ฉันนี่แหละคือซูเปอร์สตาร์ I’m really a superstar 1365

Now you are reading ฉันนี่แหละคือซูเปอร์สตาร์ I’m really a superstar Chapter 1365 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
เดินทางสู่เกาหลี!

 

เพียงพริบตาเดียวตรุษจีนก็ผ่านพ้นไปแล้ว

ปีใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว

วันนี้จางเย่ต้องพบกับงานแรกของปี เขาบินไปเกาหลีทันทีเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงการกุศลของเอเชียที่มีปีละครั้ง นี่เป็นงานประมูลการกุศลที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดงานหนึ่งของสภากาชาด มีดาราจากแต่ละประเทศในเอเชียมารวมตัวกัน ระดับความโด่งดังเป็นที่จับตามองของงานไม่เลว สามารถทำการกุศลแล้วก็เพิ่มชื่อเสียงในเอเชียไปด้วยได้ เป็นเรื่องดีทุกทาง ทางฝั่งผู้จัดงานจะหมุนเวียนกันไป ปีก่อนๆ เป็นประเทศจีน ปีที่แล้วเป็นญี่ปุ่น ปีนี้วนมาถึงเกาหลี สถานที่จัดงานอยู่ที่กรุงโซล

ณ สนามบิน

ที่ห้องพักรับรองผู้โดยสารระดับเฟิร์สคลาส

จางเย่เป็นคนแรกที่มาถึง ตอนที่เดินเข้ามาในห้องรับรองผู้โดยสารมีคนไม่น้อยมองเขา จากนั้นก็ค่อยๆ ชี้มือมา เห็นได้ชัดว่าจำเขาได้

“นั่นจางเย่นี่”

“เอ๋ เป็นเขาจริงๆ”

“เขามาทำอะไรที่นี่?”

“เข้าร่วมงานเลี้ยงการกุศลของเอเชียเหรอ?”

“เขาเองก็ไปเหรอ?”

“ใช่ คุณดูหนังสือพิมพ์สิ”

บนโต๊ะมีหนังสือพิมพ์อยู่สองสามฉบับ

‘งานประมูลการกุศลระดับเอเชียจัดอย่างยิ่งใหญ่!’

‘สตาร์ควีนฉีเหม่ยหลันยืนยันเข้าร่วม!’

‘ทัพดาราจีนเรียงแถวอย่างเจิดจรัส!’

‘ทีมดาราจีนจะคว้าอันดับหนึ่งมาได้หรือไม่?’

ด้านจางเย่ ในที่สุดเขาก็หาที่ที่ไม่มีคนนั่งลงได้เสียที

ตอนนั้นเองก็มีคนคุ้นเคยสองสามคนก้าวเข้ามา

พวกเขามองไปรอบทิศ

“เอ๋”

“อาจารย์จาง”

“ไปๆๆๆ เดินไปทางนั้น”

เป็นหญิงสาวแสนสวยทั้งสามจากวงสปริงการ์เด็นนั่นเอง

จางเย่ยิ้มพลางโบกมือ “มาแล้วเหรอ?”

เสี่ยวตงเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า “นี่คุณจะไปที่ไหนคะ?”

จางเย่กะพริบตา “โซลน่ะ”

“คุณเองก็ไปเหรอคะ?” เอมี่หัวเราะ “ไม่เห็นได้ยินมาก่อนเลย”

จางเย่ตอบยิ้มๆ “เพิ่งตอบรับไปเมื่อสองวันก่อนหน้าน่ะ”

หลี่เสี่ยวเสียนยิ้ม “อาจารย์จางเป็นดาราระดับเอของเอเชียแล้ว ความนิยมในเอเชียเทียบกับพวกเราแล้วยังสูงกว่า ทางนั้นจะไม่เชิญเขาได้เหรอ?”

จางเย่โบกมือ “ความนิยมในประเทศของผมขึ้นสู่จุดสูงสุด แต่ในเอเชียก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรขนาดนั้น”

หลังจากนั้นไม่นานเฉินกวงก็มาถึง

เสี่ยวตงโบกมือ “พี่เฉิน ทางนี้”

เฉินกวงงุนงง “จางเอ้อร์ก็อยู่ด้วย?”

จางเย่เหลือกตาใส่ “ใช่สิ”

เฉินกวงถาม “นายเองก็ไปเหรอ?”

จางเย่หัวเราะ “เฮ้ ทำไมทุกคนถึงถามแบบนี้กันหมดนะ ผมไปไม่ได้หรือไง? แต่ก็ใช่ นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกพี่ได้ไปทำงานต่างประเทศจริงๆ”

เฉินกวงเอ่ยด้วยความสนใจว่า “ฉันคิดว่าตลอดชีวิตนี้นายไม่คิดจะมุ่งไปสายต่างประเทศแล้วซะอีก ทำไม? ดูท่าแล้วคงอยากพุ่งไปทางเอเชียแล้วล่ะสิ?”

จางเย่ตอบยิ้มๆ “อยากลองไปดูน่ะ”

จากนั้นก็มีคนมาเพิ่มอีกสองสามคน

นักแสดงภาพยนตร์ระดับเอ หนิงหลัน

นักแสดงภาพยนตร์ระดับเอ เจี่ยงฮั่นเวย

นักแสดงภาพยนตร์ระดับเอ ต้าฉี

แล้วก็มีนักร้องที่เพิ่งหวนคืนวงการบันเทิง จ้าวอู่ลิ่ว

หนิงหลันนั้นไม่ต้องอธิบายแล้ว จ้าวอู่ลิ่วกับจางเย่เองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน รู้จักกันมาก่อนใน ‘เดอะแมสก์ซิงเกอร์’ เจี่ยงฮั่นเวยกับจางเย่เองก็ถือเป็นคนรู้จักเก่า เคยต่อยตีกันมาก่อน เคยชนรถกันมาก่อน เป็นประเภทที่พบหน้ากันก็ไม่พูดไม่จากัน ทว่าต้าฉีกับจางเย่นั้นไม่สนิทสนมกัน พบกันในงานประกาศรางวัลทุกปี แต่ไม่เคยคุยกันมาก่อน ตอนนี้ได้พบหน้ากัน ทั้งคู่จับมือกันแล้วก็พูดคุยสองสามประโยคก็ถือว่ารู้จักกันอย่างเป็นทางการ

ทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นดาราระดับประเทศที่มีอันดับในเอเชียไม่เลว คนที่อันดับสูงที่สุดคือหนิงหลัน เจี่ยงฮั่นเวยแล้วก็จางเย่ วงสปริงการ์เด็นรองลงมา เหล่าเฉินกับต้าฉีอันดับต่ำกว่านิดหน่อย ล้วนอยู่ต่ำกว่าดาราระดับบีของเอเชีย อ้อ ใช่ ยังมีคนที่นอกเหนือไปจากนี้อีก ก็คือจ้าวอู่ลิ่วที่ลาวงการเพลงไปหลายปี ร้างราความนิยมตั้งนานแล้ว แม้แต่สมัยรุ่งเรืองความนิยมของเขาก็ยังไม่ถึงระดับเอเชีย

เมื่อเห็นแววตาสงสัยของแต่ละคน จ้าวอู่ลิ่วก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ผมอาจไม่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมงานเลี้ยงการกุศลระดับเอเชีย แต่ที่อีกฝั่งของโซลมีอีกงานหนึ่ง เทศกาลดนตรีเฮฟวี่เมทัลนานาชาติ งานจัดค่ำวันนี้ เหล่าเฉินเองก็ไป”

เฉินกวงตอบยิ้มๆ “ใช่”

เอมี่ร้องเฮ้อออกมา “ทำไมถึงไม่เชิญฉันด้วยล่ะ?”

เฉินกวงตอบ “เธอไม่ได้ทำเพลงร็อกไม่ใช่เหรอ”

เอมี่หัวเราะคิกๆ “แต่ฉันมีหัวใจของเพลงร็อกนี่นา”

จ้าวอู่ลิ่วเอ่ย “ถ้าตอนเย็นไม่มีธุระอะไรทุกคนก็สามารถไปดูด้วยกันได้นะ”

หนิงหลันเอ่ยปากแล้ว “ได้ ถึงเวลาจะไปดู”

ต้าฉีเอ่ย “ได้ ไปด้วยกัน”

จางเย่ร้องเหอะออกมา “สปริงการ์เด็นน่ะช่างเถอะ แต่ลูกพี่ก็เคยทำเพลงร็อกนะ ทำไมถึงไม่เชิญฉันล่ะ?”

จ้าวอู่ลิ่วงุนงง “นั่นสิ ทำไมถึงไม่เชิญคุณล่ะ?”

หนิงหลันยิ้ม “เส้นสายเขามันด้อยเกินไปน่ะสิ”

ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น “อาจารย์จาง ไม่ต้องพูดถึงเทศกาลดนตรีร็อกหรอก ขนาดงานเลี้ยงการกุศลนี่คุณก็เกือบจะไม่ถูกเจ้าภาพเชิญแล้ว”

เป็นสตาร์ควีนฉีเหม่ยหลัน!

เป็นหญิงสาวที่งามล่มเมืองและดูเป็นธรรมชาติมากคนหนึ่ง!

เธอก็เหมือนกับจางเย่ เป็นหนึ่งในดาราระดับ S ทั้งเจ็ดของประเทศ!

เสี่ยวตงหัวเราะ “พี่หลัน พี่หมายความว่ายังไงคะ?”

ฉีเหม่ยหลันยิ้มบางๆ “ครั้งนี้เบื้องบนให้ฉันนำทีมดาราจีน ได้ใกล้ชิดเรื่องราวมากมาย ได้ยินมาว่าวีซ่าของอาจารย์จางถูกส่งขึ้นไปสองครั้งแล้วก็โดนตีกลับลงมาหมด ทางฝั่งนั้นบอกว่าเขามีแนวโน้มจะเป็นศัตรูกับเกาหลี เลยไม่อนุญาต สุดท้ายกลับไปกลับมาอยู่นานถึงยอมเซ็นให้”

หนิงหลัน “พรืด!”

เสี่ยวตง “ฮ่าๆๆ!”

หลี่เสี่ยวเสียน “เป็นศัตรูกับเกาหลีเหรอ?”

เฉินกวง “ก็ใช่ สองปีก่อนจางน้อยเคยมีเรื่องกับดาราเกาหลี เคยด่ากับพวกเขามาก่อน เมื่อไม่กี่เดือนก่อนตอนถ่ายทอดสดผ่านทางอินเทอร์เน็ต ในแพลตฟอร์มหมากล้อมเขาก็ไปยั่วโมโหคนเกาหลีไว้ไม่น้อย”

เอมี่ “ในวงการบันเทิงนี่ฉันยอมอาจารย์จางแล้วจริงๆ!”

ทุกคนหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

อาจารย์จางไปที่ไหนก็ไร้ความสงบ

หลายปีมานี้เขาล่วงเกินคนไว้เท่าไรกันแน่!

เจี่ยงฮั่นเวยกลอกตา เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน

ต้าฉีไม่ได้ร่วมวง อย่างไรก็ไม่ได้สนิทสนมกับจางเย่ เลยไม่สามารถล้อเล่นกับเขาได้

จางเย่ยิ้มเย็น “ยิ่งพวกเขาไม่อยากให้ไป ลูกพี่ก็ยิ่งอยากไปดูสักหน่อย”

ตอนนี้เองที่ฉีเหม่ยหลันยื่นมือออกมา “อาจารย์จาง เป็นเกียรติที่ได้พบกันค่ะ”

จางเย่เองก็จับมือกับเธอ “อาจารย์สวี่ เป็นเกียรติที่ได้พบกันเช่นกันครับ”

ฉีเหม่ยหลันเอ่ย “ครั้งนี้เดิมทีควรเป็นคุณที่นำทีม งานประเภทนี้เป็นผู้ชายทำจะเหมาะสมกว่า”

เฉินกวงเอ่ยขัดว่า “ใครจะกล้าให้จางน้อยนำทีมกัน”

เอมี่ “ถ้าอาจารย์จางเป็นคนนำทีมจะต้องพาพวกเราทั้งกลุ่มตกลงคูน้ำแน่ๆ”

เสี่ยวตงพยักหน้าอย่างจริงจัง “ใช่ค่ะ เป็นพี่หลันนำทีมฉันก็วางใจกว่า”

จางเย่ไร้คำพูดแล้ว

ทุกคนพากันหัวเราะ

อันที่จริงแล้วจางเย่ย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของสตาร์ควีนฉีเหม่ยหลันมาก่อน ตอนนี้ทั้งสองเพิ่งพบหน้ากันเป็นครั้งแรก ความประทับใจแรกพบที่จางเย่มีต่อเธอก็ไม่เลว อย่างน้อยก็ไม่ได้ถูกตั้งกำแพงใส่ นี่ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว

ยังมีเวลาก่อนขึ้นเครื่อง

ทุกคนนั่งพูดคุยอยู่ด้วยกัน

คนที่มากับฉีเหม่ยหลันคือชายหนุ่มที่แต่งกายเรียบง่ายคนหนึ่ง เขายืนอยู่ข้างหลังเธอตลอดเวลาประหนึ่งเงาตามตัว มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบอดี้การ์ด

ไม่รู้ว่าจางเย่คิดไปเองหรือเปล่า แต่เขามักรู้สึกว่าคนคนนั้นมักมองมาทางเขาคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ ตั้งแต่นาทีแรกที่ฉีเหม่ยหลันกับเขาปรากฏตัวความรู้สึกนี้ก็ผุดขึ้นมา

จางเย่มองกลับไปโดยไม่คาดคิด

บอดี้การ์ดคนนั้นพลันตระหนก รีบร้อนเคลื่อนสายตาออกไป แถมยังปาดเหงื่อเย็นๆ ออกด้วย

จางเย่ประหลาดใจ นายทำอะไรเนี่ย? อยู่ดีๆ ทำท่าลนลานขึ้นมาทำไม?

หนิงหลันเอ่ย “พวกพี่จางจะมาพรุ่งนี้ใช่ไหมคะ?”

ฉีเหม่ยหลันตอบ “ใช่ พวกเราเป็นกลุ่มแรกที่ไป แล้วอีกกลุ่มก็จะมาถึงพรุ่งนี้ ถึงเวลาก็จะไปรวมกันที่โรงแรม พรุ่งนี้ฉันจะติดต่อกับพี่จางเอง”

ทันใดนั้นเอง ในห้องรับรองก็มีผู้โดยสารสองคนที่กำลังรอขึ้นเครื่องเดินมาทางพวกเขา

“อาจารย์จาง ขอลายเซ็นหน่อยสิคะ”

“พี่หลัน ขอถ่ายรูปคู่ด้วยหน่อยได้ไหมคะ?”

บอดี้การ์ดซุนอ้ายสี่พลันขยับมาขวางพวกเขาไว้ “ขอโทษด้วยครับ เชิญกลับไปเถอะ”

จางเย่มองดูแล้วเอ่ยว่า “เขาต้องการแค่ลายเซ็นเดียว จะขวางไว้ทำไมกัน”

ซุนอ้ายสี่นิ่งไปแล้วรีบลดมือลง ปล่อยให้ทั้งสองคนเข้ามา

ทุกคนเหงื่อตกเล็กน้อย คุณไม่ใช่บอดี้การ์ดของพี่หลันหรอกเหรอ? แล้วทำไมว่าง่ายกับคำพูดจางเย่ขนาดนี้เล่า? แต่ถึงพวกเขาจะประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไร

เซ็นลายเซ็นเสร็จ

ตอนนั้นเองเจี่ยงฮั่นเวยก็เอ่ยว่า “เหล่าสวี่ คุณพาบอดี้การ์ดมาแค่คนเดียวเหรอ? ผู้ช่วยก็ไม่พามา?”

ฉีเหม่ยหลันร้องอืม “ไปร่วมงานการกุศล ถ้าพาคนไปเยอะเกินก็ยากจะหลีกเลี่ยงการถูกซุบซิบ พวกคุณเองก็พาคนมาแค่สองสามคนเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”

เฉินกวงตอบยิ้มๆ “ผมมาคนเดียว”

เสี่ยวตงเอ่ย “ผู้ช่วยของฉันบินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว”

หนิงหลันเองก็พาผู้จัดการมาแค่คนเดียวเช่นกัน

หลี่เสี่ยวเสียนประหลาดใจ “อาจารย์จางไม่ได้พาคนมาด้วยเหรอคะ?”

จางเย่ตอบยิ้มๆ “ผมชินกับการไปคนเดียวมากกว่า”

เฉินกวงตอบ “ต่างประเทศไม่เหมือนกับในประเทศนะ โดยเฉพาะเกาหลี มนุษยสัมพันธ์ของนายไม่ดี ถ้าไม่พาผู้ช่วยหรือผู้จัดการไปด้วย อย่างน้อยก็พาบอดี้การ์ดมาด้วยสักคนไหม?”

จางเย่ตอบสบายๆ ว่า “ไม่จำเป็นหรอก”

เจี่ยงฮั่นเวยเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง รู้ดีว่าไม่จำเป็นคำนี้หมายความว่าอย่างไร

ฉีเหม่ยหลันเอ่ย “ระวังสักหน่อยก็ไม่เสียหาย ทางฝั่งนั้นเองก็ไม่ปลอดภัย ถ้าเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาจริงๆ อาศัยคนน้อยนิดของผู้จัดงานก็ไม่แน่ว่าจะดูแลทั่วถึง”

ใกล้ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว

ทุกคนทยอยลุกขึ้นแล้วออกเดิน

ฉีเหม่ยหลันหันมาพูดกับบอดี้การ์ดว่า “ทุกคนไม่ได้พาบอดี้การ์ดมา ผู้ติดตามไม่มากเท่าไหร่ ทริปเกาหลีครั้งนี้คุณก็เหนื่อยหน่อยนะ นอกจากฉันแล้วก็ช่วยดูแลความปลอดภัยของทุกคนด้วย ฉันเป็นคนนำทีม ต้องพาคนออกไปแล้วก็พากลับมาอย่างปลอดภัย” หยุดไปครู่หนึ่งเธอก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “โดยเฉพาะอาจารย์จาง ความสัมพันธ์เขากับประเทศเกาหลีไม่ดี ฉันเกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้น คุณช่วยดูแลเขามากหน่อย”

เอมี่ได้ยินแล้วก็เอ่ยว่า “ใช่ค่ะ ต้องดูแลอาจารย์จางให้มากหน่อย”

บอดี้การ์ดชื่อซุนอ้ายสี่ เป็นลูกศิษย์รุ่นที่เจ็ดของสกุลซุน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ตระกูลใหญ่ แต่ก็เป็นสำนักวิชาศิลปะการต่อสู้ที่จริงจังสำนักหนึ่ง ฝึกฝนวิชามาตั้งแต่เล็กจนถึงทุกวันนี้ ฉีเหม่ยหลันจ่ายเงินไปมากถึงจ้างเขามาได้ แล้วเขาก็เป็นหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยของเธอด้วย ตลอดมาจึงได้รับความไว้วางใจจากสตาร์ควีนอย่างมาก

ทว่าเมื่อได้ฟังคำนี้ ซุนอ้ายสี่กลับปาดเหงื่อรอบหนึ่ง “ไม่จำเป็นมั้งครับ?”

ฉีเหม่ยหลันงุนงง “ทำไมล่ะ?”

ปกป้องเขาเรอะ?

ให้ผู้อาวุโสท่านนี้มาปกป้องตนจะเหมาะสมกว่า!

คนเขาใช้แค่มือเดียวก็ตีตนสิบคนได้แล้ว!

กังฟูเล็กน้อยของตนอยู่ต่อหน้าคนเขาแล้ว นับเป็นขนเส้นเดียวยังไม่ได้เลย!

ซุนอ้ายสี่ยิ้มขื่น “พี่หลันครับ ไม่ต้องกังวลหรอก มีท่านปรมาจารย์จางอยู่ ขอเพียงสิ่งที่เอามาข่มขู่ไม่ใช่ปืน ทีมของพวกเราจะปลอดภัยไร้ปัญหาแน่นอน”

ฉีเหม่ยหลันมองไปจางเย่ “ท่านปรมาจารย์จาง?”

ซุนอ้ายสี่รีบปิดปากทันใด

ฉีเหม่ยหลันเอ่ย “เหล่าซุน คุณช่วยอธิบายได้ไหม?”

ซุนอ้ายสี่ปาดเหงื่อ “พี่หลัน เรื่องนี้ผมพูดไม่ได้”

ฉีเหม่ยหลันประหลาดใจ “ทำไมเรียกว่าท่านปรมาจารย์จางล่ะ?”

ซุนอ้ายสี่เงียบกริบ แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน

ฉีเหม่ยหลันเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ถามซ้ำอีก เธอมองเงาหลังของจางเย่ที่เดินห่างออกไป ในแววตาปรากฏความสงสัยเล็กน้อย คนคนนี้ ยังมีความลับอยู่อีกงั้นเหรอ? หัวหน้าทีมบอดี้การ์ดของตนกลับให้ความเคารพแก่เขาอย่างมาก? เห็นทีคนคนนี้คงไม่ธรรมดาแน่ น่าสนใจจริงๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด