A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1479 เขตต้องห้ามแม่น้ำอเวจีและเขตอาคมแปดทวารดูดอัสนี

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1479 เขตต้องห้ามแม่น้ำอเวจีและเขตอาคมแปดทวารดูดอัสนี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มู่ชิงได้ยินพลันหัวเราะออกมา พลิกฝ่ามือหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ ในมือมีไข่มุกกลมๆ สีแดงโลหิตสามเม็ดปรากฏขึ้น

 

 

ขนาดเท่าหัวแม่มือ เปล่งแสงระยิบระยับ

 

 

ลิ่วจู๋พยักไหล่ทั้งสองข้าง ลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างพร่าง บนหัวไหล่เขามีแขนสองข้างงอกออกมา

 

 

แขนข้างหนึ่งกำแผ่นป้ายสีดำรูปสามเหลี่ยมเอาไว้ อีกข้างหนึ่งถือสมบัติทรงกรวยสีฟ้าเอาไว้

 

 

และเมื่อแขนเดิมทั้งสองของเขาร่ายอาคมอยู่เบื้องหน้า จากนั้นเสียงพรึ่บก็ดังขึ้น เสาลำแสงสีดำสายหนึ่งพ่นออกมาจากปาก เปล่งแสงสว่างพร่างแล้วโจมตีไปยังหมอกสีเงิน

 

 

เสียง “หึ่งๆ” ดังขึ้น ไม่รู้ว่าเสาลำแสงสีทองมีอิทธิฤทธิ์ใด หมอกสีเงินสัมผัสกับมัน ก็ปรากฏท่าทีต้านทานไม่ไหว ระเบิดเสียงดังกึกก้องออกมา

 

 

มู่ชิงที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น ก็ชูมือหนึ่งขึ้นอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

 

 

ชั่วขณะนั้นไข่มุกกลมสีแดงโลหิตสามเม็ดพลันเรียงกันเป็นเส้นแล้วพุ่งออกไปกลายเป็นอัสนีเพลิงสีแดงโลหิตสามเม็ด

 

 

หลังจากเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นสามเสียงดังขึ้น หลังจากที่เปลวเพลิงสีโลหิตขนาดเท่าศีรษะสามกลุ่มระเบิดออก หมอกสีเงินก็เริ่มแตกกระจายออก

 

 

หมอกสีเงินและลำแสงสีดำจากเปลวเพลิงสีโลหิตโรมรันเข้าด้วยกัน ทางเดินทั้งเส้นเริ่มสั่นเทา

 

 

หานลี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงและลิ่วจู๋ หน้าเปลี่ยนสีไปอย่างระงับไม่อยู่

 

 

การพังทลายและยุบตัวของมิติเวลาที่ปริแตก แม้ว่าเขาจะเคยผ่านมาหลายครั้งแล้ว และรอดชีวิตมาได้หลังจากการเดินทางข้ามห้วงมิติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมั่นใจว่าจะหลบหลีกห้วงเวลาที่พังทลายได้ ก่อนหน้าโชคดีหนีมาได้ มันก็แค่โชคดีของเขาเท่านั้น นอกเสียจากจะฝึกฝนได้ระดับมหายานหรือระดับจิตวิญญาณเที่ยงแท้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้ามองข้ามอันตรายจากห้วงมิติเวลา

 

 

ในตอนนั้นแขนใหม่ทั้งสองของลิ่วจู๋พลันขยับพร้อมกัน

 

 

ภายใต้การสั่นเทาของแผ่นป้ายสามเหลี่ยม พ่นหมอกเพลิงสีแดงสดจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา ปกคลุมไปทั่วเบื้องหน้า สมบัติทรงกรวยอีกชิ้นหนึ่งก็เปล่งเสียงคำรามออกมา พริบตานั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งทะยานออกไป

 

 

ในครานั้นเองมู่ชิงเองก็สะบัดแขนเสื้อทั้งสองข้าง ลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา

 

 

มีการโจมตีจากสามคนให้หลัง หมอกสีเงินก็ถอยไปด้านหลังแล้วพลันแตกตัวออกกระจายออก

 

 

เมื่อหมอกสีเงินถูกบีบจนต้องร่นถอยไปสิบจั้งเศษแล้ว ในที่สุดเสียงคำรามอันดังสนั่นก็หายวับไป

 

 

ทั้งห้วงมิติเวลาถูกเชื่อมต่อกัน เผยทางออกสู่ห้วงมิติเวลาอีกอันหนึ่งออกมา

 

 

หานลี่แววตาเปล่งประกาย มองเห็นทางออกอย่างชัดเจน

 

 

ด้านนอกมีลำแสงสีขาวอ่อนเปล่งแสงพร่างพราว ในเวลาเดียวกันก็มีพายุเย็นยะเยือกพัดเข้ามา

 

 

แม้ว่าหานลี่จะมีลำแสงวิญญาณปกป้องร่างเอาไว้ แต่ก็ยังรู้สึกสั่นสะท้านยามเมื่อพายุเย็นยะเยือกพัดผ่านผิวกาย

 

 

ความเย็นยะเยือกของพายุสามารถทะลุผ่านลำแสงวิญญาณตรงเข้ามากระทบร่างกายได้ หากไม่ใช่เพราะเขามีเพลิงเย็นห้าสีอยู่ ครานั้นคงเสียเปรียบไม่น้อย

 

 

โชคดีที่พายุนี้ผ่านไปแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น จากนั้นก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ

 

 

หานลี่พ่นลมหายออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง

 

 

ลิ่วจู๋มองปากหลุมแววตาเปล่งประกายระยิบระยับ ร่างกายพลิ้วไหวพุ่งกระโจนออกไป ในเวลาเดียวกันก็เอ่ยอย่างราบเรียบดังออกมาจากลำแสงหลีกหนี

 

 

“ตอนนี้เปิดทางเดินแล้ว! พวกเจ้าเรียกสหายที่เหลือเข้ามาเถิด ข้าจะไปดูด้านนอกก่อน!”

 

 

เอ่ยยังไม่ทันจบร่างของลิ่วจู๋ก็ออกไปจากปากหลุมแล้ว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปท่ามกลางลำแสงสีขาว

 

 

มู่ชิงพลันขมวดคิ้ว กลับออกคำสั่งโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา

 

 

“วิญญาณทอง เจ้าเรียกตี้เสวี่ยและสหายหลานเข้ามาก่อนกองทัพเถิด ข้าจะพาสหายหานล่วงหน้าไปก่อน”

 

 

“ขอรับ นายท่าน!” วานรสีทองตอบรับ ร่างกายหมุนติ้วๆ กลายเป็นสายรุ้งสีทองสายหนึ่งพุ่งไปด้านหลัง

 

 

ส่วนหานลี่กลับทำได้เพียงตามมู่ชิงไปยังทางออกอย่างเงียบๆ

 

 

ครู่ต่อมาเบื้องหน้าของหานลี่พลันมีแสงเจิดจ้า คนมาปรากฏที่อีกห้วงมิติเวลาหนึ่ง

 

 

แต่สถานการณ์เบื้องหน้ากลับทำให้หานลี่ฉายแวววตาประหลาดใจออกมา

 

 

เห็นเพียงห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง มีผิวน้ำสีขาวขวางกั้นเอาไว้

 

 

น้ำนี้เป็นสีขาวนวล ออกขุ่นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าลึกเท่าไหร่ แต่เมื่อมองปราดไปทั้งซ้ายและขวาล้วนมองไม่เห็นปลายทาง

 

 

บนผิวน้ำมีพายุเย็นยะเยือกกลุ่มหนึ่งพัดปลิวไหวอยู่

 

 

สิ่งที่น่าแปลกก็คือพายุขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าผิวน้ำจะยังสงบเยือกเย็นดังกระจกอยู่ ไม่กระเพื่อมเลยสักนิด ราวกับเป็นน้ำนิ่งก็ไม่ปาน

 

 

ลิ่วจู๋ลอยอยู่บนผิวน้ำเบื้องหน้าห่างไปไม่ไกลนัก กำลังทอดสายตามองเบื้องหน้าไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

 

 

“นี่ก็คือแม่น้ำอเวจี!” หานลี่พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยพึมพำออกมา

 

 

“ใช่แล้ว ข้าอยากข้ามแม่น้ำสายนี้ เข้าไปในแดนแม่น้ำอเวจีที่มีหมอกวารีปกคลุม จำต้องอาศัยพลังของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของสหายหาน” มู่ชิงเอ่ยอย่างราบเรียบ

 

 

“ชนรุ่นหลังจะพยายามอย่างสุดกำลัง!” หานลี่ตอบกลับอย่างนอบน้อม

 

 

มู่ชิงพลันพยักหน้า ยามที่คิดจะเอ่ยอะไรอีกนั้น ลิ่วจู๋ที่อยู่เบื้องหน้าก็ใช้มือหนึ่งตะปบไปทางกลางอากาศเหนือผิวน้ำ

 

 

ชั่วขณะนั้นมือยักษ์สีดำข้างหนึ่งพลันปรากฏออกมา ตะปบลงไปด้านล่างอย่างดุดัน

 

 

แต่เมื่อมือยักษ์จมไปในผิวน้ำได้สามสี่จั้ง เสียง “วี้ด” ก็ดังขึ้น ลำแสงสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากน้ำ

 

 

เสียงแหวกอากาศดังไปทั่วทุกแห่งที่วิ่งผ่านไป ชั่วพริบตามือยักษ์สีดำก็กลายเป็นรูพรุน หายวับไป

 

 

“นี่คืออะไร?” หานลี่พลันตื่นตะลึง

 

 

“นี่คือปลาประหลาดชนิดหนึ่งในแม่น้ำอเวจี ร่างกายเล็กบางดุจเข็ม ตอบสนองต่อทุกสิ่งที่เข้าใกล้ผิวน้ำ และจะบินขึ้นมาโจมตีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มองข้ามไม่ได้ และเจ้าสิ่งนี้ก็เป็นแค่อันตรายที่เล็กที่สุดในแม่น้ำอเวจีเท่านั้น ขอแค่มีพลังยุทธ์มั่นคงก็สามารถใช้ลำแสงวิญญาณปกป้องร่างต้านทานได้ อันตรายก็ไม่สู้แม้กระทั่งน้ำในแม่น้ำอเวจี! สิ่งเดียวที่น่าปวดหัวก็คือปลาชนิดนี้ชอบอยู่กันเป็นฝูง หากเริ่มทำการโจมตีแล้วมันจะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นอกเสียจากกว่าจะสังหารปลาในละแวกนี้ไปจนเกลี้ยงเท่านั้น” ในที่สุดมู่ชิงก็หันกลับมา อธิบายอย่างส่งเดชมาสองประโยค

 

 

หานลี่ได้ยินคำนี้ ก็เข้าใจได้ในทันที

 

 

ครานั้นทางเดินทางด้านหลังพลันมีเสียงดังขึ้น

 

 

หานลี่หันหน้าไปมองเห็นผู้สวมชุดสีโลหิตสองคนเหยียบอยู่บนหุ่นเชิดโลหิตม่วง สตรีผู้งดงามผมสีขาวพาเงาร่างสีดำแปดร่าง หยวนเหยา และเหยียนลี่บินตามมาอย่างต่อเนื่อง

 

 

ด้านหลังพวกเขาเป็นกองทัพปีศาจที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด หุ่นเชิดทุกตัวรวมทั้งทหารภูตเกราะจันทรา

 

 

ชั่วพริบตาก็ยึดครองพื้นที่กลางอากาศกว่าครึ่งของทางออกตรงทางเดินเอาไว้ ลอยตัวอยู่เต็มไปหมด

 

 

“พี่ลิ่วจู๋ เป็นอย่างไรบ้าง? เขตอาคมในแม่น้ำอเวจีไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสินะ” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งใช้เท้าหนึ่งตบไปบนหุ่นเชิดสีม่วงโลหิต พลางบินตรงเข้ามาหาหานลี่และพวก ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตอีกคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงอันดัง

 

 

“ไม่มี เหมือนกับตอนที่เราเข้ามาทุกระเบียบนิ้ว!” ลิ่วจู๋ถอนสายตาออกจากผิวน้ำ แล้วตอบกลับอย่างราบเรียบ

 

 

“เช่นนั้นการทลายเขตอาคมต้องห้ามในครั้งนี้ ต้องพบกับเหตุการณ์เช่นเดิมแน่” เสียงของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตเคร่งขรึม

 

 

“เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น! ทว่าครั้งนี้พวกเราเตรียมตัวมามากมายขนาดนี้ คงไม่มีการบาดเจ็บล้มตายแบบครั้งที่แล้วแน่” สตรีผู้งดงามเรือนผมสีขาวบินเข้ามาแล้วเอ่ยอย่างมั่นใจ

 

 

“อืม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่พวกเราร่วมมือกันทลายเขตอาคมแยกแม่น้ำสายนี้ ส่วนอันตรายอย่างอื่นนั้นก็ไม่ต้องกังวล เอาล่ะ พวกเราโปรดเตรียมตัว เริ่มการทลายเขตอาคมได้ สหายหานถึงเวลาที่เจ้าต้องปล่อยอัสนีเทวาออกมาช่วยพวกเราโจมตีไอมารในน้ำอเวจจีแล้ว ขอแค่ทำให้ไอมารสลายไป พวกเราก็แยกน้ำอเวจีได้อย่างไม่มีปัญหาแล้ว” ”ลิ่วจู๋เลื่อนสายตาไปจ้องหานลี่ แล้วเอ่ยอย่างไร้ซึ่งความรู้สึก

 

 

“เหล่าสหายโปรดวางใจ ข้าน้อยคุ้นเคยกับเคล็ดวิชาเรียกอัสนีแล้ว ไม่มีทางพลาดแน่” หานลี่ค้อมตัวลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

 

 

“หึๆ มีคำพูดนี้ของเจ้าก็วางใจแล้ว” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งหัวเราะฮ่าๆ ออกมา

 

 

สตรีผู้งดงามเรือนผมสีขาวเองก็พยักหน้า!

 

 

ทันใดนั้นราชันย์ปีศาจทั้งสี่ก็กวักมือ ชั่วขณะนั้นปีศาจระดับสูงกลุ่มนั้นพลันกรูกันออกมา ทยอยกันควักยุทธภัณฑ์ประหลาดๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเริ่มวางเขตอาคมอะไรสักอย่าง

 

 

เงาสีดำแปดสายและหุ่นเชิดธาตุทองที่มีลำแสงสีดำเปล่งประกายสิบกว่าตัวเองก็ถูกสตรีผู้งดงามและตี้เสวี่ยเรียกรวมตัว และเตรียมตัวอะไรสักอย่าง

 

 

หานลี่ลอยอยู่กลางอากาศแล้วพลันสะบัดแขนเสื้อ ฉับพลันนั้นธงเล็กๆ สีเขียวแปดด้ามพลันบินออกมาจากมือ หลังจากหมุนโคจรรอบหนึ่ง ก็รวมตัวกันกลายเป็นเขตอาคมธาตุอัสนีเปล่งแสงประจุไฟฟ้าสีเขียวออกมา

 

 

โดยล้อมหานลี่เอาไว้ตรงใจกลางของเขตอาคมพอดี

 

 

“สหายหาน เจ้าจะทำอะไร!” วานรสีทองที่กลับมาข้างกายของหานลี่อีกครั้ง และคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของหานลี่อยู่โดยตลอด เห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันตกตะลึง อดที่จะเอ่ยปากถามไม่ได้

 

 

“ไม่มีอะไร นี่คือเขตอาคมสนับสนุนที่ผู้แซ่หานศึกษาค้นคว้ามาด้วยตนเอง ไม่เพียงสามารถทำให้เคล็ดวิชาเรียกอัสนีมั่นคง ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถเพิ่มอานุภาพให้เล็กน้อยด้วย” หานลี่เอ่ยอย่างคลุมเครือ

 

 

ตั้งแต่ที่รู้ว่าหากตนเองสำแดงเคล็ดวิชาเรียกอัสนีแล้วอาจจะถูกอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายแว้งกัด หานลี่ก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงคิดหาวิธีแก้ไขอย่างหนัก

 

 

เขตอาคมเล็กนี้คือวิธีการแก้ไขชนิดหนึ่งที่เขาคิดได้จากการกักตน

 

 

เขาใช้ยันต์อัสนีผนึกรวมกันกลายเป็นเขตอาคม มีประสิทธิภาพในการดูดซับพลังอัสนีที่ปล่อยออกมา และเมื่อวางเขตอาคมแปดทวารดูดอัสนีที่คิดค้นขึ้นเข้าไปอีก ก็สามารถเพิ่มอานุภาพของเคล็ดวิชานี้ได้หลายเท่า เมื่อถูกอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายแว้งกัดตอนที่สำแดง ก็สามารถใช้เขตอาคมนี้ดึงพลังของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเข้าไปในเขตอาคม แล้วหลีกเลี่ยงการเพลี้ยงพล้ำได้

 

 

แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้จะได้ผลจริงๆ หรือไม่ หรือมีผลมากแค่ไหน หานลี่ไม่เคยถูกอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายแว้งกัด แน่นอนว่าย่อมไม่แน่ใจ

 

 

แต่การวางเขตอาคมนี้ตอนที่สำแดงเคล็ดวิชาเรียกอัสนี ก็ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยขึ้นเล็กน้อย ส่วนสิ่งที่เขาพูดว่าจะช่วยเพิ่มพลานุภาพนั้น แน่นอนว่าย่อมเป็นแค่คำพูดส่งเดชเท่านั้น

 

 

เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้วานรสีทองพลันพยักหน้าดังคาด และไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

 

 

มู่ชิงและพวกมองไปปราดหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจมองอะไรออกได้

 

 

ถึงอย่างไรเสียความพิเศษของเขตอาคมชุดนี้ก็อยู่ที่ธงเขตอาคม ส่วนวิชายันต์อัสนีของธงอาคมนั้นก็เป็นสิ่งที่หานลี่ต้องทุ่มเทอย่างหนักถึงจะควบคุมได้ แม้ว่าราชันย์ปีศาจเหล่านี้จะมีอิทธิฤทธิ์มากมาย แต่ก็ไม่อาจมองสิ่งนี้ออกได้

 

 

เห็นได้ชัดว่าปีศาจตนอื่นต่างได้รับการฝึกฝนมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง เวลาแค่หนึ่งกาน้ำชา เขตอาคมยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางยี่สิบสามสิบจั้งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ

 

 

เขตอาคมนี้สร้างขึ้นจากยุทธภัณฑ์ต่างๆ กว่ายี่สิบชิ้น หนึ่งในนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นจานสีดำขนาดเท่าปากชาม ส่วนน้อยคือของประหลาดๆ อย่างไม้บรรทัด วงแหวน ก้อนผลึกเป็นต้น

 

 

แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากของเหล่านี้กลับถูกหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับเขตอาคม ไม่มีความแปลกแยกเลยสักนิด

 

 

และตรงใจกลางเขตอาคม ลิ่วจู๋และมู่ชิงกำลังยืนเคียงไหล่กัน

 

 

เงาสีดำแปดสายที่อยู่อีกด้านกลับเรียงตัวกันเป็นแถว สองมือของทุกคนล้วนไปที่ไหล่ของผู้ที่อยู่หน้าสุด ราวกับถังหูลู่ที่ร้อยเข้าด้วยกัน

 

 

หญิงงามผมขาวยืนอยู่เบื้องหน้าเงาสีดำทั้งหมด สีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก

 

 

ส่วนทางด้านผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิต ไม่เพียงร่างกายของหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตที่ขยายใหญ่ขึ้นร้อยเท่า หุ่นเชิดธาตุทองสิบกว่าตนพลันมารวมตัวกันอยู่ตรงกลาง คาดไม่ถึงว่าจะรวมตัวกันกลายเป็นหุ่นเชิดโกเลมสูงยี่สิบสามสิบจั้งตัวหนึ่ง ในมือมีมีดยักษ์เปล่งแสงพร่างพราว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด