หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 749

Now you are reading หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler Chapter 749 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เผชิญหน้า

คลื่นหลิงน่ากลัวยังคงแปรปรวนบนท้องฟ้า

ทว่าจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนกำลังตกตะลึงไปตามๆ กันเมื่อเห็นร่างน่ารักปรากฏตัวขึ้น ใครจะคิดว่าเมื่อรัศมีแสงรอบกายของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์หายไป ภาพสาวน้อยตัวเล็กน่ารักจะเผยออกมา…

ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วภูมิภาคทางเหนือ เป็นสาวน้อยงั้นหรือ?

ในขณะนี้ทั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์และแดนร้อยสงครามอยู่ในความตกตะลึง

“นางคือประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์เหรอ?” จิ่วโยว ถังปิงและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ที่เคยเห็นมั่นถัวหลัวในหอวิหคโลกันตร์ต่างฉายความไม่อยากเชื่อในดวงตา เห็นชัดว่าภาพที่เกิดขึ้นสร้างความตื่นตกใจให้พวกเขาไม่น้อย

มู่เฉินก็อึ้งตะลังงันเช่นกัน พักใหญ่กว่าจะเรียกสติคืนมาได้ จากนั้นก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ มิน่าล่ะนางถึงอยู่ในสภาพนิทรารมณ์ในบ่อทองข่ายฟ้าและสามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกจับได้ รวมถึงความแข็งแกร่งอันน่ากลัวของนางด้วย…

ที่แท้นางก็คือประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ลึกลับคนนั้น!

“ก็ว่าทำไมนางถึงปกป้องเรา” จิ่วโยวเหลือบมองมู่เฉินและเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่ใจหินถึงเลือกที่จะปกป้องพวกเขา สาเหตุก็คือเรื่องความสัมพันธ์ของนางกับมู่เฉินนั่นเอง

มู่เฉินยิ้มขื่นไม่ต่างกัน เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นอะไรกับมั่นถัวหลัว เพราะแต่ละคนใช้ผลประโยชน์ต่างตอบแทนเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงรู้สึกซาบซึ้งใจที่นางทนรับแรงกดดันและปกป้องพวกเขาไว้

มั่นถัวหลัวไม่สนใจความโกลาหลที่เกิดขึ้นจากการเปิดเผยตัวตน ดวงตาสีทองคำกวาดมองอย่างเฉยเมย ทำให้ความวุ่นวายของอาณาเขตกงเวทสวรรค์สงบลงในพริบตา

ไม่มีใครกล้ามองเข้าไปที่ม่านตาทองคำ เพราะความไม่แยแสและสูงส่งที่อยู่ภายในทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ภายใต้สายตาไม่แยแสของมั่นถัวหลัว พวกเขาก็ได้สติคืนมา แม้ว่านางจะมีรูปลักษณ์เป็นเด็กสาวตัวเล็กน่ารัก แต่ไม่ว่ารูปลักษณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร นางก็เป็นประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เพียงคำพูดเดียวจากนางก็สามารถชี้เป็นชี้ตายพวกเขาทั้งหมดได้แล้ว

เทียนจิ้วกับหลิงถงมองมั่นถัวหลัวด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนาง มีเพียงซุ่ยนอนที่มีท่าทางสงบ เหมือนรู้ความจริงข้อนี้มานานแล้ว

“ไม่คิดว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่มีชื่อเสียงจะมีรูปลักษณ์เป็นสาวน้อย รสนิยมพิลึกกึกกือ” หลิ่วเทียนเต้ามองมั่นถัวหลัวอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงใส่

เมื่อพลังมาถึงระดับพวกเขาแล้ว ก็มีหลายวิธีในการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตนเอง หลิ่วเทียนเต้าจึงคิดว่ามั่นถัวหลัวตั้งใจเปลี่ยนรูปลักษณ์ตนเอง เพราะทุกคนที่สมองปกติดี ล้วนบอกได้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่มั่นถัวหลัวจะมีขุมพลังตี้จื้อจุนหากรูปลักษณ์นี้เป็นอายุจริงของนาง

เผชิญผน้ากับคำเยาะเย้ย มั่นถัวหลัวก็ยังคงมีท่าทีสงบนิ่งพลางเอ่ยเสียงเรียบ “หลิ่วเทียนเต้า วันนี้ต่อให้ใส่พลังเต็มที่ เจ้าก็พาพวกเขาไปจากมือข้าไม่ได้หรอก ดังนั้นเจ้าไปซะตอนนี้เพื่อไม่ให้เปลืองพลังจะดีกว่า”

หลังจากกลับสู่รูปลักษณ์ที่แท้จริง เสียงแหบพร่าก็ฟังดูกระจ่างใสนุ่มนวลขึ้น แต่ในโสตประสาทของทุกคนกลับให้กลิ่นอายที่ลึกลับยิ่งนัก

เพราะภายใต้ร่างน้อยเสียงนุ่มก็คือจอมยุทธ์ทรงพลังที่เย็นชา

สายตาของหลิ่วเทียนเต้าเย็นเยือกลงหลายส่วน เนื่องจากเขารู้ว่าที่มั่นถัวหลัวพูดไม่ผิด ก่อนหน้าที่พวกเขาประมือกัน เขาก็สัมผัสได้ว่าพลังของมั่นถัวหลัวในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าเขา หากต้องสู้กันจริงๆ เขาคงไม่มีทางเป็นฝ่ายเหนือกว่าหรอก

“ดูเหมือนเจ้าคิดจะทำลายความสัมพันธ์กับตำหนักสุดนภาจริงๆ สินะ” หลิ่วเทียนเต้าเอ่ยเสียงเข้ม

“ไม่ใช่ว่าพังไปนานแล้วหรือ?” รอยยิ้มเยาะโค้งขึ้นบนริมฝีปากของมั่นถัวหลัว

“ฮ่าๆ ดีมาก” หลิ่วเทียนเต้าหัวเราะด้วยความโกรธพลางพยักหน้า สายตามองมั่นถัวหลัวอย่างน่าขนลุกเอ่ยว่า “จำคำพูดวันนี้ไว้ให้ดี ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ข้าหวังว่าเจ้ายังจะแข็งกร้าวเช่นนี้ได้ถึงตอนเปิดสงครามล่านะ”

ทันทีที่พูดประโยคดังกล่าว สีหน้าของเทียนจิ้วกับคนที่เหลือก็เปลี่ยนไป สงครามล่าโหดร้ายยิ่งนัก ทุกครั้งจะมีขั้วอำนาจชั้นยอดล่มสลายลงไม่เว้นวัน และอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็มีศัตรูไม่น้อย พอบวกตำหนักสุดนภาเข้าไปด้วย งานนี้ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับพวกเขาเลย

ทว่าเผชิญกับคำขู่ของหลิ่วเทียนเต้า มั่นถัวหลัวยังคงเฉยเมยและท่าทางนี้ก็ทำให้อารมณ์ของหลิ่วเทียนเต้าดิ่งลงยิ่งกว่าเดิม

ชายชุดขาวที่ยืนข้างหลิ่วเทียนเต้าที่โจมตีมู่เฉินก่อนหน้าแต่ถูกจิ่วโยวขัดขวางไว้ก็กล่าวเสียงเรียบขึ้น “ดูเหมือนเจ้าจะเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ตอนนี้สินะ”

มู่เฉินขมวดคิ้วมองชายชุดขาว เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายบางจางจากอีกฝ่าย คนผู้นี้มีฝีมือน่าสะพรึงมากแน่

“แกเป็นใคร?” มู่เฉินถาม

“หลิ่วเหยียนแห่งตำหนักสุดนภา” ชายชุดขาวยิ้ม

ดวงตาจิ่วโยวหดเกร็งเอ่ยเสียงเบา “เขาเป็นประมุขน้อยตำหนักสุดนภา พี่ชายของหลิ่วหมิง มิน่าล่ะเขาถึงแข็งแกร่งเช่นนี้ ลือกันว่าเขาเป็นยอดยุทธ์โดดเด่นแม้กระทั่งในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ พลังแก่กล้ายิ่งกว่าหลิ่วหมิงไม่รู้กี่เท่า”

หัวใจของมู่เฉินสั่นไหวเล็กน้อย ก้างชิ้นโตจริงๆ

“ดูเหมือนวันนี้ข้าจะไม่สามารถทำลายวรยุทธเจ้าได้ แต่ก็ไม่สำคัญ ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเข้าร่วมศึกเขตหลงเฟิ่งในฐานะตัวแทนอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นเราได้พบกันใหม่ที่นั่นแน่” หลิ่วเหยียนส่งยิ้มบางที่บรรจุด้วยไอเย็นเยือกถึงกระดูกให้มู่เฉิน

มู่เฉินหรี่ตาลง หลิ่วเหยียนมีวิสัยทัศน์ไม่น้อย หลังจากจบศึกในวันนี้ ชื่อเสียงของเขาในฐานะแม่ทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ถือว่าไปถึงจุดสูงสุดแล้ว มากจนแม้แต่สูชิงกับโจวเยี่ยก็เทียบไม่ได้ ดังนั้นเขาจะต้องได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการประลองในเขตหลงเฟิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าแน่นอน

ตัดสินจากสถานการณ์ปัจจุบัน หลิ่วเหยียนคงจะเข้าร่วมงานด้วย ดังนั้นหากเกิดการปะทะกันในเวลานั้น ก็จะไม่มีใครที่สามารถช่วยเหลือเขาได้อีก

ทว่า…หลิ่วเหยียนทำกับเขาเหมือนคนอ่อนแอไปได้

มู่เฉินยิ้มอ่อนมองหลิ่วเหยียนโดยไม่มีความหวาดกลัวใดๆ ในดวงตา “ถึงตอนนั้นจะได้เห็นกัน แต่ข้าต้องขอเตือนเจ้าก่อนว่าระวังตัวอย่ากลายเป็นหินรองเท้าคนอื่นล่ะ ถ้าเกิดเรื่องอย่างนั้นข้าคงเสียใจน่าดู”

“ฮ่าๆ”

หลิ่วเหยียนหัวเราะพลางตีพัดเข้ากับฝ่ามือ เขาไม่พูดอะไรทำเพียงยกยิ้มเยาะที่มุมปาก แสดงท่าทางไม่สนและดูถูก

เห็นได้ว่าหลิ่วเหยียนไม่ได้วางชายหนุ่มที่เพิ่งแสดงพลังน่าตกใจเมื่อครู่อยู่ในสายตาเลย ไม่ใช่เพราะเขาหยิ่ง แต่เขามีสิทธิ์ที่จะทำต่างหาก

เพราะเขาคือประมุขตำหนักสุดนภาในอนาคต

หลิ่วเทียนเต้าพอใจกับคำพูดของหลิ่วเหยียน อย่างน้อยพวกเขาก็ได้หน้ากลับคืนมาบ้าง แม้พวกเขายังต้องรอให้ศึกเขตหลงเฟิ่งเริ่มต้น แต่ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่มู่เฉินกล้าไปเข้าร่วมการ มันก็ต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่น!

และถ้ามันสละสิทธ์ที่จะเข้าร่วมงานเพราะเกิดความกลัว หลิ่วเทียนเต้าก็จะประจานอาณาเขตกงเวทสวรรค์ให้ได้รับความอับอาย

“ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ครั้งนี้ถือว่าเจ้าชนะ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะยิ้มได้จนถึงตอนสุดท้ายนะ”

หลิ่วเทียนเต้าเหลือบมองมั่นถัวหลัว อึดใจรอยยิ้มเยาะก็ผุดขึ้นขณะเอ่ยเสียงเรียบ “จริงสิ ข้าได้ยินว่าไม่นานมานี้โยวมิ่งแห่งจวนยมโลกออกจากการเก็บตัวแล้ว ดูเหมือนกำลังวางแผนล้างแค้นที่เจ้าทำร้ายเขาอยู่น่ะ…”

เมื่อชื่อของโยวมิ่งถูกกล่าวถึง ในที่สุดสีท่าทางไม่แยแสของมั่นถัวหลัวก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

มู่เฉินขมวดคิ้ว ตอนนี้เขาทราบข้อมูลของขั้วอำนาจน้อยใหญ่ในภูมิภาคทางเหนือบ้างแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าจวนยมโลกทรงพลังเพียงใด ที่นั่นเป็นขั้วอำนาจชั้นยอดเก่าแก่ที่ผ่านสงครามล่ามาสามถึงสี่ครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังที่น่ากลัวของพวกเขา

ส่วนโยวมิ่งคือประมุขจวนยมโลกที่มีพลังลึกล้ำยากหยั่งถึง ไม่คิดเลยว่าโยวมิ่งจะมีความแค้นกับมั่นถัวหลัวด้วย ดูเหมือนทวีปเทียนหลัวนี้จะเต็มไปด้วยอันตรายทุกฝีก้าวเลยทีเดียว

เมื่อหลิ่วเทียนเต้าเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของมั่นถัวหลัว เขาก็หัวเราะร่าจากนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อพลางโบกมือ ลำแสงห่อหุ้มร่างหลิ่วเหยียนกับหลิ่วหมิง ก่อนจะหายตัวเข้าไปในมิติบิดเบี้ยว

มั่นถัวหลัวมองหลิ่วเทียนเต้าออกไปด้วยสายตาเยือกเย็น แต่สุดท้ายนางก็ส่งเสียงเย็นขึ้นจมูกเบนม่านตาสีทองคำเย็นเยือกไปยังกลุ่มเฒ่าเร้นกระบี่ฝั่งแดนร้อยสงคราม

เมื่อไม่มีหลิ่วเทียนเต้าหนุนหลัง เฒ่าเร้นกระบี่และคนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงจิตใจอ่อนแอกวนขึ้นในหัวใจ ไม่กล้าสบตามั่นถัวหลัวสักนิด

“พวกเจ้ามีเวลาสามวันส่งของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยดและเมืองหนึ่งพันเมือง หากล่าช้าละก็ ข้าจะเคาะประตูสำนักล้างบางให้เหี้ยน!” เสียงเรียบเฉยของมั่นถัวหลัวดังก้องฟ้า กลับทำให้จอมยุทธ์แดนร้อยสงครามอกสั่นขวัญแขวนไปหมด

พูดจบประโยค มั่นถัวหลัวก็ไม่เอ่ยอะไรอีก นางหมุนตัวกลับเหลือบมองมู่เฉินด้วยม่านตาสีทองคำ ก่อนที่ร่างเล็กจะหายไปในอากาศ

“ถอนทัพ”

เมื่อนางหายตัวไป เสียงเรียบเฉยก็ดังสะท้อนขึ้น

จอมพลทั้งสามโบกมือ สั่งให้กองทัพใหญ่จัดทัพกลับ พริบตาเดียวเสียงหวีดหวิวก็ดังขึ้นในอากาศ ช่างเป็นภาพที่ตระการตานัก

เฒ่าเร้นกระบี่และคนที่เหลือมองกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่กลับไปด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ อดไม่ได้ที่จะสบถพลางกัดฟันกรอด “เป็นเพราะความผิดของไอ้เด็กเวรนั่นแท้ๆ!”

หากไม่ใช่เพราะชัยชนะของมู่เฉินยกสุดท้าย แดนร้อยสงครามก็คงไม่อยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนี้หรอก!

ริมฝีปากของปีศาจภูเขาศพสั่นระริกขณะที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าขนลุก “ปล่อยให้พวกมันเสพสุขไปสักระยะหนึ่งเถอะ ศึกเขตหลงเฟิ่งเริ่มเมื่อไร ไอ้เด็กเวรนั่นตายสถานเดียว”

จอมยุทธ์มากมายพากันพยักหน้าพลางแสยะยิ้ม ชัดว่าในสายตาพวกเขา เมื่อมู่เฉินเผชิญกับหลิ่วเหยียน จุดจบก็ได้รับการตัดสินแล้ว

สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดของอัจฉริยะก็คือการเจอกับอัจฉริยะยิ่งกว่า

และในสายตาของพวกเขา มู่เฉินคือฝ่ายแรก ส่วนหลิ่วเหยียนชัดว่าคือฝ่ายหลัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด