หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1226 ความแค้น

Now you are reading หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler Chapter 1226 ความแค้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1226 ความแค้น

“เทพจักรพรรดิสงคราม—หลินต้ง”

ทุกคนเห็นใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์เปลี่ยนเป็นดำมืด เมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีพูดชื่อนั้นออกมา ก่อนที่พวกเขาจะแลกสายตากันด้วยความสงสัย

โดยธรรมชาติพวกเขารู้เรื่องเกี่ยวกับเทพจักรพรรดิสงคราม เนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ไม่กี่คนในมหาพันภพที่ถือได้ว่าเทียบเท่ากับเทพจักรพรรดิอัคคี

ตำนานประวัติของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพจักรพรรดิอัคคี

เทพจักรพรรดิสงครามหลินต้งมีต้นกำเนิดมาจากพิภพเขตล่าง แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือเขาเป็นผู้นำกองทัพจอมยุทธ์ของโลกใบนั้นขับไล่การรุกรานของเผ่าปีศาจยี่หมัว ซึ่งเป็นหนึ่งเผ่าของจักรวรรดิปีศาจ

แม้ว่าเผ่าปีศาจเผ่านั้นจะไม่ถือว่ายิ่งใหญ่ แต่ก็ทรงพลังพอที่จะกวาดล้างพิภพเขตล่าง ทว่าสุดท้ายทั้งหมดกลับตายด้วยฝีมือของหลินต้ง ดังนั้นทุกคนจะไม่ตกใจกับข้อมูลที่รู้มานี่ได้ยังไง?

หลังจากนั้นที่มาถึงมหาพันภพ หลินต้งก็ท้าทายเผ่าเทพน้ำแข็งและสถาปนาแคว้นหวูซึ่งกลายเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ เรื่องราวของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพจักรพรรดิอัคคีเลย

ทว่าแม้เทพจักรพรรดิสงครามจะเป็นตำนานเช่นกัน แต่เขาก็น่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับเทพจักรพรรดิอัคคี ทุกคนจึงได้แต่งงว่าทำไมเทพจักรพรรดิอัคคีถึงบอกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ถ้าเทพจักรพรรดิสงครามมาที่นี่แทนเขา

มู่เฉินและลั่วหลี่ก็แลกเปลี่ยนสายตากันชั่วแวบหนึ่ง

“ย้อนกลับไปตอนที่หลินต้งมุ่งหน้าไปยังเผ่าเทพน้ำแข็ง เขาต้องการยืมรูปปั้นเทพน้ำแข็งเพื่อชุบชีวิตฮูหยินของเขา ทว่าเผ่าเทพน้ำแข็งปฏิเสธอย่างไม่ไยดี ซ้ำยังเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนถึงสามคนไปช่วย หนึ่งในนั้นก็คือจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน”

เสียงเบาหวิวของเซียวเหยียนสะท้อนขึ้นในโสตประสาทของมู่เฉินและลั่วหลี

“จักรพรรดิสัประยุทธ์มีชื่อเสียงเรื่องหลงใหลความงาม ดังนั้นเมื่อเขาเห็นจิตวิญญาณของฮูหยินหลินต้ง เขาจึงขอนางกับเผ่าเทพน้ำแข็ง…”

“แต่เขามั่นใจในตัวเองเกินไป ซ้ำยังดูถูกหลินต้งที่มาจากพิภพเขตล่าง ดังนั้นเขาจึงบอกเรื่องนี้กับหลินต้งด้วยและให้อีกฝ่ายยอมถอยกลับไป”

เมื่อมู่เฉินได้ยินเรื่องนี้หางตาก็กระตุก เนื่องจากเคยได้พบกับหลินต้งมาก่อน จึงรู้ว่าเขาเป็นคนประเภทที่น่าเกรงขามขนาดไหน ดังนั้นเขาจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไปได้อย่างไรในเมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์กล้าพูดคำเหล่านั้นต่อหน้าเขา?

ตามคาดเสียงของเซียวเหยียนยังคงเล่าต่อไป “ฮ่าๆ หลินต้งถึงกับเลือดเดือด จากนั้นก็พุ่งชนค่ายกลของเผ่าเทพน้ำแข็ง ทำให้ผู้อาวุโสของเผ่าได้รับบาดเจ็บหนัก จากนั้นเขาก็เข้าต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนด้วยตัวเองเป็นเวลาสามวันสามคืน บีบให้สองในสามต้องหลบหนี ขณะไล่ล่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ตลอดทั้งเดือน…”

“จากนั้นเป็นต้นมาจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็จะหลบเลี่ยงทุกที่ที่เทพจักรพรรดิสงครามไป กระทั่งตำหนักซีเทียนก็ตั้งออกมาไกลจากแคว้นหวู ถ้าคนที่เจ้าเชิญมาเป็นเทพจักรพรรดิสงครามละก็ คงเป็นเรื่องยากสำหรับจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่จะอยู่อย่างสันติสุขอีกต่อไป”

มู่เฉินอ้าปากค้าง ที่แท้นี่ก็คือความแค้นที่เซียวเหยียนกล่าวถึง…

ในที่สุดมู่เฉินก็เข้าใจว่าเหตุใดใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงบิดเบี้ยวไม่น่าดูเมื่อได้ยินชื่อของเทพจักรพรรดิสงคราม สำหรับประโยคสุดท้ายที่เซียวเหยียนกล่าวมานั้น เขาเห็นด้วยอย่างยิ่ง

ท้ายที่สุดเทพจักรพรรดิอัคคีและจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่ได้มีความขุ่นเคืองใดๆ แก่กัน ดังนั้นตราบใดที่เรื่องราวไม่ได้ใหญ่โต พวกเขาก็ไม่คิดต่อสู้กันจริงจัง อย่างมากก็พยายามทำให้อีกฝ่ายถอยกลับ

หากเขาเชิญเทพจักรพรรดิสงครามมา สถานการณ์ก็จะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยนิสัยของหลินต้งที่ถือว่าบุญคุณต้องทดแทนแค้นต้องชำระ คงม้วนแขนเสื้อแล้วพุ่งเข้าใส่จักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่ยั้งตั้งแต่เจอหน้า

ในเวลานั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์คงไม่ได้เผชิญหน้ากับวิธีอ่อนโยนของเทพจักรพรรดิอัคคี ต่อให้จักรพรรดิสัประยุทธ์ต้องการถอย เทพจักรพรรดิสงครามก็ไม่ให้ถอยไปแน่นอน…

คงหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับการต่อสู้ครั้งใหญ่

นอกจากนี้ผลลัพธ์สุดท้ายน่าจะจบลงด้วยจักรพรรดิสัประยุทธ์ถูกตอกจนหน้าหงาย เพราะขนาดในอดีตเทพจักรพรรดิสงครามยังสามารถไล่ล่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ตลอดทั้งเดือน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่พลังล้ำลึกยิ่งกว่าเดิม

มู่เฉินกับลั่วหลีแลกเปลี่ยนสายตาก็เห็นแววดีใจของอีกฝ่าย ถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริงตระกูลลั่วเสินอาจติดร่างแห เว้นแต่ว่าเทพจักรพรรดิสงครามจะสังหารจักรพรรดิสัประยุทธ์ซะ

ขณะที่เซียวเหยียนอธิบายให้พวกเขาฟัง ใบหน้าที่ดำคล้ำของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดเสียงเหี้ยมว่า “ต่อให้ไอ้เด็กนั่นจะเชิญเทพจักรพรรดิมาได้ แต่ข้าคนนี้ก็ไม่กลัวเขา!”

ทว่าแม้เขาจะพูดอย่างแข็งขัน แต่ทุกคนก็ได้ยินเสียงแปลกๆ แฝงในน้ำเสียง กระทั่งเสียงที่เคยหนักแน่นก็ไม่หนักเมื่อเทียบกับก่อนหน้า

ครั้งนี้เซียวเหยียนให้หน้ากับเขา เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีความแค้นต่อกัน แต่ถ้าเป็นหลินต้งมาถึงอาจจะไม่มีการพูดคุยอะไรสักคำ จากนั้นก็พับแขนเสื้อเข้าโรมรันพันตูกันทันที หากไม่ได้รับการจัดการที่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดสงครามระหว่างแคว้นหวูกับตำหนักซีเทียน ซึ่งจะเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มู่เฉิน เจ้าช่วยเชิญเทพจักรพรรดิสงครามมาหน่อยเถอะ ข้าเชื่อว่าเมื่อเขามา เขาจะชดเชยบุญคุณให้เจ้าทันทีแน่นอน” เซียวเหยียนยิ้ม

มู่เฉินกำกำปั้นทันที หินสลักอักขระปรากฏขึ้น เขาทำท่าตั้งใจที่จะบดขยี้ลง

“เดี๋ยวก่อน!”

แต่ขณะที่มู่เฉินกำลังจะบดขยี้ลงไป เสียงคำรามก็ดังขึ้น ทำเอามู่เฉินรู้สึกหนังหัวชาไป เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์สลับสีเขียวกับขาวก่อนที่จะกัดฟันพูด “ได้ ครั้งนี้ข้าเห็นแก่เทพจักรพรรดิอัคคี ไม่เอาเรื่องที่เจ้าเด็กนี่ไร้มารยาทก็ได้!”

ทุกคนรู้สึกโล่งใจกับคำพูดของจักรพรรดิสัประยุทธ์ แม้เป็นเรื่องยากที่จะเกิดการต่อสู้ระหว่างระดับเทียนจื้อจุน แต่พวกเขาไม่ต้องการเป็นพยาน เพราะนั่นเท่ากับจะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้แน่นอน

ทว่าตอนนี้ก็มีหลายคนที่มองมู่เฉินด้วยสายตาหวาดผวา จากการสนทนานี้พวกเขารู้ว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินจะสามารถเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีมาได้ เขายังสามารถเชิญเทพจักรพรรดิสงครามมาได้ด้วย…

ตำนานมีชีวิตทั้งสองของมหาพันภพมีความสัมพันธ์กับเขา!

ความสัมพันธ์ที่มีน่ากลัวอะไรเพียงนี้?!

เสี่ยหลิงจื่อและพรรคพวกหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่ ขณะนี้เมื่อพวกเขามองดูมู่เฉิน พวกเขาก็รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ทั้งลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้ ไม่ควรที่จะไปแตะต้องและยั่วยุ

กลุ่มอื่นๆ ที่มองตระกูลลั่วเสินก็สงบความประสงค์ร้ายในใจลง พวกเขารู้ว่าหลังจากวันนี้คงไม่มีใครกล้ามาแหยมตระกูลลั่วเสิน แม้กระทั่งตำหนักซีเทียน

เพราะเซียวเหยียนได้บอกอย่างชัดเจนแล้วว่าเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อตระกูลลั่วเสิน ถ้าใครหน้าไหนกล้าที่จะแตะต้องตระกูลลั่วเสินก็หมายถึงการไม่ไว้หน้าเทพจักรพรรดิอัคคี ในเวลานั้นบางทีแคว้นหวู่จิ้งฮั่วอาจจะแสดงความหมายของคำว่าหวาดกลัวให้ได้ดู

ไม่ต้องพูดถึงที่มู่เฉินมีความสัมพันธ์กับลั่วหลี ด้วยการมีพันธมิตรเหนียวแน่นเช่นนี้ ตระกูลลั่วเสินจะปลอดภัยจากความล่มสลาย ยิ่งเมื่อลั่วหลีได้รับมรดกของเทพธิดาลั่วเสิน ศักยภาพของตระกูลลั่วเสินก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้

“จักรพรรดิสัประยุทธ์ใจกว้างมาก”

เซียวเหยียนชื่นชมก่อนที่จะพูดบางอย่างขึ้น “แต่ข้ามีเรื่องอื่นอีก”

จักรพรรดิสัประยุทธ์ขมวดคิ้ว ท่าทางมืดครึ้มลงก่อนที่จะถามว่า “เรื่องอะไร?”

เซียวเหยียนยิ้ม “จากสายข่าวของข้า เวลาของนักรบทวีปกำลังจะมาถึงในไม่ช้าใช่ไหม?”

ใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์เปลี่ยนไปทันที เขามองไปที่เซียวเหยียนด้วยความระมัดระวัง “นี่เกี่ยวอะไรกับเจ้า?”

นักรบทวีปเป็นชื่อฉายาที่ได้รับจากมหาพันภพ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของผู้ที่จะไปถึงระดับเทียนจื้อจุน ตามการประเมินปกติจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนส่วนใหญ่ในมหาพันภพเคยได้รับตำแหน่งนี้ในอดีต

ว่ากันว่าทวีปที่ทรงพลังมีพลังงานอันเป็นเอกลักษณ์ นั่นก็คือพลังงานทวีป ซึ่งเป็นพลังมหัศจรรย์ที่ไม่เพียงแต่สามารถเปลี่ยนแปลงร่างกาย ยังสามารถสร้างรากฐานให้สมบูรณ์แบบ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือยอมให้ผู้แข่งขันเปรียบได้กับสวรรค์มากขึ้น ให้โอกาสสูงกว่าในการเข้าถึงระดับเทียนจื้อจุน

ซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของจอมยุทธ์ทุกคนในระดับตี้จื้อจุน

แต่พลังงานทวีปสามารถใช้งานได้โดยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้น ดังนั้นนักรบทวีปส่วนใหญ่จะปรากฏตัวเฉพาะในทวีปที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน สำหรับทวีปเทียนหลัวแม้จะเป็นหนึ่งในมหาทวีป แต่ก็ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมาจึงไม่มีนักรบทวีปปรากฏขึ้น

แต่ทวีปซีเทียนต่างออกไป เนื่องจากการดำรงอยู่ของจักรพรรดิสัประยุทธ์ จอมยุทธ์ทุกคนที่เป็นสมาชิกตำหนักซีเทียนล้วนมีคุณสมบัติที่จะต่อสู้ เพื่อชิงสิทธิ์ของการเป็นนักรบทวีป

นักรบทวีปทุกคนจะมีศักยภาพและสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนในอนาคต ดังนั้นจึงเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับขั้วอำนาจต่างๆ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงตั้งระวังเมื่อเขาได้ยินเซียวเหยียนถามถึงนักรบทวีปนี้

เมื่อเซียวเหยียนเห็นใบหน้าตื่นตัวของอีกฝ่ายก็ยิ้มพลางชี้ไปที่มู่เฉิน

“ข้าต้องการตำแหน่งสำหรับมู่เฉินเพื่อลงชิงชัยในการแข่งขันนี้สำหรับทวีปซีเทียน…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด