A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 2234 การต่อสู้อันดุเดือด

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 2234 การต่อสู้อันดุเดือด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เสียง “ตูม” ดังขึ้น ห้วงน้ำลึกทั้งหลายราวกับจะตลบขึ้นมาโดยพลัน!

น้ำทะเลโดยรอบหายไปในคราวเดียว ด้านบนเต็มไปด้วยผืนเมฆสีดำดั่งหมึกวาด ส่วนด้านล่างกลับเป็นแผ่นผืนสีเทา คลับคล้ายมีแสงสีขาวพอริบหรี่ สว่างเพียงแวบก็หายไป ดูราวกับดวงดารากำลังสาดส่องไปทุกหนแห่งมิปาน

เสียงร้องของภูตผีดังขับขานไปทั่วสารทิศ ภายหลังจากที่มีลมหนาวกลุ่มหนึ่งพัดโชยมา แสงสีขาวริบหรี่ก็พลันหมุนตัวขึ้นไปด้านบน

เป่าฮวาและคนอื่นๆ ต่างมองดูด้วยความสงสัย ทุกคนดูตกใจกันมากทีเดียว

ภายในลำแสงสีขาวเหล่านี้ถึงกับมีหัวกะโหลกอยู่หนึ่งหัว ดวงตาทั้งสองและริมฝีปากของมันมีลำแสงสีขาววิ่งผ่านถี่ยิบ ชวนให้ผู้คนแตกตื่นยิ่งนัก

“นี่ก็เป็นแดนวิญญาณด้วยหรือ!”

เวลาเดียวกันกับที่เจ้าหัวกะโหลกเหล่านี้ปรากฏตัว หานลี่พลันรู้สึกได้ถึงมวลอากาศโดยรอบเกิดการบีบตัวขึ้น เขารู้สึกได้ถึงอันตรายขีดสุดที่กำลังจะวิ่งมาหาตัวในทันที หากแท้จริงแล้วกลับไม่มีสิ่งผิดแปลกอันใดเกิดขึ้นเลย

แต่เมื่อเขารอให้เป่าฮวามาลองสแกนดู กลับพบว่ามีสีขึ้นมาเล็กน้อยอีกแล้ว

เพียงได้เห็นเป่าฮวาในยามนี้ เขารีบเอามือทั้งสองวาดบริกรรมคาถา ผิวตรงหน้ามีสีเข้มขึ้นในทันใด

กลีบดอกไม้สีชมพูซึ่งแต่เดิมสามารถเปล่งแสงปกคลุมเป็นพันเอเคอร์แสงได้ จู่ๆ ก็หดตัวลง หดเล็กเป็นพันเท่าจนเหลือความเข้มข้นของแสงอยู่เพียงไม่กี่เอเคอร์แสง แค่พอห่อหุ้มตัวเองและพวกของหานลี่ได้เพียงเท่านั้น

หลังจากที่กลีบดอกไม้สีชมพูจากแดนวิญญาณเกิดการหดตัว ภาพมายาก็แปรเปลี่ยนเป็นความสุกวาวภายในพริบตา มันส่งกลิ่นหอมประหลาดฟุ้งกำจาย กลิ่นของมันทวีเพิ่มขึ้น รวดเร็วราวติดปีกบิน มันฟุ้งกระจายไปทั่วราวกับกำลังปกป้องคนทั้งกลุ่มเสมือนหิมะที่ตกลงมาจากฟากฟ้า

หากภายนอกแดนพฤกษานี้กลับไม่พบหนอนเพลี้ยตัวแม่ขนาดใหญ่ยักษ์นั่นอีกแล้ว มีเพียงเงาของโครงกระดูกสีขาวและหัวกระดูกเถือกนั้น

เมื่อเปลวไฟสีขาวซีดที่พ่นออกมาจากปากของพวกมันปะทะเข้ากับกลีบดอกสีชมพู หลังจากนั้นได้เกิดคลื่นรูปทรงแปลกตา ราวกับพลังของน้ำและไฟที่ต่างขั้วกันเกิดการเผชิญหน้ากันอย่างเงียบๆ เยี่ยงนั้น

หากทุกครั้งที่ปะทะกัน เป่าฮวาที่อยู่ใจกลางแดนพฤกษาจะมีสีซีดจางลงหนึ่งส่วน

ผ่านไปเพียงชั่วครู่ หญิงนางนั้นก็มีเหงื่อไหลย้อยลงมา สีบนแววตาเริ่มจืดจางลง

เมื่อหานลี่เห็นดังนั้น ก็สั่นสะท้านขึ้นในใจ

“พี่หาน แม้นข้าจะลดขอบเขตของแดนวิญญาณลงแล้ว แต่หากยังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป คงจะต้านเอาไว้ไม่ได้ นานนัก” เป่าฮวาเปล่งวาจาพูดออกไปอย่างเร็วด้วยสีหน้าประหม่า

“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าจะลองทลายดู ข้าไม่เชื่อหรอกว่ามันจะสำแดงแดนวิญญาณสวรรค์ทมิฬของจริงออกมาได้ ที่นี่หาใช่แดนเซียนไม่!” หานลี่ตอบกลับเสียงทุ้มต่ำ หลังจากที่เขาสั่งการกับนักพรตเซี่ยไปคำ ทันใดนั้น ผืนดินก็ไถลตัวลง กลายร่างเป็นวานรสีทองขนาดใหญ่ที่มีความสูงหลายสิบเมตร

เพียงเจ้าวานรสีทองตนนี้ยักไหล่ ก็จะกลายเป็นสามเศียรหกกรในทันใด ลักษณะดูน่าสยดสยองยิ่งนัก และเมื่อมันกำกำปั้นทั้งหก ก็บังเกิดเสียงคำรามน่ากลัวดังมาจากทางนอกแดนนั่น

เมื่อลำแสงสีทองถูกสาดไป! ลูกบอลแสงขนาดใหญ่หกลูกก็พุ่งออกมาจากกลางฝ่ามือทั้งหกโดยพร้อมเพรียงกัน และไปปรากฏตัวอยู่นอกแดนพฤกษานั่นพร้อมระเบิดเหล่าโครงกระดูกสีขาวและหัวกระโกลกจำนวนมหาศาลให้แหลกสลายไปในชั่วพริบตา

หลังจากเสียงดั่งฟ้าถล่มแผ่นดินทลายนั่นดังขึ้น ลูกบอลแสงทั้งหกก็แปรสภาพกลายเป็นกลุ่มก้อนแสงสีทองและกระจัดกระจายไป

โครงกระดูกสีขาวทั้งหมด เมื่อถูกจินสยากวาดลำแสงออกไปก็กลายเป็นขี้เถ้าไปในพริบตา

หานลี่จู่โจมในคราวนี้ถึงกับกวาดพื้นที่นอกแดนพฤกษาให้กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าสีขาวผืนหนึ่ง

เพียงไม่นาน เป่าฮวาก็รับรู้ได้ว่าพลังกฎแห่งอาคมที่รายล้อมแดนสวรรค์ทมิฬคลายตัวลงแล้ว ใบหน้านางจึงปรากฏสีสันแห่งความสุขออกมา

แต่น่าเสียดาย ความสุขของนางเพิ่งจะปรากฏ ก็ต้องมาแข็งค้างในชั่ววินาทีต่อมา

ณ พื้นที่ที่เพิ่งว่างเปล่าไปเมื่อครู่ได้ปรากฏลำแสงสีขาวๆ ขึ้น จากนั้นหัวกะโหลกที่อัดแน่นก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครา แต่ละตัวดูโกรธแค้นมาก และแล้วเปลวไฟสีขาวซีดก็พ่นออกจากปากเข้าโจมตีจินสยาอีกครั้ง กลิ่นอายของพวกมันดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัวนัก

“ที่แท้ก็ฆ่าไม่ตายนี่เอง แล้วถ้าเป็นแบบนี้เล่า!” เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ สีหน้าของหานลี่หาได้แปรเปลี่ยนไปไม่ กลับกันหลังจากส่งเสียงพึมพำออกไป เขาก็กระแทกเข้าไปในความว่างเปล่านั่นด้วยมือเดียว

เมื่อเกิดเสียง ตูม ลำแสงสีทองก็แตกสลายกลายเป็นกลุ่มคำศัพท์อักษรรูนสีทองมากมายนับไม่ถ้วน และแปรเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำวนสีทองขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราวสิบฟุต

ปราณแห่งสวรรค์และโลกเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง กระแสน้ำวนหมุนรอบตัวอย่างดุเดือด หลังจากบริกรรมเสียงสวดมนต์เป็นภาษาสันสกฤตออกไป แรงดึงดูดอันน่าสะพรึงกลัวก็ออกมาจากกลางลำตัวของมัน พร้อมกับดูดเจ้าหัวกะโหลกจำนวนมหาศาลที่อยู่ใกล้เคียงเข้าไป

แม้ว่าเจ้าหัวกะโหลกสีขาวพวกนี้จะถูกลำแสงต้อนเข้าไปแล้ว พวกมันก็ยังคงปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ที่จุดเดิม และดูเหมือนกลิ่นอายของพวกมันจะดูแข็งแกร่งขึ้นอีกหลายส่วน หากทว่าแรงดึงดูดของกระแสน้ำวนก็ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน มีแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ว่าจะมีหัวกะโหลกโผล่ออกมามากเท่าไร ก็รังแต่จะถูกกระแสน้ำวนหมุนดึงเข้าไป และทุบพวกมันให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเท่านั้น

“เฮ้ ลำแสงเซวียนหยวน…ไม่ ไม่ใช่สิ เป็นแค่อิทธิฤทธิ์ที่ลอกเลียนแบบมาเท่านั้น ฮ่าๆ หากเป็นลำแสงเซวียนหยวนจริงๆ ข้าก็อาจจะเกรงกลัวขึ้นมาบ้าง ที่แท้เป็นแค่ของเลียนแบบ ตัวข้าก็กำจัดมันได้ ง่ายนิดเดียว!” เสียงหัวเราะเย่อหยิ่งประหนึ่งหนอนเพลี้ยตัวแม่ดังขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า

เมื่อคลื่นถาโถมเข้าพร้อมกันในความว่างเปล่า อักษรรูนสีดำก็พุ่งตัวออกไป จากนั้นก็มีลำแสงๆ หนึ่งเคลื่อนตัวจุ่มลงไปในกระแสน้ำวนสีทอง และแล้วพลังกฎแห่งอาคมก็เข้าปกคลุมทุกสิ่งที่อยู่ใต้มันในพริบตา

เสียง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดังขึ้น!

ภายหลังจากที่สูดอักษรรูนสีดำเข้าไป กระแสน้ำวนสีทองซึ่งแต่เดิมมีเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบสิบฟุตก็หดลงตัวอย่างเร็ว และในที่สุดก็กลายเป็นลำแสงสีทองวิ่งทะลุความว่างเปล่าแล้วหายไป

“กฎแห่งกาลเวลา”

สีหน้าของหานลี่แลดูชอบกลนัก

พลังกฎแห่งอาคมของอีกฝ่ายแทบจะยับยั้งพลังกฎแห่งอาคมในระดับเดียวกันได้ทั้งหมด ทำให้เขาต้านรับได้ลำบากมากเป็นครั้งคราว

ในเวลาเดียวกัน เป่าฮวาและนักพรตเซี่ยก็กำลังวุ่นอยู่เช่นเดียวกัน ผู้หนึ่งกำลังใช้อาคมเค้นพลังทั้งหมดเพื่อประคับประคองแดนจิตพฤกษา เพื่อตั้งรับกับแดนสวรรค์ทมิฬของอีกฝ่าย

อีกด้านหนึ่ง เจ้าเต่ายักษ์ตัวหนึ่งกำลังสะบัดตัวอย่างคลุ้มคลั่ง ลูกบอลสายฟ้าขนาดใหญ่ลูกหนึ่งกระแทกขึ้นไปด้านบนราวห่าฝน ทำให้ตาข่ายสีเทาขนาดมหึมาซึ่งถูกเจ้าหนอนเพลี้ยตัวแม่วางล่อไว้แต่เดิมไม่ตกลงไป

ไม่รู้ใช้อิทธิฤทธิ์ชนิดใดสร้างตาข่ายชิ้นนี้ขึ้นมา จึงมีกลิ่นอายชวนสะพรึงซุกซ่อนอยู่บนไหมคริสตัลสีเทานี้ ขนาดนักพรตเซี่ยยังเกือบโดนพลังสายฟ้าบีบคั้นจนถึงขีดจำกัดมาแล้ว แต่ตาข่ายดังกล่าวยังมั่นคงไม่มีความเสียหายใดๆ มีแต่ที่โดนสายฟ้าระเบิดใส่อย่างจังทว่ายังรับได้จึงไม่ตกลงไปเป็นครู่ใหญ่เท่านั้น

ทั้งคู่ไม่ได้ใช้ของวิเศษและศาสตรายุทธ์อื่นใดเลย พวกเขารู้ดี หากต้องเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจระดับนี้ ของวิเศษทั่วไปย่อมทำประโยชน์อันใดมิได้ ในทางกลับกัน มันจะมีประสิทธิภาพมากกว่าหากใช้อิทธิฤทธิ์ดั้งเดิมไปตรงๆ

หานลี่นิ่งเงียบอยู่หนึ่ง ทันใดนั้น เขาก็พูดเบาๆ ขึ้นมาคำหนึ่งบนความว่างเปล่าจากในระยะไกลว่า:

“แม้นพลังกฎแห่งกาลเวลาของท่านจะทรงพลัง หากก็ไม่ทราบว่าจะใช้มันได้อีกสักกี่ครั้ง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านจะสามารถใช้อิทธิฤทธิ์อันท้าทายสวรรค์ชนิดนี้ได้โดยไม่มีขีดจำกัด”

ทันทีที่กล่าวคำพูดนั้นออกไป วานรยักษ์หกกรก็สะบัดมือส่งๆ ขึ้นอีกครั้ง กำปั้นสีทองจำนวนเหนือคณานับก็งอกออกมาซัดเจ้าโครงกระดูกไม่ยั้งราวกับลมพัดโหมกระหน่ำ

อักษรรูนสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนเกิดการรวมตัวกัน เพียงไม่นานก็แปรสภาพเป็นกระแสน้ำวนสีทองมากกว่าสิบวงปรากฏขึ้นในอึดใจเดียว เมื่อเกิดเสียงคำราม กระแสน้ำวนทั้งหมดก็หมุนวนอย่างคลุ้มคลั่ง

เหอะ เสียงเยียบเย็นดังขึ้นในทันควัน!

หลังจากที่แสงสีดำปรากฏขึ้นบนความว่างเปล่า อักษรรูนสีดำนับสิบตัวก็ถูกยิงออกไปพร้อมกัน เข้าโจมตีกระแสน้ำวนทั้งหมดอย่างแม่นยำ

และแล้วปรากฏการณ์แบบเดียวกันก็เกิดขึ้น

เมื่อกระแสน้ำวนสีทองเงียบเสียงลง เพียงไม่นานก็ล่องหนหายไปอย่างน่าประหลาด

ใบหน้าของหานลี่หามีความรู้สึกไม่ แต่ทว่าเงากำปั้นขนาดเท่าภูผาของเจ้าวานรยักษ์ และแสงสีทองจำนวนมากกว่าที่กำลังบิดเกลียวอยู่ก็รวมตัวเป็นกลุ่มก้อนเข้าไปในหัวกะโหลกนั่น จากนั้นการเคลื่อนไหวก็เริ่มต้นขึ้นโดยไม่กริ่งเกรง

“ไอ้หนุ่ม เจ้ากล้าหรือไม่ล่ะ!” ในที่สุดเจ้าหนอนเพลี้ยตัวแม่ก็อดไม่ได้ที่ร้องเรียกเสียงแหลมออกมา

อักษรรูนสีดำไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว ทว่าหลังจากที่เจ้าโครงกระดูกสีขาวและหัวกะโหลกทั้งหมดได้ส่งเสียงหวีดร้องแปลกประหลาดออกมาพร้อมกัน พวกมันก็รวมตัวเป็นกลุ่มก้อนชวนคลุมเครือและก่อตัวขึ้นมาเป็นโครงกระดูกรูปคนที่มีความสูงหลายร้อยฟุต

เปลือกนอกของพวกมันมีหัวกะโหลกจำนวนนับไม่ถ้วนห่อหุ้มอยู่ พวกมันมีใบหน้าที่เจ็บปวดและดูบิดเบี้ยว จนผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียวซ่านบริเวณหนังศีรษะขณะที่เหลือบมอง

โครงกระดูกขนาดใหญ่พวกนี้มีจำนวนหลายร้อยชิ้น ภายใต้การดูดซับพลังของแสงสีทองที่บิดเกลียวอย่างบ้าคลั่งนั้น เขาเอามือทั้งสองสอดประสานกัน และแล้วแสงคริสตัลจางๆ บนร่างก็ไหลออกมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยืนตั้งมั่นที่จุดเดิม ราวกับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ

ที่น่าประหลาดไปกว่านั้นคือ หลังจากที่โครงกระดูกพวกนี้หัวเราะด้วยน้ำเสียงชวนประหลาด จู่ๆ ก็มีลมประหลาดม้วนตัวเข้ามาบนตัวเขา ในขณะที่อักษรรูนสีขาวเทาจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังขยับตัว พวกมันก็กลายร่างมาเป็นนักรบกระดูกขาวที่มีชุดเกราะกระดูกคริสตัลอยู่บนร่าง ในมือถือส้อมขนาดยักษ์ที่ทำมาจากกระดูกสีขาว

นักรบเกราะยักษ์พวกนี้เมื่อเสริมด้วยพลังจากแดนวิญญาณ บนร่างของพวกมันก็มีรัศมีที่แข็งแกร่ง ดูเหมือนจะมีพลังไม่น้อยไปกว่านักรบมหาเมธีในระดับทั่วไปเลยทีเดียว เมื่อพวกมันส่งเสียงคำรามออกไป ส้อมยักษ์ในมือก็กลายเป็นแสงสว่างสีขาวรำไร จากนั้นมันก็โยนลงไปในกระแสน้ำวนเหล่านั้น

และแล้วก็เกิดเสียงอู้อี้ดังขึ้นมา!

กระแสน้ำวนสีทองแตกออกและหดตัวอย่างไม่ตายตัว พวกมันระเบิดออกมาทีละส่วนๆ สำหรับโครงกระดูกยักษ์ตนนั้น หลังจากที่จับมันไว้ในความว่างเปล่าด้วยมือเดียว ส้อมกระดูกยักษ์ในมือก็ลอยโผล่ขึ้นมาอีก จากนั้นมันก็โยนซ้ำออกไปโดยไม่ลังเล

คราวนี้เป้าหมายของมันกลับเป็นแดนพฤกษาสวรรค์ทมิฬของเป่าฮวา

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ สีหน้าของเป่าฮวาพลันซีดลง แต่เนื่องจากนางได้รับการเสริมพลังจากแดนวิญญาณทั้งหมด การแบ่งร่างของนางจึงสมบูรณ์ไร้ที่ติ

ทว่า หลังจากที่ได้เห็นพลังน่าสะพรึงกลัวของส้อมกระดูกเหล่านี้ที่สามารถทำลายแสงสีทองจากในถ้ำสีดำแล้ว หานลี่หรือจะยอมให้มันทำสำเร็จ

แสงสีเขียวปรากฏขึ้นในมือของร่างแปลงวานรยักษ์ เมื่อสวรรค์ทมิฬฟันดาบวิญญาณอย่างเงียบเชียบ และสะบัดออกอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานเส้นสีเขียวนับสิบเส้นก็ฟันออกไปในทันที

ตูม ในความว่างเปล่าเกิดการสั่นสะเทือนไปชั่วขณะ เส้นสีเขียวและส้อมกระดูกพวกนั้นหายวับไปท่ามกลางสองแดนวิญญาณน้อยใหญ่

อย่างไรก็ตาม การโจมตีครั้งนี้ทำให้หานลี่ต้องเสียพลังอาคมไปไม่น้อย หากในวินาทีต่อมา ใบหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนเป็นสีเขียวขึ้นมาอีกแล้ว

ทหารหุ้มเกราะสีขาวพวกนั้นโบกมือขึ้นอีกครั้ง ส้อมกระดูกเกิดการควบรวมขึ้น กลิ่นอายบนร่างก็ถูกเติมเต็มในคราเดียว ดูท่าตบะของพวกเขาจะพุ่งสูงขึ้นอักโข

แสงสีดำตรงหน้าหอกกระดูกนั่นเกิดการสั่นไหวเล็กน้อยและมีพลังกฎแห่งอาคมเล็ดลอดออกมาบางส่วน

“พี่หาน ระวังตัวด้วย ข้ามาเป็นกำลังเสริมให้ท่าน ถึงจะเป็นแดนวิญญาณสวรรค์ทมิฬก็ไม่อาจต้านกฎแห่งสวรรค์ของจริงไปได้หรอก คาดว่านี่คงเป็นการโจมตีชุดสุดท้ายที่อีกฝ่ายจะสามารถทำได้แล้ว ขอเพียงต้านรับการโจมตีนี้ไปได้ แดนวิญญาณของอีกฝ่ายก็คงจะใช้พลังไปจนหมดสิ้นและไม่อาจต้านรับได้อีกต่อไป”

ดวงตาของเป่าฮวาวาววับอย่างน่าสะพรึงกลัว หากเสียงที่นางเอ่ยเตือนกลับฟังดูเสนาะหู

ขณะที่นางผู้นี้กำลังพูดอยู่นั้น ใบหน้าที่ลอดผ่านแสงไฟบอกความเคร่งเครียด จู่ๆ นางก็พลิกมือข้างหนึ่ง จากนั้นตะปูสีกากีก็โผล่ออกมา เป็นตะปูจักรพรรดิแห่งดินดอกนั้น

เป่าฮวาใช้มือเดียวคว้าตะปูขณะที่แขนกำลังจะอ่อนล้า ได้มีคล้ายสายฟ้าเสียบเข้าไปในแดนพฤกษา และเข้ารองรับกิ่งดอกไม้ขนาดยักษ์แห่งแดนวิญญาณเอาไว้ทั้งหมด จากนั้นก็ระเบิดออกเป็นแสงสว่างสีเหลืองชวนแสบตา

ที่แท้ต้นของดอกไม้ยักษ์ได้เหี่ยวเฉาไปบ้างแล้วเนื่องจากพลังวิญญาณที่ล้นเหลือ พอมันถูกตะปูจักรพรรดิ์แห่งดินตอกโดนตัว มันก็ปลดปล่อยพลังแห่งความโกรธออกไปในทันใด ทั้งกิ่งและใบของมันกลับมีสีเขียวสดใสขึ้นอีกครา และในเวลาเดียวกัน มันยังระเบิดอีกครึ่งท่อนเล็กๆ ออกมาด้วย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 2234 การต่อสู้อันดุเดือด

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 2234 การต่อสู้อันดุเดือด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เสียง “ตูม” ดังขึ้น ห้วงน้ำลึกทั้งหลายราวกับจะตลบขึ้นมาโดยพลัน!

น้ำทะเลโดยรอบหายไปในคราวเดียว ด้านบนเต็มไปด้วยผืนเมฆสีดำดั่งหมึกวาด ส่วนด้านล่างกลับเป็นแผ่นผืนสีเทา คลับคล้ายมีแสงสีขาวพอริบหรี่ สว่างเพียงแวบก็หายไป ดูราวกับดวงดารากำลังสาดส่องไปทุกหนแห่งมิปาน

เสียงร้องของภูตผีดังขับขานไปทั่วสารทิศ ภายหลังจากที่มีลมหนาวกลุ่มหนึ่งพัดโชยมา แสงสีขาวริบหรี่ก็พลันหมุนตัวขึ้นไปด้านบน

เป่าฮวาและคนอื่นๆ ต่างมองดูด้วยความสงสัย ทุกคนดูตกใจกันมากทีเดียว

ภายในลำแสงสีขาวเหล่านี้ถึงกับมีหัวกะโหลกอยู่หนึ่งหัว ดวงตาทั้งสองและริมฝีปากของมันมีลำแสงสีขาววิ่งผ่านถี่ยิบ ชวนให้ผู้คนแตกตื่นยิ่งนัก

“นี่ก็เป็นแดนวิญญาณด้วยหรือ!”

เวลาเดียวกันกับที่เจ้าหัวกะโหลกเหล่านี้ปรากฏตัว หานลี่พลันรู้สึกได้ถึงมวลอากาศโดยรอบเกิดการบีบตัวขึ้น เขารู้สึกได้ถึงอันตรายขีดสุดที่กำลังจะวิ่งมาหาตัวในทันที หากแท้จริงแล้วกลับไม่มีสิ่งผิดแปลกอันใดเกิดขึ้นเลย

แต่เมื่อเขารอให้เป่าฮวามาลองสแกนดู กลับพบว่ามีสีขึ้นมาเล็กน้อยอีกแล้ว

เพียงได้เห็นเป่าฮวาในยามนี้ เขารีบเอามือทั้งสองวาดบริกรรมคาถา ผิวตรงหน้ามีสีเข้มขึ้นในทันใด

กลีบดอกไม้สีชมพูซึ่งแต่เดิมสามารถเปล่งแสงปกคลุมเป็นพันเอเคอร์แสงได้ จู่ๆ ก็หดตัวลง หดเล็กเป็นพันเท่าจนเหลือความเข้มข้นของแสงอยู่เพียงไม่กี่เอเคอร์แสง แค่พอห่อหุ้มตัวเองและพวกของหานลี่ได้เพียงเท่านั้น

หลังจากที่กลีบดอกไม้สีชมพูจากแดนวิญญาณเกิดการหดตัว ภาพมายาก็แปรเปลี่ยนเป็นความสุกวาวภายในพริบตา มันส่งกลิ่นหอมประหลาดฟุ้งกำจาย กลิ่นของมันทวีเพิ่มขึ้น รวดเร็วราวติดปีกบิน มันฟุ้งกระจายไปทั่วราวกับกำลังปกป้องคนทั้งกลุ่มเสมือนหิมะที่ตกลงมาจากฟากฟ้า

หากภายนอกแดนพฤกษานี้กลับไม่พบหนอนเพลี้ยตัวแม่ขนาดใหญ่ยักษ์นั่นอีกแล้ว มีเพียงเงาของโครงกระดูกสีขาวและหัวกระดูกเถือกนั้น

เมื่อเปลวไฟสีขาวซีดที่พ่นออกมาจากปากของพวกมันปะทะเข้ากับกลีบดอกสีชมพู หลังจากนั้นได้เกิดคลื่นรูปทรงแปลกตา ราวกับพลังของน้ำและไฟที่ต่างขั้วกันเกิดการเผชิญหน้ากันอย่างเงียบๆ เยี่ยงนั้น

หากทุกครั้งที่ปะทะกัน เป่าฮวาที่อยู่ใจกลางแดนพฤกษาจะมีสีซีดจางลงหนึ่งส่วน

ผ่านไปเพียงชั่วครู่ หญิงนางนั้นก็มีเหงื่อไหลย้อยลงมา สีบนแววตาเริ่มจืดจางลง

เมื่อหานลี่เห็นดังนั้น ก็สั่นสะท้านขึ้นในใจ

“พี่หาน แม้นข้าจะลดขอบเขตของแดนวิญญาณลงแล้ว แต่หากยังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป คงจะต้านเอาไว้ไม่ได้ นานนัก” เป่าฮวาเปล่งวาจาพูดออกไปอย่างเร็วด้วยสีหน้าประหม่า

“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าจะลองทลายดู ข้าไม่เชื่อหรอกว่ามันจะสำแดงแดนวิญญาณสวรรค์ทมิฬของจริงออกมาได้ ที่นี่หาใช่แดนเซียนไม่!” หานลี่ตอบกลับเสียงทุ้มต่ำ หลังจากที่เขาสั่งการกับนักพรตเซี่ยไปคำ ทันใดนั้น ผืนดินก็ไถลตัวลง กลายร่างเป็นวานรสีทองขนาดใหญ่ที่มีความสูงหลายสิบเมตร

เพียงเจ้าวานรสีทองตนนี้ยักไหล่ ก็จะกลายเป็นสามเศียรหกกรในทันใด ลักษณะดูน่าสยดสยองยิ่งนัก และเมื่อมันกำกำปั้นทั้งหก ก็บังเกิดเสียงคำรามน่ากลัวดังมาจากทางนอกแดนนั่น

เมื่อลำแสงสีทองถูกสาดไป! ลูกบอลแสงขนาดใหญ่หกลูกก็พุ่งออกมาจากกลางฝ่ามือทั้งหกโดยพร้อมเพรียงกัน และไปปรากฏตัวอยู่นอกแดนพฤกษานั่นพร้อมระเบิดเหล่าโครงกระดูกสีขาวและหัวกระโกลกจำนวนมหาศาลให้แหลกสลายไปในชั่วพริบตา

หลังจากเสียงดั่งฟ้าถล่มแผ่นดินทลายนั่นดังขึ้น ลูกบอลแสงทั้งหกก็แปรสภาพกลายเป็นกลุ่มก้อนแสงสีทองและกระจัดกระจายไป

โครงกระดูกสีขาวทั้งหมด เมื่อถูกจินสยากวาดลำแสงออกไปก็กลายเป็นขี้เถ้าไปในพริบตา

หานลี่จู่โจมในคราวนี้ถึงกับกวาดพื้นที่นอกแดนพฤกษาให้กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าสีขาวผืนหนึ่ง

เพียงไม่นาน เป่าฮวาก็รับรู้ได้ว่าพลังกฎแห่งอาคมที่รายล้อมแดนสวรรค์ทมิฬคลายตัวลงแล้ว ใบหน้านางจึงปรากฏสีสันแห่งความสุขออกมา

แต่น่าเสียดาย ความสุขของนางเพิ่งจะปรากฏ ก็ต้องมาแข็งค้างในชั่ววินาทีต่อมา

ณ พื้นที่ที่เพิ่งว่างเปล่าไปเมื่อครู่ได้ปรากฏลำแสงสีขาวๆ ขึ้น จากนั้นหัวกะโหลกที่อัดแน่นก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครา แต่ละตัวดูโกรธแค้นมาก และแล้วเปลวไฟสีขาวซีดก็พ่นออกจากปากเข้าโจมตีจินสยาอีกครั้ง กลิ่นอายของพวกมันดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัวนัก

“ที่แท้ก็ฆ่าไม่ตายนี่เอง แล้วถ้าเป็นแบบนี้เล่า!” เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ สีหน้าของหานลี่หาได้แปรเปลี่ยนไปไม่ กลับกันหลังจากส่งเสียงพึมพำออกไป เขาก็กระแทกเข้าไปในความว่างเปล่านั่นด้วยมือเดียว

เมื่อเกิดเสียง ตูม ลำแสงสีทองก็แตกสลายกลายเป็นกลุ่มคำศัพท์อักษรรูนสีทองมากมายนับไม่ถ้วน และแปรเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำวนสีทองขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราวสิบฟุต

ปราณแห่งสวรรค์และโลกเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง กระแสน้ำวนหมุนรอบตัวอย่างดุเดือด หลังจากบริกรรมเสียงสวดมนต์เป็นภาษาสันสกฤตออกไป แรงดึงดูดอันน่าสะพรึงกลัวก็ออกมาจากกลางลำตัวของมัน พร้อมกับดูดเจ้าหัวกะโหลกจำนวนมหาศาลที่อยู่ใกล้เคียงเข้าไป

แม้ว่าเจ้าหัวกะโหลกสีขาวพวกนี้จะถูกลำแสงต้อนเข้าไปแล้ว พวกมันก็ยังคงปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ที่จุดเดิม และดูเหมือนกลิ่นอายของพวกมันจะดูแข็งแกร่งขึ้นอีกหลายส่วน หากทว่าแรงดึงดูดของกระแสน้ำวนก็ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน มีแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ว่าจะมีหัวกะโหลกโผล่ออกมามากเท่าไร ก็รังแต่จะถูกกระแสน้ำวนหมุนดึงเข้าไป และทุบพวกมันให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเท่านั้น

“เฮ้ ลำแสงเซวียนหยวน…ไม่ ไม่ใช่สิ เป็นแค่อิทธิฤทธิ์ที่ลอกเลียนแบบมาเท่านั้น ฮ่าๆ หากเป็นลำแสงเซวียนหยวนจริงๆ ข้าก็อาจจะเกรงกลัวขึ้นมาบ้าง ที่แท้เป็นแค่ของเลียนแบบ ตัวข้าก็กำจัดมันได้ ง่ายนิดเดียว!” เสียงหัวเราะเย่อหยิ่งประหนึ่งหนอนเพลี้ยตัวแม่ดังขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า

เมื่อคลื่นถาโถมเข้าพร้อมกันในความว่างเปล่า อักษรรูนสีดำก็พุ่งตัวออกไป จากนั้นก็มีลำแสงๆ หนึ่งเคลื่อนตัวจุ่มลงไปในกระแสน้ำวนสีทอง และแล้วพลังกฎแห่งอาคมก็เข้าปกคลุมทุกสิ่งที่อยู่ใต้มันในพริบตา

เสียง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดังขึ้น!

ภายหลังจากที่สูดอักษรรูนสีดำเข้าไป กระแสน้ำวนสีทองซึ่งแต่เดิมมีเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบสิบฟุตก็หดลงตัวอย่างเร็ว และในที่สุดก็กลายเป็นลำแสงสีทองวิ่งทะลุความว่างเปล่าแล้วหายไป

“กฎแห่งกาลเวลา”

สีหน้าของหานลี่แลดูชอบกลนัก

พลังกฎแห่งอาคมของอีกฝ่ายแทบจะยับยั้งพลังกฎแห่งอาคมในระดับเดียวกันได้ทั้งหมด ทำให้เขาต้านรับได้ลำบากมากเป็นครั้งคราว

ในเวลาเดียวกัน เป่าฮวาและนักพรตเซี่ยก็กำลังวุ่นอยู่เช่นเดียวกัน ผู้หนึ่งกำลังใช้อาคมเค้นพลังทั้งหมดเพื่อประคับประคองแดนจิตพฤกษา เพื่อตั้งรับกับแดนสวรรค์ทมิฬของอีกฝ่าย

อีกด้านหนึ่ง เจ้าเต่ายักษ์ตัวหนึ่งกำลังสะบัดตัวอย่างคลุ้มคลั่ง ลูกบอลสายฟ้าขนาดใหญ่ลูกหนึ่งกระแทกขึ้นไปด้านบนราวห่าฝน ทำให้ตาข่ายสีเทาขนาดมหึมาซึ่งถูกเจ้าหนอนเพลี้ยตัวแม่วางล่อไว้แต่เดิมไม่ตกลงไป

ไม่รู้ใช้อิทธิฤทธิ์ชนิดใดสร้างตาข่ายชิ้นนี้ขึ้นมา จึงมีกลิ่นอายชวนสะพรึงซุกซ่อนอยู่บนไหมคริสตัลสีเทานี้ ขนาดนักพรตเซี่ยยังเกือบโดนพลังสายฟ้าบีบคั้นจนถึงขีดจำกัดมาแล้ว แต่ตาข่ายดังกล่าวยังมั่นคงไม่มีความเสียหายใดๆ มีแต่ที่โดนสายฟ้าระเบิดใส่อย่างจังทว่ายังรับได้จึงไม่ตกลงไปเป็นครู่ใหญ่เท่านั้น

ทั้งคู่ไม่ได้ใช้ของวิเศษและศาสตรายุทธ์อื่นใดเลย พวกเขารู้ดี หากต้องเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจระดับนี้ ของวิเศษทั่วไปย่อมทำประโยชน์อันใดมิได้ ในทางกลับกัน มันจะมีประสิทธิภาพมากกว่าหากใช้อิทธิฤทธิ์ดั้งเดิมไปตรงๆ

หานลี่นิ่งเงียบอยู่หนึ่ง ทันใดนั้น เขาก็พูดเบาๆ ขึ้นมาคำหนึ่งบนความว่างเปล่าจากในระยะไกลว่า:

“แม้นพลังกฎแห่งกาลเวลาของท่านจะทรงพลัง หากก็ไม่ทราบว่าจะใช้มันได้อีกสักกี่ครั้ง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านจะสามารถใช้อิทธิฤทธิ์อันท้าทายสวรรค์ชนิดนี้ได้โดยไม่มีขีดจำกัด”

ทันทีที่กล่าวคำพูดนั้นออกไป วานรยักษ์หกกรก็สะบัดมือส่งๆ ขึ้นอีกครั้ง กำปั้นสีทองจำนวนเหนือคณานับก็งอกออกมาซัดเจ้าโครงกระดูกไม่ยั้งราวกับลมพัดโหมกระหน่ำ

อักษรรูนสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนเกิดการรวมตัวกัน เพียงไม่นานก็แปรสภาพเป็นกระแสน้ำวนสีทองมากกว่าสิบวงปรากฏขึ้นในอึดใจเดียว เมื่อเกิดเสียงคำราม กระแสน้ำวนทั้งหมดก็หมุนวนอย่างคลุ้มคลั่ง

เหอะ เสียงเยียบเย็นดังขึ้นในทันควัน!

หลังจากที่แสงสีดำปรากฏขึ้นบนความว่างเปล่า อักษรรูนสีดำนับสิบตัวก็ถูกยิงออกไปพร้อมกัน เข้าโจมตีกระแสน้ำวนทั้งหมดอย่างแม่นยำ

และแล้วปรากฏการณ์แบบเดียวกันก็เกิดขึ้น

เมื่อกระแสน้ำวนสีทองเงียบเสียงลง เพียงไม่นานก็ล่องหนหายไปอย่างน่าประหลาด

ใบหน้าของหานลี่หามีความรู้สึกไม่ แต่ทว่าเงากำปั้นขนาดเท่าภูผาของเจ้าวานรยักษ์ และแสงสีทองจำนวนมากกว่าที่กำลังบิดเกลียวอยู่ก็รวมตัวเป็นกลุ่มก้อนเข้าไปในหัวกะโหลกนั่น จากนั้นการเคลื่อนไหวก็เริ่มต้นขึ้นโดยไม่กริ่งเกรง

“ไอ้หนุ่ม เจ้ากล้าหรือไม่ล่ะ!” ในที่สุดเจ้าหนอนเพลี้ยตัวแม่ก็อดไม่ได้ที่ร้องเรียกเสียงแหลมออกมา

อักษรรูนสีดำไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว ทว่าหลังจากที่เจ้าโครงกระดูกสีขาวและหัวกะโหลกทั้งหมดได้ส่งเสียงหวีดร้องแปลกประหลาดออกมาพร้อมกัน พวกมันก็รวมตัวเป็นกลุ่มก้อนชวนคลุมเครือและก่อตัวขึ้นมาเป็นโครงกระดูกรูปคนที่มีความสูงหลายร้อยฟุต

เปลือกนอกของพวกมันมีหัวกะโหลกจำนวนนับไม่ถ้วนห่อหุ้มอยู่ พวกมันมีใบหน้าที่เจ็บปวดและดูบิดเบี้ยว จนผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียวซ่านบริเวณหนังศีรษะขณะที่เหลือบมอง

โครงกระดูกขนาดใหญ่พวกนี้มีจำนวนหลายร้อยชิ้น ภายใต้การดูดซับพลังของแสงสีทองที่บิดเกลียวอย่างบ้าคลั่งนั้น เขาเอามือทั้งสองสอดประสานกัน และแล้วแสงคริสตัลจางๆ บนร่างก็ไหลออกมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยืนตั้งมั่นที่จุดเดิม ราวกับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ

ที่น่าประหลาดไปกว่านั้นคือ หลังจากที่โครงกระดูกพวกนี้หัวเราะด้วยน้ำเสียงชวนประหลาด จู่ๆ ก็มีลมประหลาดม้วนตัวเข้ามาบนตัวเขา ในขณะที่อักษรรูนสีขาวเทาจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังขยับตัว พวกมันก็กลายร่างมาเป็นนักรบกระดูกขาวที่มีชุดเกราะกระดูกคริสตัลอยู่บนร่าง ในมือถือส้อมขนาดยักษ์ที่ทำมาจากกระดูกสีขาว

นักรบเกราะยักษ์พวกนี้เมื่อเสริมด้วยพลังจากแดนวิญญาณ บนร่างของพวกมันก็มีรัศมีที่แข็งแกร่ง ดูเหมือนจะมีพลังไม่น้อยไปกว่านักรบมหาเมธีในระดับทั่วไปเลยทีเดียว เมื่อพวกมันส่งเสียงคำรามออกไป ส้อมยักษ์ในมือก็กลายเป็นแสงสว่างสีขาวรำไร จากนั้นมันก็โยนลงไปในกระแสน้ำวนเหล่านั้น

และแล้วก็เกิดเสียงอู้อี้ดังขึ้นมา!

กระแสน้ำวนสีทองแตกออกและหดตัวอย่างไม่ตายตัว พวกมันระเบิดออกมาทีละส่วนๆ สำหรับโครงกระดูกยักษ์ตนนั้น หลังจากที่จับมันไว้ในความว่างเปล่าด้วยมือเดียว ส้อมกระดูกยักษ์ในมือก็ลอยโผล่ขึ้นมาอีก จากนั้นมันก็โยนซ้ำออกไปโดยไม่ลังเล

คราวนี้เป้าหมายของมันกลับเป็นแดนพฤกษาสวรรค์ทมิฬของเป่าฮวา

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ สีหน้าของเป่าฮวาพลันซีดลง แต่เนื่องจากนางได้รับการเสริมพลังจากแดนวิญญาณทั้งหมด การแบ่งร่างของนางจึงสมบูรณ์ไร้ที่ติ

ทว่า หลังจากที่ได้เห็นพลังน่าสะพรึงกลัวของส้อมกระดูกเหล่านี้ที่สามารถทำลายแสงสีทองจากในถ้ำสีดำแล้ว หานลี่หรือจะยอมให้มันทำสำเร็จ

แสงสีเขียวปรากฏขึ้นในมือของร่างแปลงวานรยักษ์ เมื่อสวรรค์ทมิฬฟันดาบวิญญาณอย่างเงียบเชียบ และสะบัดออกอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานเส้นสีเขียวนับสิบเส้นก็ฟันออกไปในทันที

ตูม ในความว่างเปล่าเกิดการสั่นสะเทือนไปชั่วขณะ เส้นสีเขียวและส้อมกระดูกพวกนั้นหายวับไปท่ามกลางสองแดนวิญญาณน้อยใหญ่

อย่างไรก็ตาม การโจมตีครั้งนี้ทำให้หานลี่ต้องเสียพลังอาคมไปไม่น้อย หากในวินาทีต่อมา ใบหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนเป็นสีเขียวขึ้นมาอีกแล้ว

ทหารหุ้มเกราะสีขาวพวกนั้นโบกมือขึ้นอีกครั้ง ส้อมกระดูกเกิดการควบรวมขึ้น กลิ่นอายบนร่างก็ถูกเติมเต็มในคราเดียว ดูท่าตบะของพวกเขาจะพุ่งสูงขึ้นอักโข

แสงสีดำตรงหน้าหอกกระดูกนั่นเกิดการสั่นไหวเล็กน้อยและมีพลังกฎแห่งอาคมเล็ดลอดออกมาบางส่วน

“พี่หาน ระวังตัวด้วย ข้ามาเป็นกำลังเสริมให้ท่าน ถึงจะเป็นแดนวิญญาณสวรรค์ทมิฬก็ไม่อาจต้านกฎแห่งสวรรค์ของจริงไปได้หรอก คาดว่านี่คงเป็นการโจมตีชุดสุดท้ายที่อีกฝ่ายจะสามารถทำได้แล้ว ขอเพียงต้านรับการโจมตีนี้ไปได้ แดนวิญญาณของอีกฝ่ายก็คงจะใช้พลังไปจนหมดสิ้นและไม่อาจต้านรับได้อีกต่อไป”

ดวงตาของเป่าฮวาวาววับอย่างน่าสะพรึงกลัว หากเสียงที่นางเอ่ยเตือนกลับฟังดูเสนาะหู

ขณะที่นางผู้นี้กำลังพูดอยู่นั้น ใบหน้าที่ลอดผ่านแสงไฟบอกความเคร่งเครียด จู่ๆ นางก็พลิกมือข้างหนึ่ง จากนั้นตะปูสีกากีก็โผล่ออกมา เป็นตะปูจักรพรรดิแห่งดินดอกนั้น

เป่าฮวาใช้มือเดียวคว้าตะปูขณะที่แขนกำลังจะอ่อนล้า ได้มีคล้ายสายฟ้าเสียบเข้าไปในแดนพฤกษา และเข้ารองรับกิ่งดอกไม้ขนาดยักษ์แห่งแดนวิญญาณเอาไว้ทั้งหมด จากนั้นก็ระเบิดออกเป็นแสงสว่างสีเหลืองชวนแสบตา

ที่แท้ต้นของดอกไม้ยักษ์ได้เหี่ยวเฉาไปบ้างแล้วเนื่องจากพลังวิญญาณที่ล้นเหลือ พอมันถูกตะปูจักรพรรดิ์แห่งดินตอกโดนตัว มันก็ปลดปล่อยพลังแห่งความโกรธออกไปในทันใด ทั้งกิ่งและใบของมันกลับมีสีเขียวสดใสขึ้นอีกครา และในเวลาเดียวกัน มันยังระเบิดอีกครึ่งท่อนเล็กๆ ออกมาด้วย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+