หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 864 เซียวเทียน

Now you are reading หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler Chapter 864 เซียวเทียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 864 เซียวเทียน

“ข้าชื่อเซียวเทียนจากตำหนักสุดนภา…”

“ขอยืมหัวของแกมาใช้หน่อยสิ…”

เมื่อเสียงหัวเราะของชายชุดดำดังขึ้น ก็ส่งผลให้เสียงอื้ออึงในบริเวณนี้เงียบกริบลง สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ซึ่งร่างสูงโปร่งที่มีใบหน้าหล่อเหลากำลังยืนอยู่อย่างสงบนิ่งราวกับสายน้ำ

ทั่วบริเวณเงียบลง กองทัพอื่นๆ ก็เฝ้ามองฉากนี้ด้วยความสนใจจากด้านข้าง พวกเขาเคยได้ยินชื่อของมู่เฉินในนามของจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ ซึ่งสามารถรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ได้หลังจากปะทะเดือดกับฟังยี่ ดังนั้นยามนี้ไม่มีใครสงสัยความสามารถของมู่เฉินอีกแล้ว

ทว่าแม้มู่เฉินจะแข็งแกร่ง แต่ชายชุดดำที่พูดก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา นั่นเป็นเพราะเขาคืออัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่ของตำหนักสุดนภา—เซียวเทียน

ในแง่ของขุมพลังเซียวเทียนที่อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสี่ถือว่าพอใช้ได้เท่านั้น แต่ตัวตนของเขาในฐานะอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ กลับทำให้คนอื่นไม่กล้าที่จะดูถูก

นั่นเพราะทุกคนรู้ชัดว่าหากอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่อย่างเซียวเทียนสามารถบัญชากองทัพชั้นสูงได้ ก็สามารถระเบิดพลังที่น่ากลัวออกมาได้

ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนมู่เฉินก็มองไปที่เซียวเทียนด้วยดวงตาสีดำสนิทนิ่ง ไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้า เขาไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองกับการกระทำของอีกฝ่ายเลย

“ไอ้โง่นี่มาจากไหนถึงกล้ามาพ่นคำอวดดีแบบนี้ เดี๋ยวข้าก็ตบตายให้ซะหรอก” น้ำเสียงน่าขนลุกดังก้องออกไป เสี่ยยิงมองเซียวเทียนด้วยดวงตาอัดแน่นด้วยรังสีสังหาร การที่เซียวเทียนหยิ่งผยองกล้าท้าท้ายมู่เฉินต่อหน้ากันแบบนี้ ทำให้เสี่ยยิงถึงกับเดือดดาลไปหมด

“อวดดีเรอะ? แกคิดว่าตำหนักสุดนภาไม่มีคนรึไง” เสียงหัวเราะเย็นชาดังออกมาจากข้างหลังเซียวเทียน จากนั้นร่างเงาร่างหนึ่งก็เดินออกมา ใบหน้าคุ้นเคยทำให้มู่เฉินอึ้งไป นั่นเพราะนี่ก็คือหลิ่วเหยียนที่ถูกบีบให้ต้องระเบิดร่าง แล้วยามนี้เมื่อหลิ่วเหยียนปรากฏตัวก็มองมู่เฉินด้วยแววตาโหดเหี้ยม

“อา… ประมุขน้อยตำหนักสุดนภา—หลิ่วเหยียน ดูท่าประมุขหลิ่วจะยอมจ่ายราคามหาศาลเพื่อช่วยเจ้าปรับแต่งร่างกายใหม่ได้ไวนะเนี่ย” มู่เฉินส่งยิ้มให้หลิ่วเหยียน

ใบหน้าของหลิ่วเหยียนเขียวคล้ำ ท่าทางน่าขนลุกราวกับจะเผามู่เฉินให้กลายเป็นเถ้าถ่าน ในศึกมังกรหงส์ชื่อเสียงของเขาถูกมู่เฉินทำลายจนยับเยิน ซ้ำร่างยังถูกทำลายจนแหลกเหลว หากไม่ใช่บิดาของเขาจ่ายราคามหาศาล เขาก็ยังคงเป็นวิญญาณล่องลอยไม่มีทางได้ร่างกลับคืน

“มู่เฉิน หยุดพล่ามซะ! ถ้าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ต้องการเข้ามายุ่งกับซากอารยธรรมความตาย ก็ต้องถามตำหนักสุดนภาของข้าก่อน!” หลิ่วเหยียนกล่าวเสียงเย็น

เมื่อหลิ่วเหยียนจบคำพูด ร่างสี่ร่างก็มาปรากฏที่ด้านข้างเขา ทั้งสี่แข็งแกร่งราวกับหอคอยเหล็ก เมื่อยืนอยู่ข้างหลิ่วเหยียน เงาของพวกเขาก็ห่อหุ้มหลิ่วเหยียนไว้จนมิด

แน่นอนว่า แม้ร่างกายแบบนี้จะดึงดูดความสนใจของผู้อื่น แต่ที่ทำให้แววตาผู้คนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม คือแรงกดดันคลื่นหลิงความรู้สึกน่าอัศจรรย์ใจที่เปล่งออกมาจากร่างจอมยุทธ์ทั้งสี่นี้

นี่เป็นแรงกดดันของคลื่นหลิงที่มาจากจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก

“เจ็ดแม่ทัพฟ้าของตำหนักสุดนภานี่เอง” เลี่ยซันกวาดมองคนทั้งสี่ก่อนจะส่งเสียงเย็นขึ้นจมูก ขณะที่สายตาอัดแน่นด้วยความดูถูก “ทำไม? คิดว่าแค่สี่คนที่มีลำดับรั้งท้ายจะขัดขวางอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าได้เรอะ?”

“ฮึ่ม กร่างจริง แกคิดว่าตัวเองเหนียวจนเคี้ยวไม่ได้เรอะเลี่ยซัน? ข้าอยากดูว่าแกจะเจ๋งเหมือนคำพูดตัวเองไหม!” ร่างหอคอยเหล็กร่างหนึ่งที่อยู่ข้างหลิ่วเหยียนจ้องเลี่ยซันด้วยสายตาจะกินเลือดเกินเนื้อ ขณะที่พูดเสียงเย็นยะเยือก

“งั้นแกก็มาลองสิ” เลี่ยซันหัวเราะลั่นพลางก้าวออกไปคลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวนตัวราวกับพายุ ทำให้ท้องฟ้ามืดลงทันใด ส่งผลให้ใบหน้าของจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนดิ่งลง พวกเขาสัมผัสได้ว่าขุมพลังของเลี่ยซันมาถึงขั้นหกระยะปลายสุดแล้ว

เมื่อร่างแม่ทัพฟ้าสูงตระหง่านของตำหนักสุดนภารู้สึกได้ถึงคลื่นหลิงทรงพลังที่มาจากเลี่ยซัน สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าไม่มีริ้วความกลัวอะไรมาก ร่างเขาเคลื่อนไหวเตรียมออกมาประจัญบาน แต่ทันใดนั้นก็ถูกหลิ่วเหยียนห้ามไว้

หลิ่วเหยียนมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชาพลางเค้นเสียงในลำคอ “มู่เฉิน แกน่าจะรู้สถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าพวกเราเปิดศึกกันที่นี่ ข้าเชื่อว่าพวกแกคงใกล้ได้ออกจากสงครามล่าแน่”

มู่เฉินหรี่ตาลง หากเป็นเวลาอื่นเขาคงพุ่งเข้าโรมรันกับหน่วยรบสุดนภาไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ เนื่องจากมีจำนวนจอมยุทธ์มากมายมารวมตัวกันที่นี่ ไม่รู้ว่ามีกองทัพเท่าไรที่กำลังจับจ้องมา แม้อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเป็นขั้วอำนาจสูงสุด แต่ถ้าเกิดช่องโหว่ขึ้น ก็อาจทำให้ฝูงหมาป่าหันมาแว้งกัดพวกเขา ดังนั้นพวกเขายังไม่ควรเปิดศึกกับตำหนักสุดนภา

“ฮ่าๆ พี่หลิ่วเหยียน เราสามารถรวมพลังกันกำจัดอาณากงเวทเขตสวรรค์ก่อนนะ” ขณะที่สายตาของมู่เฉินกำลังวูบไหว เสียงหัวเราะเบาๆ ก็เปล่งออกมา ทำให้สีหน้ากองทัพโดยรอบเปลี่ยนแปลง ก่อนที่จะเบนสายตามองไปที่ยอดเขาที่กองทัพหมู่ตึกเทวะตั้งอยู่

บนยอดเขาฟังยี่กำลังมองมาที่มู่เฉินครึ่งบึ้งครึ้งยิ้ม

เมื่อคนอื่นๆ เห็นภาพนี้หัวใจก็เต้นไม่เป็นส่ำ หรือว่าหมู่ตึกเทวะจะร่วมมือกับตำหนักสุดนภาเพื่อกำจัดอาณาเขตกงเวทสวรรค์? ถ้าเรื่องนี้กระจายออกไปได้สร้างระลอกคลื่นใหญ่ทั่วสมรภูมิแน่นอน

มู่เฉินมองไปที่ฟังยี่อย่างเย็นชาและพูดแบบไม่แยแส “หมาจรจัดยังกล้าเห่าที่นี่อีก การถูกไล่ล่าพันลี้ครั้งก่อนยังไม่พอรึไง?”

สายตาของฟังยี่และสูป้าเย็นชาลงอีกขณะมองไปที่มู่เฉิน

“ถ้าแกคิดจะร่วมมือกันก็เข้ามาเลย แต่เชื่อข้าเถอะ แม้อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะพินาศที่นี่ แต่พวกแกก็ต้องตายไปพร้อมกัน!” ทันใดนั้นดวงตามู่เฉินก็ระเบิดแสงแรงกล้า น้ำเสียงอัดแน่นด้วยความดุร้าย

เมื่อเห็นสายตาดุร้ายราวหมาป่าของมู่เฉิน ม่านตาของฟังยี่ก็หดเกร็งลง ด้วยกระบวนทัพของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ครั้งนี้ หากพวกเขาประจัญบานเต็มกำลังก็ต้องสูญเสียมหาศาลแน่

“ท่านจอมยุทธ์ หมู่ตึกเทวะของข้าไม่ต้องการที่จะสู้กับเจ้าในตอนนี้ ความเป็นปฏิปักษ์จะตัดสินในอนาคต ตอนนี้พวกเจ้าไปจัดการกับศัตรูอย่างตำหนักสุดนภาก่อนเถอะ” เสียงไพเราะกำจายออกมา น้ำเสียงที่อ่อนโยนทำให้ความตึงเครียดลดลงไปหลายส่วน

มู่เฉินกวาดสายตามองที่มาของต้นเสียง ก็เห็นร่างหญิงสาวชุดขาวนั่งอยู่บนรถเข็น รูปลักษณ์สะคราญโฉมทำให้เขาตะลึงไปเล็กน้อย อึดใจสายตาก็กะพริบวูบไหวเมื่อรู้ถึงตัวตนของนาง นั่นจะต้องเป็นอัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่ของหมู่ตึกเทวะแน่นอน

แต่เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ต้องการจะต่อสู้กับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในตอนนี้ แต่กลับผลักตำหนักสุดนภาออกมา การกระทำแบบนี้เหมือนนางต้องการเห็นพยัคฆ์สู้กัน

หญิงสาวคนนี้ดูบอบบาง แต่ท่าทางเขี้ยวน่าดูชม

“มู่เฉินอย่าทำเป็นเก่งต่อหน้าข้า ถ้าแกกล้าสู้กับหมู่ตึกเทวะที่นี่ มรดกซากอารยธรรมความตายของจั้นเจิ้นซือก็ไม่มีอะไรที่แกจะได้ไป” หลิ่วเหยียนเค้นเสียงเย็นชา

“แล้วแกต้องการอะไร?” มู่เฉินพูดพลางยิ้ม

หลิ่วเหยียนมองไปที่เซียวเทียน ฝ่ายหลังก็ยิ้มกริ่มขณะนี้เส้นเลือดปีนไต่ขึ้นมาบนดวงตา เขายิ้มอย่างบ้าคลั่งจ้องมองมู่เฉินด้วยดวงตาที่หรี่แคบ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ใช่ไหม?”

สายตามองที่มู่เฉิน “ถ้าพวกแกต้องการมีส่วนแบ่งในซากอารยธรรมความตายและไม่อยากสู้กับตำหนักสุดนภาตอนนี้ ง่ายมาก ก็แค่ให้ข้าดูว่าแกมีคุณสมบัติหรือไม่”

“ถ้าเจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติเพียงพอ ก็ก้าวออกมาลองสักตั้งได้เลย”

ม่านตาของมู่เฉินจ้องมองไปที่เซียวเทียนแบบไม่มีอารมณ์ใดๆ มุมโค้งเย็นผุดขึ้นที่มุมปาก เขาดูไม่ประหลาดใจ เพราะอีกฝ่ายคงตั้งเป้าหมายมาที่เขาแต่แรกแล้ว

ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายต้องการระบายความแค้นจากการเอาชนะเขา ทำไมเขาไม่ลองเชือดไก่ให้ลิงดูซะหน่อย? มู่เฉินสังเกตถึงสายตาอยากได้ใคร่ดีที่จ้องมองมา ถ้าเขาไม่เปิดเผยความแข็งแกร่งเสียบ้าง เขาคงจะข่มคนเหล่านี้ไม่ได้

ดังนั้นการกระทำของเซียวเทียนจึงไม่ต่างจากที่มู่เฉินคิดไว้ระดับหนึ่ง

“ฮ่าๆ ตอนที่ข้าเอาหัวแกออกจากคอ รอยยิ้มนั่นต้องอยู่บนใบหน้าเหมือนเดิมนะ” เซียวเทียนหัวเราะ แต่ทุกคนสามารถได้ยินไอสังหารและความโหดร้ายที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง

มู่เฉินมองไปที่เซียวเทียนที่กำลังหัวเราะสาสมใจอย่างสงบนิ่ง อีกฝ่ายค่อยๆ ลดระดับเสียงลงภายใต้สายตาของเขา ดวงตาที่มีเส้นเลือดปีนไต่จ้องไปที่มู่เฉินราวกับงูพิษร้ายเลยทีเดียว

ทั้งสองประสานสายตาลั่นเปรียะกันกลางอากาศ จิตสังหารที่พลุ่งพล่านทำเอาพื้นที่แถบนี้อุณหภูมิลดต่ำลง

ยามนี้ทั่วบริเวณกองทัพอื่นๆ ก็ฉายแววตาสนใจ นั่นเพราะเมื่อมองรูปการณ์ในปัจจุบัน ดูเหมือนอัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่จากอาณาเขตกงเวทสวรรค์และตำหนักสุดนภากำลังจะปะทะกันแล้ว

ความยิ่งใหญ่ในการเผชิญหน้าของจอมยุทธ์ศาสตร์นี้เหนือกว่าคนอื่นที่อยู่ในระดับเดียวกันแน่

“ข้าจะฆ่านักรบที่อยู่ใต้บัญชาของแกทั้งหมด!”

เซียวเทียนหัวเราะ จากนั้นแสงเยือกเย็นก็พล่านออกมาจากนัยน์ตา เขายกมือขึ้นก่อนที่จะสะบัดลงทันควัน น้ำเสียงที่น่าขนลุกดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ

“หน่วยรบสุดนภาออกมา!”

ตู้ม!

พร้อมกับเสียงคำรามของเซียวเทียน ทั่วบริเวณก็สั่นไหว จากนั้นทุกคนก็ตกตะลึงไปเมื่อเห็นรัศมีจั้นยี่น่าขนพองสยองเกล้าพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากภูเขาเบื้องหลังเซียวเทียน

ทันใดนั้นทั่วบริเวณถึงกับเปลี่ยนสี!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด