A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1750 เข้าเมือง

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1750 เข้าเมือง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากที่หานลี่ชักสายตากลับมา เท้าข้างหนึ่งก็แตะลงไปเบาๆ รถเหาะร่อนลงด้านล่างทันที

จากความใหญ่ยักษ์ของรถเหาะสีเขียว ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลด้านล่างย่อมพบเงาร่างของพวกเรา ทันใดนั้นก็กวาดจิตสัมผัสมาทันที

หานลี่สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ รถเหาะหายวับไปในพริบตา

ทันใดนั้นร่างของทั้งห้าก็เคลื่อนไหว ทยอยกันร่อนลงใกล้ๆ กับเขตอาคมส่งตัว

“เอ๋ หัวหน้า!” เสียงร้องอุทานด้วยความตกตะลึง พลันดังขึ้นจากปากของผู้พิทักษ์ยมโลกนิลคนหนึ่ง

หานลี่ได้ยินคำนี้ก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย หลังจากกวาดสายตาไป ระหว่างผู้พิทักษ์ยมโลกนิลก็พบชายร่างใหญ่ดวงตาสีเขียวมรกตคนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะมีใบหน้าที่คุ้นเคยมาก

ชายร่างใหญ่ ‘จั๋วชง’ หนึ่งในสมาชิกผู้พิทักษ์ทมิฬสิบคนที่เขาเป็นหัวหน้าเมืองเทวะสวรรค์

ในยามนี้เขาพัฒนาจากระดับก่อกำเนิดขั้นปลายมาอยู่ในระดับเทพแปลงขั้นต้นแล้ว และกำลังมองมาทางหานลี่ด้วยสีหน้าตกตะลึง

“ที่แท้ก็สหายจั๋ว! ยินดีกับสหายที่กลายเป็นผู้พิทักษ์ยมโลกนิลแล้ว” ใบหน้าของหานลี่ประดับไปด้วยรอยยิ้มและเอ่ยอย่างแช่มช้า

“เป็นท่านหัวหน้าจริงๆ ด้วย! เอ๋ หรือว่าท่านหัวหน้าบรรลุระดับไปถึงขั้นระดับหลอมสุญตาแล้ว!” จั๋วชงเห็นว่าเป็นหานลี่จริงๆ ก็พลันดีใจจากนั้นก็เอ่ยด้วยความตกตะลึง

เขากวาดจิตสัมผัสไป คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจมองพลังยุทธ์ของหานลี่ออก แน่นอนว่าต้องคิดเช่นนี้

“ที่ร่อนเร่อยู่ภายนอกที่ผ่านมาก็บรรลุระดับหลอมสุญตาจริงๆ แต่กลับคิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้เข้าเมืองก็จะได้พบกับสหายจั๋วก่อน สหายคนอื่นในกลุ่มยังสบายดีสินะ” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมาขณะเอ่ยถาม

“จะว่าอย่างไรดีล่ะ ตอนนั้นหลังจากที่ท่านหัวหน้าจากไปได้ไม่นาน ชนนอกเผ่าก็มาโจมตีเมืองเทวะสวรรค์ พวกเราเพลี่ยงพล้ำไปกว่าครึ่งในสงครามนั้น คนที่เหลือก็เลือกที่จะออกจากเมืองเทวะสวรรค์ ยามนี้ในเมืองเทวะสวรรค์เหลือข้าและเซียนสวี่สองคน” จั๋วชงกล่าวเช่นนี้ออกมา

“เซียนสวี่ยังอยู่ในเมือง?” หานลี่ได้ยินคำนี้แววตาพลันฉายแววแปลกประหลาดใจ

สตรีผู้นี้คือชนรุ่นหลังของเซียนวิญญาณน้ำแข็ง คือเบาะแสของเรื่องที่ชายหนุ่มแซ่เวิงจากเผ่าเมฆาสวรรค์มอบหมายให้เขาทำ แน่นอนว่าย่อมเป็นกังวล

“เซียนสวี่พัฒนามาอยู่ในระดับเทพแปลงแล้วเช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้นยังพัฒนามาอยู่ในระดับขั้นกลาง ยามนี้เป็นหัวหน้าผู้พิทักษ์ทมิฬ ใช่แล้วเซียนสวี่เคยเอ่ยถึงท่านหัวหน้าหลายครั้ง มักจะบอกว่าตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะท่านหัวหน้าชี้แนะ นางก็คงไม่อยู่ในระดับนี้” จั๋วชงหัวเราะคิกคักออกมา

ดูเหมือนว่าเขาจะคิดว่าหานลี่และสตรีผู้นี้มีความสัมพันธ์ที่มิอาจให้คนนอกล่วงรู้ได้อย่างไรอย่างนั้น

“หึๆ ตอนนั้นข้าแค่ทำไปส่งๆ ไหนเลยจะเรียกว่าชี้แนะ เซียนสวี่ประสบความสำเร็จได้ในยามนี้แน่นอนว่าย่อมเป็นคุณสมบัติที่เหนือชั้นของนาง” หานลี่สั่นศีรษะและเอ่ยอย่างราบเรียบ

จั๋วชงฉีกยิ้มไม่ได้เอ่ยปากอันใด

ส่วนนักปราชญ์และพวกทั้งสี่คน เห็นหานลี่รู้จักกับผู้พิทักษ์ยมโลกนิลนามว่าจั๋วชงผู้นี้ ความกังวลสุดท้ายในใจก็หายไป

ดูแล้วที่ท่านผู้นี้กล่าวว่ามีต้นกำเนิดมาจากเมืองเทวะสวรรค์คงจะเป็นความจริง พวกเขาเองก็ไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะเป็นชนนอกเผ่าจำแลงกายมาเพื่อปะปนเข้าไปในเมืองเทวะสวรรค์

เรื่องเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต

นักปราชญ์เองก็รู้จักจั๋วชง เมื่อกลอกตาไปมาเล็กน้อยก็คารวะจั๋วชงแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้ท่านอาวุโสหานก็รู้จักกับพี่จั๋ว เยี่ยมจริงๆ พวกเราเองก็ถูกท่านอาวุโสหานช่วยมา ครั้งนี้ถึงได้กลับมาที่นี่ได้”

“อันใดสหายทั้งสี่พบกับอันตรายหรือ” จั๋วชงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“ไม่ใช่แค่อันตรายพวกเราสี่คนเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งในปากของเต่าศิลาปราณระดับหลอมสุญตาตนหนึ่ง” นักปราชญ์หัวเราะอย่างขมขื่น

“หึๆ หัวหน้าของพวกเราสามารถสังหารชนนอกเผ่าระดับหลอมสุญตาได้ ด้วยพลังยุทธ์ระดับเทพแปลง ยามนี้จะสังหารเต่าศิลาปราณตัวหนึ่งย่อมไม่ใช่ปัญหา” จั๋วชงหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย

ได้ยินจั๋วชงเอ่ยเช่นนี้ นักปราชญ์สองสามคนก็พยักหน้าอย่างต่อเนื่องแสดงความเห็นด้วย

“วันข้างหน้ามีโอกาสค่อยคุยกับสหายจั๋วก็แล้วกัน ข้ายังมีธุระอื่นต้องเข้าเมืองก่อน” หานลี่กลับเอ่ยพร้อมกับอมยิ้ม

“ขอรับ ผู้แซ่จั๋วประมาทเอง ท่านหัวหน้ามาจากแดนไกลจะต้องเหนื่อยล้าแน่” จั๋วชงถึงได้เข้าใจ แล้วรีบร้อนเบี่ยงกายไปทางเขตอาคมส่งตัวด้านหลัง

หานลี่พยักหน้าให้จั๋วชงแล้วเดินเข้าไปข้างในอย่างไม่เกรงใจ

ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ คนหายวับไปจากเขตอาคมส่งตัว

นักปราชญ์และพวกย่อมตามไปและหายไปจากเขตอาคมเช่นกัน

จั๋วชงมองเขตอาคมที่ว่างเปล่าสีหน้าห่อเหี่ยว

“พี่จั๋ว เจ้ารู้จักท่านอาวุโสหานจริงๆ หรือ?”

“เขาคือท่านหัวหน้าในตอนนั้นของเจ้าจริงๆ หรือ ผู้ที่สามารถสังหารสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาได้ด้วยพลังยุทธ์ระดับเทพแปลง?”

“เหตุใดพวกเราถึงมองพลังยุทธ์ของเขาไม่ออก! หรือว่าฝึกฝนอิทธิฤทธิ์พิเศษอันใด?”

ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลที่เหลือที่ยืนอยู่เงียบๆ ด้านข้างเมื่อครู่ทนไม่ไหวทยอยกันเอ่ยปากถามขึ้น

“จริงอยู่แล้ว ตอนนั้นหัวหน้าหานผู้นี้เป็นผู้พิทักษ์ยมโลกนิลที่ไม่ธรรมดาเลย อิทธิฤทธิ์ของเขาแม้แต่ผู้พิทักษ์สวรรค์ธรรมดาก็ยังไม่ใช่คู่มือ ตอนนั้นผู้แซ่จั๋วเป็นลูกน้องของเขาก็ยังได้รับประโยชน์มาไม่น้อย มิเช่นนั้นคงไม่พัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับเทพแปลงหรอก ไม่ได้พบหน้ากันนานเช่นนี้เขาพัฒนาขึ้นไปอยู่ระดับหลอมสุญตาแล้วดังคาด ยามนี้พลังยุทธ์ลึกล้ำยากจะคาดเดาพวกเจ้าไม่อาจมองทะลุผ่านพลังยุทธ์ของเขาได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด” จั๋วชงตอบในเวลาเดียวกันในใจก็อดที่จะคาดเดาร่องรอยของหานลี่ในช่วงปีที่ผ่านมาไม่ได้

แต่แน่นอนว่าเขาย่อมคิดไม่ถึงว่าสาเหตุที่หานลี่หายไปจากเมืองเทวะสวรรค์หลายปีมานี้จะเป็นเพราะร่อนเร่พเนจรอยู่ข้างนอก แม้กระทั่งไปถึงแผ่นดินใหญ่แผ่นดินอื่น

ในเวลาเดียวกันหานลี่เปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาปรากฏตัวในวิหารที่ดูธรรมดาๆ แห่งหนึ่งพลางเดินออกมาจากเขตอาคมส่งตัวอย่างช้าๆ แล้วมองพิจารณาไปรอบด้าน

หลังจากที่นักปราชญ์และพวกเองก็ถูกส่งตัวออกมาหลังจากนั้น

“มาถึงเมืองเทวะสวรรค์แล้ว ข้าและเหล่าสหายก็คงจะต้องแยกจากกันแล้ว” หานลี่หันกายมาเอ่ยกับทั้งสี่คน

“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่มีบุญคุณต่อพวกเราทั้งสี่คน ยามนี้พวกเราจะไปพักที่หอคอยวสันต์นิทราชั่วคราว หากท่านอาวุโสอยากส่งคนไปทำงานนอกสถานที่ พวกเราก็ไม่ปฏิเสธ” นักปราชญ์พลันคารวะแล้วเอ่ยอย่างจริงใจ

หากไม่มีหานลี่ครั้งนี้คงเอาชีวิตรอดออกมาได้ยาก คำนี้เป็นคำที่พูดออกมาจากใจจริงๆ

“หอคอยวสันต์นิทรา! ข้ารู้แล้ววันหน้าไม่แน่ว่าอาจจะต้องรบกวนสหายจริงๆ” หานลี่มองลึกเข้าไปในแววตาของนักปราชญ์แล้วพยักหน้าจากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินไปที่ประตูวิหาร

หลังจากนักปราชญ์ตกตะลึงไปเล็กน้อยก็ทำท่าน้อมส่งหานลี่พร้อมกันกับคนที่เหลืออีกสามคน

เมื่อเดินออกจากตำหนักด้านนอกเป็นห้องโถงยักษ์ขนาดร้อยจั้ง มีผู้คนเดินเข้าๆ ออกๆ ในวิหารทั่วทั้งสี่ด้านแต่จำนวนคนกลับไม่มากนัก

ทว่าตรงทางเข้าออกของห้องโถงยักษ์กลับยังคงมีผู้พิทักษ์จากยมโลกนิลถือ ‘จานวิญญาณวิเศษ’ เรียงแถวกันอยู่สองแถว พลางพิจารณาผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้าออกทุกคนอย่างละเอียด

และด้านหลังของผู้พิทักษ์ยมโลกนิลก็ยังมีผู้พิทักษ์สวรรค์สวมชุดเกราะสีทองอยู่คนหนึ่ง สองมือไพล่หลังกำลังมองทุกคนที่อยู่ในห้องโถงยักษ์ด้วยแววตาเย็นชา

“ระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง!” หานลี่มองปราดเดียวก็มองพลังยุทธ์ของผู้พิทักษ์สวรรค์ผู้นั้นออก ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลที่อยู่ตรงเขตอาคมด้านนอกเมือง แค่รับหน้าที่ดูแลเขตอาคมส่งตัวไม่ให้ถูกชนนอกเผ่าหรืออสูรทำลาย ผู้พิทักษ์ที่นี่ถึงจะเป็นผู้ที่ตรวจสอบฐานะของผู้ที่เข้าออกอย่างแท้จริง

เดิมผู้ที่เข้าไปในแดนรกร้างทุกคนต้องมีแผ่นป้ายคำสั่งชั่วคราวของเมืองเทวะสวรรค์ หานลี่ไม่ได้กลับเมืองเทวะมาหลายปีขณะนี้ แน่นอนว่าไม่มีสิ่งนั้น จึงยุ่งยากเล็กน้อย

เดิมในห้องโถงยักษ์ก็มีอยู่ไม่กี่คน ระดับหลอมสุญตาก็มีแค่หานลี่คนเดียวเท่านั้น

สายตาของผู้พิทักษ์สวรรค์ผู้นั้นมองมาทางนี้ด้วยแววตาเปล่งประกายทันที

ใบหน้าของหานลี่ไร้ซึ่งความประหลาดใจ แต่เดิมที่ใช้เคล็ดวิชาลับกลบกลิ่นอายยามนี้กลับไม่ได้ปิดบังใดๆ

ผู้พิทักษ์สวรรค์ร่างกายผ่ายผอมผู้นั้นพลันหน้าเปลี่ยนสีเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

“ข้าน้อยอวี่หลิงจื่อ สหายมีพลังยุทธ์น่าตกตะลึง บังอาจขอเรียนถามแซ่มีต้นกำเนิดจากที่ใดหรือ?” ผู้พิทักษ์สวรรค์ผู้นั้นรอให้หานลี่เดินเข้ามาใกล้ ร่างกายก็พลิ้วไหวมาอยู่ด้านหน้าผู้พิทักษ์ยมโลกนิลคนอื่นๆ แล้วประสานมือคารวะหานลี่พลางเอ่ยถามอย่างมีมารยาท

“ข้าน้อยหานลี่! ส่วนต้นกำเนิด หึๆ สามร้อยปีก่อนข้าน้อยเป็นหนึ่งในสมาชิกของผู้พิทักษ์เทวะสวรรค์!” หานลี่หยักมุมปากขณะเอ่ย

“ผู้พิทักษ์เทวะสวรรค์! หรือว่าสหายจะพูดเล่น ผู้แซ่หยางรับตำแหน่งผู้พิทักษ์สวรรค์ในเมืองนี้มาสองสามร้อยปีแล้ว รู้จักผู้พิทักษ์สวรรค์ทุกคน ได้พบข้าน้อยตอนไหนหรือ” ผู้พิทักษ์สวรรค์ผู้นี้พลันตกตะลึงทันใดนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม

หานลี่ได้ฟังคำนี้แค่หัวเราะหึๆ ฉับพลันนั้นพลันยกมือขึ้นลำแสงสีเขียวบินไปบินมา

รูม่านตาของผู้พิทักษ์สวรรค์ร่างกายผ่ายผอมหดเล็กลง มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศดูดลำแสงสีเขียวเข้ามาในมือ

นั่นคือแผ่นป้ายหยกสีเขียวเข้มแผ่นหนึ่ง

บนแผ่นป้ายหยกสลักตัวอักษรลูกอ๊อดสีเงินเอาไว้ อีกด้านหนึ่งสลักตัวอักษรสีทองคำว่า “หยางที่ห้าสิบหก”

นั่นคือแผ่นป้ายผู้พิทักษ์ยมโลกนิลในตอนนั้นของหานลี่!

“ผู้พิทักษ์ยมโลกนิล?” ผู้พิทักษ์สวรรค์ผู้นี้มีท่าทีไม่อยากจะเชื่อ

“ใช่แล้ว สหายคิดว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือ?” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ

“ก็ไม่อันใดผิดปกติ ทว่าข้าน้อยต้องตรวจสอบแผ่นป้ายนี้ก่อน” ผู้พิทักษ์สวรรค์แซ่หยางหัวเราะแห้งๆ ออกมาและตอบกลับมาอย่างจริงจัง

“ไม่เป็นไร ตามสะดวกเถิด” หานลี่ตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ

ผู้พิทักษ์สวรรค์ร่างกายผ่ายผอมพยักหน้า สองมือถูไปมา แผ่นป้ายหยกเปล่งแสงสีเขียวอ่อนทันที

“ไม่ผิด เป็นแผ่นป้ายของผู้พิทักษ์ยมโลกนิลจริงๆ ทว่าหมายเลขผู้พิทักษ์ยมโลกนิลของสหายถูกยกเลิกไปตั้งร้อยปีก่อนแล้ว สหายเป็นอิสระแล้ว” ลำแสงในมือของผู้พิทักษ์สวรรค์ร่างกายผ่ายผอมหม่นแสงลง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจขณะเอ่ย

“ข้าน้อยทำภารกิจเสี่ยงภัยสำเร็จ ยามที่ทำภารกิจสำเร็จก็นับว่าเป็นอิสระแล้ว” หานลี่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแค่ตอบกลับอย่างราบเรียบ

“ภารกิจเสี่ยงภัยเมื่อสามร้อยปีก่อน?” ผู้พิทักษ์สวรรค์ร่างกายผ่ายผอมดวงตาเปล่งประกาย ดูเหมือนว่าจะนึกอะไรออกแล้วตกตะลึงไปเล็กน้อย

“ดูแล้วสหายคงจำเรื่องในปีนั้นได้!” หานลี่หัวเราะหึๆ

“ที่แท้สหายก็เป็นหนึ่งในผู้คุมกฎที่รับภารกิจนั้น ช่างเสียมารยาทจริงๆ สหายไม่มีปัญหา ไปได้แล้วขอรับ ทว่าแผ่นป้ายผู้พิทักษ์ยมโลกนิลข้าจะต้องเก็บไว้” ผู้พิทักษ์สวรรค์แซ่หยางเผยสีหน้านอบน้อมออกมาหลายส่วน ประสานมือคารวะขณะเอ่ย

“นั่นเป็นสิ่งที่ควรทำ ข้าน้อยเองก็ไม่ได้กลับมาที่เมืองหลายปีจึงไม่มีเครื่องยืนยันฐานะอื่นถึงได้เอาเจ้าสิ่งนี้ออกมา” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ

ผู้พิทักษ์สวรรค์ร่างกายผ่ายผอมพยักหน้ามือหนึ่งโบกสะบัด ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลสองสามคนจึงเปิดทางให้ทันที

หานลี่กลายเป็นลำแสงหลีกหนีอย่างไม่เกรงใจ สายรุ้งสีเขียวพุ่งออกไปจากห้องโถงยักษ์

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด