[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 20 องครักษ์

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 20 องครักษ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 20

องครักษ์

 

    โคคุมารุหิ้วขวดใส่ตะขาบด้วยเท้าทั้งสองข้าง บ่นซ้ำๆอยู่หลายครั้งให้กับความเหน็ดเหนื่อยและการที่ตนต้องมาลำบากกับงานนี้ แต่เขาก็ยังคงบินไปยังเฮลิฟาเต้อย่างแน่วแน่ ระยะทางที่ใช้เวลาสามวันโดยรถม้าจะถูกย่อให้เหลือครึ่งวันด้วยผลของเวทย์มนต์ที่เสริมร่างกาย เขามองเห็นได้แม้ในความมืดด้วยสายตาที่เฉียบคมยิ่งกว่านกฮูก บินในระยะทางที่ไกลกว่าการอพยพของนกด้วยความเร็วที่มากกว่าเหยี่ยว

 

   อย่างไรก็ตาม ถึงเขาจะได้รับความสามารถอันยอดเยี่ยมนี้มา โคคุมารุก็ไม่ได้รู้สึกเคารพในตัวของผู้สาปแช่งเลย ยายแก่นั่นมองเห็นเขาเป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่าย ส่วนเขาก็เห็นเธอเป็นแหล่งเติมพลังเวทย์ หรือพูดได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้สาปแช่งกับโคคุมารุไม่ใช่แบบเจ้านายกับผู้รับใช้ แต่เป็นแบบแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน

 

   เมื่อโคคุมารุมาถึงพระราชวังที่เป็นจุดหมายก็เป็นเวลาเลยเที่ยงไปแล้ว และคนที่เป็นเป้าหมาย เด็กสีขาวที่ชื่อเซเลนนั้นหาง่ายมากเนื่องจากความงดงามและรูปลักษณ์อันโดดเด่นของเธอ เด็กหญิงตัวเล็กนั่งอยู่บนผืนหญ้าส่งอาหารที่นำมาให้กับชายหนุ่มผมสีทอง

 

  พอได้เห็นชิ้นเนื้อท่าทางน่าอร่อยก็อยากจะบินโฉบลงไป แต่สำนึกในความเป็นสัตว์อสูรในตัวก็ได้ห้ามไว้และลงเกาะที่ต้นไม้ใกล้ๆรอให้เด็กหญิงกลับไปที่ห้องของเธอ เขาเฝ้าสังเกตการณ์อย่างรอบคอบ

 

  เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเด็กหญิงคนนั้นก็กลับเข้าห้อง และทันทีที่ถึงเตียง เธอก็หลับตาล้มลงนอนและหลับไปในทันที หน้าต่างถูกเปิดไว้เพื่อรับลมของฤดูใบไม้ผลิ สถานการณ์เป็นใจสำหรับเขา โคคุมารุยกขาที่จับขวดขึ้นมาและใช้จะงอยปากเปิดฝาขวดปลดปล่อยตะขาบที่มีหน้าที่กระจายคำสาป

 

[“เอ้า นี่!”]

 

  เขาคาบตะขาบตัวใหญ่ที่โผล่ออกมาด้วยปากและโยนอย่างชุ่ยๆเข้าไปในห้องของเซเลนจากมุมสูง ตะขาบที่หลุดเข้าไปได้ก็คืบคลานไปที่ใต้เตียงของเซเลนตามที่ผู้สาปแช่งพูดไว้ หลังจากที่ดูทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อโคคุมารุเห็นแล้วว่าไม่มีปัญหาใดๆก็บินออกไปพร้อมกับขวดเปล่าที่เท้า

 

[“เสร็จสักที กลับไปหาอะไรเล่นดีกว่า”]

 

  เมื่อภารกิจที่ได้รับมาสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี โคคุมารุคิดมาตลอดการเดินทางว่าจะกลับไปทำอะไรสนุกๆกับอีกาตัวเมียแสนสวย ถึงจะกลายเป็นสัตว์อสูรไปแล้วเขาก็ไม่คิดจะใช้ความสามารถนี้ไปกับเป้าหมายอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องการใช้พลังให้เป็นประโยชน์ เขาแค่ต้องการได้โอ้อวดตัวเองกับพรรคพวกฝูงกาของเขา แค่นี้ก็ทำให้ความสุขเอ่อล้นออกมาจากหัวใจของเขาได้แล้ว

 

   ทางด้านของตะขาบที่ลักลอบเข้ามาในห้องของเซเลนได้สำเร็จ ก็ได้เข้าไปหลบซ่อนใต้เตียงตามคำสั่งของเจ้านาย แม้ว่าพลังชีวิตกับความแข็งแกร่งของมันจะถูกเสริมด้วยพลังเวทย์อันน่าสยดสยองที่เรียกว่าพิษมาร แต่เดิมทีก็เป็นแค่แมลง สติปัญญาจึงไม่สูงมากนัก จากนั้นก็หามุมมืดที่เหมาะกับการซ่อนตัวโดยใช้สัญชาตญาณ

 

   แมลงที่ดูดกลืนพลังชีวิตและกัดกินซากของพรรคพวกตัวเองเพื่อสะสมพลังเวทย์อันชั่วร้ายและเพื่อเติมเต็มกระเพาะ มันคืบคลานอยู่ใต้เตียงของเป้าหมายและเกาะแน่นอยู่ในเงามืดราวกับเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น เพียงแค่นี้พลังชีวิตของเซเลนก็จะถูกกัดกินไปเรื่อยๆในขณะที่นอนหลับอย่างสบายใจ

 

[“ใครน่ะ รู้หรือเปล่าว่านี่เป็นห้องของใคร”]

 

  ตะขาบขยับกรามและเขี้ยวส่งเสียง มองหาเจ้าของเสียงทุ้มต่ำที่ทักมาจากใต้เตียง สายตาของตะขาบก็ได้สะดุดอยู่ที่สิ่งมีชีวิตตัวเล็กสีขาวดำที่อยู่ใต้หัวเตียงของเป้าหมาย และมันก็ขยับกรามอีกครั้งเพื่อข่มขู่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นหนูตัวเล็กๆที่ความยาวไม่ถึงครึ่งของตัวมัน

 

[“เข้าใจที่พูดหรือเปล่า? ถ้าไม่รู้ กระผมจะบอกให้ ว่านี่คือห้องนอนของเจ้าหญิงที่สูงส่งที่สุดในหมู่เจ้าหญิง ท่านเซเลน อาร์คุยล่า ส่วนกระผมคือบัตเลอร์ ผู้คุ้มกันของเจ้าหญิงผู้ยิ่งใหญ่”]

 

   บัตเลอร์ประกาศชื่อออกมาอย่างภูมิใจแม้ว่าเขายังไม่มั่นใจว่าจะสื่อสารกับแมลงรู้เรื่อง ตะขาบไม่สนใจคำพูดของบัตเลอร์ มันพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว แต่บัตเลอร์ก็ยังไม่ขยับไปไหนและไม่รู้สึกตื่นตระหนกกับการลดระยะห่างของมันเลย

 

[“ตะขาบ ขอถามอีกครั้ง เข้ามาทำอะไรในห้องของเจ้าหญิง? หรือมาขอเข้าเฝ้าเจ้าหญิง… โอ๊ะ!”]

 

   บัตเลอร์พยายามเจรจากับตะขาบเพื่อหาเจตนาในการบุกรุกครั้งนี้ แต่มันก็กระโจนเข้ามากัดโดยเล็งที่ลำคอของบัตเลอร์ บัตเลอร์ไม่ได้ตกใจกับการกระทำดังกล่าว เขาเพียงแค่พลิกตัวเบาๆเพื่อหลบหลีกเขี้ยวที่แหลมคมนั้น

 

  จากการที่ได้เห็นการเคลื่อนไหวเมื่อสักครู่ ตะขาบส่ายตัวไปมา รู้สึกถึงศัตรูเป็นครั้งแรก เมื่อมันเห็นหนูตัวเล็กๆ มันคิดว่านี่เป็นเพียงอาหารน่าอร่อยที่เดินมาให้กินถึงที่เท่านั้น แต่การเคลื่อนไหวของหนูตัวนี้ไม่เหมือนหนูปรกติ เมื่อบัตเลอร์ก้าวเข้าหา ตะขาบรู้สึกถึงแรงกดดันจนถอยหนี

 

[“อืม… จู่โจมได้รวดเร็วดี ทำไมไม่มา‘เล่น’กับกระผมสักตั้งล่ะครับ?”]

 

  บัตเลอร์พูดขึ้นมาและเริ่มยืนด้วยขาหลัง กางขาหน้าออกแล้วย่อตัวลง ตั้งท่าเหมือนจะกระโดดเข้ามา แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาคลายริบบิ้นสีแดงที่ผูกอยู่รอบคอออก

 

[“เป็นอะไรไป? คอของกระผมไม่มีอะไรป้องกันแล้ว เห็นไหม? คอสีขาวแม้จะเป็นที่มืดๆอย่างใต้เตียงก็น่าจะมองเห็นได้ชัดเจน เอ้า เข้ามาได้เลยครับ”]

 

   แม้ว่ามันไม่เข้าใจคำพูดของบัตเลอร์ ในเมื่อมันยอมรับอีกฝ่ายเป็นศัตรูแล้ว แต่ทางนั้นกลับไม่เห็นมันเป็นศัตรูเสียเอง ถือเป็นการดูถูกศักดิ์ศรีของนักล่าเป็นอย่างมาก ถ้าอย่างงั้น ความตายที่หนูตัวนั้นต้องการ จะขอมอบให้ผ่านเขี้ยวอันแหลมคมที่เสริมไว้ด้วยพลังเวทย์ แล้วก็ทะลวงเข้าไปในลำคอที่ไร้การป้องกันของหนูตัวเล็กๆ… ฝังเขี้ยวลงไป… อย่างไร้ปราณี!

 

[“อ้าว… ทำได้แค่นี้จริงๆด้วยสินะ?”]

 

   บัตเลอร์ยังคงยืนด้วยขาหลัง ไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับการกัดของตะขาบ รอยกัดตื้นเกินไป ตะขาบพยายามถอยออกมาเพื่อตั้งหลักสำหรับการโจมตีอีกครั้ง แต่ก็รู้สึกถึงความผิดปรกติ เขี้ยวที่ฝังลงไปนั้น ถอนไม่ออก ถูกกล้ามเนื้ออันแข็งแรงผิดปรกติของบัตเลอร์บีบรัดเอาไว้ แม้เขียวจะฝังอยู่ไม่ลึกแต่ก็ดึงไม่ออก

 

[“ตะขาบ กระผมปล่อยให้คุณจู่โจมเพราะมีเหตุผล แม้ว่าคุณจะเป็นผู้บุกรุกแต่ถ้ามีความสามารถพอ กระผมจะอบรมคุณให้เป็นดาบและโล่ให้เจ้าหญิงได้ แต่ถ้าทำอันตรายให้กระผมยังไม่ได้ก็น่าเสียดายที่ไม่เหลือเหตุผลในการไว้ชีวิตแล้ว”]

 

   เมื่อบัตเลอร์ผ่อนแรงลง ตะขาบรู้สึกถึงอันตรายที่คุกคาม ขยับขานับร้อยของมันหลบหนีออกจากใต้เตียงให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่ได้เร็วไปกว่าขาทั้งสี่ของบัตเลอร์ที่อ้อมไปดักด้านหน้าตะขาบให้หมดทางหนี

 

[“ถึงจะไม่รู้ว่ามาทำอะไร แต่ที่นี่คือห้องของเจ้าหญิงผู้ยิ่งใหญ่ คุณบุกรุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตและยังพยายามโจมตีกระผมที่เป็นผู้ติดตาม แล้วยังพยายามหนีเมื่อเจอกับศัตรูที่ไม่สามารถเอาชนะได้ กระผมขอสรุปว่าคุณไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าเฝ้าเจ้าหญิงเซเลน”]

 

   เมื่อพูดจบ ฟันหน้าของบัตเลอร์ก็เจาะเข้าไปในหัวของตะขาบ ด้วยการกัดที่ไม่สามารถหลบหลีกได้ทันเพียงครั้งเดียว แม้ฟันหน้าของบัตเลอร์จะมีขนาดเล็ก แต่ถ้าเขาเอาจริงขึ้นมาก็สามารถกัดแทะโล่เหล็กให้เป็นรูโหว่ได้ เปลือกนอกของตะขาบไม่สามารถทนแรงกัดระดับนี้ได้ ไม่ว่ามันจะถูกเสริมความแข็งแกร่งหรือไม่ก็ตาม

 

  ตะขาบถูกกัดอย่างแรงด้วยฟันหน้าอันทรงพลังนั้น มันดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง พยายามกรีดร้องแม้ไม่มีหลอดเสียง จนกระทั่งร่างกายกระตุกครั้งสุดท้ายและไม่เคลื่อนไหวอีกเลย

 

“บัตเลอร์ หนวกหู”

 

  บัตเลอร์ที่เพิ่งต่อสู้กับผู้บุกรุกเสร็จหันไปพบกับเซเลนในสภาพที่เธอห้อยหัวลงมาจากเตียง มันยุ่งยากที่จะลงจากเตียงมาก้มมองข้างใต้ เธอจึงโผล่แค่ส่วนหัวลงมาจากบนเตียงเท่านั้น

 

[“ขออภัยที่ทำเสียงดัง เป็นเพราะกระผมทำการขับไล่ผู้บุกรุก โปรดยกโทษให้ด้วย”]

“ผู้บุกรุก? อ๊ะ ตะขาบ…”

 

   เซเลนลงจากเตียง เอื้อมมือเข้ามาใต้เตียงอย่างไม่ลังเลและหยิบตะขาบออกมาดูด้วยดวงตาที่เพิ่งตื่นนอน

 

  แต่ไหนแต่ไรเซเลนเป็นมิตรกับพืชและสัตว์ขนาดเล็กอยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนเธอจะเกิดเสียอีก โดยเฉพาะตะขาบและแมงมุมที่เป็นศัตรูตามธรรมชาติของแมลงที่สร้างความรำคาญอย่างแมลงสาบและแมลงวัน

   สำหรับเซเลนที่มีเพื่อนเป็นมนุษย์น้อยมาก ต่อให้เป็นตะขาบเธอก็จะนับว่าเป็นเพื่อนของเธอได้เช่นกัน

 

“ตาย ซะแล้ว…”

 

   แต่ว่า เซเลนก็รู้สึกผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เพราะตอนที่เซเลนหยิบมันขึ้นมา ตะขาบตัวโตที่ดูแข็งแรงและสวยงามนั่นก็ตายไปแล้ว ในเมื่อโลกที่ได้มาเกิดใหม่นี้มีหนูพูดได้ ก็คิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนกับมันอีกตัวด้วยก็ได้

 

   และอีกอย่าง เมื่อนานมากแล้วเธอเคยอ่านมังงะที่มีผู้ใช้แมลงและมีการใช้งานตะขาบ อา ถ้าเจ้าตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่ก็อยากจะลองใช้เวทย์มนต์กับมันและให้มันไปแอบเข้าไปในห้องของเจ้าชายตอนที่เขาหลับอยู่ได้ เซเลนหลับตาลงด้วยความเศร้าและคิดว่าคงจะหาจับตะขาบดีๆแบบนี่ที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว

 

[“องค์หญิงช่างอ่อนโยนยิ่งนัก… กระผมรับรองว่าการตายของตะขาบจะไม่ศูนย์เปล่าอย่างแน่นอน”]

“เอ๋?”

[“สิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนต้องกลับสู่ผืนดินสักวัน มันจะกลายเป็นเลือดและเนื้อของสิ่งอื่นต่อไป ได้โปรดหลับให้สบายเถิด กระผมจะจัดการกับตะขาบตัวนี้อย่างเหมาะสมเองครับ”]

“เข้าใจแล้ว”

 

   เซเลนพยักหน้าตอบรับในสิ่งที่บัตเลอร์พูดและวางตะขาบลงบนพื้น เซเลนเป็นคนที่ชื่นชอบและเห็นคุณค่าของพืชและสัตว์ ถึงสิ่งที่ชื่นชอบอันดับหนึ่งจะเป็นสาวสวยกับหน้าอกก็เถอะ อันนั้นรักมากกว่าตัวเธอเองด้วยซ้ำ

 

[“องค์หญิง หลับไปแล้ว… เอาล่ะ”]

 

   หลังจากบัตเลอร์แน่ใจว่าเซเลนกลับไปนอนต่อแล้ว เขาก็เริ่มแทะตะขาบ บัตเลอร์กัดกินซากตะขาบอย่างเอร็ดอร่อย

 

[“อืม! ตะขาบตัวนี้ เปลือกนอกเคี้ยวเพลิน ข้างในก็นุ่มกว่าที่คิด! จัดการก็ไม่ยาก เนื้อก็เยอะ! เป็นอาหารที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”]

 

   สายพันธุ์ดั้งเดิมของบัตเลอร์คือหนูป่า การที่เขาไม่กินแมลงต่อหน้าเซเลนให้เธอเห็นเพราะเกรงว่าเธอจะรังเกียจ ในเมื่อมีตะขาบตัวอ้วนสมบูรณ์มาหาถึงที่ มันก็อดไม่ได้ที่อยากจะลิ้มลอง แน่นอนว่าเหตุผลอันดับหนึ่งคือการกำจัดตะขาบที่อาจจะทำร้ายเซเลนได้ ในเมื่อผ่านขั้นตอนนั้นมาแล้วก็ถึงเวลาเพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารของบัตเลอร์

 

[“แต่ว่า ไอ้สัมผัสที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยนี่มันอะไรกัน… เป็นไอ้ที่เขาเรียกกันว่ารสชาติจากบ้านเกิดเหรอ?”]

 

   จะรู้สึกแบบนั้นก็ไม่แปลก เพราะพิษมารก็คือคำสาปที่สร้างด้วยเวทย์มนต์ ร่างกายของบัตเลอร์มีพลังเวทย์ของเซเลนไหลเวียนอยู่นานหลายปี กับคำสาปที่เพิ่งจะถูกร่ายลงไปแค่ไม่กี่วันจึงถูกเปลี่ยนกลับให้เป็นพลังเวทย์ได้ นอกจากนี้มันยังถูกปรับให้ตอบสนองกับพลังเวทย์ของเซเลนอยู่แล้ว มันจึงเป็นเรื่องปรกติที่เขาจะรับรู้ถึงสิ่งนั้นอย่างคุ้นเคย

 

  บัตเลอร์กินตะขาบตัวอ้วนอย่างสบายใจ แต่ก็ยังสงสัยว่าตะขาบตัวนี้มาจากไหน ไม่ว่าจะคิดยังไง สิ่งนี้ไม่น่าเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ แล้วยังดูเหมือนว่าตะขาบตัวนี้เข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้คิดได้อย่างเดียวว่าร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า

 

[“หรือว่า เป็นของขวัญจากคุณแม่ผู้ล่วงลับ…”]

 

  บางทีคุณแม่ที่อยู่บนสวรรค์กำลังเฝ้าดูและช่วยเหลือเขาที่รับใช้เซเลนอยู่ทุกวัน คุณแม่ส่งตะขาบที่อุดมไปด้วยพลังเวทย์มาเพื่อช่วยบำรุง ฟังดูเหมือนจินตนาการของเด็กๆแต่มันก็เป็นไปได้มากกว่าเรื่องบังเอิญ บัตเลอร์จึงเรียกตะขาบตัวนี้ว่า ของขวัญจากคุณแม่ และไม่ได้พูดถึงมันอีกเลย เรื่องรายระเอียดก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะมันอร่อยพอที่จะมองข้างเรื่องยิบย่อยไปได้

 

  บัตเลอร์มีความสุขกับของกินหายากที่ไม่ได้พบเจอมานานเป็นปี รําลึกถึงคุณแม่ผู้ล่วงลับ ขัดเกลาจิตใจ เพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้ได้ดียิ่งขึ้น

 

 

   ◆ ◇ ◆ ◇ ◆

 

“ผ่านมาตั้งสองสัปดาห์แล้ว ไม่เห็นได้ผลเลย!”

“อืม… มันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้…”

 

      ตั้งแต่ที่ผู้สาปแช่งเคยถูกเรียกให้มาที่ห้องของเอนเต้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอแสดงความสับสนออกมาให้เห็น ถ้าเป็นคนทั่วไปก็น่าจะตายไปตั้งนานแล้ว แต่จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่มีรายงานการเสียชีวิตของเซเลนเข้ามาสักที

 

   เธอได้โต้เถียงกับโคคุมารุเพราะบังคับให้เขาบินไปที่เฮลิฟาเต้เพื่อตรวจสอบอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็ได้คำตอบมาว่า เซเลนใช้ชีวิตตามปรกติอย่างสุขสบายดี ซึ่งมันไม่ควรเป็นเช่นนั้น เป็นไปได้ว่าโคคุมารุกำลังโกหก แต่อีกานั่นถึงจะทำตัวเฉื่อยชายังไงแต่เมื่อยอมรับคำสั่งแล้วก็จะทำภารกิจให้ลุล่วงได้ทุกครั้ง ในจุดนี้ผู้สาปแช่งคิดว่าโคคุมารุเชื่อใจได้

 

“มีอยู่สองสาเหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้ได้…”

 

  ผู้สาปแช่งปล่อยมือที่ลูบปากอย่างเป็นกังวลลง และพูดในสิ่งที่แม้แต่ตัวเธอเองยังไม่มั่นใจ

 

“อย่างแรก เด็กนั่นสร้างสิ่งที่สามารถลบล้างคำสาปขึ้นมาได้สำเร็จ แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าทำได้จริงๆ”

 

   ถึงจะพูดออกมาเอง แต่ผู้สาปแช่งก็ปฏิเสธความคิดนั้นทันที มีแต่สัตว์อสูรที่มีความแข็งแกร่งอย่างมากเท่านั้นที่ดูดกลืนพิษมารได้ แต่ก็ไม่มีใครรู้วิธีสร้างมันขึ้นมาแล้ว ต่อให้มีหลงเหลืออยู่จริงหรือบังเอิญสร้างขึ้นมาได้สำเร็จก็ต้องใช้เวลานานมากในการให้มันได้รวบรวมพลังเวทย์จนแข็งแกร่งขนาดนั้น

 

“อีกอย่างคือ?”

“จิตวิญญาณของเด็กนั่นเข้มแข็งกว่าคนทั่วไปอย่างเทียบไม่ติด”

“…อะไรอีกล่ะนั่น?”

“คำสาปกับดวงจิตมีความสัมพันธ์กันมาเนิ่นนานแล้ว เช่น ‘มีคนจ้องจะทำร้ายตน ชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย’ ถ้ามีความคิดแบบนี้อยู่ในหัว ก็จะทำให้เกิดการระแวง หวาดกลัว ถ้าเร่งความรู้สึกพวกนี้ให้รุนแรงมากๆเข้าก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอทรุดโทรม ตัวจริงของคำสาปคือการกระตุ้นความอ่อนแอในตัวมนุษย์ด้วยเวทย์มนต์ให้มันทำร้ายตัวเองจากภายใน”

“แล้วมันยังไงล่ะ?”

“พูดให้เข้าใจง่ายๆก็… ถ้ามีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งจนสิ่งแปลกปลอมเข้าไปทำให้ปนเปื้อนไม่ได้ คำสาปก็ไร้ผล เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีอะไรที่ท่านเอะใจบ้างหรือเปล่าล่ะ?”

“จะว่าไป…”

 

   เอนเต้ขุดคุ้ยภายในความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนที่เซเลนมาที่วัลเบิร์ตก็ได้รีดข้อมูลจากคนรับใช้คนอื่นที่มาด้วยกันแล้วว่าเซเลนเป็นคนที่มีพลังเวทย์และมีพรสวรรค์อันโดดเด่นที่เฮลิฟาเต้ต้องการ

 

“หืม… ถ้าพูดว่าพรสวรรค์ที่โดดเด่น มันจะหมายถึงพรสวรรค์แบบไหนกันแน่นะ”

“ไม่รู้สิ”

 

  เอนเต้ส่ายหน้าคิดไม่ตก เหล่าคนรับใช้พูดเหมือนกันหมด ‘เซเลนเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก อาร์คุยล่าขอส่งมอบให้เฮลิฟาเต้เพื่อกระชับไมตรี’ นี่เป็นข้อความในจดหมายส่งตัวที่อาร์คุยล่ามอบให้กับเจ้าชายมิลาน และก็เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไปภายในพระราชวังเฮลิฟาเต้ ประกาศที่เป็นทางการออกมาก็ยังพูดเหมือนกันอีก แต่ก็ไม่มีใครทราบถึงรายระเอียดของพรสวรรค์ที่ว่าเลย

 

“ไม่แน่ว่า… ไม่สิ ต้องใช่แน่ๆ”

“ท่านคิดอะไรออกแล้วเหรอ?”

 

   ตอนนี้เอนเต้เริ่มรู้ตัวแล้วว่าก่อนหน้านี้เธอได้เข้าใจผิดอย่างร้ายแรง จากที่เคยเชื่อว่าเจ้าชายรับเด็กสาวตัวเล็กๆจากบ้านนอกมาเป็นผู้ติดตามเพราะเซเลนมีพลังเวทย์ แต่พอมาคิดอีกที เรื่องนั้นมันก็ไม่สมเหตุสมผล

   สามัญชนที่มีพลังเวทย์เป็นเรื่องหายาก แต่ก็มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับตัวเซเลนมาเลย ถึงจะเป็นคนที่มีความงดงามมากเป็นพิเศษ แต่มิลานก็ไม่ใช่คนที่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ที่งดงามเพียงอย่างเดียว

 

“ไอ้พรสวรรค์ที่ไม่รู้ว่าคืออะไรนั่น… ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด!”

 

   ใช่แล้ว พรสวรรค์ที่แท้จริงของเซเลนที่ไม่สามารถตีค่าเป็นตัวเลขหรือบอกกล่าวเป็นถ้อยคำได้ เป็นไปได้ว่ามันคือจิตวิญญาณอันสูงส่งที่สามารถชี้นำผู้คน ความซื่อตรงที่ไม่อ่อนข้อให้สิ่งชั่วร้าย หรืออะไรทำนองนั้น ไม่ใช่ของจำพวก ‘มีพรสวรรค์ด้านเวทย์มนต์สูง’ หรือ ‘สามารถสร้างสรรค์งานศิลปะอันทรงคุณค่าได้’ มันไม่สามารถสื่อออกมาให้ชัดเจนได้ง่ายๆแบบนั้น  เท่านี้ทุกอย่างก็ลงตัวแล้ว

 

   ตอนนี้เอนเต้ได้ตระหนักขึ้นมาอีกครั้งว่า นี่แหละคือศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เธอเคยได้เจอมา เวทย์มนต์ก็สามารถใช้ได้ ทักษะความสามารถอื่นๆก็ฝึกฝนกันได้ แล้วยังมีสิ่งที่อธิบายได้ยากอย่าง ‘จิตวิญญาณอันสูงส่ง’ นั่นอีก บุคคลเช่นนั้นย่อมไม่สามารถถูกแทนที่ได้

 

“ทำอะไรสักอย่างสิ! คำสาปใช้ไม่ได้ก็ใช้อย่างอื่น! ไม่มีวิธีที่มันได้ผลดีกว่านี้แล้วหรือไง!?”

“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าพิษมารยังทำอะไรไม่ได้ คำสาบแบบไหนก็ไม่มีผลแล้วล่ะ”

“แกมันไร้ประโยชน์! คำสาปนี่ก็ไร้ประโยชน์ มีแต่ของแหกตาทั้งนั้น!”

 

  เอนเต้ดุด่าผู้สาปแช่งด้วยถ้อยคำหยาบคายทั้งหมดเท่าที่เธอนึกได้ แต่ผู้สาปแช่งไม่ได้สนใจฟัง ใบหน้าเริ่มแสดงความผ่อนคลาย ตรงข้ามกับเอนเต้ที่เดือดดาลจนใบหน้าบิดเบี้ยวเปลี่ยนเป็นสีแดง หายใจแรงจนเหนื่อยหอบ และในที่สุด ผู้สาปแช่งก็เริ่มหัวเราะออกมา เงยหน้ามองท้องฟ้า หัวเราะอยู่นานจนเอามือกุมท้อง

 

“หึ หึหึหึ… ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!”

“เป็นอะไรของแก!?”

 

   เอนเต้คิดว่าคำสาปที่ภูมิใจนักหนาไม่ได้ผลก็เลยเสียสติไปแล้ว แต่ความคิดนั้นก็ไม่ผิดเสียทีเดียว ดวงตาของผู้สาปแช่งสว่างกว่าทุกครั้ง ยืดหลังที่โค้งงอให้กลับมาตรง ดูมีชีวิตชีวามากกว่าทุกที

 

“นั้นสินะ! ไม่มีอะไรน่าสนุกไปกว่านี้อีกแล้ว! ตั้งแต่เป็นผู้สาปแช่งมาก็ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้ใช้ ‘สิ่งนั้น’ เลย!”

“สิ่งนั้น…?”

 

   เมื่อเอนเต้สงสัย ผู้สาปแช่งก็เริ่มพูดต่อไปอย่างคล่องแคล่ว ที่จริงเธอก็อยากจะอธิบายอยู่แล้ว

 

“มันเป็นวิธี ‘ต้องห้าม’ ที่สืบทอดกันมาในตระกูลของฉัน อันตรายจนไม่ได้ถูกใช้งานมาหลายร้อยปี แต่ถ้าจะให้ฆ่าคนที่มีจิตที่แข็งแกร่งขนาดนั้นก็ไม่มีวิธีอื่นนอกจากใช้มัน เอาล่ะ มันคือความโชคดีจากการมีอายุยืนสินะ!”

 

  ผู้สาปแช่งรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เธอเคยคิดว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถทางเวทย์มนต์อันยิ่งใหญ่นี้ได้อีก จนถึงตอนนี้ก็มีแต่พวกที่จัดการได้ง่าย นับเป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับผู้ใช้คำสาป ที่จะได้ใช้สิ่งนั้นในรุ่นของเธอ

 

“แล้ว มันจะได้ผลจริงๆเหรอ?  ขนาดพิษมารที่ว่าแน่นอน ยังไม่มีผลอะไรเลยนี่นา”

“อย่าเอาของอย่างพิษมารไปเปรียบเทียบกับสิ่งนั้นเลย แค่ระดับของคำสาปเพียงอย่างเดียวก็แตกต่างกันมากแล้ว แล้วก็ เวลาที่ใช้เตรียมการก็นานกว่ากันเยอะ ใช่แล้ว คิดคร่าวๆก็น่าจะครึ่งปี”

“ครึ่งปี!? จะให้รอนานขนาดนั้นเนี่ยนะ”

“เอาเถอะ มีหลายเรื่องที่ต้องเตรียมให้พร้อม อย่างแรกเลย ต้องรวบรวมเลือดของคนบาป…”

“หยุดเลย ไม่อยากฟัง”

 

  มันไม่มีทางเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว เอนเต้ปิดหูและพูดขัด

 

“ตอนนี้ฉันสนใจแค่เรื่องเดียวเท่านั้น ไอ้ของต้องห้ามที่ว่านั้น มั่นใจแค่ไหนว่าจะกำจัดเซเลนได้”

“บันทึกเกี่ยวกับการใช้สิ่งนั้นทั้งหมด ล้วนเชื่อมโยงกับการล่มสลายของอาณาจักรหลายแห่งในอดีต แล้วถ้านำเวทย์มนต์ที่รุนแรงขนาดนั้นมาใช้กับเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียว ท่านคงฉลาดพอที่จะคาดเดาผลลัพธ์ได้นะ ท่านเอนเต้?”

“………”

 

  เอนเต้เริ่มสงบนิ่ง มันไม่ใช้สิ่งที่ใช้กับคนคนเดียว แต่สามารถส่งผลได้ในระดับประเทศ ผู้สาปแช่งพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็เป็นคนที่มีความกระหายเลือดสูง และอยากใช้คำสาปเพื่อเข่นฆ่าผู้คนเป็นอย่างมาก จึงไม่คิดว่ากำลังโกหกอยู่

 

“เข้าใจแล้ว แต่จำไว้เลยว่าครั้งหน้าจะไม่ให้โอกาสแบบนี้อีกแน่ รู้เรื่องใช่ไหม?”

“ไม่ต้องบอกก็เป็นไปตามนั้นอยู่แล้ว ด้วยร่างกายที่แก่ชรานี้ไม่สามารถใช้เวทย์มนต์ระดับนั้นได้อีกเป็นครั้งที่สองหรอก ครั้งนี้จะเป็นพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตผู้สาปแช่งผู้นี้”

 

  ผู้สาปแช่งที่กำลังอารมณ์ดีอย่างที่สุด พูดกับเอนเต้และเริ่มเจรจาถึงค่าใช้จ่ายสำหรับการเตรียมพร้อมในครั้งนี้ เอนเต้เห็นจำนวนเงินแล้วก็บึ้งตึงขึ้นมาทันที

 

“เดี๋ยวสิ นี่มันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ?”

“คำสาประดับสูงเท่าใดก็ต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงเท่านั้น เป็นเรื่องธรรมดา คิดถึงผลลัพธ์สิ ท่านเอนเต้ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยแน่นอน”

 

  สุดท้ายแล้วเอนเต้ก็ยอมรับข้อเรียกร้องของผู้สาปแช่ง

  ถ้าปล่อยเอาไว้  เซเลนจะเติบโตขึ้นอย่างงดงาม เป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่กว่าในอนาคต

  ไม่ว่ายังไงก็ต้องลบให้มันหายไปให้ได้ ไม่ว่าจะเสี่ยงสักแค่ไหน

 

   เอนเต้คิดแล้วก็รู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมาอีกครั้ง จินตนาการถึงสาวน้อยผู้งดงามคนนั้นกำลังทุกข์ทรมานและเจ็บปวดจนสิ้นลม ยังไงซะ อีกฝ่ายก็ยังเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ ช่วงเวลาเพียงแค่ครึ่งปีไม่มีทางเติบโตจนสามารถร่วมคืนกับเจ้าชายได้ทัน ระยะเวลาเพียงแค่นี้ยังพอรับได้ 

 

“ครั้งนี้ฉันยอมรับความพ่ายแพ้ก็ได้ แต่ครั้งหน้าและครั้งต่อๆไปล่ะ สุดท้ายแล้วชัยชนะจะเป็นของใคร? จะตั้งหน้าตั้งตารอครึ่งปีนี้ให้ดีเลย”

 

  จากนั้น เอนเต้ยังคงมีความสุขกับการคิดถึงความตายของเซเลนต่อไป

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 20 องครักษ์

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 20 องครักษ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 20

องครักษ์

 

    โคคุมารุหิ้วขวดใส่ตะขาบด้วยเท้าทั้งสองข้าง บ่นซ้ำๆอยู่หลายครั้งให้กับความเหน็ดเหนื่อยและการที่ตนต้องมาลำบากกับงานนี้ แต่เขาก็ยังคงบินไปยังเฮลิฟาเต้อย่างแน่วแน่ ระยะทางที่ใช้เวลาสามวันโดยรถม้าจะถูกย่อให้เหลือครึ่งวันด้วยผลของเวทย์มนต์ที่เสริมร่างกาย เขามองเห็นได้แม้ในความมืดด้วยสายตาที่เฉียบคมยิ่งกว่านกฮูก บินในระยะทางที่ไกลกว่าการอพยพของนกด้วยความเร็วที่มากกว่าเหยี่ยว

 

   อย่างไรก็ตาม ถึงเขาจะได้รับความสามารถอันยอดเยี่ยมนี้มา โคคุมารุก็ไม่ได้รู้สึกเคารพในตัวของผู้สาปแช่งเลย ยายแก่นั่นมองเห็นเขาเป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่าย ส่วนเขาก็เห็นเธอเป็นแหล่งเติมพลังเวทย์ หรือพูดได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้สาปแช่งกับโคคุมารุไม่ใช่แบบเจ้านายกับผู้รับใช้ แต่เป็นแบบแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน

 

   เมื่อโคคุมารุมาถึงพระราชวังที่เป็นจุดหมายก็เป็นเวลาเลยเที่ยงไปแล้ว และคนที่เป็นเป้าหมาย เด็กสีขาวที่ชื่อเซเลนนั้นหาง่ายมากเนื่องจากความงดงามและรูปลักษณ์อันโดดเด่นของเธอ เด็กหญิงตัวเล็กนั่งอยู่บนผืนหญ้าส่งอาหารที่นำมาให้กับชายหนุ่มผมสีทอง

 

  พอได้เห็นชิ้นเนื้อท่าทางน่าอร่อยก็อยากจะบินโฉบลงไป แต่สำนึกในความเป็นสัตว์อสูรในตัวก็ได้ห้ามไว้และลงเกาะที่ต้นไม้ใกล้ๆรอให้เด็กหญิงกลับไปที่ห้องของเธอ เขาเฝ้าสังเกตการณ์อย่างรอบคอบ

 

  เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเด็กหญิงคนนั้นก็กลับเข้าห้อง และทันทีที่ถึงเตียง เธอก็หลับตาล้มลงนอนและหลับไปในทันที หน้าต่างถูกเปิดไว้เพื่อรับลมของฤดูใบไม้ผลิ สถานการณ์เป็นใจสำหรับเขา โคคุมารุยกขาที่จับขวดขึ้นมาและใช้จะงอยปากเปิดฝาขวดปลดปล่อยตะขาบที่มีหน้าที่กระจายคำสาป

 

[“เอ้า นี่!”]

 

  เขาคาบตะขาบตัวใหญ่ที่โผล่ออกมาด้วยปากและโยนอย่างชุ่ยๆเข้าไปในห้องของเซเลนจากมุมสูง ตะขาบที่หลุดเข้าไปได้ก็คืบคลานไปที่ใต้เตียงของเซเลนตามที่ผู้สาปแช่งพูดไว้ หลังจากที่ดูทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อโคคุมารุเห็นแล้วว่าไม่มีปัญหาใดๆก็บินออกไปพร้อมกับขวดเปล่าที่เท้า

 

[“เสร็จสักที กลับไปหาอะไรเล่นดีกว่า”]

 

  เมื่อภารกิจที่ได้รับมาสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี โคคุมารุคิดมาตลอดการเดินทางว่าจะกลับไปทำอะไรสนุกๆกับอีกาตัวเมียแสนสวย ถึงจะกลายเป็นสัตว์อสูรไปแล้วเขาก็ไม่คิดจะใช้ความสามารถนี้ไปกับเป้าหมายอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องการใช้พลังให้เป็นประโยชน์ เขาแค่ต้องการได้โอ้อวดตัวเองกับพรรคพวกฝูงกาของเขา แค่นี้ก็ทำให้ความสุขเอ่อล้นออกมาจากหัวใจของเขาได้แล้ว

 

   ทางด้านของตะขาบที่ลักลอบเข้ามาในห้องของเซเลนได้สำเร็จ ก็ได้เข้าไปหลบซ่อนใต้เตียงตามคำสั่งของเจ้านาย แม้ว่าพลังชีวิตกับความแข็งแกร่งของมันจะถูกเสริมด้วยพลังเวทย์อันน่าสยดสยองที่เรียกว่าพิษมาร แต่เดิมทีก็เป็นแค่แมลง สติปัญญาจึงไม่สูงมากนัก จากนั้นก็หามุมมืดที่เหมาะกับการซ่อนตัวโดยใช้สัญชาตญาณ

 

   แมลงที่ดูดกลืนพลังชีวิตและกัดกินซากของพรรคพวกตัวเองเพื่อสะสมพลังเวทย์อันชั่วร้ายและเพื่อเติมเต็มกระเพาะ มันคืบคลานอยู่ใต้เตียงของเป้าหมายและเกาะแน่นอยู่ในเงามืดราวกับเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น เพียงแค่นี้พลังชีวิตของเซเลนก็จะถูกกัดกินไปเรื่อยๆในขณะที่นอนหลับอย่างสบายใจ

 

[“ใครน่ะ รู้หรือเปล่าว่านี่เป็นห้องของใคร”]

 

  ตะขาบขยับกรามและเขี้ยวส่งเสียง มองหาเจ้าของเสียงทุ้มต่ำที่ทักมาจากใต้เตียง สายตาของตะขาบก็ได้สะดุดอยู่ที่สิ่งมีชีวิตตัวเล็กสีขาวดำที่อยู่ใต้หัวเตียงของเป้าหมาย และมันก็ขยับกรามอีกครั้งเพื่อข่มขู่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นหนูตัวเล็กๆที่ความยาวไม่ถึงครึ่งของตัวมัน

 

[“เข้าใจที่พูดหรือเปล่า? ถ้าไม่รู้ กระผมจะบอกให้ ว่านี่คือห้องนอนของเจ้าหญิงที่สูงส่งที่สุดในหมู่เจ้าหญิง ท่านเซเลน อาร์คุยล่า ส่วนกระผมคือบัตเลอร์ ผู้คุ้มกันของเจ้าหญิงผู้ยิ่งใหญ่”]

 

   บัตเลอร์ประกาศชื่อออกมาอย่างภูมิใจแม้ว่าเขายังไม่มั่นใจว่าจะสื่อสารกับแมลงรู้เรื่อง ตะขาบไม่สนใจคำพูดของบัตเลอร์ มันพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว แต่บัตเลอร์ก็ยังไม่ขยับไปไหนและไม่รู้สึกตื่นตระหนกกับการลดระยะห่างของมันเลย

 

[“ตะขาบ ขอถามอีกครั้ง เข้ามาทำอะไรในห้องของเจ้าหญิง? หรือมาขอเข้าเฝ้าเจ้าหญิง… โอ๊ะ!”]

 

   บัตเลอร์พยายามเจรจากับตะขาบเพื่อหาเจตนาในการบุกรุกครั้งนี้ แต่มันก็กระโจนเข้ามากัดโดยเล็งที่ลำคอของบัตเลอร์ บัตเลอร์ไม่ได้ตกใจกับการกระทำดังกล่าว เขาเพียงแค่พลิกตัวเบาๆเพื่อหลบหลีกเขี้ยวที่แหลมคมนั้น

 

  จากการที่ได้เห็นการเคลื่อนไหวเมื่อสักครู่ ตะขาบส่ายตัวไปมา รู้สึกถึงศัตรูเป็นครั้งแรก เมื่อมันเห็นหนูตัวเล็กๆ มันคิดว่านี่เป็นเพียงอาหารน่าอร่อยที่เดินมาให้กินถึงที่เท่านั้น แต่การเคลื่อนไหวของหนูตัวนี้ไม่เหมือนหนูปรกติ เมื่อบัตเลอร์ก้าวเข้าหา ตะขาบรู้สึกถึงแรงกดดันจนถอยหนี

 

[“อืม… จู่โจมได้รวดเร็วดี ทำไมไม่มา‘เล่น’กับกระผมสักตั้งล่ะครับ?”]

 

  บัตเลอร์พูดขึ้นมาและเริ่มยืนด้วยขาหลัง กางขาหน้าออกแล้วย่อตัวลง ตั้งท่าเหมือนจะกระโดดเข้ามา แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาคลายริบบิ้นสีแดงที่ผูกอยู่รอบคอออก

 

[“เป็นอะไรไป? คอของกระผมไม่มีอะไรป้องกันแล้ว เห็นไหม? คอสีขาวแม้จะเป็นที่มืดๆอย่างใต้เตียงก็น่าจะมองเห็นได้ชัดเจน เอ้า เข้ามาได้เลยครับ”]

 

   แม้ว่ามันไม่เข้าใจคำพูดของบัตเลอร์ ในเมื่อมันยอมรับอีกฝ่ายเป็นศัตรูแล้ว แต่ทางนั้นกลับไม่เห็นมันเป็นศัตรูเสียเอง ถือเป็นการดูถูกศักดิ์ศรีของนักล่าเป็นอย่างมาก ถ้าอย่างงั้น ความตายที่หนูตัวนั้นต้องการ จะขอมอบให้ผ่านเขี้ยวอันแหลมคมที่เสริมไว้ด้วยพลังเวทย์ แล้วก็ทะลวงเข้าไปในลำคอที่ไร้การป้องกันของหนูตัวเล็กๆ… ฝังเขี้ยวลงไป… อย่างไร้ปราณี!

 

[“อ้าว… ทำได้แค่นี้จริงๆด้วยสินะ?”]

 

   บัตเลอร์ยังคงยืนด้วยขาหลัง ไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับการกัดของตะขาบ รอยกัดตื้นเกินไป ตะขาบพยายามถอยออกมาเพื่อตั้งหลักสำหรับการโจมตีอีกครั้ง แต่ก็รู้สึกถึงความผิดปรกติ เขี้ยวที่ฝังลงไปนั้น ถอนไม่ออก ถูกกล้ามเนื้ออันแข็งแรงผิดปรกติของบัตเลอร์บีบรัดเอาไว้ แม้เขียวจะฝังอยู่ไม่ลึกแต่ก็ดึงไม่ออก

 

[“ตะขาบ กระผมปล่อยให้คุณจู่โจมเพราะมีเหตุผล แม้ว่าคุณจะเป็นผู้บุกรุกแต่ถ้ามีความสามารถพอ กระผมจะอบรมคุณให้เป็นดาบและโล่ให้เจ้าหญิงได้ แต่ถ้าทำอันตรายให้กระผมยังไม่ได้ก็น่าเสียดายที่ไม่เหลือเหตุผลในการไว้ชีวิตแล้ว”]

 

   เมื่อบัตเลอร์ผ่อนแรงลง ตะขาบรู้สึกถึงอันตรายที่คุกคาม ขยับขานับร้อยของมันหลบหนีออกจากใต้เตียงให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่ได้เร็วไปกว่าขาทั้งสี่ของบัตเลอร์ที่อ้อมไปดักด้านหน้าตะขาบให้หมดทางหนี

 

[“ถึงจะไม่รู้ว่ามาทำอะไร แต่ที่นี่คือห้องของเจ้าหญิงผู้ยิ่งใหญ่ คุณบุกรุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตและยังพยายามโจมตีกระผมที่เป็นผู้ติดตาม แล้วยังพยายามหนีเมื่อเจอกับศัตรูที่ไม่สามารถเอาชนะได้ กระผมขอสรุปว่าคุณไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าเฝ้าเจ้าหญิงเซเลน”]

 

   เมื่อพูดจบ ฟันหน้าของบัตเลอร์ก็เจาะเข้าไปในหัวของตะขาบ ด้วยการกัดที่ไม่สามารถหลบหลีกได้ทันเพียงครั้งเดียว แม้ฟันหน้าของบัตเลอร์จะมีขนาดเล็ก แต่ถ้าเขาเอาจริงขึ้นมาก็สามารถกัดแทะโล่เหล็กให้เป็นรูโหว่ได้ เปลือกนอกของตะขาบไม่สามารถทนแรงกัดระดับนี้ได้ ไม่ว่ามันจะถูกเสริมความแข็งแกร่งหรือไม่ก็ตาม

 

  ตะขาบถูกกัดอย่างแรงด้วยฟันหน้าอันทรงพลังนั้น มันดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง พยายามกรีดร้องแม้ไม่มีหลอดเสียง จนกระทั่งร่างกายกระตุกครั้งสุดท้ายและไม่เคลื่อนไหวอีกเลย

 

“บัตเลอร์ หนวกหู”

 

  บัตเลอร์ที่เพิ่งต่อสู้กับผู้บุกรุกเสร็จหันไปพบกับเซเลนในสภาพที่เธอห้อยหัวลงมาจากเตียง มันยุ่งยากที่จะลงจากเตียงมาก้มมองข้างใต้ เธอจึงโผล่แค่ส่วนหัวลงมาจากบนเตียงเท่านั้น

 

[“ขออภัยที่ทำเสียงดัง เป็นเพราะกระผมทำการขับไล่ผู้บุกรุก โปรดยกโทษให้ด้วย”]

“ผู้บุกรุก? อ๊ะ ตะขาบ…”

 

   เซเลนลงจากเตียง เอื้อมมือเข้ามาใต้เตียงอย่างไม่ลังเลและหยิบตะขาบออกมาดูด้วยดวงตาที่เพิ่งตื่นนอน

 

  แต่ไหนแต่ไรเซเลนเป็นมิตรกับพืชและสัตว์ขนาดเล็กอยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนเธอจะเกิดเสียอีก โดยเฉพาะตะขาบและแมงมุมที่เป็นศัตรูตามธรรมชาติของแมลงที่สร้างความรำคาญอย่างแมลงสาบและแมลงวัน

   สำหรับเซเลนที่มีเพื่อนเป็นมนุษย์น้อยมาก ต่อให้เป็นตะขาบเธอก็จะนับว่าเป็นเพื่อนของเธอได้เช่นกัน

 

“ตาย ซะแล้ว…”

 

   แต่ว่า เซเลนก็รู้สึกผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เพราะตอนที่เซเลนหยิบมันขึ้นมา ตะขาบตัวโตที่ดูแข็งแรงและสวยงามนั่นก็ตายไปแล้ว ในเมื่อโลกที่ได้มาเกิดใหม่นี้มีหนูพูดได้ ก็คิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนกับมันอีกตัวด้วยก็ได้

 

   และอีกอย่าง เมื่อนานมากแล้วเธอเคยอ่านมังงะที่มีผู้ใช้แมลงและมีการใช้งานตะขาบ อา ถ้าเจ้าตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่ก็อยากจะลองใช้เวทย์มนต์กับมันและให้มันไปแอบเข้าไปในห้องของเจ้าชายตอนที่เขาหลับอยู่ได้ เซเลนหลับตาลงด้วยความเศร้าและคิดว่าคงจะหาจับตะขาบดีๆแบบนี่ที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว

 

[“องค์หญิงช่างอ่อนโยนยิ่งนัก… กระผมรับรองว่าการตายของตะขาบจะไม่ศูนย์เปล่าอย่างแน่นอน”]

“เอ๋?”

[“สิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนต้องกลับสู่ผืนดินสักวัน มันจะกลายเป็นเลือดและเนื้อของสิ่งอื่นต่อไป ได้โปรดหลับให้สบายเถิด กระผมจะจัดการกับตะขาบตัวนี้อย่างเหมาะสมเองครับ”]

“เข้าใจแล้ว”

 

   เซเลนพยักหน้าตอบรับในสิ่งที่บัตเลอร์พูดและวางตะขาบลงบนพื้น เซเลนเป็นคนที่ชื่นชอบและเห็นคุณค่าของพืชและสัตว์ ถึงสิ่งที่ชื่นชอบอันดับหนึ่งจะเป็นสาวสวยกับหน้าอกก็เถอะ อันนั้นรักมากกว่าตัวเธอเองด้วยซ้ำ

 

[“องค์หญิง หลับไปแล้ว… เอาล่ะ”]

 

   หลังจากบัตเลอร์แน่ใจว่าเซเลนกลับไปนอนต่อแล้ว เขาก็เริ่มแทะตะขาบ บัตเลอร์กัดกินซากตะขาบอย่างเอร็ดอร่อย

 

[“อืม! ตะขาบตัวนี้ เปลือกนอกเคี้ยวเพลิน ข้างในก็นุ่มกว่าที่คิด! จัดการก็ไม่ยาก เนื้อก็เยอะ! เป็นอาหารที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”]

 

   สายพันธุ์ดั้งเดิมของบัตเลอร์คือหนูป่า การที่เขาไม่กินแมลงต่อหน้าเซเลนให้เธอเห็นเพราะเกรงว่าเธอจะรังเกียจ ในเมื่อมีตะขาบตัวอ้วนสมบูรณ์มาหาถึงที่ มันก็อดไม่ได้ที่อยากจะลิ้มลอง แน่นอนว่าเหตุผลอันดับหนึ่งคือการกำจัดตะขาบที่อาจจะทำร้ายเซเลนได้ ในเมื่อผ่านขั้นตอนนั้นมาแล้วก็ถึงเวลาเพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารของบัตเลอร์

 

[“แต่ว่า ไอ้สัมผัสที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยนี่มันอะไรกัน… เป็นไอ้ที่เขาเรียกกันว่ารสชาติจากบ้านเกิดเหรอ?”]

 

   จะรู้สึกแบบนั้นก็ไม่แปลก เพราะพิษมารก็คือคำสาปที่สร้างด้วยเวทย์มนต์ ร่างกายของบัตเลอร์มีพลังเวทย์ของเซเลนไหลเวียนอยู่นานหลายปี กับคำสาปที่เพิ่งจะถูกร่ายลงไปแค่ไม่กี่วันจึงถูกเปลี่ยนกลับให้เป็นพลังเวทย์ได้ นอกจากนี้มันยังถูกปรับให้ตอบสนองกับพลังเวทย์ของเซเลนอยู่แล้ว มันจึงเป็นเรื่องปรกติที่เขาจะรับรู้ถึงสิ่งนั้นอย่างคุ้นเคย

 

  บัตเลอร์กินตะขาบตัวอ้วนอย่างสบายใจ แต่ก็ยังสงสัยว่าตะขาบตัวนี้มาจากไหน ไม่ว่าจะคิดยังไง สิ่งนี้ไม่น่าเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ แล้วยังดูเหมือนว่าตะขาบตัวนี้เข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้คิดได้อย่างเดียวว่าร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า

 

[“หรือว่า เป็นของขวัญจากคุณแม่ผู้ล่วงลับ…”]

 

  บางทีคุณแม่ที่อยู่บนสวรรค์กำลังเฝ้าดูและช่วยเหลือเขาที่รับใช้เซเลนอยู่ทุกวัน คุณแม่ส่งตะขาบที่อุดมไปด้วยพลังเวทย์มาเพื่อช่วยบำรุง ฟังดูเหมือนจินตนาการของเด็กๆแต่มันก็เป็นไปได้มากกว่าเรื่องบังเอิญ บัตเลอร์จึงเรียกตะขาบตัวนี้ว่า ของขวัญจากคุณแม่ และไม่ได้พูดถึงมันอีกเลย เรื่องรายระเอียดก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะมันอร่อยพอที่จะมองข้างเรื่องยิบย่อยไปได้

 

  บัตเลอร์มีความสุขกับของกินหายากที่ไม่ได้พบเจอมานานเป็นปี รําลึกถึงคุณแม่ผู้ล่วงลับ ขัดเกลาจิตใจ เพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้ได้ดียิ่งขึ้น

 

 

   ◆ ◇ ◆ ◇ ◆

 

“ผ่านมาตั้งสองสัปดาห์แล้ว ไม่เห็นได้ผลเลย!”

“อืม… มันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้…”

 

      ตั้งแต่ที่ผู้สาปแช่งเคยถูกเรียกให้มาที่ห้องของเอนเต้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอแสดงความสับสนออกมาให้เห็น ถ้าเป็นคนทั่วไปก็น่าจะตายไปตั้งนานแล้ว แต่จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่มีรายงานการเสียชีวิตของเซเลนเข้ามาสักที

 

   เธอได้โต้เถียงกับโคคุมารุเพราะบังคับให้เขาบินไปที่เฮลิฟาเต้เพื่อตรวจสอบอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็ได้คำตอบมาว่า เซเลนใช้ชีวิตตามปรกติอย่างสุขสบายดี ซึ่งมันไม่ควรเป็นเช่นนั้น เป็นไปได้ว่าโคคุมารุกำลังโกหก แต่อีกานั่นถึงจะทำตัวเฉื่อยชายังไงแต่เมื่อยอมรับคำสั่งแล้วก็จะทำภารกิจให้ลุล่วงได้ทุกครั้ง ในจุดนี้ผู้สาปแช่งคิดว่าโคคุมารุเชื่อใจได้

 

“มีอยู่สองสาเหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้ได้…”

 

  ผู้สาปแช่งปล่อยมือที่ลูบปากอย่างเป็นกังวลลง และพูดในสิ่งที่แม้แต่ตัวเธอเองยังไม่มั่นใจ

 

“อย่างแรก เด็กนั่นสร้างสิ่งที่สามารถลบล้างคำสาปขึ้นมาได้สำเร็จ แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าทำได้จริงๆ”

 

   ถึงจะพูดออกมาเอง แต่ผู้สาปแช่งก็ปฏิเสธความคิดนั้นทันที มีแต่สัตว์อสูรที่มีความแข็งแกร่งอย่างมากเท่านั้นที่ดูดกลืนพิษมารได้ แต่ก็ไม่มีใครรู้วิธีสร้างมันขึ้นมาแล้ว ต่อให้มีหลงเหลืออยู่จริงหรือบังเอิญสร้างขึ้นมาได้สำเร็จก็ต้องใช้เวลานานมากในการให้มันได้รวบรวมพลังเวทย์จนแข็งแกร่งขนาดนั้น

 

“อีกอย่างคือ?”

“จิตวิญญาณของเด็กนั่นเข้มแข็งกว่าคนทั่วไปอย่างเทียบไม่ติด”

“…อะไรอีกล่ะนั่น?”

“คำสาปกับดวงจิตมีความสัมพันธ์กันมาเนิ่นนานแล้ว เช่น ‘มีคนจ้องจะทำร้ายตน ชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย’ ถ้ามีความคิดแบบนี้อยู่ในหัว ก็จะทำให้เกิดการระแวง หวาดกลัว ถ้าเร่งความรู้สึกพวกนี้ให้รุนแรงมากๆเข้าก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอทรุดโทรม ตัวจริงของคำสาปคือการกระตุ้นความอ่อนแอในตัวมนุษย์ด้วยเวทย์มนต์ให้มันทำร้ายตัวเองจากภายใน”

“แล้วมันยังไงล่ะ?”

“พูดให้เข้าใจง่ายๆก็… ถ้ามีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งจนสิ่งแปลกปลอมเข้าไปทำให้ปนเปื้อนไม่ได้ คำสาปก็ไร้ผล เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีอะไรที่ท่านเอะใจบ้างหรือเปล่าล่ะ?”

“จะว่าไป…”

 

   เอนเต้ขุดคุ้ยภายในความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนที่เซเลนมาที่วัลเบิร์ตก็ได้รีดข้อมูลจากคนรับใช้คนอื่นที่มาด้วยกันแล้วว่าเซเลนเป็นคนที่มีพลังเวทย์และมีพรสวรรค์อันโดดเด่นที่เฮลิฟาเต้ต้องการ

 

“หืม… ถ้าพูดว่าพรสวรรค์ที่โดดเด่น มันจะหมายถึงพรสวรรค์แบบไหนกันแน่นะ”

“ไม่รู้สิ”

 

  เอนเต้ส่ายหน้าคิดไม่ตก เหล่าคนรับใช้พูดเหมือนกันหมด ‘เซเลนเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก อาร์คุยล่าขอส่งมอบให้เฮลิฟาเต้เพื่อกระชับไมตรี’ นี่เป็นข้อความในจดหมายส่งตัวที่อาร์คุยล่ามอบให้กับเจ้าชายมิลาน และก็เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไปภายในพระราชวังเฮลิฟาเต้ ประกาศที่เป็นทางการออกมาก็ยังพูดเหมือนกันอีก แต่ก็ไม่มีใครทราบถึงรายระเอียดของพรสวรรค์ที่ว่าเลย

 

“ไม่แน่ว่า… ไม่สิ ต้องใช่แน่ๆ”

“ท่านคิดอะไรออกแล้วเหรอ?”

 

   ตอนนี้เอนเต้เริ่มรู้ตัวแล้วว่าก่อนหน้านี้เธอได้เข้าใจผิดอย่างร้ายแรง จากที่เคยเชื่อว่าเจ้าชายรับเด็กสาวตัวเล็กๆจากบ้านนอกมาเป็นผู้ติดตามเพราะเซเลนมีพลังเวทย์ แต่พอมาคิดอีกที เรื่องนั้นมันก็ไม่สมเหตุสมผล

   สามัญชนที่มีพลังเวทย์เป็นเรื่องหายาก แต่ก็มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับตัวเซเลนมาเลย ถึงจะเป็นคนที่มีความงดงามมากเป็นพิเศษ แต่มิลานก็ไม่ใช่คนที่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ที่งดงามเพียงอย่างเดียว

 

“ไอ้พรสวรรค์ที่ไม่รู้ว่าคืออะไรนั่น… ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด!”

 

   ใช่แล้ว พรสวรรค์ที่แท้จริงของเซเลนที่ไม่สามารถตีค่าเป็นตัวเลขหรือบอกกล่าวเป็นถ้อยคำได้ เป็นไปได้ว่ามันคือจิตวิญญาณอันสูงส่งที่สามารถชี้นำผู้คน ความซื่อตรงที่ไม่อ่อนข้อให้สิ่งชั่วร้าย หรืออะไรทำนองนั้น ไม่ใช่ของจำพวก ‘มีพรสวรรค์ด้านเวทย์มนต์สูง’ หรือ ‘สามารถสร้างสรรค์งานศิลปะอันทรงคุณค่าได้’ มันไม่สามารถสื่อออกมาให้ชัดเจนได้ง่ายๆแบบนั้น  เท่านี้ทุกอย่างก็ลงตัวแล้ว

 

   ตอนนี้เอนเต้ได้ตระหนักขึ้นมาอีกครั้งว่า นี่แหละคือศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เธอเคยได้เจอมา เวทย์มนต์ก็สามารถใช้ได้ ทักษะความสามารถอื่นๆก็ฝึกฝนกันได้ แล้วยังมีสิ่งที่อธิบายได้ยากอย่าง ‘จิตวิญญาณอันสูงส่ง’ นั่นอีก บุคคลเช่นนั้นย่อมไม่สามารถถูกแทนที่ได้

 

“ทำอะไรสักอย่างสิ! คำสาปใช้ไม่ได้ก็ใช้อย่างอื่น! ไม่มีวิธีที่มันได้ผลดีกว่านี้แล้วหรือไง!?”

“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าพิษมารยังทำอะไรไม่ได้ คำสาบแบบไหนก็ไม่มีผลแล้วล่ะ”

“แกมันไร้ประโยชน์! คำสาปนี่ก็ไร้ประโยชน์ มีแต่ของแหกตาทั้งนั้น!”

 

  เอนเต้ดุด่าผู้สาปแช่งด้วยถ้อยคำหยาบคายทั้งหมดเท่าที่เธอนึกได้ แต่ผู้สาปแช่งไม่ได้สนใจฟัง ใบหน้าเริ่มแสดงความผ่อนคลาย ตรงข้ามกับเอนเต้ที่เดือดดาลจนใบหน้าบิดเบี้ยวเปลี่ยนเป็นสีแดง หายใจแรงจนเหนื่อยหอบ และในที่สุด ผู้สาปแช่งก็เริ่มหัวเราะออกมา เงยหน้ามองท้องฟ้า หัวเราะอยู่นานจนเอามือกุมท้อง

 

“หึ หึหึหึ… ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!”

“เป็นอะไรของแก!?”

 

   เอนเต้คิดว่าคำสาปที่ภูมิใจนักหนาไม่ได้ผลก็เลยเสียสติไปแล้ว แต่ความคิดนั้นก็ไม่ผิดเสียทีเดียว ดวงตาของผู้สาปแช่งสว่างกว่าทุกครั้ง ยืดหลังที่โค้งงอให้กลับมาตรง ดูมีชีวิตชีวามากกว่าทุกที

 

“นั้นสินะ! ไม่มีอะไรน่าสนุกไปกว่านี้อีกแล้ว! ตั้งแต่เป็นผู้สาปแช่งมาก็ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้ใช้ ‘สิ่งนั้น’ เลย!”

“สิ่งนั้น…?”

 

   เมื่อเอนเต้สงสัย ผู้สาปแช่งก็เริ่มพูดต่อไปอย่างคล่องแคล่ว ที่จริงเธอก็อยากจะอธิบายอยู่แล้ว

 

“มันเป็นวิธี ‘ต้องห้าม’ ที่สืบทอดกันมาในตระกูลของฉัน อันตรายจนไม่ได้ถูกใช้งานมาหลายร้อยปี แต่ถ้าจะให้ฆ่าคนที่มีจิตที่แข็งแกร่งขนาดนั้นก็ไม่มีวิธีอื่นนอกจากใช้มัน เอาล่ะ มันคือความโชคดีจากการมีอายุยืนสินะ!”

 

  ผู้สาปแช่งรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เธอเคยคิดว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถทางเวทย์มนต์อันยิ่งใหญ่นี้ได้อีก จนถึงตอนนี้ก็มีแต่พวกที่จัดการได้ง่าย นับเป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับผู้ใช้คำสาป ที่จะได้ใช้สิ่งนั้นในรุ่นของเธอ

 

“แล้ว มันจะได้ผลจริงๆเหรอ?  ขนาดพิษมารที่ว่าแน่นอน ยังไม่มีผลอะไรเลยนี่นา”

“อย่าเอาของอย่างพิษมารไปเปรียบเทียบกับสิ่งนั้นเลย แค่ระดับของคำสาปเพียงอย่างเดียวก็แตกต่างกันมากแล้ว แล้วก็ เวลาที่ใช้เตรียมการก็นานกว่ากันเยอะ ใช่แล้ว คิดคร่าวๆก็น่าจะครึ่งปี”

“ครึ่งปี!? จะให้รอนานขนาดนั้นเนี่ยนะ”

“เอาเถอะ มีหลายเรื่องที่ต้องเตรียมให้พร้อม อย่างแรกเลย ต้องรวบรวมเลือดของคนบาป…”

“หยุดเลย ไม่อยากฟัง”

 

  มันไม่มีทางเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว เอนเต้ปิดหูและพูดขัด

 

“ตอนนี้ฉันสนใจแค่เรื่องเดียวเท่านั้น ไอ้ของต้องห้ามที่ว่านั้น มั่นใจแค่ไหนว่าจะกำจัดเซเลนได้”

“บันทึกเกี่ยวกับการใช้สิ่งนั้นทั้งหมด ล้วนเชื่อมโยงกับการล่มสลายของอาณาจักรหลายแห่งในอดีต แล้วถ้านำเวทย์มนต์ที่รุนแรงขนาดนั้นมาใช้กับเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียว ท่านคงฉลาดพอที่จะคาดเดาผลลัพธ์ได้นะ ท่านเอนเต้?”

“………”

 

  เอนเต้เริ่มสงบนิ่ง มันไม่ใช้สิ่งที่ใช้กับคนคนเดียว แต่สามารถส่งผลได้ในระดับประเทศ ผู้สาปแช่งพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็เป็นคนที่มีความกระหายเลือดสูง และอยากใช้คำสาปเพื่อเข่นฆ่าผู้คนเป็นอย่างมาก จึงไม่คิดว่ากำลังโกหกอยู่

 

“เข้าใจแล้ว แต่จำไว้เลยว่าครั้งหน้าจะไม่ให้โอกาสแบบนี้อีกแน่ รู้เรื่องใช่ไหม?”

“ไม่ต้องบอกก็เป็นไปตามนั้นอยู่แล้ว ด้วยร่างกายที่แก่ชรานี้ไม่สามารถใช้เวทย์มนต์ระดับนั้นได้อีกเป็นครั้งที่สองหรอก ครั้งนี้จะเป็นพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตผู้สาปแช่งผู้นี้”

 

  ผู้สาปแช่งที่กำลังอารมณ์ดีอย่างที่สุด พูดกับเอนเต้และเริ่มเจรจาถึงค่าใช้จ่ายสำหรับการเตรียมพร้อมในครั้งนี้ เอนเต้เห็นจำนวนเงินแล้วก็บึ้งตึงขึ้นมาทันที

 

“เดี๋ยวสิ นี่มันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ?”

“คำสาประดับสูงเท่าใดก็ต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงเท่านั้น เป็นเรื่องธรรมดา คิดถึงผลลัพธ์สิ ท่านเอนเต้ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยแน่นอน”

 

  สุดท้ายแล้วเอนเต้ก็ยอมรับข้อเรียกร้องของผู้สาปแช่ง

  ถ้าปล่อยเอาไว้  เซเลนจะเติบโตขึ้นอย่างงดงาม เป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่กว่าในอนาคต

  ไม่ว่ายังไงก็ต้องลบให้มันหายไปให้ได้ ไม่ว่าจะเสี่ยงสักแค่ไหน

 

   เอนเต้คิดแล้วก็รู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมาอีกครั้ง จินตนาการถึงสาวน้อยผู้งดงามคนนั้นกำลังทุกข์ทรมานและเจ็บปวดจนสิ้นลม ยังไงซะ อีกฝ่ายก็ยังเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ ช่วงเวลาเพียงแค่ครึ่งปีไม่มีทางเติบโตจนสามารถร่วมคืนกับเจ้าชายได้ทัน ระยะเวลาเพียงแค่นี้ยังพอรับได้ 

 

“ครั้งนี้ฉันยอมรับความพ่ายแพ้ก็ได้ แต่ครั้งหน้าและครั้งต่อๆไปล่ะ สุดท้ายแล้วชัยชนะจะเป็นของใคร? จะตั้งหน้าตั้งตารอครึ่งปีนี้ให้ดีเลย”

 

  จากนั้น เอนเต้ยังคงมีความสุขกับการคิดถึงความตายของเซเลนต่อไป

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+