หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1180 สุสานจักรพรรดิฟ้า

Now you are reading หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler Chapter 1180 สุสานจักรพรรดิฟ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1180 สุสานจักรพรรดิฟ้า

บนเทือกเขารกร้าง

ที่นี่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต ราวกับเคยโดนทำลายล้างโดยพลังที่หาใดเปรียบ ต่อให้ผ่านมานับหมื่นปีก็ยังไม่มีพลังชีวิตใดๆ

ฮึ่ม

ขณะนี้จู่ๆ มิติเหนือเทือกเขาก็บิดเบี้ยว ก่อนที่ร่างเงาโดดเด่นจะก้าวออกมายืนอยู่บนอากาศ

นี่คือมู่เฉินที่เพิ่งออกจากหอคัมภีร์เทพซ่อน ร่างเทพสุริยะได้รับการเปลี่ยนเป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นั่นต่อไป

เมื่อมู่เฉินเดินออกมาก็กวาดสายตามองไปรอบๆ เขาอึ้งไปกับภาพเทือกเขารกร้าง จากนั้นสีหน้าเคร่งเครียดก็ปรากฏบนใบหน้า เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสได้อย่างเลือนรางถึงพลังทำลายล้างที่หลงเหลืออยู่ในเทือกเขานี้

นั่นเหมือนจะมาจากพลังงานสองสายที่ต่อต้านกันอย่างสิ้นเชิง

“พลังงานน่ากลัวอะไรอย่างนี้…”

สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพียงแค่พลังงานที่เหลืออยู่ มิหนำซ้ำยังผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน ไม่คิดว่าจะยังน่ากลัวขนาดนี้

ด้วยเหตุนี้ตัวตนของจอมยุทธ์ทั้งสองก็ชัดเจนแม้จะไม่ต้องเอ่ยถึง

นอกเหนือจากจักรพรรดิฟ้าแห่งวังสวรรค์บรรพกาลและนักรบราชันปีศาจแห่งจักรวรรดิปีศาจต่างมิติแล้วจะมีใครได้อีกเล่า?

“นี่คือความน่ากลัวของระดับนั้นเรอะ?”

มู่เฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเคลื่อนไหวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เขาไม่กล้าที่จะเหยียบลงบนพื้นเพราะเขากลัวว่าจะไปกระตุ้นพลังงานที่เหลืออยู่จนพุ่งเข้ามาเอาชีวิต

เขาเดินทางผ่านเทือกเขาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็เงยศีรษะขึ้นมองออกไปไกล มองเห็นร่างเงาหลายร่างที่มีความผันผวนของคลื่นหลิงที่คุ้นเคยกำลังเคลื่อนไหว

“เฮ้ มู่เฉิน!”

ขณะที่มู่เฉินรับรู้ได้ถึงอีกฝ่าย ร่างเงาเหล่านั้นก็สัมผัสถึงเขาเช่นกัน ทันใดนั้นก็หยุดชะงักลง จากนั้นเสียงร้องอย่างมีความสุขของหลินจิ้งก็ดังก้อง

มู่เฉินยิ้มขณะที่ร่างวูบไหวไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าหลินจิ้ง เซียวเซียวและจิ่วโยว

“เจ้านี่ช้าจริงๆ คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าซะอีก” เมื่อหลินจิ้งเห็นว่ามู่เฉินปลอดภัยดี นางก็ดีใจพลางยิ้มตาหยี

“ดูเหมือนพวกเจ้าจะเก็บเกี่ยวผลได้ดีเช่นกันนะ” มู่เฉินมองไปที่หญิงสาวทั้งสาม พวกนางฉายความสุขบนใบหน้าปรี่ล้น ชัดว่าพวกนางต้องพอใจมากกับการเก็บเกี่ยวที่ได้รับ

“หืม?”

เมื่อมู่เฉินมองไปที่หญิงสาวทั้งสามก็ต้องอึ้งไป เขามองไปที่เบื้องหลังไม่ไกลก็เห็นร่างร่างหนึ่งตามติดมาอย่างไม่รีบร้อน

ช่างเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย เรือนผมสีแดงเพลิงนี่จะเป็นใครได้นอกจากจู้เยี่ยน?

เมื่อจู้เยี่ยนสังเกตเห็นการจ้องมองของมู่เฉิน ก็เผยท่าทางกระอักกระอ่วน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังตามติดไม่ลดละ

“เขาทำอะไรอยู่น่ะ?” มู่เฉินถามขึ้นด้วยความตะลึงใจ พวกเขาไม่ได้สนิทสนมกับจู้เยี่ยน แล้วทำไมชายคนนั้นถึงติดตามพวกเขาล่ะ?

เมื่อได้ยินคำถามของมู่เฉิน เซียวเซียวเบ้ปากเล็กน้อย นางมองไปที่จู้เยี่ยนอย่างเย็นชา

“คิกๆ เจ้านั่นเจอพี่เซียวเซียวแล้วโดนซัดไปหลายตุ๊บ ไม่รู้ว่าถูกกระทบกระเทือนทางสมองหรือเปล่า แต่หลังจากนั้นเขาก็ติดตามเรามาตลอด” หลินจิ้งยิ้ม

มุมปากของมู่เฉินกระตุก ดูท่าจู้เยี่ยนจะประลองกับเซียวเซียวแล้ว แต่ไม่ได้ผลตามที่เขาต้องการ

แต่นั่นก็ทำให้มู่เฉินประหลาดใจ ไม่คิดว่าเซียวเซียวจะซ่อนความแข็งแกร่งของตนเองไว้อย่างลึกซึ้งถึงขนาดที่นางสามารถจัดการกับคนอย่างจู้เยี่ยนได้ สมกับเป็นธิดาของเทพจักรพรรดิอัคคีจริงๆ

“โอ้ ใช่แล้วจาโหลหลัวล่ะ?” จิ่วโยวมองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะถาม นางรู้ว่าจาโหลหลัวเป็นศัตรตัวฉกาจของมู่เฉิน

“โดนข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว” มู่เฉินยิ้ม

“จัดการแล้ว?” เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หญิงสาวทั้งสามคนก็ตกใจ พวกนางเข้าใจในความแข็งแกร่งของจาโหลหลัว ดังนั้นจึงรู้ว่าเขายากที่จะต่อกรเพียงใด

“เจ้าจัดการจาโหลหลัวไปแล้วเหรอ? เป็นไปได้ยังไง?” เสียงตกใจของจู้เยี่ยนพูดขึ้นดังก้อง

เขามองไปที่มู่เฉินด้วยความสงสัย เขาเคยต่อสู้กับจาโหลหลัวดังนั้นเขาจึงรู้ชัดเจนว่าจาโหลหลัวทรงพลังเพียงใด แม้ว่าจาโหลหลัวจะเป็นอันดับสามของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ แต่จู้เยี่ยนก็รู้ดีว่ากระทั่งตนเองก็ยังไม่สามารถเอาชนะจาโหลหลัวได้ หากพวกเขาต่างเทกันออกมาหมดหน้าตัก

แต่ตอนนี้มู่เฉินกลับบอกว่าจาโหลหลัวถูกเขาจัดการไปแล้ว…

“จัดการแล้วก็คือจัดการแล้ว… เจ้าน่าจะไม่ได้เห็นชายคนนั้นอีกในอนาคต” มู่เฉินพูดอย่างสบายๆ ไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย เพราะเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องประกาศให้คนอื่นฟัง

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีไพ่ตายหลายใบซ่อนเอาไว้นะ” หลังจากที่เซียวเซียวประหลาดใจไปพักหนึ่ง นางก็เลือกที่จะเชื่อมู่เฉินและมองเขาด้วยสายตาลึกล้ำ

ไม่รู้เพราะเหตุใดนางรับรู้ได้ถึงภัยคุกคามเบาบางที่มาจากมู่เฉินเมื่อพบเขาในครั้งนี้ ความรู้สึกนี้ทำให้นางเข้าใจว่ามู่เฉินจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมาแน่นอน

หากเมื่อก่อนนางยังมั่นใจว่าสามารถเอาชนะมู่เฉินได้ ความมั่นใจของนางก็ลดลงอย่างมากในตอนนี้ นางเริ่มไม่สามารถมองชายคนนี้ได้ปรุโปร่งอีกต่อไป

มู่เฉินยิ้มบาง ถ้าเมื่อก่อนเขาหวาดผวาจอมยุทธ์บางคนอย่างจู้เยี่ยนและเซียวเซียว ในขณะนี้ความกลัวก็หายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว

ความมั่นใจนี้เกิดจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ซึ่งทำให้เขาสามารถหลบหนีจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นและอยู่ยงคงกระพันได้ในขอบเขตจื้อจุนทั้งหมด

เซียวเซียวกวาดสายตามองไปที่มู่เฉินด้วยความสนใจ แต่นางก็ไม่ได้ถามอะไรเยอะ นางเปลี่ยนหัวข้อพลางชี้ไปข้างหน้า “ถ้าเราเข้าไปจากที่นั่น ก็น่าจะไปถึงสุสานจักรพรรดิฟ้าได้แล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดของนางหัวใจมู่เฉินก็สั่นสะท้าน

สุสานจักรพรรดิฟ้าเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของพวกเขา ว่ากันว่าที่นั่นเป็นสมรภูมิสุดท้ายของจักรพรรดิฟ้ากับนักรบราชันปีศาจ

เมื่อไรที่พวกเขาไปถึงที่นั่น จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งหลายก็จะสามารถเข้ามาได้ ในเวลานั้นสถานการณ์คงเรียกว่าอันตรายแท้จริง

“ถ้าเจ้าฆ่าจาโหลหลัวไปแล้วจริงๆ ก็ระวังประมุขตำหนักเทพปีศาจไว้ด้วย เขาไม่ปล่อยเจ้าไปแน่” จู้เยี่ยนเอ่ยเตือนทันที

ยิ่งไปกว่านั้นมู่เฉินก็ยังสังหารเซี่ยหยู่ไปด้วย ดังนั้นฮ่องเต้เซี่ยก็ต้องแค้นเขาจนถึงแก่นกระดูกเลยทีเดียว…

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำเตือนจากอีกฝ่าย เขาก็ยิ้มพลางพยักหน้าแม้ว่าเขาจะรู้เรื่องนี้แล้วก็ตาม

“ไปกันเถอะ”

เซียวเซียวร้องบอกออกมาโดยไม่สนใจจู้เยี่ยน ก่อนที่นางจะทะยานออกไป

พรรคพวกอีกสามคนตามนางไป ขณะที่จู้เยี่ยนลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะตามไปเช่นกัน เขาต้องการประลองกับเซียวเซียวอีกครั้ง เนื่องจากครั้งก่อนเขาแพ้แบบไม่เต็มใจ

ทั้งกลุ่มเดินทางข้ามขอบฟ้า ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมาพวกเขาก็สังเกตเห็นดินแดนรกร้างค่อยๆ กลายเป็นฝุ่นทราย…

พวกเขาลดความเร็วลงอย่างช้าๆ มองขึ้นไปด้านหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สุสานขนาดใหญ่ฉายอยู่ในครรลองสายตาของพวกเขา มีร่องรอยได้รับความเสียหาย ยิ่งไปกว่านั้นทั้งภูมิภาคยังถูกปกคลุมไปด้วยแรงกดดันที่น่ากลัวสองสาย

ภายใต้แรงกดดันนั้น แม้แต่สวรรค์และโลกยังสั่นสะเทือน

มู่เฉินมองไปที่สุสานก็สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ขณะที่ร่างกายเกร็งเครียดขึ้น สุสานแห่งนี้ราวกับหลุมดำจากการรับรู้ของเขาทำให้เกิดความหวาดกลัวยิ่งนัก

นี่คือสุสานจักรพรรดิฟ้ารึ?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด