

“นายน้อยลู่หมายถึงอะไรหรือ” หรงจิ่งถามด้วยรอยยิ้ม

ลู่เจี้ยยิ้มจางๆ “ท่านชายเห็นว่าข้าเป็นคู่ต่อสู้มาทั้งชีวิต แต่กลับพ่ายแพ้ต่อข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านรู้สึกเช่นไร”

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ราชินีพลิกสวรรค์ 263 เจ้าแพ้ข้าอีกแล้ว

Now you are reading ราชินีพลิกสวรรค์ Chapter 263 เจ้าแพ้ข้าอีกแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฟิงสิงอวิ๋นเดินจากไปและยังคงหล่อเหลาไม่สร่าง

คนในเป่ยย่วนไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับเจียงหลี อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไปในคืนนั้นเจียงหลีก็นิ่งสงบลง

บางคนอยากรู้อยากเห็นและอยากขยับเข้าไปดูใกล้ๆ

พบว่านอกลานบ้านของนางกลับมีฝ่ายยุติธรรมผลัดกันเฝ้าเวรยามและไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้

ปรากฏการณ์แปลกประหลาดดังกล่าวก่อให้เกิดข้อถกเถียงรุนแรงในสถาบันไป๋หยวนอยู่พักหนึ่ง

ณ หนานย่วน ภายในห้องพักของเฉียนจวิ้น

ชายคนหนึ่งโค้งคำนับและรายงานต่อเข้า “องค์ชายรอง เมื่อพวกเราเริ่มเข้าใกล้บ้านพักของเจียงหลี ก็ถูกฝ่ายยุติธรรมพบเข้าและไล่กลับทันที ท่านหัวหน้าเจียงซย่าถึงกับออกคำสั่ง ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าใกล้เจียงหลีในระยะน้อยกว่าสามจั้ง จะถูกลงโทษโบยหนึ่งร้อยทีโดยฝ่ายยุติธรรม บัดนี้ ที่พักของนางกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามของสถาบันไปแล้ว

เฉียนจวิ้นฟังรายงานด้วยสีหน้าเศร้าหมองและโมโหนจนปัดถ้วยน้ำชาลงกับพื้น

น้ำชาที่กระเซ็นไปทั่วสารทิศ สาดใส่มุมเสื้อผ้าของชายคนนั้นเป็นจำนวนมาก แต่เขาก็มิบังอาจส่งเสียงและได้แต่ก้มศีรษะให้ต่ำลง

“เจียงหลีคนเดียวสำคัญกับสถาบันมากถึงเพียงนี้เชียวรึ!” เฉียนจวิ้นพูดด้วยความโมโห

เดือนที่แล้ว ในงานเลี้ยงราชสำนักเขารู้สึกอับอายมากและยังไม่ทันได้แก้แค้นเจียงหลี นางกลับได้รับคุ้มครองจากสถาบันไปเสียแล้ว

มันทำให้ไฟในใจของเขาไม่มีทางปลดปล่อยออกไปได้

ซึ่งแม้แต่ความก้าวหน้าของการฝึกฝนก็ได้รับผลกระทบ

“เจียวหลีซ่อนตัวโดยไม่ยอมออกมา แล้วเจียงเฮ่ากับและลู่เสวียนล่ะ” เฉียนจวิ้นเงยหน้าขึ้นมองชายคนนั้นอย่างดุดัน

ชายคนนั้นกระซิบ “เมื่อหลายวันก่อน ดูเหมือนว่าลู่เสวียนพบโอกาสประสานวิญญาณยุทธ์ขั้นที่สองได้แล้ว และทั้งสองเข้าสู่อาณาเขตหลิงอู่ด้วยกันขอรับ”

“ฮึ!”

เฉียนจวิ้นทุบโต๊ะอย่างแรง

เจียงหลีซ่อนตัว ลู่เสวียนและเจียงเฮ่าเข้าสู่อาณาเขตหลิงอู่อีกครั้ง ขณะที่เขาแม้แต่เป้าหมายในการแก้แค้นยังหาไม่เจอ!

“ออกไป! ไสหัวออกไป!” เฉียนจวิ้นตะโกน

ชายคนนั้นรีบถอยออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับได้รับการอภัยโทษ

เพียงแต่ หลังจากเขาออกไปได้ไม่นาน โจวยวนก็ผลักประตูเดินเข้ามาและมองเห็นใบหน้าอันหม่นหมองของเฉียนจวิ้น นางจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “องค์ชายกำลังโมโหอยู่หรือ”

เฉียนจวิ้นชำเมืองมองด้วยสายตาที่เศร้าหมองและไม่ได้พูดอะไร

โจวยวนยิ้มหวานและเดินไปที่ด้านหลังของเขาแล้วบีบไหล่เขาเบาๆ “องค์ชาย ไม่ว่าเจียงหลี หรือใครก็ตาม ล้วนอยู่ในสถาบันไป๋หยวนแห่งนี้กันทั้งนั้น ยังไงพวกเขาก็ต้องปรากฏตัวอย่างแน่นอน ยวนเอ๋อร์คิดว่าคนที่องค์ชายควรระวังคือองค์รัชทายาทนะเพค”

แสงอันแหลมคมสว่างวาบในดวงตาของเฉียนจวิ้นและเขาก็พูดอย่างใจเย็น “องค์รัชทายาทเป็นอะไรหรือ”

โจวยวนถอนหายใจ “ยวนเอ๋อร์เสียดายแทนองค์ชาย องค์ชายเป็นโอรสที่รักยิ่งของฝ่าบาท องค์ชายควรเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งมกุฎราชกุมาร แต่เพียงเพราะองค์รัชทายาทเกิดจากชายาเอก จึงได้ครอบครองตำแหน่งนั้นไป องค์ชาย องค์รัชทายาทมองว่าท่านเป็นหนามทิ่มแทงตา วันนี้ ยังจะทำลายแผนการขององค์ชายอีก ท่านยังทนได้อยู่หรือเพคะ”

ดวงตาของเฉียนจวิ้นหรี่ลง “ใช่ เขาเป็นศัตรูกับข้าตลอดเวลา!”

“ใช่! จริงๆ แล้วองค์รัชทายาทเป็นศัตรูตัวฉกาจของท่านต่างหาก หากกำจัดองค์รัชทายาทได้แล้ว ท่านก็คือฮ่องเต้คนใหม่แห่งอาณาจักรซีเฉียน ถึงตอนนั้น ท่านจะฆ่าเจียงหลีให้ตายกี่คนก็ย่อมได้” ในแววตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มของโจวยวนนั้น กลับปรากฏความเย็นเยือกขึ้นทันที

นางคิดถี่ถ้วนแล้ว! นางต้องพึ่งพาเฉียนจวิ้นและช่วยให้เขาได้ครองบัลลังก์ และเมื่อซีเฉียนอยู่ในกำมือ นางถึงจะมีโอกาสที่จะฆ่าเขาเพื่อล้างแค้นได้ ซึ่งนางจะไม่เพียงเข่นฆ่าศัตรูเหล่านั้น แต่จะทำลายอาณาจักรจยาเซียนด้วย!

เฉียนจวิ้นกระหายในบัลลังก์มานานมากแล้ว นางเพียงแค่ต้องประโคมเปลวไฟอยู่ข้างๆ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเร่งให้เหตุการณ์เกิดเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังได้รับความไว้วางใจจากเฉียนจวิ้นด้วย! เมื่อถึงเวลานั้น นางก็จะสามารถชำระแค้นครั้งใหญ่ได้สำเร็จ!

โจวยวนนวดไหล่ให้กับเฉียนจวิ้นอย่างใจเย็น และดวงตาเปล่งประกายความตื่นเต้น

“อืม ช่วงนี้พี่ใหญ่เคลื่อนไหวมากเกินไปแล้ว” เฉียนจวิ้นแสยะยิ้ม ราวกับว่าในที่สุดเขาก็พบเป้าหมายที่จะระบายความโกรธแค้นได้แล้ว

“ยวนเอ๋อร์” เขายื่นมือออกไปกุมมือของโจวยวนบนไหล่และดึงนางไว้ตรงหน้า แล้วบีบนวดมือเล็กๆ ที่นุ่มและไร้กระดูกของนาง จากนั้นดวงตาก็มืดมิดลง “เจ้าช่างเป็นผู้ช่วยที่ดีของข้าจริงๆ”

โจวยวนอดกลั้นความรู้สึกรังเกียจนั้นไว้ ยิ้มสู้ต่อไปและพูดด้วยน้ำเสียงหวานหยาดเยิ้ม “ขอเพียงแค่องค์ชายมีความสุข ยวนเอ๋อร์ก็พอใจแล้ว”

ณ อาณาจักรจยาเซียน ความเหน็บหนาวได้ผ่านพ้นไปแล้ว และทุกสิ่งกลับมามีชีวิตชีวา

คำสั่งทั้งหลายถูกสั่งออกไปจากพระราชวังที่ลู่เจี้ยพักอาศัยอยู่ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ของอาณาจักรแห่งนี้ ได้กำลังทำงานภายใต้คำสั่งจากเขา

เขากลับมาได้ครึ่งเดือนแล้ว แต่กลับไม่ได้หยุดพักเลยแม้แต่วันเดียว

วางแผนและจัดแจงงานทั้งวันทั้งคืนจนแทบจะไม่ได้นอนเลย

แค่กๆ

กลิ่นยาสมุนไพรในวังหลวงฉุนมากขึ้น

หลายวันมานี้ อาหารทั้งสามมื้อของลู่เจี้ยถูกแทนที่ด้วยยาต้มและร่างกายของเขาสูบผอมลงเรื่อยๆ

เดิมที่เขาควรพักผ่อนให้เพียงพอ แต่กลับไม่มีใครห้ามปรามเขาได้

“นายน้อย พักผ่อนก่อนเถิด” ลู่หวายืนเฝ้าอยู่ตรงหน้าลู่เจี้ยและจำไม่ได้แล้วว่าเตือนเขาไปครั้งที่เท่าไรแล้ว

ลู่เจี้ยกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และพูดเพียงว่า “วันนี้ลู่จ้านน่าจะเดินทางถึงแคว้นสุ่ยหันแล้ว”

ลู่หวาตอบอย่างจนปัญญาว่า “ขอรับ”

ลู่เจี้ยยิ้มจางๆ ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา

ลู่หวาอดไม่ได้ที่จะสงสัย “นายน้อย เมืองสุ่ยหันจะยินยอมอยู่ภายใต้อาณัติจริงตามที่รับปากกับขุนนางหรือ” จะสามารถยึดครองแคว้นหนึ่งได้โดยไม่สูญเสียทหารแม้แต่คนเดียวได้จริงๆ หรือ

“เจ้าผู้ปกครองแห่งแคว้นสุ่ยหันไม่มีทางเลือกอื่น” ลู่เจี้ยพูดเสียงเรียบ

ในช่วงกลางฤดูหนาว ไม่สามารถส่งทหารไปได้ หลังจากวางกลยุทธ์มานานแล้ว จะมิสามารถยึดครองแคว้นสุ่ยหันที่อ่อนแอมานานได้อย่างไร

            เพียงแต่…

ไม่รู้ว่าเขาจะรอถึงวันนั้นได้หรือไม่

“เหลือเพียงหมากตัวสุดท้าย” ลู่เจี้ยบ่นพึมพำและกำชับลู่หวาว่า “เรียกท่านชายจิ่งเข้าวังมาที”

หลังจากได้รับคำเชิญจากลู่เจี้ย หรงจิ่งก็ปรากฏตัวต่อหน้าลู่เจี้ยภายในครึ่งชั่วยาม

เมื่อเห็นท่าทางซีดเซียวของเขาแล้ว หรงจิ่งจึงพูดว่า “ดูแล้วช่วงนี้อาการเจ้าไม่ดีเลย”

“เล่นหมากล้อมกันเถอะ” ลู่เจี้ยชี้ไปที่หมากล้อมซึ่งจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว

หรงจิ่งไม่ปฏิเสธและนั่งลงตรงข้ามลู่เจี้ย

ทั้งสองคน หนึ่งคน หนึ่งหมาก หยิบขึ้น วางลง และเป็นการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกันบนหมากกระดาน

บริเวณโดยรอบภายในพระตำหนักเงียบสงบ แต่การต่อสู้บนหมากกระดานนั้นกลับดุเดือดนัก ทำให้ลู่หวาที่รออยู่ข้างๆ เฝ้ามองจนตกใจและเหงื่อตก

เขามองไปที่ชายผู้สง่างามทั้งสองคน และแววตาก็ปรากฏความหวั่นเกรงที่ไม่มีใครสามารถทัดเทียมได้

หนึ่งชั่วยามต่อมา ลู่เจี้ยวางหมากตัวสุดท้าย และเงยหน้ามองไปที่หรงจิ่งอย่างสงบนิ่ง “เจ้าแพ้ข้าอีกแล้ว”

หรงจิ่งยังคงถือหมากตัวสุดท้ายอยู่ในมือ แต่เขากลับหาที่วางหมากไม่ได้ และเมื่อได้ยินคำพูดของลู่เจี้ย เขาก็ยิ้มอย่างผ่อนคลาย และวางหมากลงกล่องแล้วยอมรับว่า “ครั้งนี้ข้าแพ้ให้เจ้าแล้วจริงด้วย”

“ไม่ ข้าหมายถึงเจ้าพ่ายแพ้ให้กับข้าทั้งชีวิต” ลู่เจี้ยแก้ไขคำพูดของเขา

หรงจิ่งค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับคำถามและขอคำแนะนำ ดวงตาที่ชัดเจนยังคงเงียบสงบเหมือนเช่นเคย และไม่มีอารมณ์ใดๆ ปรากฏหลังจากคำพูดของลู่เจี้ย

ลู่เจี้ยโบกมือ และลู่หวาก็ถอยออกไปอย่างเงียบๆ ตอนนี้เหลือเพียงพวกเขาสองคนในตำหนัก

“นายน้อยลู่หมายถึงอะไรหรือ” หรงจิ่งถามด้วยรอยยิ้ม

ลู่เจี้ยยิ้มจางๆ “ท่านชายเห็นว่าข้าเป็นคู่ต่อสู้มาทั้งชีวิต แต่กลับพ่ายแพ้ต่อข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านรู้สึกเช่นไร”

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+