หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1546 ศพดำ

Now you are reading หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler Chapter 1546 ศพดำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ลั่วหลี?!”

เมื่อมองไปที่ร่างสะคราญโฉม ทุกคนที่รู้จักนางก็อุทานด้วยความไม่เชื่อในสายตา

“ลั่วหลี?”

เหล่าศิษย์ปัจจุบันของสำนักศึกษาเป่ยชางไม่ค่อยคุ้นเคยกับชื่อนี้ แต่กระนั้นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เนื่องจากหญิงสาวคนนี้สามารถสังหารราชันปีศาจสามคนเพียงแค่ปรากฏตัวขึ้น พลังของนางน่าสะพรึงกลัวมาก

“ตะ… แต่นาง…สวยมาก!”

ศิษย์ทั้งชายและหญิงหลายคนดวงตาแดงเรื่อ เนื่องจากหญิงสาวที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าช่างโดดเด่นเหลือล้น ท่วงท่ากิริยาและรูปร่างหน้าตาน่าตกใจจริงๆ

เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วดาวเด่นคนอื่นๆ ในสำนักศึกษาก็ดูจืดชืดไปเลย

“นั่นคือ…พี่ใหญ่ลั่วหลี”

เยี่ยสุนเอ๋อฉายความสุขบนใบหน้าขณะพึมพำด้วยความตื่นเต้น

“พี่ใหญ่สุนเอ๋อ นางเป็นใครเหรอ?” สมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วที่อยู่โดยรอบอดถามไม่ได้ แต่ละคนกำลังเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่แล้ว แต่ทั้งหมดก็ต้องหันไปมองภาพเงางดงามที่เพิ่งมาถึง พวกเขารู้สึกว่าชื่อของนางคุ้นเคยนัก

“เจ้าเด็กโง่ทั้งหลาย!” เยี่ยสุนเอ๋อกลอกตาขณะที่ยืดอกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าบอกพวกเจ้าหลายครั้งแล้วไม่ใช่รึ? ผู้ก่อตั้งชุมนุมเทพธิดาลั่วของเรามีสองคน พี่ใหญ่มู่เฉินและพี่ใหญ่ลั่วหลี!”

เหล่าสมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วตาโตเท่าไข่ห่าน ขณะมองไปที่ร่างสะคราญโฉมด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “โอ้สวรรค์! งั้นนางก็คือพี่ใหญ่ลั่วหลี หนึ่งในผู้ก่อตั้งชุมนุมของเรา!”

“ว้าว ศิษย์พี่ลั่วหลีทรงพลังมาก! แม้แต่ราชันปีศาจก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง!” ความเคารพเทิดทูนเผยออกมาจากดวงตาของเด็กสาวหลายคน

“นางสวยอะไรอย่างนี้…” เด็กผู้ชายหลายคนใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ พวกเขาอึ้งไปกับความงดงามของนาง อยากจะมองแต่ก็ไม่กล้า

ชุมนุมอื่นๆ ก็ปรายสายตามองมาด้วยความอิจฉา ยิ่งทำให้สมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วเหยียดตัวราวกับขึ้นแท่นรับรางวัลท่าทางภาคภูมิใจมาก โดยปกติแล้วแต่ละชุมนุมก็จะแข่งขันกันเสมอ แต่ในเรื่องผู้ก่อตั้งชุมนุม พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหน้าลง

“ไม่คิดว่า…นางจะทรงพลังมากขนาดนี้” เสิ่นชิงเสิง หลี่เฉวียนทงและคนอื่นๆ มองไปที่หญิงสาวด้วยสายตาซับซ้อนพลางถอนหายใจ

เมื่อก่อนพลังของลั่วหลีเทียบได้กับพวกเขา แต่หลังจากผ่านไปหลายปีพวกเขายังคงต้องบากบั่นเพื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ส่วนลั่วหลีสามารถฆ่าราชันปีศาจได้ง่ายดายด้วยการพลิกฝ่ามือ

“ลั่วหลีมีโชคชะตะของตัวเอง แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจ อีกไม่กี่ปีเราก็สามารถไปถึงระดับเทียนจื้อจุนแล้วเช่นกัน” เวินชิงเฉวียนไม่ตกใจ ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นขณะมองไปที่ลั่วหลี

เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนและคนอื่นก็เป็นคนมีจิตใจแน่วแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

“การมาของลั่วหลี สถานการณ์น่าจะดีขึ้นมาก”

ภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย เมื่อลั่วหลีรู้สึกได้ถึงพลังงานที่สงบลงภายในร่างของเป่ยหมิง นางก็ถอนมือกลับ

ตอนนี้เป่ยหมิงฟื้นคืนจากอาการตกใจมองไปที่ลั่วหลีด้วยความสับสน ก่อนจะประสานมือเข้าหากัน “ขอบคุณท่านจอมยุทธ์”

ทว่าเมื่อพิจารณาจากแววตาเขาก็ดูเหมือนยังจำลั่วหลีไม่ได้ เนื่องจากในตอนนั้นลั่วหลียังเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก แม้ว่าจะงดงามแต่ก็เยาว์วัยนัก แต่ตอนนี้ลั่วหลีที่ได้ฝึกฝนร่างเทพวารีและอารมณ์ก็มีเฉกเช่นคนทั่วไปดูสมบูรณ์แบบมาก

ลั่วหลีตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์ลั่วหลีเคยศึกษาที่สำนักด้วย ย้อนกลับไปตอนนั้นร่างเทพสายฟ้าที่มู่เฉินได้รับการฝึกฝนก็ถูกถ่ายทอดโดยท่านนะเจ้าค่ะ”

“มู่เฉิน…”

เป่ยหมิงอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้พลางอุทานออกมาด้วยความตกใจ “อา เจ้าก็คือ…คนรักตัวน้อยที่อยู่ข้างกายมู่เฉิน…”

ขณะที่พูดเป่ยหมิงก็ยิ้มเขิน เพราะลั่วหลีเติบโตขึ้นอย่างงดงามและช่างเหมือนเป็นการดูหมิ่นสำหรับเขาที่จะพูดคุยกับนางแบบไม่เป็นทางการ

ทว่าลั่วหลีไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ รอยยิ้มหวานประดับอยู่บนริมฝีปากนาง มู่เฉินและนางมีความทรงจำงดงามอยู่ที่นี่

ฟิ้ว!

ไท่ชางก็เร่งรุดเข้ามาหาเป่ยหมิงพลางมองไปที่ลั่วหลีแล้วก็ถอนหายใจ “ไม่คิดว่าสาวน้อยในตอนนั้นจะทรงพลังมากขนาดนี้แล้ว”

“ลั่วหลี ในนามสำนักศึกษาเป่ยชางข้าขอเป็นตัวแทนขอบคุณ”

ลั่วหลีรีบเข้าไปหยุดการกระทำของไท่ชางไว้พลางยิ้ม “อาจารย์ใหญ่ ข้าก็เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเป่ยชาง ในเมื่อสำนักกำลังประสบภัย ข้าไม่ควรมาช่วยรึ? หรือว่าท่านอาจารย์ใหญ่ไม่คิดว่าข้าเป็นศิษย์แล้ว”

พอได้ยินคำพูดลั่วหลี ไท่ชางก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าน่าเกรงขามมากนะเนี่ย”

ลั่วหลียิ้มอ่อนโยนก่อนที่จะหันกลับไปมองรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากด้านนอกสำนัก ในบรรดาราชันปีศาจทั้งเจ็ด นางสังหารไปสามคนแล้ว ทำให้อีกสี่คนมองมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“พวกแกบังอาจกล้าต่อต้าน!” ราชันปีศาจทั้งสี่มองไปที่ลั่วหลีอย่างเย็นชา

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกข้าจะมอบความสยองขวัญให้กับทุกคนที่นี่!”

เมื่อได้ยินคำพูดพล่านด้วยเจตนาฆ่า ท่าทางของทุกคนก็เปลี่ยนไป

มีเพียงลั่วหลีเท่านั้นที่มีสีหน้าสงบขณะกวาดสายตามองราชันปีศาจทั้งสี่ “เป็นเพียงราชันปีศาจต๊อกต๋อยกลับกล้าพูดแบบนี้งั้นเหรอ? ไปเรียกจอมปีศาจออกมาพูดดีกว่านะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วหลี สายตาของราชันปีศาจทั้งสี่ก็ดุร้ายยิ่งขึ้นขณะที่จ้องเขม็ง

ฮึ่ม!

ขณะที่พวกเขากำลังจะเริ่มโจมตี ทันใดนั้นความปั่นป่วนก็พลุ่งพล่านเข้ามา พวกเขาเห็นร่างแสงหลายร่างทะยานข้ามขอบฟ้าก่อนที่รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากจะฉีกออกจากกัน จากนั้นก็พลิ้วตัวลงข้างๆ ลั่วหลี

“ลั่วหลี เจ้าเร็วมากเลย…” หลินจิ้งอ้าปากหอบหายใจ พอรู้ข่าวลั่วหลีก็เร่งความเร็วมาที่สำนักศึกษาเป่ยชางอย่างเต็มพิกัด

ลั่วหลีช่วยลูบหลังให้หลินจิ้งเบาๆ พลางหันไปหาเซียวเซียว “จัดการทุกอย่างเรียบร้อยหรือยัง?”

เซียวเซียวพยักหน้าตอบว่า “จอมยุทธ์คนอื่นรีบเร่งไปยังสถานที่ที่ถูกโจมตีอื่นแล้วน่ะ”

ลั่วหลีพยักหน้าตอบว่า “งั้นเราก็จัดการที่นี่ให้เรียบร้อยกันเถอะ”

“ปล่อยไอ้สี่ตัวนั่นเป็นหน้าที่ข้าสองคนเอง” เซียวเซียวมองไปที่ราชันปีศาจทั้งสี่พร้อมกับแสงพราววูบไหวในนัยน์ตา กระทั่งดวงตาของหลินจิ้งก็โชนแสงขณะพยักหน้า

“ได้ พวกเจ้าระวังตัวด้วย” ลั่วหลีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นางรู้ดีว่าไม่มีปัญหาอะไรที่ทั้งสองคนจะเผชิญหน้ากับราชันปีศาจทั้งสี่

เซียวเซียวและหลินจิ้งแลกเปลี่ยนสายตากันจากนั้นก็ทะยานออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงพลุ่งพล่านรอบตัวครอบคลุมร่างราชันปีศาจแยกเป็นสองฝั่งไว้

“นังสารเลวรนหาที่ตาย!”

ราชันปีศาจทั้งสี่คำราม รัศมีปีศาจพวยพุ่งขึ้นรอบตัวขณะที่พุ่งใส่เซียวเซียวและหลินจิ้ง

ตู้ม ตู้ม!

การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายระเบิดออก ทำให้ภูเขาสั่นไหวเมื่อคลื่นกระแทกรุนแรงกวาดออกไป

ภายในสำนักศึกษาเป่ยชาง ทุกคนเฝ้าดูการประจัญบานนี้ด้วยท่าทางกังวล

ในการต่อสู้ทุกคนสามารถบอกได้อย่างคลุมเครือว่าแม้ว่าเซียวเซียวและหลินจิ้งจะต่อสู้แบบสองต่อหนึ่ง แต่หญิงสาวทั้งสองคนก็ยังได้เปรียบ ดังนั้นทุกคนจึงฉายความสุขบนใบหน้า

ลั่วหลีมองไปก่อนที่จะถอนสายตากลับ หันไปมองที่รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากเบื้องหลังพร้อมกับกะพริบตา

“สายสวรรค์กลืนกิน!”

รัศมีสีรุ้งกำจายออกมาจากเซียวเซียวซัดราชันปีศาจสองคนถลาออกไป จากนั้นนางก็วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ทันใดนั้นแสงพร่างพราวก็กลายเป็นอสรพิษขนาดใหญ่อ้าปากงับร่างราชันปีศาจคนหนึ่ง

ขณะที่รัศมีพรั่งพรูเสียงแผดร้องก็ดังก้องจากอสรพิษสีรุ่งก่อนที่รัศมีราชันปีศาจจะหายไป

“แส้หยกสุดฟ้า!”

หลินจิ้งก็ลงมือเต็มที่ มือกระตุก รัศมีหยกรวมตัวกันเป็นแส้ยาวกวาดไปที่ศีรษะราชันปีศาจคนหนึ่ง ร่างกายมันแตกสลายทันที

หญิงสาวสองคนเป็นธิดาเทพจักรพรรดิจึงทรงพลังตามธรรมชาติ ไม่มีใครในระดับเดียวกันสามารถเทียบพวกนางได้

“สุดยอด!”

เสียงร้องดังขึ้นจากสำนักศึกษาเป่ยชางกับฉากนี้

ราชันปีศาจอีกสองคนต่างครั่นครามในตัวหญิงสาวทั้งสอง พวกเขาเริ่มถอยหนีด้วยความหวาดหวั่น

“คิดหนีเรอะ?”

เซียวเซียวและหลินจิ้งหัวเราะเสียงพลิ้วขณะที่อสรพิษและแส้ซัดออกมาอีกครั้ง

เมื่อเห็นการโจมตีรุนแรงพุ่งมาหา ใบหน้าของราชันปีศาจทั้งสองก็ถอดสีขณะที่ร้องลั่น “นายท่านโปรดช่วยเราด้วย!”

เมื่อเสียงร้องตะโกนดังก้อง ดวงตาเย็นชาคู่หนึ่งก็เปิดขึ้นภายในรัศมีปีศาจ เสียงเยือกเย็นแผดออก

“สวะจริงๆ”

พุ่งตามเสียงมา มือปีศาจขาวซีดก็ยื่นออกกวาดเบาๆ ทำลายอสรพิษสีรุ้ง แม้แต่แส้ก็หม่นแสงลงถูกพัดออกไป

เมื่อมือขาวซีดส่งร่างเซียวเซียวกับหลินจิ้งออกไป ก่อนที่ราชันปีศาจทั้งสองจะได้ชื่นชมยินดี มือซีดขาวก็ยื่นออกไปจับพวกเขาบดขยี้ ความสุขแข็งค้างอยู่บนใบหน้าพวกเขา…

ฉากโหดร้ายนี้ทำให้ทุกคนในสำนักศึกษาเป่ยชางหายใจเข้าลึก

แม้แต่ใบหน้าของเซียวเซียวและหลินจิ้งก็เปลี่ยนไปเมื่อมองไปที่รัศมีปีศาจไร้ขอบเขต พวกนางสามารถสัมผัสได้ถึงการตื่นขึ้นของรัศมีปีศาจที่น่ากลัว

เวลาเดียวกันลั่วหลีก็หดตาลงเอ่ยออกมาช้าๆ “ในที่สุดแกก็ยอมเผยโฉมหน้าแล้วหรือ?”

นางรู้สึกได้ถึงความผันผวนของรัศมีปีศาจที่ลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้ตั้งแต่ก่อนหน้า ชัดว่าต้องมีปีศาจทรงพลังซ่อนอยู่ภายใน

ทั้งสวรรค์และโลกเงียบงัน

รัศมีปีศาจแปรปรวนค่อยๆ หายไปทีละชั้น จากนั้นทุกคนก็ต้องหดดวงตาเมื่อเห็นบัลลังก์ที่ทำจากกระดูกสีขาวพร้อมกับทะเลศพและเลือดกระฉอกอยู่ข้างใต้

บนบัลลังก์ร่างปีศาจขาวซีดนั่งอยู่ซึ่งปกคลุมไปด้วยกลิ่นไอศพดำไร้ขอบเขต เขาคล้ายกับมัจจุราชน่ากลัวนั่งอยู่ที่นั่น

เมื่อเห็นร่างนี้ ลั่วหลี เซียวเซียวและหลินจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงสีหน้าร้องอุทานว่า

“นั่นคือ…จอมปีศาจเฮยซือเทียน?!”

“บ้าเอ้ย ทำไมแม้แต่ไอ้ศพดำนี่ก็แอบเข้ามาในมหาพันภพ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1546 ศพดำ

Now you are reading หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler Chapter 1546 ศพดำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ลั่วหลี?!”

เมื่อมองไปที่ร่างสะคราญโฉม ทุกคนที่รู้จักนางก็อุทานด้วยความไม่เชื่อในสายตา

“ลั่วหลี?”

เหล่าศิษย์ปัจจุบันของสำนักศึกษาเป่ยชางไม่ค่อยคุ้นเคยกับชื่อนี้ แต่กระนั้นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เนื่องจากหญิงสาวคนนี้สามารถสังหารราชันปีศาจสามคนเพียงแค่ปรากฏตัวขึ้น พลังของนางน่าสะพรึงกลัวมาก

“ตะ… แต่นาง…สวยมาก!”

ศิษย์ทั้งชายและหญิงหลายคนดวงตาแดงเรื่อ เนื่องจากหญิงสาวที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าช่างโดดเด่นเหลือล้น ท่วงท่ากิริยาและรูปร่างหน้าตาน่าตกใจจริงๆ

เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วดาวเด่นคนอื่นๆ ในสำนักศึกษาก็ดูจืดชืดไปเลย

“นั่นคือ…พี่ใหญ่ลั่วหลี”

เยี่ยสุนเอ๋อฉายความสุขบนใบหน้าขณะพึมพำด้วยความตื่นเต้น

“พี่ใหญ่สุนเอ๋อ นางเป็นใครเหรอ?” สมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วที่อยู่โดยรอบอดถามไม่ได้ แต่ละคนกำลังเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่แล้ว แต่ทั้งหมดก็ต้องหันไปมองภาพเงางดงามที่เพิ่งมาถึง พวกเขารู้สึกว่าชื่อของนางคุ้นเคยนัก

“เจ้าเด็กโง่ทั้งหลาย!” เยี่ยสุนเอ๋อกลอกตาขณะที่ยืดอกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าบอกพวกเจ้าหลายครั้งแล้วไม่ใช่รึ? ผู้ก่อตั้งชุมนุมเทพธิดาลั่วของเรามีสองคน พี่ใหญ่มู่เฉินและพี่ใหญ่ลั่วหลี!”

เหล่าสมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วตาโตเท่าไข่ห่าน ขณะมองไปที่ร่างสะคราญโฉมด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “โอ้สวรรค์! งั้นนางก็คือพี่ใหญ่ลั่วหลี หนึ่งในผู้ก่อตั้งชุมนุมของเรา!”

“ว้าว ศิษย์พี่ลั่วหลีทรงพลังมาก! แม้แต่ราชันปีศาจก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง!” ความเคารพเทิดทูนเผยออกมาจากดวงตาของเด็กสาวหลายคน

“นางสวยอะไรอย่างนี้…” เด็กผู้ชายหลายคนใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ พวกเขาอึ้งไปกับความงดงามของนาง อยากจะมองแต่ก็ไม่กล้า

ชุมนุมอื่นๆ ก็ปรายสายตามองมาด้วยความอิจฉา ยิ่งทำให้สมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วเหยียดตัวราวกับขึ้นแท่นรับรางวัลท่าทางภาคภูมิใจมาก โดยปกติแล้วแต่ละชุมนุมก็จะแข่งขันกันเสมอ แต่ในเรื่องผู้ก่อตั้งชุมนุม พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหน้าลง

“ไม่คิดว่า…นางจะทรงพลังมากขนาดนี้” เสิ่นชิงเสิง หลี่เฉวียนทงและคนอื่นๆ มองไปที่หญิงสาวด้วยสายตาซับซ้อนพลางถอนหายใจ

เมื่อก่อนพลังของลั่วหลีเทียบได้กับพวกเขา แต่หลังจากผ่านไปหลายปีพวกเขายังคงต้องบากบั่นเพื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ส่วนลั่วหลีสามารถฆ่าราชันปีศาจได้ง่ายดายด้วยการพลิกฝ่ามือ

“ลั่วหลีมีโชคชะตะของตัวเอง แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจ อีกไม่กี่ปีเราก็สามารถไปถึงระดับเทียนจื้อจุนแล้วเช่นกัน” เวินชิงเฉวียนไม่ตกใจ ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นขณะมองไปที่ลั่วหลี

เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนและคนอื่นก็เป็นคนมีจิตใจแน่วแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

“การมาของลั่วหลี สถานการณ์น่าจะดีขึ้นมาก”

ภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย เมื่อลั่วหลีรู้สึกได้ถึงพลังงานที่สงบลงภายในร่างของเป่ยหมิง นางก็ถอนมือกลับ

ตอนนี้เป่ยหมิงฟื้นคืนจากอาการตกใจมองไปที่ลั่วหลีด้วยความสับสน ก่อนจะประสานมือเข้าหากัน “ขอบคุณท่านจอมยุทธ์”

ทว่าเมื่อพิจารณาจากแววตาเขาก็ดูเหมือนยังจำลั่วหลีไม่ได้ เนื่องจากในตอนนั้นลั่วหลียังเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก แม้ว่าจะงดงามแต่ก็เยาว์วัยนัก แต่ตอนนี้ลั่วหลีที่ได้ฝึกฝนร่างเทพวารีและอารมณ์ก็มีเฉกเช่นคนทั่วไปดูสมบูรณ์แบบมาก

ลั่วหลีตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์ลั่วหลีเคยศึกษาที่สำนักด้วย ย้อนกลับไปตอนนั้นร่างเทพสายฟ้าที่มู่เฉินได้รับการฝึกฝนก็ถูกถ่ายทอดโดยท่านนะเจ้าค่ะ”

“มู่เฉิน…”

เป่ยหมิงอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้พลางอุทานออกมาด้วยความตกใจ “อา เจ้าก็คือ…คนรักตัวน้อยที่อยู่ข้างกายมู่เฉิน…”

ขณะที่พูดเป่ยหมิงก็ยิ้มเขิน เพราะลั่วหลีเติบโตขึ้นอย่างงดงามและช่างเหมือนเป็นการดูหมิ่นสำหรับเขาที่จะพูดคุยกับนางแบบไม่เป็นทางการ

ทว่าลั่วหลีไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ รอยยิ้มหวานประดับอยู่บนริมฝีปากนาง มู่เฉินและนางมีความทรงจำงดงามอยู่ที่นี่

ฟิ้ว!

ไท่ชางก็เร่งรุดเข้ามาหาเป่ยหมิงพลางมองไปที่ลั่วหลีแล้วก็ถอนหายใจ “ไม่คิดว่าสาวน้อยในตอนนั้นจะทรงพลังมากขนาดนี้แล้ว”

“ลั่วหลี ในนามสำนักศึกษาเป่ยชางข้าขอเป็นตัวแทนขอบคุณ”

ลั่วหลีรีบเข้าไปหยุดการกระทำของไท่ชางไว้พลางยิ้ม “อาจารย์ใหญ่ ข้าก็เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเป่ยชาง ในเมื่อสำนักกำลังประสบภัย ข้าไม่ควรมาช่วยรึ? หรือว่าท่านอาจารย์ใหญ่ไม่คิดว่าข้าเป็นศิษย์แล้ว”

พอได้ยินคำพูดลั่วหลี ไท่ชางก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าน่าเกรงขามมากนะเนี่ย”

ลั่วหลียิ้มอ่อนโยนก่อนที่จะหันกลับไปมองรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากด้านนอกสำนัก ในบรรดาราชันปีศาจทั้งเจ็ด นางสังหารไปสามคนแล้ว ทำให้อีกสี่คนมองมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“พวกแกบังอาจกล้าต่อต้าน!” ราชันปีศาจทั้งสี่มองไปที่ลั่วหลีอย่างเย็นชา

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกข้าจะมอบความสยองขวัญให้กับทุกคนที่นี่!”

เมื่อได้ยินคำพูดพล่านด้วยเจตนาฆ่า ท่าทางของทุกคนก็เปลี่ยนไป

มีเพียงลั่วหลีเท่านั้นที่มีสีหน้าสงบขณะกวาดสายตามองราชันปีศาจทั้งสี่ “เป็นเพียงราชันปีศาจต๊อกต๋อยกลับกล้าพูดแบบนี้งั้นเหรอ? ไปเรียกจอมปีศาจออกมาพูดดีกว่านะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วหลี สายตาของราชันปีศาจทั้งสี่ก็ดุร้ายยิ่งขึ้นขณะที่จ้องเขม็ง

ฮึ่ม!

ขณะที่พวกเขากำลังจะเริ่มโจมตี ทันใดนั้นความปั่นป่วนก็พลุ่งพล่านเข้ามา พวกเขาเห็นร่างแสงหลายร่างทะยานข้ามขอบฟ้าก่อนที่รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากจะฉีกออกจากกัน จากนั้นก็พลิ้วตัวลงข้างๆ ลั่วหลี

“ลั่วหลี เจ้าเร็วมากเลย…” หลินจิ้งอ้าปากหอบหายใจ พอรู้ข่าวลั่วหลีก็เร่งความเร็วมาที่สำนักศึกษาเป่ยชางอย่างเต็มพิกัด

ลั่วหลีช่วยลูบหลังให้หลินจิ้งเบาๆ พลางหันไปหาเซียวเซียว “จัดการทุกอย่างเรียบร้อยหรือยัง?”

เซียวเซียวพยักหน้าตอบว่า “จอมยุทธ์คนอื่นรีบเร่งไปยังสถานที่ที่ถูกโจมตีอื่นแล้วน่ะ”

ลั่วหลีพยักหน้าตอบว่า “งั้นเราก็จัดการที่นี่ให้เรียบร้อยกันเถอะ”

“ปล่อยไอ้สี่ตัวนั่นเป็นหน้าที่ข้าสองคนเอง” เซียวเซียวมองไปที่ราชันปีศาจทั้งสี่พร้อมกับแสงพราววูบไหวในนัยน์ตา กระทั่งดวงตาของหลินจิ้งก็โชนแสงขณะพยักหน้า

“ได้ พวกเจ้าระวังตัวด้วย” ลั่วหลีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นางรู้ดีว่าไม่มีปัญหาอะไรที่ทั้งสองคนจะเผชิญหน้ากับราชันปีศาจทั้งสี่

เซียวเซียวและหลินจิ้งแลกเปลี่ยนสายตากันจากนั้นก็ทะยานออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงพลุ่งพล่านรอบตัวครอบคลุมร่างราชันปีศาจแยกเป็นสองฝั่งไว้

“นังสารเลวรนหาที่ตาย!”

ราชันปีศาจทั้งสี่คำราม รัศมีปีศาจพวยพุ่งขึ้นรอบตัวขณะที่พุ่งใส่เซียวเซียวและหลินจิ้ง

ตู้ม ตู้ม!

การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายระเบิดออก ทำให้ภูเขาสั่นไหวเมื่อคลื่นกระแทกรุนแรงกวาดออกไป

ภายในสำนักศึกษาเป่ยชาง ทุกคนเฝ้าดูการประจัญบานนี้ด้วยท่าทางกังวล

ในการต่อสู้ทุกคนสามารถบอกได้อย่างคลุมเครือว่าแม้ว่าเซียวเซียวและหลินจิ้งจะต่อสู้แบบสองต่อหนึ่ง แต่หญิงสาวทั้งสองคนก็ยังได้เปรียบ ดังนั้นทุกคนจึงฉายความสุขบนใบหน้า

ลั่วหลีมองไปก่อนที่จะถอนสายตากลับ หันไปมองที่รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากเบื้องหลังพร้อมกับกะพริบตา

“สายสวรรค์กลืนกิน!”

รัศมีสีรุ้งกำจายออกมาจากเซียวเซียวซัดราชันปีศาจสองคนถลาออกไป จากนั้นนางก็วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ทันใดนั้นแสงพร่างพราวก็กลายเป็นอสรพิษขนาดใหญ่อ้าปากงับร่างราชันปีศาจคนหนึ่ง

ขณะที่รัศมีพรั่งพรูเสียงแผดร้องก็ดังก้องจากอสรพิษสีรุ่งก่อนที่รัศมีราชันปีศาจจะหายไป

“แส้หยกสุดฟ้า!”

หลินจิ้งก็ลงมือเต็มที่ มือกระตุก รัศมีหยกรวมตัวกันเป็นแส้ยาวกวาดไปที่ศีรษะราชันปีศาจคนหนึ่ง ร่างกายมันแตกสลายทันที

หญิงสาวสองคนเป็นธิดาเทพจักรพรรดิจึงทรงพลังตามธรรมชาติ ไม่มีใครในระดับเดียวกันสามารถเทียบพวกนางได้

“สุดยอด!”

เสียงร้องดังขึ้นจากสำนักศึกษาเป่ยชางกับฉากนี้

ราชันปีศาจอีกสองคนต่างครั่นครามในตัวหญิงสาวทั้งสอง พวกเขาเริ่มถอยหนีด้วยความหวาดหวั่น

“คิดหนีเรอะ?”

เซียวเซียวและหลินจิ้งหัวเราะเสียงพลิ้วขณะที่อสรพิษและแส้ซัดออกมาอีกครั้ง

เมื่อเห็นการโจมตีรุนแรงพุ่งมาหา ใบหน้าของราชันปีศาจทั้งสองก็ถอดสีขณะที่ร้องลั่น “นายท่านโปรดช่วยเราด้วย!”

เมื่อเสียงร้องตะโกนดังก้อง ดวงตาเย็นชาคู่หนึ่งก็เปิดขึ้นภายในรัศมีปีศาจ เสียงเยือกเย็นแผดออก

“สวะจริงๆ”

พุ่งตามเสียงมา มือปีศาจขาวซีดก็ยื่นออกกวาดเบาๆ ทำลายอสรพิษสีรุ้ง แม้แต่แส้ก็หม่นแสงลงถูกพัดออกไป

เมื่อมือขาวซีดส่งร่างเซียวเซียวกับหลินจิ้งออกไป ก่อนที่ราชันปีศาจทั้งสองจะได้ชื่นชมยินดี มือซีดขาวก็ยื่นออกไปจับพวกเขาบดขยี้ ความสุขแข็งค้างอยู่บนใบหน้าพวกเขา…

ฉากโหดร้ายนี้ทำให้ทุกคนในสำนักศึกษาเป่ยชางหายใจเข้าลึก

แม้แต่ใบหน้าของเซียวเซียวและหลินจิ้งก็เปลี่ยนไปเมื่อมองไปที่รัศมีปีศาจไร้ขอบเขต พวกนางสามารถสัมผัสได้ถึงการตื่นขึ้นของรัศมีปีศาจที่น่ากลัว

เวลาเดียวกันลั่วหลีก็หดตาลงเอ่ยออกมาช้าๆ “ในที่สุดแกก็ยอมเผยโฉมหน้าแล้วหรือ?”

นางรู้สึกได้ถึงความผันผวนของรัศมีปีศาจที่ลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้ตั้งแต่ก่อนหน้า ชัดว่าต้องมีปีศาจทรงพลังซ่อนอยู่ภายใน

ทั้งสวรรค์และโลกเงียบงัน

รัศมีปีศาจแปรปรวนค่อยๆ หายไปทีละชั้น จากนั้นทุกคนก็ต้องหดดวงตาเมื่อเห็นบัลลังก์ที่ทำจากกระดูกสีขาวพร้อมกับทะเลศพและเลือดกระฉอกอยู่ข้างใต้

บนบัลลังก์ร่างปีศาจขาวซีดนั่งอยู่ซึ่งปกคลุมไปด้วยกลิ่นไอศพดำไร้ขอบเขต เขาคล้ายกับมัจจุราชน่ากลัวนั่งอยู่ที่นั่น

เมื่อเห็นร่างนี้ ลั่วหลี เซียวเซียวและหลินจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงสีหน้าร้องอุทานว่า

“นั่นคือ…จอมปีศาจเฮยซือเทียน?!”

“บ้าเอ้ย ทำไมแม้แต่ไอ้ศพดำนี่ก็แอบเข้ามาในมหาพันภพ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+