[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 42 แมลงดับแสงสุริยา

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 42 แมลงดับแสงสุริยา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 42

แมลงดับแสงสุริยา

 

 

 

“เซเลนเนี่ยนะ เป็นเจ้าหญิงของอาร์คุยล่า!?”

 

   ผู้สาปแช่งรายงานเรื่องที่ได้ยินมาให้กับเอนเต้ระหว่างการ ‘ตรวจอาการ’ ในรอบนี้ และข่าวนี้ทำให้เอนเต้ตะโกนเสียงดังอย่างไม่เกรงใจใครทั้งที่เลยเวลาเที่ยงคืนมาแล้ว

 

“ฉันก็แปลกใจเหมือนกันแหละ ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา แต่ถ้าเป็นคนจากราชวงศ์แบบนี้ล่ะก็ เท่ากับว่ามีคุณสมบัติเป็นชายาของเจ้าชายมิลาน…”

“อย่าพูดถึงเรื่องนั้นนะ!!”

 

  เอนเต้ตะโกนอีกครั้ง ทุบโต๊ะอย่างแรงจนแจกันล้มลง น้ำสาดลงบนพื้นพรม แต่ด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านทำให้เอนเต้ไม่รับรับรู้ถึงเรื่องนั้น

 

“หึหึ น่ากลัวจังเลยน้า”

[“เอ้า กลัวแล้ว กลัวแล้ว”]

 

  ผู้สาปแช่งกับโคคุมารุที่เกาะอยู่บนไหล่ พูดด้วยน้ำเสียงเยอะเย้ย แต่เอนเต้ก็โกรธจนไม่รับรับรู้ถึงเรื่องนั้นเช่นกัน

 

“แย่แล้ว… แย่แน่ๆ…!”

 

   เอนเต้กำเส้นผมบนหัวของเธอโดยที่ไม่สนใจว่าเส้นผมจะหลุดร่วงหรือยุ่งเหยิง ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ เธอสั่งให้ใช้โคคุมารุจับตาดูเซเลนเอาไว้ และทุกครั้งที่มันกลับมา ก็มีแต่รายงานเกี่ยวกับความสำเร็จของเด็กน่ารังเกียจคนนั่นมากขึ้นทุกทีจนท้องไส้ปั่นป่วน แต่ข่าวร้ายในคราวนี้ รุนแรงจนทำให้เอนเต้รู้สึกเวียนหัวแทบเป็นลมเลยทีเดียว

 

“ขอแค่ให้ยัยเด็กนั่นไม่ใช่คนจากราชวงศ์…”

 

  ถึงเด็กสาวน่ารังเกียจอย่างเซเลนจะเป็นที่โปรดปรานของมิลานมากขนาดไหน เอนเต้ก็สามารถหาเหตุผลในการกีดกันได้จนถึงตอนนี้ ต่อให้สร้างชื่อไว้ในประวัติศาสตร์จากการเจรจากับเอลฟ์จนประสบความสำเร็จ แต่สุดท้ายแล้ว ชนชั้นสูงทั้งหลายก็ให้ความสำคัญกับความเข้มข้นของสายเลือดขุนนางมากกว่าอยู่ดี

 

  กรณีของชวานที่เป็นกษัตริย์เฮลิฟาเต้องค์ปัจจุบันต่างหาก ที่ผิดปรกติ เขารับไอบิสซึ่งเป็นสาวใช้ มาเป็นราชินี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ แต่เพราะชวานสร้างผลงานไว้มาก และอย่างน้อย ไอบิสก็เป็นคนเฮลิฟาเต้แต่กำเนิด อีกทั้งยังรับใช้ชวานมานานตั้งแต่อายุยังน้อย

 

   ส่วนเซเลน ถึงจะมีพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ แต่ก็เป็นเด็กที่เก็บมาจากข้างถนนในประเทศอาร์คุยล่าที่ด้อยพัฒนา ต่อให้มิลานกับเซเลนจะมีความรู้สึกพิเศษให้กันยังไงก็มีฐานะห่างกันเกินไป

 

  แต่ถ้าเซเลนเป็นราชวงศ์โดยตรง ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถึงจะมาจากประเทศเล็กๆก็ยังถือว่ามีความเหมาะสมมากกว่ากรณีของไอบิสมาก และเซเลนยังได้สร้างผลงานระดับประเทศ วางแผนช่วยพัฒนาชาติบ้านเมืองต่อไปอีกในอนาคต ทำให้มีแนวโน้มว่าผู้คนจะยอมรับและยกย่องในตัวเธอมากขึ้นเรื่อยๆ

 

“นี่ ผู้สาปแช่ง! ไอ้วิธี ‘ต้องห้าม’ นั่นล่ะ!? นี่มันก็ผ่านมานานแล้วนะ!”

“เตรียมการเสร็จไปเกินเก้าส่วนแล้ว เมื่อถึงคืนที่ไร้แสงจันทร์ก็จะใช้งานได้ ไม่มีปัญหา”

“แสงจันทร์…”

 

  นอกหน้าต่างมีดวงจันทร์ส่องแสงเจิดจ้าทุกครั้งที่เอนเต้หันไปมอง เธอจำได้ดีว่าเคยได้รับรายงานเรื่องที่เด็กผู้หญิงคนนั้นถูกเรียกว่า ‘เจ้าหญิงแสงจันทร์’ เมื่อได้รู้เช่นนี้ เอนเต้จึงรังเกียจดวงจันทร์ที่อยู่สูงจนต้องเงยหน้ามอง เหมือนเซเลนที่ก้มมองเธอ

 

“เกินเก้าส่วนก็ใกล้เสร็จมากพอแล้ว ใช้มันซะ!”

“ถ้าท่านอยากได้ผลลัพธ์ที่แน่นอน ก็ต้องรอให้ถึงคืนจันทร์ดับ”

“รอไม่ได้! เจ้าชายจะประกาศหมั้นกับเซเลนเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น แล้วถ้ามันเป็นพรุ่งนี้ล่ะ!?”

“…ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ มาเริ่มกันเถอะ”

 

  ข้อเรียกร้องที่เอาแต่ใจพวกนั้นทำให้ผู้สาปแช่งถอนหายใจ ยอมทำตามความต้องการของเอนเต้ เพราะเถียงกับผู้หญิงเจ้าอารมณ์คนนี้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงตอนนี้มันจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็มีพลังเหลือเฟือที่จะใช้งานได้ทันที

 

  ผู้สาปแช่งล้วงหยิบกล่องใบเล็กออกมาจากเสื้อคลุม กล่องขนาดฝ่ามือถูกเชือกมัดไว้แน่นหนา มีเสียงอะไรบางอย่างขยับอยู่ข้างใน ผู้สาปแช่งวางกล่องลงบนโต๊ะ คลายเชือกและเปิดฝาออก

 

“ยี้!?”

 

  ตัวอะไรบางอย่างคลานออกมาจากกล่อง เอนเต้ส่งเสียงแสดงความรังเกียจออกมาชัดเจน มองทีแรกอาจจะคิดว่าเป็นแมลงมุม แต่ถ้าดูดีๆก็จะเห็นส่วนที่แตกต่าง ทั่วร่างเป็นสีขาว มีขนปกคลุม ส่วนหัวปูดโปน เขี้ยวขนาดใหญ่ดูแข็งแรง ลักษณะผิดแปลกจนบอกได้ยากว่าเป็นแมลงมุมหรือแมลงป่อง

 

“ขอแนะนำ แมลงดับแสงสุริยา ผลผลิตจากเวทมนตร์ต้องห้ามประจำตระกูล”

“ดับแสงสุริยา…?”

 

  เอนเต้มองดูสิ่งมีชีวิตน่าขยะแขยงตัวนี้ มันเดินสำรวจไปทั่วโต๊ะ ส่วนผู้สาปแช่งก็มองดูผลงานชิ้นเอกของตนเองอย่างภาคภูมิใจดวงตาเป็นประกาย

 

“แล้วไง ให้มันไปหลบอยู่ใกล้ๆเซเลนเหมือนเดิมเหรอ? ดูไม่น่าเชื่อถือยิ่งกว่าตะขาบครั้งที่แล้วอีก”

“ผิดแล้ว ของจริงคือต่อจากนี้…!”

 

  ก่อนที่เอนเต้จะทำความเข้าใจ ผู้สาปแช่งก็หยิบมีดสั้นออกมาแทงลงไปกลางตัวของแมลงทะลุไปถึงโต๊ะ เกิดเป็นเสียงน่าขยะแขยง แมลงทุรนทุรายอยู่ไม่นานก็แน่นิ่งกลายเป็นซาก และของเหลวในร่างกายของมันก็ไหลออกมาเปราะเปื้อนโต๊ะอันหรูหราของเอนเต้

 

“นี่แก! ทำอะไรน่ะ!?”

“พิธีกรรมเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น!”

 

  เอนเต้ที่โกรธอยู่แล้วก็ยิ่งโกรธเข้าไปอีก จึงได้ต่อว่าผู้สาปแช่งเมื่อเห็นสินค้าที่ทุ่มทุนไปมากมายถูกทำลายไปต่อหน้า และยังทำให้โต๊ะทำงานตัวโปรดมีตำหนิอีก แต่ผู้สาปแช่งก็ยิ่งตื่นเต้นและแสดงท่าทางโอ้อวดมากขึ้นไปอีก

 

“เอ๋…?”

 

  ของเหลวที่ไหลออกมาจากซากแมลงเริ่มเปลี่ยนเป็นเมือกสีดำเหมือนน้ำมันดิบ ทำให้เอนเต้ตกใจกับสิ่งที่เห็น ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มก้อนประหลาดสีดำก็เริ่มเคลื่อนที่ไปรอบๆเหมือนมีชีวิต

 

“นี่มันอะไร!? ไอ้เลือดแมลงที่ขยับได้นี่…?”

“หึหึ ใจเย็นๆ เพิ่งจะเริ่มเอง”

 

  สิ่งนั้นน่าหวาดกลัวจนเอนเต้ต้องถอยห่าง ผู้สาปแช่งมองดูมันอย่างกับของรักของหวง และของเหลวสีดำนั้นค่อยๆแห้งเหือดลงเหลือแต่รอยสีดำใหญ่ประมาณห้าเซนติเมตร แต่มันก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว เงาดำนั้นยังขยับไปมาอยู่บนโต๊ะ

 

“ลอกคราบออกมาได้อย่างสวยงาม เกือบจะเรียบร้อยแล้ว”

“เวทมนตร์ต้องห้าม…คือไอ้เงานี่เหรอ?”

“ถูกต้อง! ร่างจริงของแมลงก็คือเงาที่เห็นอยู่นี้ เคลื่อนไหวในความมืด แฝงตัวในเงา เข้าไปในร่างกายและกัดกินชีวิตของเหยื่อเป็นอาหาร เหยื่อที่ไร้พลังชีวิตก็จะหลับใหลไปตลอดกาล และไม่ใช่แค่นั้น!”

 

   ขณะที่พูด ผู้สาปแช่งก็ดึงมืดสั้นขึ้นมาอีกครั้งและแทงซ้ำไปที่เงาของแมลงดับแสงสุริยา เงาที่ถูกใบมีดสัมผัสก็สั้นไหวเล็กน้อยเพียงชั่วครู่ก่อนจะคืบคลานอยู่บนโต๊ะต่อไป

 

“แมลงดับแสงสุริยาก็เป็นอย่างที่เห็น ไม่สามารถถูกทำร้ายทางกายภาพได้ ไม่มีอะไรแตะต้องมันได้นอกจากพลังเวทย์บริสุทธิ์ที่มีความหนาแน่นสูง ถึงจะรู้ตัวก็ไม่มี่ทางป้องกันไม่ให้มันเข้าสู่ร่างกายได้”

 

  ตัวตนของพิษมารคือแมลงที่กักเก็บเวทมนตร์ไว้ในตัว และให้มันแพร่กระจากออกไปในรูปแบบของคำสาบสู่เป้าหมาย แต่ตัวตนของแมลงดับแสงสุริยาคือตัวเวทมนตร์เอง ไม่มีร่างกาย ไม่ถูกพบเห็น ไม่มีทางถูกทำลาย ลงมือโดยไม่ให้รู้ตัว และไม่เหลือร่องรอย เอนเต้ที่เข้าใจความร้ายกาจของมันก็ยิ้มออกมาทันที

 

“ยอดเยี่ยม! เท่านี้เซเลนก็จะได้ตายจริงๆสักที!”

“อันที่จริง มันจะแข็งแกร่งที่สุดเมื่อได้ลอกคราบในช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุด ซึ่งก็คือคืนจันทร์ดับ แต่สมัยนี้ไม่มีใครรู้วิธีรับมือกับมันแล้ว จึงไม่น่าเป็นปัญหา ที่เหลือก็แค่ให้ตัวกระตุ้นกับมัน”

“ตัวกระตุ้น?”

 

  ในตอนที่จ่ายค่าจ้างล่วงหน้าให้ผู้สาปแช่งไปในตอนนั้น ก็ได้ให้เส้นผมของเซเลนที่เหลืออยู่ไปหมดแล้ว ซึ่งมันก็น่าจะถูกใช้ไปแล้ว เอนเต้ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยังต้องการอีก

 

“เรียกว่าเครื่องสังเวยน่าจะถูกต้องกว่า แมลงดับแสงสุริยาแรกเกิดจะต้องได้ลิ้มรสชีวิตของมนุษย์ เครื่องสังเวยจะต้องเป็นมนุษย์ที่อายุยังไม่มาก เต็มเปี่ยมไปด้วยไปด้วยอารมณ์ และมีพลังเวทย์ ถึงจะทำให้มันติดใจในรสชาติจนออกล่าด้วยตัวเองได้”

 

  เงื่อนไขเหล่านั้นทำให้เอนเต้ขมวดคิ้ว ถ้าเอาเฉพาะแค่มนุษย์ที่มีพลังเวทย์ก็หาได้ยากอยู่แล้ว ยิ่งมาบอกเอาป่านนี้ ก็แทบจะไม่มีทางหาได้ทัน

 

“ทำไมไม่บอกมาตั้งแต่แรก! ตอนนี้จะไปหาคนแบบนั้นได้ยังไงกัน!”

“ไม่ต้องห่วง ฉันเลือกคนเอาไว้แล้ว”

“จริงเหรอ!? ฉลาดเหมือนกันนี่นา!”

 

   เอนเต้ดีใจได้ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปรกติ ผู้สาปแช่งที่อธิบายด้วยท่าทีโอ้อวดจนถึงตอนนี้ก็ได้หันมามองเธอด้วยแววตากระหายเลือด เหมือนงูที่กำลังจะกินเหยื่อ

 

   ไม่ใช้เรื่องยากที่เอนเต้จะทำความเข้าใจได้ว่า ในเวลานี้ ใครคือมนุษย์ที่ตรงกับเงื่อนไขทั้งหมดนั้น…

 

“เดี๋ยวสิ แก! ล้อเล่นใช้ไหม!?”

“กินได้”

 

  ผู้สาปแช่งชี้นิ้วที่เหมือนกับกิ่งไม้แห้งมาที่เอนเต้และออกคำสั่ง เพียงแค่นั้น เงาดำก็ได้ขึ้นไปอยู่บนตัวของเอนเต้และแผ่ขยายออกเหมือนผืนผ้า เข้าปกคลุมร่างกาย

 

“ใครก็ได้! ช่วยด้-…!”

 

   เสียงร้องของเอนเต้ขาดตอนทันทีที่เงาดำคืบคลานไปถึงลำคอ ใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาที แมลงดับแสงสุริยาก็คายร่างของเอนเต้ออกมา เธอทรุดตัวล้มลงหมดสติในทันที ดวงตาของเธอไร้แววตา ไม่มีบาดแผลภายนอกให้เห็น

 

  ถึงจะยังลืมตาอยู่แต่ก็ไม่ได้สติ ผู้สาปแช่งเดินไปเตะร่างของเธอเพื่อยืนยัน และถ่มน้ำลายใส่ใบหน้าของเอนเต้

 

“อืม ทั้งๆที่เคยเตือนเอาไว้แล้ว ว่าถ้าสาปแช่งผู้อื่นมากเกินไป สักวันคำสาปจะย้อนเข้าหาตัว แล้วก็ โคคุมารุ ส่งเจ้าหญิงเข้านอนด้วย”

[“หา? แล้วมาใช้ข้าเนี่ยนะ!?”]

 

  เมื่อได้รับคำสั่ง โคคุมารุก็บินลงจากไหล่ของผู้สาปแช่ง และใช้จะงอยปากรวบเส้นผมของเอนเต้มาคาบเอาไว้ จากนั้นก็เดินถอยลากเธอขึ้นไปปล่อยไว้บนเตียง ผู้สาปแช่งจัดผมของเอนเต้ให้เข้าที่เรียบร้อย และปิดตายังที่เปิดค้างอยู่ ทำให้ดูไม่ต่างกับนอนหลับตามปรกติ

 

“เท่านี้ ชีวิตของเธอก็กลายมาเป็นแหล่งพลังงานชั้นดีให้กับแมลงดับแสงสุริยาแล้ว”

 

  ผู้สาปแช่งหัวเราะและมองไปที่เอนเต้ซึ่งเป็นเหยื่อรายแรก แม้ร่างกายของเอนเต้จะยังมีลมหายใจ แต่ก็ไม่มีวันตื่นขึ้นมาได้อีก เพราะแก่นของชีวิตได้ถูกดึงออกไปแล้ว นอกเสียจากแมลงดับแสงสุริยาจะสูญสลาย ดวงวิญญาณถึงจะถูกปลดปล่อย แต่ร่างกายที่หลับใหลจนไม่ได้รับสารอาหารก็จะตายภายในไม่กี่วัน

 

  แต่เรื่องนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้สาปแช่งจะต้องใส่ใจ เพราะได้รับเงินทุนจำนวนมหาศาลมาแล้ว ดวงวิญญาณก็ได้มาแล้ว แมลงดับแสงสุริยาก็สมบูรณ์แล้ว ผู้หญิงคนนี้จึงไม่หลงเหลือประโยชน์ใดๆให้เก็บเกี่ยวอีกต่อไป

 

“พิธีกรรมใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว”

 

  ผู้สาปแช่งหันกลับไปมองแมลงดับแสงสุริยา เงาสีดำค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนักมันก็เปลี่ยนรูปร่างจนคล้ายกับหญิงสาว มันเคลื่อนไหวไปตามพื้นราวกับลื่นไถลอยู่รอบๆผู้สาปแช่งเพื่อรอคำสั่งจากเจ้านายของมัน

 

“ดีมาก ดีมาก สำเร็จออกมาได้สมบูรณ์แข็งแรงดี เอาล่ะ คำสาปที่น่ารักของฉัน ยังเหลือคนให้แกฆ่าอีก จำชื่อคนที่ฉันอยากให้มันตายเอาไว้ดีๆล่ะ”

 

   แมลงดับแสงสุริยาขยับเหมือนพยักหน้าเพื่อตอบรับคำสั่งของผู้สาปแช่ง หลังจากผู้สาปแช่งมองผลงานชิ้นเอกของตนเองจนพอใจแล้ว ก็บอกชื่อของเหยื่อให้กับมัน

 

“เจ้าชายลำดับหนึ่งแห่งอาณาจักรเฮลิฟาเต้ มิลาน เฮลิฟาเต้”

 

   เมื่อได้ยินชื่อของเหยื่อรายต่อไป แมลงดับแสงสุริยาก็เข้าไปแหวกว่ายอยู่ในเงามืด และลอดผ่านช่องหน้าต่างออกไปด้านนอก แมลงดับแสงสุริยาสามารถเคลื่อนไหวภายในเงา และย้ายตัวเองจากเงาสู่อีกเงา จึงลักลอบเข้าไปในเฮลิฟาเต้ได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัวได้

 

“หึหึ ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าหนูเฮลิฟาเต้ ฉันจะทำให้แกได้เห็นนรก!”

 

   ผู้สาปแช่งหัวเราะเสียงดัง และมองตามแมลงดับแสงสุริยาที่มุ่งหน้าไปตามคำสั่ง คนที่เธอเรียกว่าเจ้าหนู ไม่ได้หมายถึงมิลานที่เป็นเหยื่อ แต่หมายถึงผู้ที่เป็นบิดา ชวาน ต่างหาก

 

   เดิมที เฮลิฟาเต้ก็เป็นประเทศที่มีอาณาเขตกว้างขวางมาตั้งแต่แรกแล้ว และหลังจากชวานขึ้นครองราชย์ก็ปรับเปลี่ยนเป็นประเทศมหาอำนาจอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ก่อนหน้านั้นประเทศอื่นๆพยายามสู้รบเพื่อแย่งชิงตำแหน่งนี้มาเนิ่นนาน ซึ่งในช่วงเวลานั้น ผู้สาปแช่งที่มีพลังคำสาปแข็งแกร่งจึงเป็นที่ต้องการตัวอย่างมาก สายอาชีพนี้จึงถูกปฏิบัติด้วยอย่างดีจนเรียกได้ว่ามีอิทธิพลที่สุดอยู่ในโลกเบื้องหลัง

 

   แต่แล้ว ราชาหนุ่ม ชวาน ได้เสริมศักยภาพโดยรวมให้กับเฮลิฟาเต้ทั้งประเทศ ความแข็งแกร่งของกองทัพจึงเพิ่มสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ประเทศต่างๆเลือกที่จะเชื่อฟังมากกว่าต่อต้าน ไฟสงครามจึงมอดดับไปทั้งทวีป กลายมาเป็นยุคสมัยที่สงบสุข ในช่วงนี้เอง ที่อาชีพผู้ใช้คำสาปถูกมองเหมือนคนนอกรีต ไม่มีใครให้ความสนใจ ตกต่ำจนต้องทำตัวเป็นหมอยา หรือหมอดูข้างถนน

 

“เจ้าหนูที่พรากทุกอย่างไปจากฉัน ถึงคราวที่ฉันจะเอาคืนแล้ว!”

 

   สงคราม ความอดอยาก ความเกลียดชัง… ส่วนประกอบสำคัญในการกระตุ้นความแค้นของมนุษย์ที่ผู้สาปแช่งโปรดปราน ถูกราชาชวานขโมยไปจนหมด เพราะฉะนั้น ชีวิตของลูกชายอันน่าภูมิใจของเขาจะต้องถูกขโมย และแน่นอนว่าแค่นั้นยังไม่พอ

 

   การตายของเจ้าชายมิลานจะทำให้ราชินีไอบิสกับเจ้าหญิงมารีเบลเศร้าโศกเสียใจจนเกิดช่องว่างในหัวใจจนถูกแมลงกัดกินชีวิตเป็นรายต่อไป เหลือไว้เพียงราชาชวานที่ได้แต่มองครอบครัวตายไปต่อหน้าต่อตาทีละคน

 

   เหตุผลที่แมลงดับแสงสุริยาถูกสั่งห้ามไม่ให้ใช้จนเป็นเวทมนตร์ต้องห้าม เพราะเมื่อมันได้สังหารไปสักคนแล้ว แม้แต่เจ้านายอย่างผู้สาปแช่งก็ไม่สามารถหยุดได้ มันจะเข้าไปกัดกินผู้คนที่มีอารมณ์ด้านลบ เช่น โกรธ เกลียด หรืออิจฉา ต่อไปเรื่อยๆ และมันไม่ได้ทำแค่สังหารเหยื่อเท่านั้น แต่ชีวิตและพลังเวทย์ที่มันกินเข้าไปจะทำให้มันเติบโตแข็งแกร่ง ทำให้คำสาปรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่

 

  ในบันทึกประจำตระกูลที่ถูกเขียนไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อนได้บอกไว้ว่า การใช้งานสิ่งนี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนไปทั่วทั้งทวีป จนกระทั่งมังกรปรากฏตัวขึ้นและทำให้ทุกอย่างจบลง กล่าวคือ นอกจากพลังระดับเดียวกับมังกรแล้ว ไม่มีอะไรหยุดยั้งแมลงดับแสงสุริยาที่เติบโตแล้วได้

 

  ชวานที่มีจิตใจเข้มแข็งมั่นคงจะทำให้แมลงดับแสงสุริยาหลีกเลี่ยงการกัดกินชวานในช่วงแรก ซึ่งจะกลายเป็นว่า ราชาชวานถูกทิ้งไว้เพียงคนเดียวในขณะที่ผู้คนรอบตัวตายจากไปจนหมด ทั้งครอบครัวและประชาชนเฮลิฟาเต้อันเป็นที่รักของเขา

 

  เมื่อประเทศมหาอำนาจเฮลิฟาเต้ล่มสลาย ประเทศอื่นๆจะเริ่มเคลื่อนไหว วัลเบิร์ตที่รอโอกาสนี้มานานจะต้องใช้กำลังเข้ายึดเพื่อขยายอาณาเขตอย่างแน่นอน แต่แมลงดับแสงสุริยาก็จะไม่หยุดแค่เฮลิฟาเต้เท่านั้น มันจะลุกลามไปทั้งทวีปจนกลับมาสู่ยุคมืดอีกครั้ง

 

“วันที่ผู้ใช้คำสาปอย่างพวกเราจะกลับมาเป็นใหญ่ ใกล้เข้ามาแล้ว”

[“จะเอายังไง กับเซเลน?”]

“ออ เด็กสาวตัวคนเดียว เดี๋ยวก็ตายไปเองแหละ อย่างน้อยฉันก็ใจดีพอที่จะรักษาสัญญากับเจ้าหญิงหน้าโง่นี่นะ”

 

  ผู้สาปแช่งยิ้มให้กับเอนเต้ที่หลับใหลไม่ได้สติ ในเมื่อคำขอคือ “ฆ่าเซเลน” ก็จะจัดการให้สำเร็จ ส่วนความตายของเอนเต้กับชีวิตของผู้คนอีกมากมาย รวมถึงความหวาดกลัวสิ้นหวังที่จะกระจายไปทั่วทั้งทวีป ก็ถือว่าแถมให้ไปด้วย

 

   ถึงเซเลนจะมีสติปัญญาล้ำเลิศเพียงใด แต่ทางด้านร่างกายก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปสู้ใครได้ พลังเวทย์ก็ถือว่าต่ำกว่ามาตรฐาน หากไปอยู่ในใจกลางของเฮลิฟาเต้ที่กำลังล่มสลาย ก็ไม่ต่างกับติดอยู่ใต้กองหิมะถล่ม

 

 หลังจากหมดธุระกับที่แห่งนี้แล้ว ผู้สาปแช่งเก็บกล่องกับของอื่นๆกลับเข้ากระเป๋า และเดินออกจากปราสาทวัลเบิร์ตด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มจนแก้มที่เหี่ยวย่นตึงขึ้นมาด้วยรอยยิ้มนั้น

 

   พรุ่งนี้เช้า คนรับใช้จะเข้ามาพบกับร่างที่ไม่มีวันตื่นของเอนเต้ และผู้สาปแช่งก็อาจจะถูกเรียกมาสอบสวน ถ้าอย่างนั้น ก็แค่อ้างว่าเธอดูปรกติดีในตอนที่จากกันในคืนนี้ก็พอ

 

   ตามปรกติแล้ว ผู้สาปแช่งจะได้รับความไว้วางใจสูง ในฐานะหมอยาส่วนตัวของเจ้าหญิงเอนเต้ ถ้าปฏิเสธไปแค่นั้นก็จะไม่ถูกถามถึงอีก และต่อให้ตรวจสอบละเอียดแค่ไหน ก็ไม่มีทางพบร่องรอบใดๆในตัวของเอนเต้ที่จะสาวมาถึงตัวเธอได้

 

“อา วันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ มีความสุขเหลือเกิน… ไม่ได้มีความสุขขนาดนี้มานานกี่สิบปีแล้วนะ”

 

  ผู้สาปแช่งเงยหน้ามองท้องฟ้าในยามราตรี ดวงจันทร์ข้างแรมในวันนี้ขาดหายไปเสี้ยวหนึ่ง พรุ่งนี้ก็จะหายไปอีกเสี้ยวหนึ่ง และจะดับมืดไปทีละเสี้ยวในแต่ละคืนจนหมดดวง 

 

   และในคืนที่ไร้แสงจันทร์นั้นเอง แมลงดับแสงสุริยาจะช่วงชิงชีวิตของมิลาน หลังจากนั้น ทั่วทั้งเฮลิฟาเต้จะตกอยู่ในความหวาดกลัวและสับสน เหมือนหิมะเคลื่อนตัวถล่มลงมาจากยอดเขา เพื่อทำให้ทวีปนี้กลายเป็นสวรรค์สำหรับคำสาปทั้งหลาย

 

  ตอนนี้ก็แค่รออย่างใจเย็นเท่านั้น ผู้สาปแช่งจินตนาการถึงอนาคตที่รอคอย ระงับความตื่นเต้นที่รุนแรงจนแทบบ้า และเดินหายไปในความมืดพร้อมกับโคคุมารุ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 42 แมลงดับแสงสุริยา

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 42 แมลงดับแสงสุริยา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 42

แมลงดับแสงสุริยา

 

 

 

“เซเลนเนี่ยนะ เป็นเจ้าหญิงของอาร์คุยล่า!?”

 

   ผู้สาปแช่งรายงานเรื่องที่ได้ยินมาให้กับเอนเต้ระหว่างการ ‘ตรวจอาการ’ ในรอบนี้ และข่าวนี้ทำให้เอนเต้ตะโกนเสียงดังอย่างไม่เกรงใจใครทั้งที่เลยเวลาเที่ยงคืนมาแล้ว

 

“ฉันก็แปลกใจเหมือนกันแหละ ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา แต่ถ้าเป็นคนจากราชวงศ์แบบนี้ล่ะก็ เท่ากับว่ามีคุณสมบัติเป็นชายาของเจ้าชายมิลาน…”

“อย่าพูดถึงเรื่องนั้นนะ!!”

 

  เอนเต้ตะโกนอีกครั้ง ทุบโต๊ะอย่างแรงจนแจกันล้มลง น้ำสาดลงบนพื้นพรม แต่ด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านทำให้เอนเต้ไม่รับรับรู้ถึงเรื่องนั้น

 

“หึหึ น่ากลัวจังเลยน้า”

[“เอ้า กลัวแล้ว กลัวแล้ว”]

 

  ผู้สาปแช่งกับโคคุมารุที่เกาะอยู่บนไหล่ พูดด้วยน้ำเสียงเยอะเย้ย แต่เอนเต้ก็โกรธจนไม่รับรับรู้ถึงเรื่องนั้นเช่นกัน

 

“แย่แล้ว… แย่แน่ๆ…!”

 

   เอนเต้กำเส้นผมบนหัวของเธอโดยที่ไม่สนใจว่าเส้นผมจะหลุดร่วงหรือยุ่งเหยิง ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ เธอสั่งให้ใช้โคคุมารุจับตาดูเซเลนเอาไว้ และทุกครั้งที่มันกลับมา ก็มีแต่รายงานเกี่ยวกับความสำเร็จของเด็กน่ารังเกียจคนนั่นมากขึ้นทุกทีจนท้องไส้ปั่นป่วน แต่ข่าวร้ายในคราวนี้ รุนแรงจนทำให้เอนเต้รู้สึกเวียนหัวแทบเป็นลมเลยทีเดียว

 

“ขอแค่ให้ยัยเด็กนั่นไม่ใช่คนจากราชวงศ์…”

 

  ถึงเด็กสาวน่ารังเกียจอย่างเซเลนจะเป็นที่โปรดปรานของมิลานมากขนาดไหน เอนเต้ก็สามารถหาเหตุผลในการกีดกันได้จนถึงตอนนี้ ต่อให้สร้างชื่อไว้ในประวัติศาสตร์จากการเจรจากับเอลฟ์จนประสบความสำเร็จ แต่สุดท้ายแล้ว ชนชั้นสูงทั้งหลายก็ให้ความสำคัญกับความเข้มข้นของสายเลือดขุนนางมากกว่าอยู่ดี

 

  กรณีของชวานที่เป็นกษัตริย์เฮลิฟาเต้องค์ปัจจุบันต่างหาก ที่ผิดปรกติ เขารับไอบิสซึ่งเป็นสาวใช้ มาเป็นราชินี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ แต่เพราะชวานสร้างผลงานไว้มาก และอย่างน้อย ไอบิสก็เป็นคนเฮลิฟาเต้แต่กำเนิด อีกทั้งยังรับใช้ชวานมานานตั้งแต่อายุยังน้อย

 

   ส่วนเซเลน ถึงจะมีพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ แต่ก็เป็นเด็กที่เก็บมาจากข้างถนนในประเทศอาร์คุยล่าที่ด้อยพัฒนา ต่อให้มิลานกับเซเลนจะมีความรู้สึกพิเศษให้กันยังไงก็มีฐานะห่างกันเกินไป

 

  แต่ถ้าเซเลนเป็นราชวงศ์โดยตรง ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถึงจะมาจากประเทศเล็กๆก็ยังถือว่ามีความเหมาะสมมากกว่ากรณีของไอบิสมาก และเซเลนยังได้สร้างผลงานระดับประเทศ วางแผนช่วยพัฒนาชาติบ้านเมืองต่อไปอีกในอนาคต ทำให้มีแนวโน้มว่าผู้คนจะยอมรับและยกย่องในตัวเธอมากขึ้นเรื่อยๆ

 

“นี่ ผู้สาปแช่ง! ไอ้วิธี ‘ต้องห้าม’ นั่นล่ะ!? นี่มันก็ผ่านมานานแล้วนะ!”

“เตรียมการเสร็จไปเกินเก้าส่วนแล้ว เมื่อถึงคืนที่ไร้แสงจันทร์ก็จะใช้งานได้ ไม่มีปัญหา”

“แสงจันทร์…”

 

  นอกหน้าต่างมีดวงจันทร์ส่องแสงเจิดจ้าทุกครั้งที่เอนเต้หันไปมอง เธอจำได้ดีว่าเคยได้รับรายงานเรื่องที่เด็กผู้หญิงคนนั้นถูกเรียกว่า ‘เจ้าหญิงแสงจันทร์’ เมื่อได้รู้เช่นนี้ เอนเต้จึงรังเกียจดวงจันทร์ที่อยู่สูงจนต้องเงยหน้ามอง เหมือนเซเลนที่ก้มมองเธอ

 

“เกินเก้าส่วนก็ใกล้เสร็จมากพอแล้ว ใช้มันซะ!”

“ถ้าท่านอยากได้ผลลัพธ์ที่แน่นอน ก็ต้องรอให้ถึงคืนจันทร์ดับ”

“รอไม่ได้! เจ้าชายจะประกาศหมั้นกับเซเลนเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น แล้วถ้ามันเป็นพรุ่งนี้ล่ะ!?”

“…ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ มาเริ่มกันเถอะ”

 

  ข้อเรียกร้องที่เอาแต่ใจพวกนั้นทำให้ผู้สาปแช่งถอนหายใจ ยอมทำตามความต้องการของเอนเต้ เพราะเถียงกับผู้หญิงเจ้าอารมณ์คนนี้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงตอนนี้มันจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็มีพลังเหลือเฟือที่จะใช้งานได้ทันที

 

  ผู้สาปแช่งล้วงหยิบกล่องใบเล็กออกมาจากเสื้อคลุม กล่องขนาดฝ่ามือถูกเชือกมัดไว้แน่นหนา มีเสียงอะไรบางอย่างขยับอยู่ข้างใน ผู้สาปแช่งวางกล่องลงบนโต๊ะ คลายเชือกและเปิดฝาออก

 

“ยี้!?”

 

  ตัวอะไรบางอย่างคลานออกมาจากกล่อง เอนเต้ส่งเสียงแสดงความรังเกียจออกมาชัดเจน มองทีแรกอาจจะคิดว่าเป็นแมลงมุม แต่ถ้าดูดีๆก็จะเห็นส่วนที่แตกต่าง ทั่วร่างเป็นสีขาว มีขนปกคลุม ส่วนหัวปูดโปน เขี้ยวขนาดใหญ่ดูแข็งแรง ลักษณะผิดแปลกจนบอกได้ยากว่าเป็นแมลงมุมหรือแมลงป่อง

 

“ขอแนะนำ แมลงดับแสงสุริยา ผลผลิตจากเวทมนตร์ต้องห้ามประจำตระกูล”

“ดับแสงสุริยา…?”

 

  เอนเต้มองดูสิ่งมีชีวิตน่าขยะแขยงตัวนี้ มันเดินสำรวจไปทั่วโต๊ะ ส่วนผู้สาปแช่งก็มองดูผลงานชิ้นเอกของตนเองอย่างภาคภูมิใจดวงตาเป็นประกาย

 

“แล้วไง ให้มันไปหลบอยู่ใกล้ๆเซเลนเหมือนเดิมเหรอ? ดูไม่น่าเชื่อถือยิ่งกว่าตะขาบครั้งที่แล้วอีก”

“ผิดแล้ว ของจริงคือต่อจากนี้…!”

 

  ก่อนที่เอนเต้จะทำความเข้าใจ ผู้สาปแช่งก็หยิบมีดสั้นออกมาแทงลงไปกลางตัวของแมลงทะลุไปถึงโต๊ะ เกิดเป็นเสียงน่าขยะแขยง แมลงทุรนทุรายอยู่ไม่นานก็แน่นิ่งกลายเป็นซาก และของเหลวในร่างกายของมันก็ไหลออกมาเปราะเปื้อนโต๊ะอันหรูหราของเอนเต้

 

“นี่แก! ทำอะไรน่ะ!?”

“พิธีกรรมเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น!”

 

  เอนเต้ที่โกรธอยู่แล้วก็ยิ่งโกรธเข้าไปอีก จึงได้ต่อว่าผู้สาปแช่งเมื่อเห็นสินค้าที่ทุ่มทุนไปมากมายถูกทำลายไปต่อหน้า และยังทำให้โต๊ะทำงานตัวโปรดมีตำหนิอีก แต่ผู้สาปแช่งก็ยิ่งตื่นเต้นและแสดงท่าทางโอ้อวดมากขึ้นไปอีก

 

“เอ๋…?”

 

  ของเหลวที่ไหลออกมาจากซากแมลงเริ่มเปลี่ยนเป็นเมือกสีดำเหมือนน้ำมันดิบ ทำให้เอนเต้ตกใจกับสิ่งที่เห็น ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มก้อนประหลาดสีดำก็เริ่มเคลื่อนที่ไปรอบๆเหมือนมีชีวิต

 

“นี่มันอะไร!? ไอ้เลือดแมลงที่ขยับได้นี่…?”

“หึหึ ใจเย็นๆ เพิ่งจะเริ่มเอง”

 

  สิ่งนั้นน่าหวาดกลัวจนเอนเต้ต้องถอยห่าง ผู้สาปแช่งมองดูมันอย่างกับของรักของหวง และของเหลวสีดำนั้นค่อยๆแห้งเหือดลงเหลือแต่รอยสีดำใหญ่ประมาณห้าเซนติเมตร แต่มันก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว เงาดำนั้นยังขยับไปมาอยู่บนโต๊ะ

 

“ลอกคราบออกมาได้อย่างสวยงาม เกือบจะเรียบร้อยแล้ว”

“เวทมนตร์ต้องห้าม…คือไอ้เงานี่เหรอ?”

“ถูกต้อง! ร่างจริงของแมลงก็คือเงาที่เห็นอยู่นี้ เคลื่อนไหวในความมืด แฝงตัวในเงา เข้าไปในร่างกายและกัดกินชีวิตของเหยื่อเป็นอาหาร เหยื่อที่ไร้พลังชีวิตก็จะหลับใหลไปตลอดกาล และไม่ใช่แค่นั้น!”

 

   ขณะที่พูด ผู้สาปแช่งก็ดึงมืดสั้นขึ้นมาอีกครั้งและแทงซ้ำไปที่เงาของแมลงดับแสงสุริยา เงาที่ถูกใบมีดสัมผัสก็สั้นไหวเล็กน้อยเพียงชั่วครู่ก่อนจะคืบคลานอยู่บนโต๊ะต่อไป

 

“แมลงดับแสงสุริยาก็เป็นอย่างที่เห็น ไม่สามารถถูกทำร้ายทางกายภาพได้ ไม่มีอะไรแตะต้องมันได้นอกจากพลังเวทย์บริสุทธิ์ที่มีความหนาแน่นสูง ถึงจะรู้ตัวก็ไม่มี่ทางป้องกันไม่ให้มันเข้าสู่ร่างกายได้”

 

  ตัวตนของพิษมารคือแมลงที่กักเก็บเวทมนตร์ไว้ในตัว และให้มันแพร่กระจากออกไปในรูปแบบของคำสาบสู่เป้าหมาย แต่ตัวตนของแมลงดับแสงสุริยาคือตัวเวทมนตร์เอง ไม่มีร่างกาย ไม่ถูกพบเห็น ไม่มีทางถูกทำลาย ลงมือโดยไม่ให้รู้ตัว และไม่เหลือร่องรอย เอนเต้ที่เข้าใจความร้ายกาจของมันก็ยิ้มออกมาทันที

 

“ยอดเยี่ยม! เท่านี้เซเลนก็จะได้ตายจริงๆสักที!”

“อันที่จริง มันจะแข็งแกร่งที่สุดเมื่อได้ลอกคราบในช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุด ซึ่งก็คือคืนจันทร์ดับ แต่สมัยนี้ไม่มีใครรู้วิธีรับมือกับมันแล้ว จึงไม่น่าเป็นปัญหา ที่เหลือก็แค่ให้ตัวกระตุ้นกับมัน”

“ตัวกระตุ้น?”

 

  ในตอนที่จ่ายค่าจ้างล่วงหน้าให้ผู้สาปแช่งไปในตอนนั้น ก็ได้ให้เส้นผมของเซเลนที่เหลืออยู่ไปหมดแล้ว ซึ่งมันก็น่าจะถูกใช้ไปแล้ว เอนเต้ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยังต้องการอีก

 

“เรียกว่าเครื่องสังเวยน่าจะถูกต้องกว่า แมลงดับแสงสุริยาแรกเกิดจะต้องได้ลิ้มรสชีวิตของมนุษย์ เครื่องสังเวยจะต้องเป็นมนุษย์ที่อายุยังไม่มาก เต็มเปี่ยมไปด้วยไปด้วยอารมณ์ และมีพลังเวทย์ ถึงจะทำให้มันติดใจในรสชาติจนออกล่าด้วยตัวเองได้”

 

  เงื่อนไขเหล่านั้นทำให้เอนเต้ขมวดคิ้ว ถ้าเอาเฉพาะแค่มนุษย์ที่มีพลังเวทย์ก็หาได้ยากอยู่แล้ว ยิ่งมาบอกเอาป่านนี้ ก็แทบจะไม่มีทางหาได้ทัน

 

“ทำไมไม่บอกมาตั้งแต่แรก! ตอนนี้จะไปหาคนแบบนั้นได้ยังไงกัน!”

“ไม่ต้องห่วง ฉันเลือกคนเอาไว้แล้ว”

“จริงเหรอ!? ฉลาดเหมือนกันนี่นา!”

 

   เอนเต้ดีใจได้ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปรกติ ผู้สาปแช่งที่อธิบายด้วยท่าทีโอ้อวดจนถึงตอนนี้ก็ได้หันมามองเธอด้วยแววตากระหายเลือด เหมือนงูที่กำลังจะกินเหยื่อ

 

   ไม่ใช้เรื่องยากที่เอนเต้จะทำความเข้าใจได้ว่า ในเวลานี้ ใครคือมนุษย์ที่ตรงกับเงื่อนไขทั้งหมดนั้น…

 

“เดี๋ยวสิ แก! ล้อเล่นใช้ไหม!?”

“กินได้”

 

  ผู้สาปแช่งชี้นิ้วที่เหมือนกับกิ่งไม้แห้งมาที่เอนเต้และออกคำสั่ง เพียงแค่นั้น เงาดำก็ได้ขึ้นไปอยู่บนตัวของเอนเต้และแผ่ขยายออกเหมือนผืนผ้า เข้าปกคลุมร่างกาย

 

“ใครก็ได้! ช่วยด้-…!”

 

   เสียงร้องของเอนเต้ขาดตอนทันทีที่เงาดำคืบคลานไปถึงลำคอ ใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาที แมลงดับแสงสุริยาก็คายร่างของเอนเต้ออกมา เธอทรุดตัวล้มลงหมดสติในทันที ดวงตาของเธอไร้แววตา ไม่มีบาดแผลภายนอกให้เห็น

 

  ถึงจะยังลืมตาอยู่แต่ก็ไม่ได้สติ ผู้สาปแช่งเดินไปเตะร่างของเธอเพื่อยืนยัน และถ่มน้ำลายใส่ใบหน้าของเอนเต้

 

“อืม ทั้งๆที่เคยเตือนเอาไว้แล้ว ว่าถ้าสาปแช่งผู้อื่นมากเกินไป สักวันคำสาปจะย้อนเข้าหาตัว แล้วก็ โคคุมารุ ส่งเจ้าหญิงเข้านอนด้วย”

[“หา? แล้วมาใช้ข้าเนี่ยนะ!?”]

 

  เมื่อได้รับคำสั่ง โคคุมารุก็บินลงจากไหล่ของผู้สาปแช่ง และใช้จะงอยปากรวบเส้นผมของเอนเต้มาคาบเอาไว้ จากนั้นก็เดินถอยลากเธอขึ้นไปปล่อยไว้บนเตียง ผู้สาปแช่งจัดผมของเอนเต้ให้เข้าที่เรียบร้อย และปิดตายังที่เปิดค้างอยู่ ทำให้ดูไม่ต่างกับนอนหลับตามปรกติ

 

“เท่านี้ ชีวิตของเธอก็กลายมาเป็นแหล่งพลังงานชั้นดีให้กับแมลงดับแสงสุริยาแล้ว”

 

  ผู้สาปแช่งหัวเราะและมองไปที่เอนเต้ซึ่งเป็นเหยื่อรายแรก แม้ร่างกายของเอนเต้จะยังมีลมหายใจ แต่ก็ไม่มีวันตื่นขึ้นมาได้อีก เพราะแก่นของชีวิตได้ถูกดึงออกไปแล้ว นอกเสียจากแมลงดับแสงสุริยาจะสูญสลาย ดวงวิญญาณถึงจะถูกปลดปล่อย แต่ร่างกายที่หลับใหลจนไม่ได้รับสารอาหารก็จะตายภายในไม่กี่วัน

 

  แต่เรื่องนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้สาปแช่งจะต้องใส่ใจ เพราะได้รับเงินทุนจำนวนมหาศาลมาแล้ว ดวงวิญญาณก็ได้มาแล้ว แมลงดับแสงสุริยาก็สมบูรณ์แล้ว ผู้หญิงคนนี้จึงไม่หลงเหลือประโยชน์ใดๆให้เก็บเกี่ยวอีกต่อไป

 

“พิธีกรรมใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว”

 

  ผู้สาปแช่งหันกลับไปมองแมลงดับแสงสุริยา เงาสีดำค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนักมันก็เปลี่ยนรูปร่างจนคล้ายกับหญิงสาว มันเคลื่อนไหวไปตามพื้นราวกับลื่นไถลอยู่รอบๆผู้สาปแช่งเพื่อรอคำสั่งจากเจ้านายของมัน

 

“ดีมาก ดีมาก สำเร็จออกมาได้สมบูรณ์แข็งแรงดี เอาล่ะ คำสาปที่น่ารักของฉัน ยังเหลือคนให้แกฆ่าอีก จำชื่อคนที่ฉันอยากให้มันตายเอาไว้ดีๆล่ะ”

 

   แมลงดับแสงสุริยาขยับเหมือนพยักหน้าเพื่อตอบรับคำสั่งของผู้สาปแช่ง หลังจากผู้สาปแช่งมองผลงานชิ้นเอกของตนเองจนพอใจแล้ว ก็บอกชื่อของเหยื่อให้กับมัน

 

“เจ้าชายลำดับหนึ่งแห่งอาณาจักรเฮลิฟาเต้ มิลาน เฮลิฟาเต้”

 

   เมื่อได้ยินชื่อของเหยื่อรายต่อไป แมลงดับแสงสุริยาก็เข้าไปแหวกว่ายอยู่ในเงามืด และลอดผ่านช่องหน้าต่างออกไปด้านนอก แมลงดับแสงสุริยาสามารถเคลื่อนไหวภายในเงา และย้ายตัวเองจากเงาสู่อีกเงา จึงลักลอบเข้าไปในเฮลิฟาเต้ได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัวได้

 

“หึหึ ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าหนูเฮลิฟาเต้ ฉันจะทำให้แกได้เห็นนรก!”

 

   ผู้สาปแช่งหัวเราะเสียงดัง และมองตามแมลงดับแสงสุริยาที่มุ่งหน้าไปตามคำสั่ง คนที่เธอเรียกว่าเจ้าหนู ไม่ได้หมายถึงมิลานที่เป็นเหยื่อ แต่หมายถึงผู้ที่เป็นบิดา ชวาน ต่างหาก

 

   เดิมที เฮลิฟาเต้ก็เป็นประเทศที่มีอาณาเขตกว้างขวางมาตั้งแต่แรกแล้ว และหลังจากชวานขึ้นครองราชย์ก็ปรับเปลี่ยนเป็นประเทศมหาอำนาจอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ก่อนหน้านั้นประเทศอื่นๆพยายามสู้รบเพื่อแย่งชิงตำแหน่งนี้มาเนิ่นนาน ซึ่งในช่วงเวลานั้น ผู้สาปแช่งที่มีพลังคำสาปแข็งแกร่งจึงเป็นที่ต้องการตัวอย่างมาก สายอาชีพนี้จึงถูกปฏิบัติด้วยอย่างดีจนเรียกได้ว่ามีอิทธิพลที่สุดอยู่ในโลกเบื้องหลัง

 

   แต่แล้ว ราชาหนุ่ม ชวาน ได้เสริมศักยภาพโดยรวมให้กับเฮลิฟาเต้ทั้งประเทศ ความแข็งแกร่งของกองทัพจึงเพิ่มสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ประเทศต่างๆเลือกที่จะเชื่อฟังมากกว่าต่อต้าน ไฟสงครามจึงมอดดับไปทั้งทวีป กลายมาเป็นยุคสมัยที่สงบสุข ในช่วงนี้เอง ที่อาชีพผู้ใช้คำสาปถูกมองเหมือนคนนอกรีต ไม่มีใครให้ความสนใจ ตกต่ำจนต้องทำตัวเป็นหมอยา หรือหมอดูข้างถนน

 

“เจ้าหนูที่พรากทุกอย่างไปจากฉัน ถึงคราวที่ฉันจะเอาคืนแล้ว!”

 

   สงคราม ความอดอยาก ความเกลียดชัง… ส่วนประกอบสำคัญในการกระตุ้นความแค้นของมนุษย์ที่ผู้สาปแช่งโปรดปราน ถูกราชาชวานขโมยไปจนหมด เพราะฉะนั้น ชีวิตของลูกชายอันน่าภูมิใจของเขาจะต้องถูกขโมย และแน่นอนว่าแค่นั้นยังไม่พอ

 

   การตายของเจ้าชายมิลานจะทำให้ราชินีไอบิสกับเจ้าหญิงมารีเบลเศร้าโศกเสียใจจนเกิดช่องว่างในหัวใจจนถูกแมลงกัดกินชีวิตเป็นรายต่อไป เหลือไว้เพียงราชาชวานที่ได้แต่มองครอบครัวตายไปต่อหน้าต่อตาทีละคน

 

   เหตุผลที่แมลงดับแสงสุริยาถูกสั่งห้ามไม่ให้ใช้จนเป็นเวทมนตร์ต้องห้าม เพราะเมื่อมันได้สังหารไปสักคนแล้ว แม้แต่เจ้านายอย่างผู้สาปแช่งก็ไม่สามารถหยุดได้ มันจะเข้าไปกัดกินผู้คนที่มีอารมณ์ด้านลบ เช่น โกรธ เกลียด หรืออิจฉา ต่อไปเรื่อยๆ และมันไม่ได้ทำแค่สังหารเหยื่อเท่านั้น แต่ชีวิตและพลังเวทย์ที่มันกินเข้าไปจะทำให้มันเติบโตแข็งแกร่ง ทำให้คำสาปรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่

 

  ในบันทึกประจำตระกูลที่ถูกเขียนไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อนได้บอกไว้ว่า การใช้งานสิ่งนี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนไปทั่วทั้งทวีป จนกระทั่งมังกรปรากฏตัวขึ้นและทำให้ทุกอย่างจบลง กล่าวคือ นอกจากพลังระดับเดียวกับมังกรแล้ว ไม่มีอะไรหยุดยั้งแมลงดับแสงสุริยาที่เติบโตแล้วได้

 

  ชวานที่มีจิตใจเข้มแข็งมั่นคงจะทำให้แมลงดับแสงสุริยาหลีกเลี่ยงการกัดกินชวานในช่วงแรก ซึ่งจะกลายเป็นว่า ราชาชวานถูกทิ้งไว้เพียงคนเดียวในขณะที่ผู้คนรอบตัวตายจากไปจนหมด ทั้งครอบครัวและประชาชนเฮลิฟาเต้อันเป็นที่รักของเขา

 

  เมื่อประเทศมหาอำนาจเฮลิฟาเต้ล่มสลาย ประเทศอื่นๆจะเริ่มเคลื่อนไหว วัลเบิร์ตที่รอโอกาสนี้มานานจะต้องใช้กำลังเข้ายึดเพื่อขยายอาณาเขตอย่างแน่นอน แต่แมลงดับแสงสุริยาก็จะไม่หยุดแค่เฮลิฟาเต้เท่านั้น มันจะลุกลามไปทั้งทวีปจนกลับมาสู่ยุคมืดอีกครั้ง

 

“วันที่ผู้ใช้คำสาปอย่างพวกเราจะกลับมาเป็นใหญ่ ใกล้เข้ามาแล้ว”

[“จะเอายังไง กับเซเลน?”]

“ออ เด็กสาวตัวคนเดียว เดี๋ยวก็ตายไปเองแหละ อย่างน้อยฉันก็ใจดีพอที่จะรักษาสัญญากับเจ้าหญิงหน้าโง่นี่นะ”

 

  ผู้สาปแช่งยิ้มให้กับเอนเต้ที่หลับใหลไม่ได้สติ ในเมื่อคำขอคือ “ฆ่าเซเลน” ก็จะจัดการให้สำเร็จ ส่วนความตายของเอนเต้กับชีวิตของผู้คนอีกมากมาย รวมถึงความหวาดกลัวสิ้นหวังที่จะกระจายไปทั่วทั้งทวีป ก็ถือว่าแถมให้ไปด้วย

 

   ถึงเซเลนจะมีสติปัญญาล้ำเลิศเพียงใด แต่ทางด้านร่างกายก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปสู้ใครได้ พลังเวทย์ก็ถือว่าต่ำกว่ามาตรฐาน หากไปอยู่ในใจกลางของเฮลิฟาเต้ที่กำลังล่มสลาย ก็ไม่ต่างกับติดอยู่ใต้กองหิมะถล่ม

 

 หลังจากหมดธุระกับที่แห่งนี้แล้ว ผู้สาปแช่งเก็บกล่องกับของอื่นๆกลับเข้ากระเป๋า และเดินออกจากปราสาทวัลเบิร์ตด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มจนแก้มที่เหี่ยวย่นตึงขึ้นมาด้วยรอยยิ้มนั้น

 

   พรุ่งนี้เช้า คนรับใช้จะเข้ามาพบกับร่างที่ไม่มีวันตื่นของเอนเต้ และผู้สาปแช่งก็อาจจะถูกเรียกมาสอบสวน ถ้าอย่างนั้น ก็แค่อ้างว่าเธอดูปรกติดีในตอนที่จากกันในคืนนี้ก็พอ

 

   ตามปรกติแล้ว ผู้สาปแช่งจะได้รับความไว้วางใจสูง ในฐานะหมอยาส่วนตัวของเจ้าหญิงเอนเต้ ถ้าปฏิเสธไปแค่นั้นก็จะไม่ถูกถามถึงอีก และต่อให้ตรวจสอบละเอียดแค่ไหน ก็ไม่มีทางพบร่องรอบใดๆในตัวของเอนเต้ที่จะสาวมาถึงตัวเธอได้

 

“อา วันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ มีความสุขเหลือเกิน… ไม่ได้มีความสุขขนาดนี้มานานกี่สิบปีแล้วนะ”

 

  ผู้สาปแช่งเงยหน้ามองท้องฟ้าในยามราตรี ดวงจันทร์ข้างแรมในวันนี้ขาดหายไปเสี้ยวหนึ่ง พรุ่งนี้ก็จะหายไปอีกเสี้ยวหนึ่ง และจะดับมืดไปทีละเสี้ยวในแต่ละคืนจนหมดดวง 

 

   และในคืนที่ไร้แสงจันทร์นั้นเอง แมลงดับแสงสุริยาจะช่วงชิงชีวิตของมิลาน หลังจากนั้น ทั่วทั้งเฮลิฟาเต้จะตกอยู่ในความหวาดกลัวและสับสน เหมือนหิมะเคลื่อนตัวถล่มลงมาจากยอดเขา เพื่อทำให้ทวีปนี้กลายเป็นสวรรค์สำหรับคำสาปทั้งหลาย

 

  ตอนนี้ก็แค่รออย่างใจเย็นเท่านั้น ผู้สาปแช่งจินตนาการถึงอนาคตที่รอคอย ระงับความตื่นเต้นที่รุนแรงจนแทบบ้า และเดินหายไปในความมืดพร้อมกับโคคุมารุ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+