หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1092 ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร

Now you are reading หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler Chapter 1092 ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1092 ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร

โรงประมูลแห่งนี้มีผู้คนมากมาย

แต่แม้จะมีจำนวนมากมาย ทั้งโถงก็เงียบลงสายตาแต่ละคู่จ้องมองบนแท่นประมูล…

พูดให้ตรงก็คือพวกเขาจ้องมองไปที่ถาดเงินที่ถือโดยหญิงสาวสี่คนที่มีอักขระพลังหลิงปรากฏอยู่บนถาดที่ก่อตัวม่านแสงขัดขวางความผันผวนของพลังงานเพื่อไม่ให้ใครสัมผัสได้

หานเฟยกวาดมองสายตาร้อนแรงที่จ้องมองโดยรอบก็ยิ้ม “ขนาดของการประมูลครั้งนี้ไม่ใหญ่นัก แต่สิ่งของทั้งสี่ชิ้นนี้มีต้นกำเนิดจากวังสวรรค์บรรพกาล ผ่านกระบวนการคัดเลือกที่เข้มงวด…”

“งั้นขอเริ่มจากชิ้นแรกเลย”

หานเฟยโบกมือ หญิงสาวคนหนึ่งก็เยื้องย่างประคองถาดเงินออกมา ริ้วแสงบนถาดค่อยๆ จางหายเผยให้เห็นวัตุภายใน

ทุกคนมองไปก็เห็นหินอ่อนสีดำวางบนถาดที่ปกคลุมด้วยรอยด่างดำ รัศมีโบราณและลึกซึ้งเบาบางไหลพล่านออกมา

มู่เฉินหรี่ตาลงเมื่อจ้องมองหินอ่อนนั่น จากนั้นรอยแยกก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากเขา เมื่อแสงสีดำพวยพุ่งเขาก็มองทะลุผ่านหินอ่อนด่างดำเห็นพลังงานมหึมาบรรจุอยู่ภายใน

“นั่นคืออะไร?” จิ่วโยวถามด้วยความสงสัย หินอ่อนสีดำชิ้นนี้ดูธรรมดามากจากพื้นผิว

“น่าจะเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ ทรงพลังมากเลยทีเดียว” รอยแยกเล็กๆ บนหน้าผากปิดลง มู่เฉินพูดออกมาช้าๆ ด้วยพลังของเนตรดับชีวิตเขาสามารถมองเห็นพลังทรงประสิทธิภาพที่บรรจุอยู่ในหินอ่อนสีดำ ซึ่งพลังนี้ถือว่ายอดเยี่ยมมาก ไม่ด้อยไปกว่าเนตรดับชีวิตของเขาเลย

ความจริงนี้ทำให้มู่เฉินถอนหายใจด้วยความชื่นชม วังสวรรค์บรรพกาลพิเศษอย่างแท้จริง เพียงหินอ่อนชิ้นเดียวก็ทรงพลังได้ถึงเพียงนี้ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย เผชิญหน้ากับวัตถุแบบนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ถูกล่อลวงเอาได้

ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจด้วยความชื่นชม ทั้งโถงก็เกิดจลาจลย่อมๆ แม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่นี่ไม่สามารถบอกได้ว่าหินอ่อนสีดำคืออะไร แต่ก็ยังมีคนที่มีความสามารถพิเศษในการสอดแนมได้ ดังนั้นไม่นานเสียงกระซิบก็ค่อยๆ ดังกึกก้องทำให้เกิดความปั่นป่วนไปหมด

“ฮ่าๆ ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลายอาวุธชิ้นนี้เรียกว่าไข่มุกทะเลเดือดมีเพียงสมาชิกที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่ในวังสวรรค์บรรพกาลเท่านั้นที่จะได้รับเป็นรางวัล นี่เป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่มีพลังในการแยกทะเลอย่างมีประสิทธิภาพ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ไม่กล้าดูถูกเลยทีเดียว” หานเฟยยิ้มตาหยี

ความปั่นป่วนในโถงถูกต้มจนเดือดจากการอธิบายของหานเฟย ผู้คนนับไม่ถ้วนมองไปที่อาวุธเสมือนมหสวรรค์ด้วยสายตาลุกโชน กระทั่งในขั้วอำนาจระดับต้น อาวุธระดับนี้ก็หายากมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไข่มุกทะเลเดือดที่ทรงพลังกว่าอาวุธเสมือนสวรรค์ทั่วไปเลย

“ขอเสนอราคาเริ่มต้นที่ของเหลวจื้อจุนสิบล้านหยด เคาะครั้งหนึ่งต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งล้าน หากใครสนใจก็สามารถเรียกราคาประมูลได้เลย” หานเฟยยิ้ม

เมื่อราคาพูดออกมาก็ทำเอาความโกลาหลหยุดลงทันใด นี่เป็นจำนวนเงินมากพอดู หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากขั้วอำนาจชั้นสูงแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหยิบเงินจำนวนมากออกมาได้ด้วยตัวคนเดียว

นอกจากนี้แม้ว่าพวกเขาจะมี แต่ส่วนใหญ่ก็เก็บไว้ใช้เพื่อการเพาะบ่มขุมพลัง เพราะของเหลวจื้อจุนเป็นสิ่งจำเป็นในการฝึกยุทธ์ หากปราศจากสิ่งนี้ก็จะส่งผลกระทบต่อความเร็วของการฝึกเช่นกัน

แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะชะงักไปด้วยราคาที่สูง แต่ก็มีจอมยุทธ์ชั้นสูงมารวมตัวกันอยู่ในเมืองซีขณะนี้และพวกเขาทั้งหมดก็เตรียมตัวมาอย่างดี ดังนั้นแม้จะเป็นเรื่องที่น่าปวดใจสำหรับราคานี้ แต่เมื่อคิดถึงพลังที่แข็งแกร่งเพียงนั้น พวกเขาก็กัดฟันเสนอราคา

“ของเหลวจื้อจุนสิบเอ็ดล้านหยด!” ที่ชั้นสองชายชุดขาวคนหนึ่งตะเบ็งเสียงออกมา ดึงดูดสายตาและเสียงกระซิบนับไม่ถ้วน

“นั่นประมุขน้อยสำนักหยกทองคำ ว่ากันว่าปัจจุบันเขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุด”

“ไม่แปลกใจเลยที่เขาใจกว้างแบบนี้ ของเหลวจื้อจุนสิบล้านกว่าหยด อาจทำให้ข้าบรรลุขั้นเจ็ดหรือขั้นแปดได้เลย”

ชายชุดสีขาวโบกพัดหยกในมือพลางยิ้มบาง เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่จ้องมองมาที่ตนเองแบบอิจฉา

แต่ก่อนที่เขาจะรักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้นานก็ถูกเสียงหนึ่งรบกวนขึ้น “สิบสองล้านหยด!”

ใบหน้าชายชุดสีขาวแข็งทื่อแล้วก็หันขวับกลับมามอง ก็เห็นชายวัยกลางคนที่มีแผลเป็นนูนบนใบหน้า สายตาดุร้ายประหนึ่งหมาป่า ชัดว่าเป็นคนโหดเช่นกัน

“เฮ นั่นไม่ใช่ประมุขสำนักหมาป่าสวรรค์ตะวันตกเฉียงเหนือรึ? ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาที่นี่…”

มู่เฉินมองฉากตรงหน้าด้วยความสนุก แม้จะถูกล่อลวงโดยไข่มุกทะเลเดือด แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วมการประมูลของชิ้นนี้ เนื่องจากเนตรดับชีวิตไม่ด้อยกว่าไข่มุกดำด่างนั่นเลย ดังนั้นไม่จำเป็นที่เขาจะต้องใช้เงินเพื่อซื้อหา ไม่งั้นต่อให้หอวิหคโลกันตร์จะไม่เหมือนในอดีต แต่ถังปิงคงมีใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำด้วยความโกรธ ถ้านางรู้ว่าเขาโปรยเงินออกไปอย่างสุรุ่ยสุร่ายแค่ไหน

ภายใต้การจ้องมองของคนนับไม่ถ้วนราคาของไข่มุกทะเลเดือดก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสูงจนถึงสิบสี่ล้าน ณ จุดนี้กระทั่งประมุขน้อยสำนักทองคำและประมุขหมาป่าสวรรค์ก็เริ่มหยุด ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปมาด้วยความลังเล

“สิบหกล้าน”

เสียงขี้เกียจดังก้องขึ้นขณะที่ทั้งสองมีท่าทางลังเล สิ่งนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของพวกเขา ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นเซี่ยหงกำลังทำท่าเกียจคร้านอยู่

พอเห็นว่าเซี่ยหงเป็นคนเสนอราคาประมูล ทั้งสองก็เปลี่ยนสีหน้ากระแทกตัวนั่งลง เห็นได้ชัดว่าพวกเขายอมแพ้อย่างไม่เต็มใจ

เพราะพวกเขาไม่สามารถรุกรานแคว้นเซี่ยได้และในแง่ของความมั่งคั่งก็ด้อยกว่าหลายเท่า

เซี่ยหงเหลือบมองทั้งสองคน ก่อนที่จะกวาดสายตาพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “มีใครเสนอราคาที่สูงกว่าข้าไหม?”

ในเสียงของเขาแฝงอาการเยาะเย้ย แม้จะทำให้เกิดความไม่พอใจกับหลายคน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร ของเหลวจื้อจุนสิบหกล้านหยดเทียบเท่ากับผลกำไรทั้งปีของบางขั้วอำนาจเลยทีเดียว

หานเฟยมองทุกคนที่นิ่งเงียบก็คลี่ยิ้ม “ในเมื่อไม่มีใครเสนอราคาที่ดีกว่านี้ ไข่มุกทะเลเดือดชิ้นนี้เป็นขององค์ชายสี่”

เขาปรบมือเบาๆ หญิงสาวก็ถอยหลังลงไปจากแทนประมูล ขณะเดียวกันหญิงสาวคนที่สองก็เดินออกมา

ทุกคนมองไปที่ไข่มุกทะเลเดือดที่จากไปก็ถอนหายใจก่อนที่จะให้ความสนใจกับถาดเงินที่สองต่อ

ผ่านการอุ่นเครื่อง บรรยากาศในการประมูลก็ยกระดับขึ้นอย่างชัดเจน หลายคนถึงกับถูมือเข้าด้วยกัน พวกเขาตื่นเต้นที่จะเห็นว่าถาดเงินลำดับต่อไปคืออะไร

เมื่อเห็นบรรยากาศนี้หานเฟยก็ไม่ชักช้ารีบโบกมือ ม่านพลังบนถาดที่สองหายไป เผยให้เห็นวัตถุภายใน

สายตาของมู่เฉินพุ่งไปที่แท่นประมูลกวาดมองวัตถุชิ้นที่สอง จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสนใจขึ้น

เนื่องจากนั่นมีม้วนทองสำริดโบราณวางอยู่บนถาดเงิน ถึงแม้ว่าม้วนทองสำริดนี้จะดูขาดๆ หายๆ แต่ความผันผวนพิเศษก็ทำให้มู่เฉินเข้าใจว่านี่เป็นแผนภาพค่ายกล ซึ่งอย่างน้อยก็น่าจะอยู่ระดับเทียน

ขณะที่ความสนใจเพิ่มขึ้นในใจมู่เฉิน เสียงผิดหวังกลับดังก้องขึ้นในโถง คิดว่าคนส่วนใหญ่ในที่นี้รู้ว่านี่เป็นภาพค่ายกล ซึ่งจะมีประโยชน์ในมือของหลิงเจิ้นซือเท่านั้น ทว่าจำนวนของหลิงเจิ้นซือก็มีน้อยนัก

“ทุกท่าน ม้วนภาพนี้คือค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร… ล่ำลือกับว่าอยู่ในระดับจงซือ” หานเฟยอธิบายอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นความสนใจของผู้คนลดลง

“ระดับจงซือ?” ความโกลาหลระเบิดตามคำพูดดังกล่าว แม้แต่คนที่ไม่ได้เป็นหลิงเจิ้นซือยังมีแววตื่นตะลึงเขียนบนใบหน้า ค่ายกลระดับจงซือ? นั่นไม่ได้เทียบเท่ากับระดับตี้จื้อจุนหรอกหรือ?

ทุกคนรู้ว่าหลิงเจิ้นจงซือเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ดังนั้นค่ายกลระดับจงซือจึงมีพลังระดับตี้จื้อจุนเลยทีเดียว

นี่คือภาพค่ายกลที่แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดในทวีปเทียนหลัวก็คงไม่มีในครอบครอง แต่ขณะนี้กลับมาปรากฏขึ้นที่นี่รึ?

มู่เฉินก็ตกใจไปก่อนจะขมวดคิ้ว ตามการประเมินของเขา แม้ว่าม้วนภาพจะมีความผันผวนพิเศษปล่อยออกมา แต่ก็ไม่น่าอยู่ในระดับจงซือนะ

“เจ้าบอกว่าภาพค่ายกลนี้อยู่ในระดับจงซือรึ?” มีคนที่มีสายตาเฉียบแหลม ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงถามด้วยความสงสัยหลังจากตรวจสอบไปครู่หนึ่ง

หานเฟยหน้าม้านไปวูบหนึ่งเมื่อได้ยินจากนั้นก็ตอบว่า “แน่นอน ถ้านี่เป็นฉบับเต็มของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็จะเป็นภาพระดับจงซือแท้จริง”

“เจ้ากำลังบอกว่านี่ไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์เรอะ?” ทุกคนที่นี่ไม่โง่ พวกเขาเข้าใจความหมายในคำพูดของหานเฟยทันที

หานเฟยยิ้มแห้ง “ภาพค่ายกลนี้ยังไม่สมบูรณ์ก็จริง แต่ถึงกระนั้นกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดก็มีปัญหาในการเผชิญกับค่ายกลนี้”

เฮ้อ

เสียงผิดหวังดังทั่วโรงประมูล หลายคนถึงกับส่ายหัว พวกเขาไม่ใช่หลิงเจิ้นซือดังนั้นจึงไม่สนใจที่ใช้เงินเพื่อซื้อภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์หรอก

หานเฟยถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้จากนั้นก็เอ่ยว่า “งั้นเริ่มการเสนอราคาวัตถุชิ้นที่สอง การเสนอราคาเริ่มต้นของภาพค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็คือของเหลวจื้อจุนห้าล้านหยด”

ห้าล้านหยดนับว่าถูกกว่าไข่มุกทะเลเดือดครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว แต่น่าแปลกใจที่ไม่มีใครเสนอราคา แม้แต่พวกหลิงเจิ้นซือก็ยังนั่งไตร่ตรองกันอยู่ เนื่องจากพวกเขาไม่มั่นใจในการทำความเข้าใจค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ หากพวกเขาล้มเหลวนี่ก็จะเป็นขยะในมือ

การทิ้งของเหลวจื้อจุนห้าล้านหยดนี้ไปก็ถือเป็นความเจ็บปวดกับกระเป๋าเงิน

ด้วยความคิดเช่นนี้ทั้งโรงประมูลจึงเงียบเสียงลง

เมื่อหานเฟยเห็นสถานการณ์นี้ก็ส่ายหัวช่วยไม่ได้ ทว่าเขารู้ในวัตถุทั้งสี่ชิ้น ภาพค่ายกลเป็นของที่ปล่อยประมูลยากที่สุด

ดังนั้นหลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็เตรียมพูดอีกครั้งเพื่อพยายามปลุกเร้าความสนใจของเหล่าหลิงเจิ้นซือ

แต่ขณะที่เขากำลังจะพูด เสียงอ่อนเยาว์ก็ดังก้องอยู่ในโถง

“หกล้าน”

หานเฟยอึ้งไปก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น ก็เห็นชายหนุ่มหล่อเหลามองมาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด