A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1949 เสียงดังทางตะวันออก จู่โจมทางตะวันตก

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1949 เสียงดังทางตะวันออก จู่โจมทางตะวันตก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถาดหยกยักษ์ได้แปลงร่างเป็นแสงอาทิตย์สีเพลิงอันเจิดจ้า เปล่งแสงวิญญาณสีแดงเพลิงออกจากเบื้องบน ปกคลุมหุบเขาที่อยู่เบื้องล่างทั่วทุกอณู

ในแสงสีแดง อักขระยันต์สีเงินจางๆ นับไม่ถ้วนกะพริบไม่หยุด คล้ายแฝงพลังลึกลับอยู่ในนั้น

กลางถาดหยก สามร่างแยกของเซวี่ยกวงยืนเคียงไหล่กัน ทำมือร่ายมนตร์ แสงโลหิตบนร่างกะพริบ จ้องมองกำแพงแก้วตรงหน้าไม่วางตา

ภาพในกำแพงแก้ว ดวงแสงสีแดงแต่ละลูกกำลังตามหาอันใดบางอย่างทั่วทั้งหุบเขา ไม่ว่าบนฟ้าหรือบนดิน ดวงแสงเหล่านี้ก็เคลื่อนที่ไปทั่วอย่างไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ ไม่หยุด

ภาพในกำแพงแก้วก็เคลื่อนตามดวงแสงแต่ละลูก และเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่นอกจากก้อนหินกับต้นไม้และสัตว์ป่าบางชนิดที่ยังมิได้เบิกภูมิปัญญาแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของใดๆ อยู่ในสายตาอีก

สีหน้าของสามร่างแยกย่อมหมองลงเรื่อยๆ แต่ยังคงร่ายมนตร์กระตุ้นดวงแสงเหล่านั้นให้ตรวจตราไปทุกตารางนิ้วต่อ

ไม่นาน ขอบฟ้าด้านหลังก็มีเสียงแหวกอากาศดังมา แสงสีขาวกลุ่มหนึ่งพุ่งลงมาจากฟากฟ้า

ซึ่งก็คือหยวนซาควบคุมตำหนักศิลาเหาะมาถึง

หลังจากตำหนักศิลาเกือบสะเทือน ก็ส่งเสียงดังหวีดหวิวไปถึงถาดหยกที่อยู่ห่างออกไปพันกว่าจั้ง แล้วจึงหยุดเรืองแสง

แทบจะในเวลาเดียวกัน กำแพงแก้วในถาดหยกวาบแสงสีขาว ร่างบอบบางร่างหนึ่งปรากฏ

“สหายหยวนซา เจ้ามาถึงจนได้” พอเห็นภาพสตรี ร่างแยกของเซวี่ยกวงที่อยู่ตรงกลางก็รีบทักทายอย่างยิ้มแย้ม

“ไม่ต้องพูดจาไร้สาระ เจ้ามนุษย์นั่นถูกเจ้าขังไว้ในหุบเขาจริงหรือ” หลังจากหยวนซากวาดตามองร่างทั้งสามก็ถามขึ้นเรียบๆ

“จริงแท้แน่นอน ข้าจะหลอกสหายไปทำไมกัน หลังจากหมอนั่นถูกข้าไล่ล่าก็มุดหัวดำดิน ฝันว่าจะใช้ดินช่วยในการหลบหนี กลับทำให้ข้าฉวยโอกาสใช้ถาดจักรวาลปิดผนึกพื้นที่ตรงนี้ เขาจึงหนีออกไปไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาใช้วิชาอำพรางกายแบบไหน ข้าถึงได้หาไม่เจอในช่วงเวลาอันสั้น ต้องรบกวนสหายหยวนซาแล้ว”

ร่างแยกของเซวี่ยกวงอีกร่างตอบอย่างใจเย็น

“อืม เช่นนี้ดีที่สุด เดี๋ยวข้าจะใช้มหายุทธ์พลังปราณมารด้วยตัวเอง บีบให้หมอนั่นออกมา” หยวนซาพยักหน้าขานรับ

“อย่าตื่นไป ให้พวกเราคนหนึ่งตามสหายเข้าไปในหุบเขาด้วยสิ จะได้ปกป้องแทนสหายบ้าง ป้องกันไม่ให้หมอนั่นฉวยโอกาสลอบจู่โจม” ร่างแยกสุดท้ายกลับพูดอย่างเยือกเย็น

“ปกป้อง? เฮอะ คิดจับตาดูข้าสิไม่ว่า”

พอได้ยิน สตรีไม่เพียงไม่สบอารมณ์ กลับเคร่งขรึมลงด้วย

“หึๆ สหายหยวนซาอย่าเพิ่งเข้าใจผิด! หมอนั่นเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว อีกทั้งในตัวยังมีของวิเศษล้ำค่าหลายชิ้น ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า” ร่างแยกตรงกลางกลับหัวเราะกลบเกลื่อน

“ถ้าอยากส่งคนเข้ามาก็แล้วแต่เจ้า ข้าไม่ขวางหรอก แต่ทางที่ดีอย่าคิดเป็นอื่น มิเช่นนั้นถ้ามีอันใดผิดพลาด อย่าหาว่าข้าไม่มีน้ำใจก็แล้วกัน”

หลังจากสตรีกะพริบตาสองสามครั้ง ก็ตอบกลับอย่างไร้ซึ่งอารมณ์

จากนั้นสตรีก็ไม่รอให้เซวี่ยกวงตอบ หายไปจากกำแพงแก้ว ขณะทำมือร่ายอาคม

“ดี ทำตามที่หารือกันแต่แรก เจ้าไปจับตาดูนาง พอหามนุษย์นั่นเจอ รีบติดต่อเราสองคน อย่าให้เจ้ามนุษย์นั่นตกอยู่ในมือหยวนซาก่อนเป็นอันขาด” ร่างแยกของเซวี่ยกวงที่อยู่ตรงกลางหันไปพูดกับร่างแยกอีกร่าง แล้วจึงแย้มยิ้มขณะค่อยๆ จางหายไป

“วางใจ ข้ารู้จักพลิกแพลงตามสถานการณ์ แม้ว่าตอนนี้มนุษย์นั่นน่าจะมีพลังยุทธ์ไม่มากพอ แต่ก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะถูกหยวนซาจับได้ง่ายๆ แต่ก่อนที่เจ้ามนุษย์นี่จะปรากฏตัว พวกเจ้าก็ห้ามเปิดผนึกถาดจักรวาลเป็นอันขาด ป้องกันไม่ให้เจ้ามนุษย์นั่นฉวยโอกาสหนีไปได้อีก”

ร่างแยกร่างนั้นพยักหน้าหงึกๆ แต่ก็ยังไม่วางใจ จึงกำชับไปอีกสองประโยค

ร่างแยกที่เหลืออีกสองร่างย่อมพยักหน้าก่อนขานรับ!

…..

ขณะเดียวกัน ตำหนักศิลาที่อยู่ไกลออกไปพลันส่งเสียงดังกระหึ่ม อักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนบนพื้นผิวกะพริบ แล้วแยกออกจากตรงกลางทันที กลายร่างใหม่เป็นมนุษย์ศิลายักษ์สองตน

ส่วนสตรีหยวนซาก็ยืนสวยเพรียวอยู่บนศีรษะของมนุษย์ศิลาตนหนึ่ง ก่อนทำมือร่ายมนตร์พามนุษย์ศิลายักษ์สองตนดิ่งลงกลางหุบเขา

ด้านถาดหยก แสงโลหิตกลุ่มหนึ่งก็บินออกไปเช่นกัน เห็นเงาโลหิตรางๆ อยู่ในนั้นเงาหนึ่ง พอวาบแสงก็พุ่งลงไปด้านล่าง

ผ่านไปพักหนึ่ง หยวนซากับชายหนุ่มชุดสีโลหิตคนหนึ่งก็ลงมายืนกลางหุบเขา บนพื้นหินกรวดของแท่นหนึ่ง

“ตรงนี้ใช่ไหม ผู้เฒ่าศิลา เจ้าสองคนแปลงร่างเถอะ” หยวนซาสำรวจมองไปรอบๆ ก่อนหันไปสั่งมนุษย์ศิลายักษ์สองตนที่อยู่ข้างกาย

“ขอรับ ใต้เท้าหยวนซา!”

มนุษย์ศิลาทั้งสองรีบตอบรับเสียงดังหึ่งๆ

ทั้งสองม้วนวนไปบนพื้น ผิวศิลาเปล่งแสงสีเทาขุ่น พริบตาเดียวก็กลายร่างเป็นเสาศิลาสูงร้อยกว่าจั้งสองต้น ผิวศิลาสลักคาถาและลวดลายแปลกๆ ดูลึกลับยิ่ง

“สัญลักษณ์คางคก! จุ๊ๆ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าลูกน้องสองคนของเจ้า กระทั่งสิ่งนี้ก็ยังฝึกฝนออกมาได้” ชายหนุ่มชุดสีโลหิตจ้องมอง พลางพูดอย่างประหลาดใจอย่างอดไม่ได้

“ตอนอยู่ในเผ่ามารศิลา แม้การบำเพ็ญเพียรของพวกเขาไม่ติดสามอันดับแรก แต่ก็เพียงพอที่จะอยู่ในสิบอันดับแรก ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วข้าจะปกป้องรุ่นพวกเขาในโลกศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้มานานหลายปีได้อย่างไรกัน” หยวนซาตอบอย่างไม่เกรงใจ

“หึหึ ถ้ามารศิลาที่ข้ามีอยู่บำเพ็ญเพียรได้ลึกล้ำอย่างผู้เฒ่ามารศิลา ข้าก็ต้องปกป้องอย่างถึงที่สุดเสมอ เอาละ ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ที่สหายปลุกเสกสัญลักษณ์นี้ออกมา หรือจะใช้พวกมันมาเพิ่มอานุภาพมหายุทธ์พลังปราณมารของเจ้า” ชายหนุ่มชุดสีโลหิตลูบคางพลางหัวเราะเบาๆ ก่อนพูด

“ในเมื่อกระทั่งพวกเจ้าที่มีถาดจักรวาลในมือ ยังไม่สามารถพบร่องรอยของเจ้าหนุ่มแซ่หาน การใช้มหายุทธ์พลังปราณมารอย่างเดียวอาจไม่ได้ผล แต่ถ้ามีสัญลักษณ์คางคกสนับสนุนก็ไม่พลาดแน่” หยวนซาตอบเรียบๆ เหมือนไม่มีเจตนาปิดบัง

พอได้ยินเช่นนี้ ชายหนุ่มชุดสีโลหิตก็พยักหน้า แล้วยืนอยู่ด้านข้างไม่ส่งเสียงอีก

หยวนซาก็ไม่อยากพูดอันใดอีกเช่นกัน พลันขยับร่าง มาปรากฏในตำแหน่งกึ่งกลางระหว่างเสาศิลาสองต้น

พอแสงสีขาวสว่างวาบ แท่นศิลาดึกดำบรรพ์ก้อนหนึ่งก็โผล่ขึ้นจากพื้นดินพร้อมเสียงดังกึกก้อง ทำให้สตรีต้องยันกายไว้ที่ความสูงสิบกว่าจั้งทันที

หยวนซาหายใจเข้าลึกๆ มือข้างหนึ่งร่ายคาถา อีกข้างสะบัดแขนเสื้อ เสาธงขนาดเล็กสีดำสิบกว่าต้นร่อนออก หมุนวนสักพัก ค่อยทยอยตกลงบนพื้นดินใกล้ๆ แท่นหิน ปักแน่นอยู่ตรงนั้น

เสียงเล็กๆ ของสตรีดังขึ้น แสงสีดำสายหนึ่งโผล่ออกจากด้านหลัง บิดหนึ่งครั้ง กลายเป็นรูปมารสามหัวหกกรขนาดใหญ่!

รูปมารสวมเกราะนักรบสีดำมันวาว ตลอดทั้งร่างเปล่งพลังชั่วร้ายรุนแรงออกมาอย่างน่าตื่นตระหนก ดวงตาทั้งหกแดงก่ำ ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ

ปากของสตรีส่งเสียงท่องคาถาเบาๆ แล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นทำท่าร่ายคาถาสิบกว่าท่ารอบทิศ ก่อนหายวับไปกับที่ว่างอย่างไร้ร่องรอย

ธงเล็กๆ สีดำเหล่านั้นพลันส่งเสียงดังหึ่งๆ แสงสีดำมหึมาสว่างวาบ ครู่เดียว ก็กลายเป็นวัตถุขนาดใหญ่สูงสิบกว่าจั้ง

ยามนั้น รูปมารยักษ์ที่ด้านหลังของหยวนซาพลันเงยหน้ามอง แล้วแขนทั้งหกก็คว้าจับที่สูง

ดวงแสงสีดำหกลูกปรากฏและไหลอยู่ในมือมัน ก่อนส่งเสียงดัง ปังๆ กลายเป็นควันดำหกสายพุ่งไปรวมตัวบนท้องฟ้า

ทันใด เมฆมารกลุ่มหนึ่งก่อตัวขึ้นกลางอากาศ ขณะดิ้นไปมาก็กลายรูปเป็นสัตว์ปีกบ้าง สัตว์บกบ้าง คล้ายร่างเดิมมีไหวพริบอย่างไรอย่างนั้น

พอหยวนซาเห็นเช่นนี้ ปากก็หยุดท่องคาถา ยกนิ้วหนึ่งชี้ไปยังธงแนวตั้งที่แยกออกมาให้สงบนิ่งลง

ธงเหล่านี้ภายนอกเป็นสีดำ แต่มีลำแสงไหลเวียนอยู่ สิ้นเสียง ‘ซู่ๆ’ ก็กลายร่างเป็นไอดำสิบกว่าสายพุ่งขึ้นไปบนฟ้า

พริบตาเดียว เมฆมารพลันขยายใหญ่ไม่หยุด ส่งเสียงทึบตันดังสนั่นอยู่บนฟ้า จนแทบจะปกคลุมหุบเขาเล็กๆ ที่อยู่ข้างใต้ทั้งหมด

หยวนซาใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาเย็นชากะพริบ พลันอ้าปาก พ่นโลหิตพลังปราณเข้าใส่เมฆมารบนท้องฟ้าติดต่อกัน

โลหิตพลังปราณเหล่านี้ พอโดนลมก็กลายเป็นฝนโลหิตปรอยๆ พอกะพริบก็หายไปในก้อนเมฆอย่างไร้สุ้มเสียง

ขณะนั้น ร่างแปลงเสาศิลาสัญลักษณ์สองต้นก็ปล่อยรัศมีแสงห้าสีเป็นวงๆ ออกมา

แสงวิญญาณที่วงแสงเหล่านี้เปล่งออก ทุกครั้งที่เคลื่อนผ่านเมฆดำ ล้วนทำให้เมฆมารขยายใหญ่อีกหนึ่งขั้น ไม่นาน แสงโลหิตในเมฆมารก็สว่างวาบ เส้นโลหิตนับไม่ถ้วนปรากฏ พวกมันกลิ้งถักทอกับเมฆดำ ในที่สุดก็ควบแน่นเป็นไอดำขนาดเท่ากำปั้นนับไม่ถ้วนกลุ่มหนึ่ง

หลังจากไอดำเหล่านี้ดิ้นยุกยิก ก็กลายเป็นอีกาขนาดเท่าฝ่ามือตัวแล้วตัวเล่าอยู่ในก้อนเมฆ

เสียงอีกาที่ดังพร้อมกันบนท้องฟ้า ปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน โดยมีเป็นหมื่นตัวขึ้นไป เห็นแล้วขนลุกขนพองอย่างอดไม่ได้!

“ไป”

หยวนซาสะบัดแขนเสื้อกลางอากาศ เปล่งเสียงสั่งต่ำๆ อย่างใจเย็น

แล้วสตรีบนแท่นศิลาก็หลับตา ใช้นิ้วกดลงตรงหว่างคิ้ว สัมผัสบางสิ่งเงียบๆ

ส่วนร่างแยกของเซวี่ยกวงที่ยืนอยู่อีกด้าน หลังจากเหลือบมองไปยังที่กลุ่มอีการ่อนลง พลันขยับสีหน้านิดหน่อย แล้วไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก

ตัวตนของกลุ่มอีกาคล้ายเป็นร่างที่ไร้รูป ไม่ว่าจะเป็นป่าเขา หรือดินหินน้ำ พอพวกมันสัมผัสโดน ก็หายเข้าไปอย่างไร้สุ้มเสียง

ผ่านไปครู่หนึ่ง เกือบครึ่งหุบเขา รวมทั้งที่ซึ่งลึกลงไปหลายพันจั้ง ล้วนถูกตรวจตราแล้วหนึ่งรอบ

ทว่ายังคงไม่มีวี่แววอะไรชั่วขณะ

ตอนฝูงอีกาถูกหยวนซาเรียกกลับมา แล้วกรูกันเปลี่ยนทิศนั้น ร่างของชายหนุ่มชุดสีโลหิตพลันส่งเสียงดังแสบแก้วหูออกมา

ชายหนุ่มอึ้งไปสักพัก แล้วรีบใช้มือข้างหนึ่งตบเข้าที่เอว

ลูกแก้วขนาดเท่าไข่ไก่หนึ่งลูกพลันเด้งออกจากตรงนั้น และสั่นไหวกลายเป็นม่านแสงใสๆ แผ่นหนึ่ง

ในม่านแสง พอแสงโลหิตวาบ ก็เห็นร่างแยกอีกสองร่างยืนเคียงไหล่กัน

“แย่แล้ว เรียกสหายหยวนซากลับมาเร็ว เราเพิ่งได้ข่าวมาว่า หานลี่อีกคนพลันปรากฏตัวขึ้นที่แนวป้องกันสองสามแห่งซึ่งเราวางเอาไว้ทีหลัง โดยบุกทะลวงการสกัดกั้นติดต่อกันหลายระลอก ซ้ำยังสังหารผู้ช่วยที่มีประสิทธิภาพระดับหัวหน้ามารไปสองตน ก่อนหนีไปทางเมืองเทียนหยวน”

“หานลี่คนนี้กลับใช้สมบัติสวรรค์ทมิฬ ยังปล่อยแมลงกินทองออกมาอีก น่าจะเป็นร่างเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนร่างที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นร่างแปลงเหมือนกัน เราถูกเขาใช้เคล็ดวิชาถอดร่างจักจั่นสีทองหลอกแล้ว เมื่อครู่เราสองคนได้สั่งการลงไป ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ต้องจับตาดูเจ้ามนุษย์นี่ทุกฝีเก้า พวกเรารีบไปกันตอนนี้ อาจยังตามทัน!”

ใบหน้าของร่างแยกทั้งสองร่างแสดงทั้งความตกใจและความโกรธออกมา ขณะรีบพูดแบบเจ้าคำข้าคำ

“อันใดนะ มีเรื่องแบบนี้ด้วย! สหายหยวนซา เจ้าได้ยินแล้วนะ วางมือเร็ว เรารีบออกจากที่นี่กัน ไม่ต้องสนใจร่างแปลงนั่นอีก”

พอชายหนุ่มชุดสีโลหิตฟังเข้าใจ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้สุดๆ รีบหันไปตะโกนเสียงต่ำ บอกสตรีที่อยู่บนแท่นศิลา

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1949 เสียงดังทางตะวันออก จู่โจมทางตะวันตก

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1949 เสียงดังทางตะวันออก จู่โจมทางตะวันตก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถาดหยกยักษ์ได้แปลงร่างเป็นแสงอาทิตย์สีเพลิงอันเจิดจ้า เปล่งแสงวิญญาณสีแดงเพลิงออกจากเบื้องบน ปกคลุมหุบเขาที่อยู่เบื้องล่างทั่วทุกอณู

ในแสงสีแดง อักขระยันต์สีเงินจางๆ นับไม่ถ้วนกะพริบไม่หยุด คล้ายแฝงพลังลึกลับอยู่ในนั้น

กลางถาดหยก สามร่างแยกของเซวี่ยกวงยืนเคียงไหล่กัน ทำมือร่ายมนตร์ แสงโลหิตบนร่างกะพริบ จ้องมองกำแพงแก้วตรงหน้าไม่วางตา

ภาพในกำแพงแก้ว ดวงแสงสีแดงแต่ละลูกกำลังตามหาอันใดบางอย่างทั่วทั้งหุบเขา ไม่ว่าบนฟ้าหรือบนดิน ดวงแสงเหล่านี้ก็เคลื่อนที่ไปทั่วอย่างไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ ไม่หยุด

ภาพในกำแพงแก้วก็เคลื่อนตามดวงแสงแต่ละลูก และเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่นอกจากก้อนหินกับต้นไม้และสัตว์ป่าบางชนิดที่ยังมิได้เบิกภูมิปัญญาแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของใดๆ อยู่ในสายตาอีก

สีหน้าของสามร่างแยกย่อมหมองลงเรื่อยๆ แต่ยังคงร่ายมนตร์กระตุ้นดวงแสงเหล่านั้นให้ตรวจตราไปทุกตารางนิ้วต่อ

ไม่นาน ขอบฟ้าด้านหลังก็มีเสียงแหวกอากาศดังมา แสงสีขาวกลุ่มหนึ่งพุ่งลงมาจากฟากฟ้า

ซึ่งก็คือหยวนซาควบคุมตำหนักศิลาเหาะมาถึง

หลังจากตำหนักศิลาเกือบสะเทือน ก็ส่งเสียงดังหวีดหวิวไปถึงถาดหยกที่อยู่ห่างออกไปพันกว่าจั้ง แล้วจึงหยุดเรืองแสง

แทบจะในเวลาเดียวกัน กำแพงแก้วในถาดหยกวาบแสงสีขาว ร่างบอบบางร่างหนึ่งปรากฏ

“สหายหยวนซา เจ้ามาถึงจนได้” พอเห็นภาพสตรี ร่างแยกของเซวี่ยกวงที่อยู่ตรงกลางก็รีบทักทายอย่างยิ้มแย้ม

“ไม่ต้องพูดจาไร้สาระ เจ้ามนุษย์นั่นถูกเจ้าขังไว้ในหุบเขาจริงหรือ” หลังจากหยวนซากวาดตามองร่างทั้งสามก็ถามขึ้นเรียบๆ

“จริงแท้แน่นอน ข้าจะหลอกสหายไปทำไมกัน หลังจากหมอนั่นถูกข้าไล่ล่าก็มุดหัวดำดิน ฝันว่าจะใช้ดินช่วยในการหลบหนี กลับทำให้ข้าฉวยโอกาสใช้ถาดจักรวาลปิดผนึกพื้นที่ตรงนี้ เขาจึงหนีออกไปไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาใช้วิชาอำพรางกายแบบไหน ข้าถึงได้หาไม่เจอในช่วงเวลาอันสั้น ต้องรบกวนสหายหยวนซาแล้ว”

ร่างแยกของเซวี่ยกวงอีกร่างตอบอย่างใจเย็น

“อืม เช่นนี้ดีที่สุด เดี๋ยวข้าจะใช้มหายุทธ์พลังปราณมารด้วยตัวเอง บีบให้หมอนั่นออกมา” หยวนซาพยักหน้าขานรับ

“อย่าตื่นไป ให้พวกเราคนหนึ่งตามสหายเข้าไปในหุบเขาด้วยสิ จะได้ปกป้องแทนสหายบ้าง ป้องกันไม่ให้หมอนั่นฉวยโอกาสลอบจู่โจม” ร่างแยกสุดท้ายกลับพูดอย่างเยือกเย็น

“ปกป้อง? เฮอะ คิดจับตาดูข้าสิไม่ว่า”

พอได้ยิน สตรีไม่เพียงไม่สบอารมณ์ กลับเคร่งขรึมลงด้วย

“หึๆ สหายหยวนซาอย่าเพิ่งเข้าใจผิด! หมอนั่นเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว อีกทั้งในตัวยังมีของวิเศษล้ำค่าหลายชิ้น ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า” ร่างแยกตรงกลางกลับหัวเราะกลบเกลื่อน

“ถ้าอยากส่งคนเข้ามาก็แล้วแต่เจ้า ข้าไม่ขวางหรอก แต่ทางที่ดีอย่าคิดเป็นอื่น มิเช่นนั้นถ้ามีอันใดผิดพลาด อย่าหาว่าข้าไม่มีน้ำใจก็แล้วกัน”

หลังจากสตรีกะพริบตาสองสามครั้ง ก็ตอบกลับอย่างไร้ซึ่งอารมณ์

จากนั้นสตรีก็ไม่รอให้เซวี่ยกวงตอบ หายไปจากกำแพงแก้ว ขณะทำมือร่ายอาคม

“ดี ทำตามที่หารือกันแต่แรก เจ้าไปจับตาดูนาง พอหามนุษย์นั่นเจอ รีบติดต่อเราสองคน อย่าให้เจ้ามนุษย์นั่นตกอยู่ในมือหยวนซาก่อนเป็นอันขาด” ร่างแยกของเซวี่ยกวงที่อยู่ตรงกลางหันไปพูดกับร่างแยกอีกร่าง แล้วจึงแย้มยิ้มขณะค่อยๆ จางหายไป

“วางใจ ข้ารู้จักพลิกแพลงตามสถานการณ์ แม้ว่าตอนนี้มนุษย์นั่นน่าจะมีพลังยุทธ์ไม่มากพอ แต่ก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะถูกหยวนซาจับได้ง่ายๆ แต่ก่อนที่เจ้ามนุษย์นี่จะปรากฏตัว พวกเจ้าก็ห้ามเปิดผนึกถาดจักรวาลเป็นอันขาด ป้องกันไม่ให้เจ้ามนุษย์นั่นฉวยโอกาสหนีไปได้อีก”

ร่างแยกร่างนั้นพยักหน้าหงึกๆ แต่ก็ยังไม่วางใจ จึงกำชับไปอีกสองประโยค

ร่างแยกที่เหลืออีกสองร่างย่อมพยักหน้าก่อนขานรับ!

…..

ขณะเดียวกัน ตำหนักศิลาที่อยู่ไกลออกไปพลันส่งเสียงดังกระหึ่ม อักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนบนพื้นผิวกะพริบ แล้วแยกออกจากตรงกลางทันที กลายร่างใหม่เป็นมนุษย์ศิลายักษ์สองตน

ส่วนสตรีหยวนซาก็ยืนสวยเพรียวอยู่บนศีรษะของมนุษย์ศิลาตนหนึ่ง ก่อนทำมือร่ายมนตร์พามนุษย์ศิลายักษ์สองตนดิ่งลงกลางหุบเขา

ด้านถาดหยก แสงโลหิตกลุ่มหนึ่งก็บินออกไปเช่นกัน เห็นเงาโลหิตรางๆ อยู่ในนั้นเงาหนึ่ง พอวาบแสงก็พุ่งลงไปด้านล่าง

ผ่านไปพักหนึ่ง หยวนซากับชายหนุ่มชุดสีโลหิตคนหนึ่งก็ลงมายืนกลางหุบเขา บนพื้นหินกรวดของแท่นหนึ่ง

“ตรงนี้ใช่ไหม ผู้เฒ่าศิลา เจ้าสองคนแปลงร่างเถอะ” หยวนซาสำรวจมองไปรอบๆ ก่อนหันไปสั่งมนุษย์ศิลายักษ์สองตนที่อยู่ข้างกาย

“ขอรับ ใต้เท้าหยวนซา!”

มนุษย์ศิลาทั้งสองรีบตอบรับเสียงดังหึ่งๆ

ทั้งสองม้วนวนไปบนพื้น ผิวศิลาเปล่งแสงสีเทาขุ่น พริบตาเดียวก็กลายร่างเป็นเสาศิลาสูงร้อยกว่าจั้งสองต้น ผิวศิลาสลักคาถาและลวดลายแปลกๆ ดูลึกลับยิ่ง

“สัญลักษณ์คางคก! จุ๊ๆ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าลูกน้องสองคนของเจ้า กระทั่งสิ่งนี้ก็ยังฝึกฝนออกมาได้” ชายหนุ่มชุดสีโลหิตจ้องมอง พลางพูดอย่างประหลาดใจอย่างอดไม่ได้

“ตอนอยู่ในเผ่ามารศิลา แม้การบำเพ็ญเพียรของพวกเขาไม่ติดสามอันดับแรก แต่ก็เพียงพอที่จะอยู่ในสิบอันดับแรก ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วข้าจะปกป้องรุ่นพวกเขาในโลกศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้มานานหลายปีได้อย่างไรกัน” หยวนซาตอบอย่างไม่เกรงใจ

“หึหึ ถ้ามารศิลาที่ข้ามีอยู่บำเพ็ญเพียรได้ลึกล้ำอย่างผู้เฒ่ามารศิลา ข้าก็ต้องปกป้องอย่างถึงที่สุดเสมอ เอาละ ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ที่สหายปลุกเสกสัญลักษณ์นี้ออกมา หรือจะใช้พวกมันมาเพิ่มอานุภาพมหายุทธ์พลังปราณมารของเจ้า” ชายหนุ่มชุดสีโลหิตลูบคางพลางหัวเราะเบาๆ ก่อนพูด

“ในเมื่อกระทั่งพวกเจ้าที่มีถาดจักรวาลในมือ ยังไม่สามารถพบร่องรอยของเจ้าหนุ่มแซ่หาน การใช้มหายุทธ์พลังปราณมารอย่างเดียวอาจไม่ได้ผล แต่ถ้ามีสัญลักษณ์คางคกสนับสนุนก็ไม่พลาดแน่” หยวนซาตอบเรียบๆ เหมือนไม่มีเจตนาปิดบัง

พอได้ยินเช่นนี้ ชายหนุ่มชุดสีโลหิตก็พยักหน้า แล้วยืนอยู่ด้านข้างไม่ส่งเสียงอีก

หยวนซาก็ไม่อยากพูดอันใดอีกเช่นกัน พลันขยับร่าง มาปรากฏในตำแหน่งกึ่งกลางระหว่างเสาศิลาสองต้น

พอแสงสีขาวสว่างวาบ แท่นศิลาดึกดำบรรพ์ก้อนหนึ่งก็โผล่ขึ้นจากพื้นดินพร้อมเสียงดังกึกก้อง ทำให้สตรีต้องยันกายไว้ที่ความสูงสิบกว่าจั้งทันที

หยวนซาหายใจเข้าลึกๆ มือข้างหนึ่งร่ายคาถา อีกข้างสะบัดแขนเสื้อ เสาธงขนาดเล็กสีดำสิบกว่าต้นร่อนออก หมุนวนสักพัก ค่อยทยอยตกลงบนพื้นดินใกล้ๆ แท่นหิน ปักแน่นอยู่ตรงนั้น

เสียงเล็กๆ ของสตรีดังขึ้น แสงสีดำสายหนึ่งโผล่ออกจากด้านหลัง บิดหนึ่งครั้ง กลายเป็นรูปมารสามหัวหกกรขนาดใหญ่!

รูปมารสวมเกราะนักรบสีดำมันวาว ตลอดทั้งร่างเปล่งพลังชั่วร้ายรุนแรงออกมาอย่างน่าตื่นตระหนก ดวงตาทั้งหกแดงก่ำ ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ

ปากของสตรีส่งเสียงท่องคาถาเบาๆ แล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นทำท่าร่ายคาถาสิบกว่าท่ารอบทิศ ก่อนหายวับไปกับที่ว่างอย่างไร้ร่องรอย

ธงเล็กๆ สีดำเหล่านั้นพลันส่งเสียงดังหึ่งๆ แสงสีดำมหึมาสว่างวาบ ครู่เดียว ก็กลายเป็นวัตถุขนาดใหญ่สูงสิบกว่าจั้ง

ยามนั้น รูปมารยักษ์ที่ด้านหลังของหยวนซาพลันเงยหน้ามอง แล้วแขนทั้งหกก็คว้าจับที่สูง

ดวงแสงสีดำหกลูกปรากฏและไหลอยู่ในมือมัน ก่อนส่งเสียงดัง ปังๆ กลายเป็นควันดำหกสายพุ่งไปรวมตัวบนท้องฟ้า

ทันใด เมฆมารกลุ่มหนึ่งก่อตัวขึ้นกลางอากาศ ขณะดิ้นไปมาก็กลายรูปเป็นสัตว์ปีกบ้าง สัตว์บกบ้าง คล้ายร่างเดิมมีไหวพริบอย่างไรอย่างนั้น

พอหยวนซาเห็นเช่นนี้ ปากก็หยุดท่องคาถา ยกนิ้วหนึ่งชี้ไปยังธงแนวตั้งที่แยกออกมาให้สงบนิ่งลง

ธงเหล่านี้ภายนอกเป็นสีดำ แต่มีลำแสงไหลเวียนอยู่ สิ้นเสียง ‘ซู่ๆ’ ก็กลายร่างเป็นไอดำสิบกว่าสายพุ่งขึ้นไปบนฟ้า

พริบตาเดียว เมฆมารพลันขยายใหญ่ไม่หยุด ส่งเสียงทึบตันดังสนั่นอยู่บนฟ้า จนแทบจะปกคลุมหุบเขาเล็กๆ ที่อยู่ข้างใต้ทั้งหมด

หยวนซาใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาเย็นชากะพริบ พลันอ้าปาก พ่นโลหิตพลังปราณเข้าใส่เมฆมารบนท้องฟ้าติดต่อกัน

โลหิตพลังปราณเหล่านี้ พอโดนลมก็กลายเป็นฝนโลหิตปรอยๆ พอกะพริบก็หายไปในก้อนเมฆอย่างไร้สุ้มเสียง

ขณะนั้น ร่างแปลงเสาศิลาสัญลักษณ์สองต้นก็ปล่อยรัศมีแสงห้าสีเป็นวงๆ ออกมา

แสงวิญญาณที่วงแสงเหล่านี้เปล่งออก ทุกครั้งที่เคลื่อนผ่านเมฆดำ ล้วนทำให้เมฆมารขยายใหญ่อีกหนึ่งขั้น ไม่นาน แสงโลหิตในเมฆมารก็สว่างวาบ เส้นโลหิตนับไม่ถ้วนปรากฏ พวกมันกลิ้งถักทอกับเมฆดำ ในที่สุดก็ควบแน่นเป็นไอดำขนาดเท่ากำปั้นนับไม่ถ้วนกลุ่มหนึ่ง

หลังจากไอดำเหล่านี้ดิ้นยุกยิก ก็กลายเป็นอีกาขนาดเท่าฝ่ามือตัวแล้วตัวเล่าอยู่ในก้อนเมฆ

เสียงอีกาที่ดังพร้อมกันบนท้องฟ้า ปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน โดยมีเป็นหมื่นตัวขึ้นไป เห็นแล้วขนลุกขนพองอย่างอดไม่ได้!

“ไป”

หยวนซาสะบัดแขนเสื้อกลางอากาศ เปล่งเสียงสั่งต่ำๆ อย่างใจเย็น

แล้วสตรีบนแท่นศิลาก็หลับตา ใช้นิ้วกดลงตรงหว่างคิ้ว สัมผัสบางสิ่งเงียบๆ

ส่วนร่างแยกของเซวี่ยกวงที่ยืนอยู่อีกด้าน หลังจากเหลือบมองไปยังที่กลุ่มอีการ่อนลง พลันขยับสีหน้านิดหน่อย แล้วไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก

ตัวตนของกลุ่มอีกาคล้ายเป็นร่างที่ไร้รูป ไม่ว่าจะเป็นป่าเขา หรือดินหินน้ำ พอพวกมันสัมผัสโดน ก็หายเข้าไปอย่างไร้สุ้มเสียง

ผ่านไปครู่หนึ่ง เกือบครึ่งหุบเขา รวมทั้งที่ซึ่งลึกลงไปหลายพันจั้ง ล้วนถูกตรวจตราแล้วหนึ่งรอบ

ทว่ายังคงไม่มีวี่แววอะไรชั่วขณะ

ตอนฝูงอีกาถูกหยวนซาเรียกกลับมา แล้วกรูกันเปลี่ยนทิศนั้น ร่างของชายหนุ่มชุดสีโลหิตพลันส่งเสียงดังแสบแก้วหูออกมา

ชายหนุ่มอึ้งไปสักพัก แล้วรีบใช้มือข้างหนึ่งตบเข้าที่เอว

ลูกแก้วขนาดเท่าไข่ไก่หนึ่งลูกพลันเด้งออกจากตรงนั้น และสั่นไหวกลายเป็นม่านแสงใสๆ แผ่นหนึ่ง

ในม่านแสง พอแสงโลหิตวาบ ก็เห็นร่างแยกอีกสองร่างยืนเคียงไหล่กัน

“แย่แล้ว เรียกสหายหยวนซากลับมาเร็ว เราเพิ่งได้ข่าวมาว่า หานลี่อีกคนพลันปรากฏตัวขึ้นที่แนวป้องกันสองสามแห่งซึ่งเราวางเอาไว้ทีหลัง โดยบุกทะลวงการสกัดกั้นติดต่อกันหลายระลอก ซ้ำยังสังหารผู้ช่วยที่มีประสิทธิภาพระดับหัวหน้ามารไปสองตน ก่อนหนีไปทางเมืองเทียนหยวน”

“หานลี่คนนี้กลับใช้สมบัติสวรรค์ทมิฬ ยังปล่อยแมลงกินทองออกมาอีก น่าจะเป็นร่างเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนร่างที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นร่างแปลงเหมือนกัน เราถูกเขาใช้เคล็ดวิชาถอดร่างจักจั่นสีทองหลอกแล้ว เมื่อครู่เราสองคนได้สั่งการลงไป ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ต้องจับตาดูเจ้ามนุษย์นี่ทุกฝีเก้า พวกเรารีบไปกันตอนนี้ อาจยังตามทัน!”

ใบหน้าของร่างแยกทั้งสองร่างแสดงทั้งความตกใจและความโกรธออกมา ขณะรีบพูดแบบเจ้าคำข้าคำ

“อันใดนะ มีเรื่องแบบนี้ด้วย! สหายหยวนซา เจ้าได้ยินแล้วนะ วางมือเร็ว เรารีบออกจากที่นี่กัน ไม่ต้องสนใจร่างแปลงนั่นอีก”

พอชายหนุ่มชุดสีโลหิตฟังเข้าใจ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้สุดๆ รีบหันไปตะโกนเสียงต่ำ บอกสตรีที่อยู่บนแท่นศิลา

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+