[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 55

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 55 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 55

สัมผัสอันอบอุ่น

 

 

   เจ้าหญิงแสงจันทร์ เซเลน ยังมีชีวิตอยู่ แม้ขั้นตอนกับเหตุผลที่คิดไว้จะผิดกับความเป็นจริงอยู่แทบทุกประการ แต่อย่างน้อยคำตอบนี้ก็ถูกต้อง ชินนิมีชีวิตชีวามากขึ้นตั้งแต่ได้รู้ว่าศัตรูคู่แค้นของเธอยังคงเป็นสิ่งที่จับต้องได้ แค่ได้รู้เพียงเท่านี้ก็ทำให้ชินนิพร้อมจะเดินหน้าต่อไป

 

   เมื่อหมดธุระแล้วก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่สุสานนักบุญเซเลนอีก ชินนิไม่ได้ขึ้นรถม้ากลับไปเฮลิฟาลเต้ แต่ขึ้นรถม้าสำหรับเอลฟ์อีกคันที่มีปลายทางคือป่าสีขาว เพราะทุ่งดอกลิลลี่ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานนักบุญเซเลน อยู่กึ่งกลางระหว่างเฮลิฟาลเต้กับป่าสีขาว เท่ากับว่าเธอมาได้ครึ่งทางแล้ว

 

   ในช่วงปีที่ผ่านมา แรกเริ่มมีแค่เอลฟ์ที่เดินทางมาแสวงบุญ ต่อมามนุษย์ก็เดินทางไปยังป่าสีขาวมากขึ้น รวมถึงเอลฟ์ทั่วไปก็เดินทางมาที่ดินแดนของมนุษย์มากขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้ชินนิสามารถขึ้นรถม้าสำหรับเอลฟ์ไปยังป่าสีขาวได้โดยไม่เป็นจุดเด่น

 

   พื้นที่ป่าสีขาวทั้งหมดเป็นอาณาเขตของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ ป่าที่มีพลังเวทย์ปกคลุมหนาแน่น มนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังเวทย์อยู่ในตัวจะถูกพลังเวทย์ของป่าเข้าแทรกแซงร่างกายจนล้มป่วยและอาจจะถึงตายเมื่ออาศัยอยู่ในป่าเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงหลังๆนี้ ทำให้มนุษย์ที่ไม่มีพลังเวทย์เข้าไปอาศัยอยู่ร่วมกับเอลฟ์ในหมู่บ้านได้โดยไม่เป็นอันตราย

 

   ชุดสวมใส่สำหรับป้องกัน ทำจากหนังของสกิงค์ สัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์ซึ่งเป็นสัตว์ในท้องถิ่นของป่าสีขาว แต่ก็ประสบความสำเร็จในการทดลองขยายพันธุ์ในดินแดนของมนุษย์ จากโครงการที่ร่วมมือกันระหว่างเจ้าชายมิลานแห่งเฮลิฟาลเต้และเอลฟ์ระดับผู้นำอีกหลายคน

 

  เนื่องจากสกิงค์มีถิ่นกำเนิดในป่าสีขาว ผิวหนังของพวกมันจึงมีความต้านทานพลังเวทย์ อีกทั้งพวกมันยังเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งหมายความว่าพวกมันเติบโตผ่านการลอกคราบ ผิวหนังที่สกิงค์ลอกออกมายังคงมีคุณสมบัติเดิม จึงทำการแปรรูปเป็นเสื้อคลุมสำหรับสวมใส่ไว้ด้านนอกเสื้อผ้า

 

   ทั้งรูปร่างและการใช้งานจะคล้ายกับเสื้อกันฝนแบบโปร่งแสง เมื่อสวมทับไว้ชั้นนอกสุดของเครื่องแต่งกาย มันก็จะทำให้คนที่ไม่มีพลังเวทย์สามารถทนต่อพลังเวทย์จากภายนอกได้ระดับหนึ่ง

 

   จากนั้น จึงได้ส่งช่างตีเหล็กมืออาชีพเข้าไปอาศัยอยู่ตามหมู่บ้านของเอลฟ์ เอลฟ์จึงได้รับเทคโนโลยีการแปรรูปโลหะซึ่งไม่เคยมีมาก่อน และด้วยเหตุผลบางอย่าง หัวหน้าหมู่บ้านเอลฟ์แห่งหนึ่งดูเหมือนจะสนับสนุนการผลิตหม้อโลหะมากเป็นพิเศษ

 

   สำหรับเผ่าพันธุ์เอลฟ์ พวกเขามีความใกล้ชิดกับเวทมนตร์มาอย่างช้านาน ได้รับสืบทอดความรู้ในการควบคุมพลังเวทย์เพื่อนำมาใช้งานได้หลากหลาย จึงมีตัวแทนที่เรียกกันว่าผู้ฝึกสอนเวทมนตร์ ถูกส่งตัวมายังสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้ นำโดยเอลฟ์หญิงที่ชื่อซานา มีตำแหน่งเป็นอาจารย์พิเศษ ซึ่งชินนิไม่เคยได้พบกับพวกเขาโดยตรงเลยสักครั้ง

 

   ชินนิในตอนนี้คิดได้แต่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น คือการไปหาเจ้าหญิงแสงจันทร์ผู้ที่รอคอยการกลับคืนสู่ดินแดนของมนุษย์อยู่ที่ยอดเขามังกร และลงมือสังหารคนคนนั้นด้วยตนเอง

 

“จากตรงนี้ไปก็ถอยไม่ได้แล้ว…”

 

   ผ่านมาหลายวันตั้งแต่ชินนิตัดสินใจมาที่ป่าสีขาว ก่อนที่จะเข้าไปในอาณาเขตของป่าสีขาว ชินนิกับโคคุมารุหลบหลีกสายตาของกลุ่มที่เดินทางมาด้วยกันและปลีกตัวออกมาได้สำเร็จ

 

[“แน่ใจแล้วนะ ว่าจะไปจริงๆ? มนุษย์ที่ไปถึงยอดเขามังกรได้ ยังไม่เคยมีเลยสักคน”]

“พวกนั่นมันมนุษย์ธรรมดาไม่ใช่เหรอ? ถ้าเป็นมนุษย์ที่จะสังหารเจ้าหญิงแสงจันทร์ผู้ยิ่งใหญ่ลงได้สำเร็จ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

[“นี่ไม่ใช้เวลามาพูดจายอกย้อนนะ เด็กตัวกะเปี๊ยกคนเดียวไม่มีทางไปถึงแน่”]

 

  ชินนิเป็นมนุษย์ที่เกิดมาพร้อมกับพลังเวทย์ จึงไม่จำเป็นต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันพิเศษ แต่ถึงอย่างไร เธอก็เป็นเด็กผู้หญิงตัวคนเดียวที่จะเข้าไปกลางป่า และยิ่งเป็นป่าสีขาวที่มีสัตว์ป่าดุร้ายหลายชนิดที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก ในสมัยที่นักผจญภัยจากวัลเบิร์ตบุกรุกเข้ามา ยังต้องเป็นการรวมกลุ่มของผู้แข็งแกร่งหลายคน

 

“ไม่ได้ไปคนเดียวสักหน่อย แกก็ไปด้วยนี่นา”

[“หา!? ทำไมข้าต้องตามไปด้วยล่ะ!?”]

“ไม่เห็นจะแปลก น่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องไปด้วยกัน”

[“อย่ามาพูดบ้าๆนะ! ข้าไม่ยอมเดือดร้อนเพราะเรื่องของแกหรอก! ไม่เข้าไปในไอ้ป่าลึกลับนี่แน่!”]

“ไม่มีทางอื่นให้เลือกหรอก จำเอาไว้ว่าถ้าฉันตายขึ้นมา แกจะเดือดร้อน”

 

   เมื่อพูดจบ ชินนิก็ยิ้มอย่างชั่วร้าย เพราะสำหรับโคคุมารุ ชินนิเป็นเหล่งพลังงานเพียงเหล่งเดียวเท่านั้น หากไม่มีชินนิ เขาจะค่อยๆสูญเสียพละกำลัง ความรู้ ความสามารถ และอัตตา กลายเป็นอีกาโง่ๆธรรมดา เมื่อหมดสิ้นความเป็นตัวของตัวเองที่มีอยู่ในตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับตาย 

 

[“หนอย… ไอ้เด็กเวร! ชีวิตของตัวเองยังเอามาเป็นตัวประกัน!”]

“ถ้าพูดรู้เรื่องแล้วก็ไปกันเถอะ เสบียงที่ได้มาจากร้านรอบๆสุสานมีจำกัด ต้องเร่งมือหน่อย”

 

  ความจริงควรจะกลับไปที่เฮลิฟาลเต้ก่อนสักครั้งเพื่อเตรียมพร้อมให้มากกว่านี้… แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าการขอลาหยุดอีกครั้งจะได้รับการอนุมัติ

 

   เนื่องจากชินนิใช้เหตุผลในการลาครั้งนี้ว่า ‘อยากไปขอบคุณเซเลนโดยตรงที่สุสาน เพราะซาบซึ้งที่ได้รับทุนจากมูลนิธินักบุญเซเลน’ เป็นข้ออ้างที่ไม่สามารถใช้ซ้ำได้

 

   ดังนั้น ของที่ชินนิพกติดตัวจึงมีเพียงอาหารสำหรับไม่กี่วันที่หามาได้จากรอบๆสุสานนักบุญเซเลน และยาต่างๆ กับมีดที่เก็บไว้ในกระเป๋าสะพายสำหรับเด็กผู้หญิงที่ติดตัวมาตั้งแต่แรก ด้วยเสบียงเพียงเท่านี้ การเดินทางจะยากยิ่งกว่านรก

 

[“ประมาทเกินไป น่าจะใช่งานพวกนักผจญภัย…”]

“จะเอาอะไรไปจ้าง? แล้วยังเหตุผลอีก ถ้ามีเด็กอายุสิบสองมาบอกว่า ‘ช่วยไปฆ่าเจ้าหญิงแสงจันทร์ที่ยอดเขามังกรด้วยกันหน่อย’ คนที่ได้ฟังเขาจะคิดยังไง?” 

[“…อย่างมาก แกก็ถูกมองเป็นเด็กบ้าๆบอๆคนหนึ่งเท่านั้นแหละน่า”]

“เอาเถอะ อย่าเสียเวลาอีกเลย ฟังให้ดีนะ โคคุมารุ ฉันจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อที่จะไม่ตาย ไม่เผชิญหน้ากับอันตราย พวกเราจะไปให้ถึงยอดเขามังกรด้วยเวลาที่เร็วที่สุด”

[“โธ่เว้ย! เอางั้นก็ได้! ไปก็ไป! เป็นไงเป็นกัน! อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด!”]

 

  โคคุมารุตะโกนเสียงดังและบินขึ้นไปบนท้องฟ้า และชินนิก็เดินเข้าไปในอาณาเขตของป่าสีขาว

 

   ในแง่ของระยะทาง มันมีความเป็นไปได้ที่จะไปให้ถึงยอดเขามังกรด้วยการเดินเท้าจากชายป่าของป่าสีขาว แต่ก็ยังมีอีกหลายเหตุผลที่ทำให้การเดินทางผ่านป่าสีขาวเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

 

   สาเหตุที่ใหญ่ที่สุด คือพลังเวทย์หนาแน่นที่ปกคลุมป่าสีขาว แม้ในตอนนี้ชินนิกับโคคุมารุจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้ แต่การใช้พลังเวทย์ที่อยู่ในตัวของสิ่งมีชีวิตเพื่อต้านทานนั้นยังมีข้อจำกัด มันจะลดลงและหมดไปได้เมื่อถูกใช้งาน ทางเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ คือต้องไปถึงที่หมายให้เร็วที่สุด

 

   รองลงมาคือ การขาดข้อมูลภายในพื้นที่ของป่าสีขาว แม้แต่ป่าทึบธรรมดาก็ยังทำให้มนุษย์หลงทางได้อย่างง่ายๆ และที่แห่งนี้คือป่าสีขาวที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์

 

  สำหรับเผ่าพันธุ์เอลฟ์จะเป็นข้อยกเว้น แต่พวกเขาบูชามังกรในฐานะตัวแทนของเทพเจ้า และไม่คิดจะเข้าใกล้ยอดเขามังกรซึ่งเป็นดินแดนของเทพเจ้า ดังนั้นจึงไม่สามารถคาดหวังความร่วมมือจากพวกเขาได้ ถึงอย่างนั้น――

 

“โคคุมารุ! รายงานล่ะ?”

[“ข้างหน้ามีแต่หนองน้ำ ผ่านไม่ได้ ต้องอ้อมไปทางขวา”]

“ดี เดี๋ยวอีกระยะหนึ่งค่อยออกไปดูให้อีกทีนะ”

[“ไม่น่ารับปากว่าจะช่วยเลย… บินวนจนเหนื่อยแล้วเนี่ย…”]

 

  โคคุมารุบินลงมาเกาะอยู่บนไหล่ของชินนิขณะบ่นออกมาให้ได้ยิน นี่คือเหตุผลหลักที่ชินนิต้องการให้โคคุมารุติดตามมาด้วย เพื่อใช้ในการตรวจสอบเส้นทางของแต่ละพื้นที่ ด้วยการมองจากมุมสูง โคคุมารุจึงเป็นระบบนำทางที่มีประโยชน์อย่างมาก

 

   เพราะโคคุมารุเป็นสัตว์ปีก จึงสามารถมองเห็นเส้นทางได้จากบนท้องฟ้า และเลือกสันทางที่ผ่านได้ง่ายที่สุด อีกทั้งเมื่อเห็นสัตว์ป่าที่ดูแล้วน่าจะเป็นอันตรายก็จะแจ้งเตือนเพื่อให้หลีกเลี่ยง

 

   ด้วยเหตุนี้ ชินนิจึงเดินทางภายในป่าสีขาวได้อย่างราบรื่น โดยที่มนุษย์นักผจญภัยส่วนใหญ่จะหลงทาง ถูกสัตว์ป่าจู่โจม และถูกเอลฟ์ขับไล่ จนต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ในป่านี้หลายคน

 

“โคคุมารุ หาเส้นทางต่อไปให้ที”

[“ล้อเล่นใช่ไหม!? นี่มันจะรอบที่ห้าสิบได้แล้วมั้ง!? แกนี่มันใจดำกับนกยิ่งกว่ายายแก่อีก…”]

 

  ผู้ที่ทำงานหนักที่สุดจึงเป็นโคคุมารุ เขาต้องออกบินหลบหลีกกิ่งไม้ต้นไม้ขึ้นไปบนที่สูงเพื่อบินวนเพื่อเก็บข้อมูลอยู่บนยอดไม้ ก่อนจะร่อนลงมารายงานให้กับชินนิ… และเขายังต้องกระทำการซ้ำๆเช่นนี้ต่อเนื่องกันหลายสิบครั้ง

 

   เมื่อนานมาแล้ว เขาเคยถูกใช้ให้บินไป-กลับระหว่างวัลเบิร์ตและเฮลิฟาลเต้ แต่ครั้งนั้นเป็นการบินเป็นเส้นตรงไร้สิ่งกีดขวาง จึงเหนื่อยล้าไม่ถึงครึ่งของการบินขึ้น-ลงพร้อมกับใช้ประสาทสัมผัสอย่างเต็มที่หลายๆครั้ง และแต่ละครั้งก็ยังพักไม่ทันได้หายเหนื่อย

 

 ―แต่คนที่กำลังลำบากไม่ได้มีแต่โคคุมารุเท่านั้น

 

“แฮ่ก… แฮ่ก…”

[“เฮ้ย ไหวหรือเปล่านั่น? หายใจหอมมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”]

“ไม่เป็นไร… ถ้ารู้แบบนี้น่าจะฝึกร่างกายเอาไว้บ้างก็ดี”

 

   นับจากวันที่เข้ามาในอาณาเขตของป่าสีขาวก็ผ่านมาแล้วหนึ่งสัปดาห์ ชินนิก้าวเดินอย่างยากลำบาก ปาดเหงื่อที่ท่วมใบหน้าเป็นระยะ แม้เป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดและง่ายที่สุดในการไปยอดเขามังกร แต่ชินนิก็ไม่ได้มีร่างกายแข็งแรง หากไม่นับหิ่งห้อยเงาที่เป็นเวทมนตร์เฉพาะตัวเของเธอ ก็จะเป็นแค่เด็กสาวบอบบางธรรมดา

 

   ยิ่งไปกว่านั้น การเดินทางครั้งนี้ สิ้นเปลืองพลังงานยิ่งกว่าที่คิดไว้ เพราะในตอนกลางวันต้องออกเดินทางให้ได้ระยะไกลที่สุด และในตอนกลางคืนก็ต้องใช้หิ่งห้อยเงาปกคลุมร่างกายเพื่อพรางตัวในความมืดพร้อมกับโคคุมารุ เพื่อป้องกันสัตว์ป่าที่ออกหากินตอนกลางคืน ซึ่งก็หมายความว่า พลังกายจะถูกใช้ในตอนกลางวัน และพลังเวทย์จะถูกเผาผลาญในตอนกลางคืน อีกทั้งเสบียงที่เตรียมมาก็ใกล้หมดเต็มที จึงต้องจำกัดจำนวนมื้ออาหารต่อวัน

 

   ชินนิกำลังถูกสภาพแวดล้อมเฉพาะตัวของป่าสีขาวไล้ต้อนให้จนมุมอย่างช้าๆ แต่เธอก็ไม่คิดจะหยุด ทั้งหมดก็เพื่อ เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของอาจารย์ กับความยึดติดที่มีให้กับเจ้าหญิงแสงจันทร์

 

   ณ สุดขอบของป่าสีขาวในส่วนที่ลึกที่สุด แม้แต่เอลฟ์ยังไม่เคยเข้ามาถึง แต่ชินนิได้ฝืนทั้งร่างกายและจิตใจจนถึงที่สุดและมาถึงที่ตรงนี้ได้สำเร็จ และก็เป็นขีดจำกัดของเธอเช่นเดียวกัน ลมหายใจติดขัด ร่างกายหนักอึ้ง จนในที่สุด ชินนิก็ล้มลงไปกับพื้น

 

[“เฮ้ย! ชินนิ! อย่ามาตายเอาตอนนี้! ถ้าแกตายแล้วใครจะเลี้ยงข้า!?”]

“โธ่เว้ย… อีกแค่นิดเดียว…”

 

   เธอรวบรวมพลังทั้งหมดเพื่อลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แต่ก็ทำได้เพียงพลิกตัวเล็กน้อย ไม่สามารถขยับไปได้มากกว่านี้อีก

 

[“หยุดเดี๋ยวนี้! ไอ้โง่! อย่าเพิ่งตาย! คิดจะทิ้งข้าไว้ตัวเดียวหรือไง!”]

“เฮอะ…”

 

   ชินนิหมอบคุดคู้อยู่บนพื้น ส่งเสียงเย้ยหยันให้กับสภาพของตนเองที่ตอนนี้คงดูน่าสมเพชเป็นที่สุด

 

“ไม่ยอมตายเด็ดขาด… ไม่ยอมตายก่อนคนคนนั้นหรอก”

 

   ความน่าสมเพชของเธอถูกแทนที่ด้วยความโกรธ มันเป็นความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อศัตรูที่ทำลายสิ่งสำคัญของเธอ ซึ่งคนคนนั้นอาศัยอยู่ที่ยอดเขามังกรข้างหน้านี้

 

  เธอยอมบุกฝ่าเข้ามาในดินแดนลี้ลับในป่าสีขาวเพื่อฆ่าคนคนนั้น แต่คนที่กำลังจะตายกลับเป็นตัวเธอเอง กลายเป็นสารอาหารให้ผืนป่าโดยไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครสนใจ และไม่มีใครแก้ไขได้

 

“ไหวไหม?”

 

   แต่แล้วก็มีหญิงสาวผมยาวสีขาวเข้ามาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้า ก้มมองลงมา ทำให้เผลอคิดไปว่านางฟ้าบนสวรรค์มารับตัวเธอแล้ว แต่ก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น

  หากมีใครสักคนมารับตัวคนอย่างเธอ จะต้องเป็นปีศาจจากนรกต่างหาก

 

   สติเลือนรางกับดวงตาพร่ามัวของชินนิทำให้เธอเข้าใจว่าเป็นภาพหลอนที่ว่ากันว่าคนใกล้ตายจะมองเห็นกัน และเมื่อหญิงสาวสีขาวเอื้อมมือมาลูบแก้มของเธอ ก็ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นจากผู้อื่นที่ไม่ได้สัมผัสมานาน

 

“(เซเลน อาร์คุยล่า!)”

 

   ในที่สุดก็ได้เจอเสียที ในที่สุดโอกาสก็มาถึง เพื่อที่จะฆ่าคนคนนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ชินนิก็ทำได้แค่ประคองสติเอาไว้ แค่ขยับตัวยังทำไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงวิธีโจมตีด้วยซ้ำ น่าโมโหเหลือเกิน

 

“แก… ต้องฆ่า… ให้ได้…!”

 

   และแล้ว สติของชินนิก็จมดิ่งสู่ห้วงลึก

 

 

   ◆ ◇◆ ◇ ◆ ◇ ◆ ◇ ◆ ◇ ◆

 

 

“ฉัน… รอดแล้ว?”

 

   ไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหน ชินนิลืมตาตื่นขึ้นมาและรวบรวมสติ ในตอนนี้เธออยู่ในถ้ำ แม้เธอจะอยู่ห่างจากปากถ้ำแต่กลับมีแสงส่องสว่างออกมาจากทุกที่ จึงมองเห็นได้ชัด

   สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือ เธอเจ็บปวดไปทั่วร่างและล้มลง แต่ตอนนี้ร่างกายรู้สึกเบาสบาย คาดว่าคงหมดสติไปอย่างน้อยก็หนึ่งวันเต็มๆ

 

“หน้าอก…”

“หืม?”

 

   ตั้งแต่ได้สติ ชินนิก็มัวแต่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองจนไม่ทันได้รู้ตัว เธอได้ยินคำพูดแปลกๆกับรู้สึกถึงความอ่อนนุ่มและความอบอุ่นตั้งแต่ช่วงหน้าอกของเธอลงไป เธอจึงได้ก้มลงไปมอง

 

“อะไรเนี่ย!? เซเลนเหรอ!?”

“…โอ๊ะ?”

 

   ชินนิตะโกนออกมาสุดเสียง เธอไม่ได้นอนอยู่บนพื้นถ้ำ แต่เป็นที่นอนทำจากขนนกอย่างดี และที่น่าตกใจที่สุดก็ตอนที่ก้มลงไปแล้วมองเห็นเส้นผมยาวสลวยสีขาวบริสุทธิ์ส่องประกายคล้ายแสงจันทร์

 

  ไม่ต้องรอให้ใครมาบอกก็รู้ว่านี่คือผู้หญิงที่เธอเห็นก่อนหมดสติ เซเลน

 

  เซเลนนอนกอดชินนิเอาไว้แน่นจนใบหน้าของเธอแนบชิดกับหน้าอกของชินนิราวกับหมอนข้าง การที่ชินนิตะโดนเสียงดังกับสะดุ้งอย่างแรงก็ทำให้เซเลนลืมตาตื่น

 

“เซเลน อาร์คุยล่า… เหรอ?”

“ใช่”

 

  เสียงที่ตอบกลับมาของเซเลนฟังดูเหมือนยังสะลึมสะลือ อาจจะยังไม่ตื่นดี ก่อนหมดสติเธอจำได้ว่าถูกช่วยไว้โดยเจ้าหญิงแสงจันทร์ผู้อ่อนโยน แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเข้ามากอดกัน

   หรือก็คือ ชินนิกำลังสับสนว่า เซเลนเข้ามานอนกอดเธอด้วยเหตุผลอะไร

 

“(หรือว่า… เพื่อให้ร่างกายได้รับความอบอุ่น?)”

 

   เพราะการอดอาหารทำให้ชินนิค่อนข้างซูบผอม และอากาศหนาวเย็นทำให้ร่างกายผอมบางของเธอสูญเสียความร้อนได้ง่าย การให้ความอบอุ่นด้วยร่างกายจึงช่วยเยียวยาได้มาก ถึงอย่างนั้น การนอนกอดคนแปลกหน้าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมก็ไม่มีใครคิดจะทำกัน

 

“(นี่สินะ จิตใจของคนที่ยอมเสียสละเพื่อผู้อื่น)”

 

  ถึงจะฟังดูดีแต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเซเลนให้ชินนิใช้เตียงของเธอโดยที่ได้มารู้ตัวที่หลังว่า ไม่เหลือที่นอนสำหรับตนเองแล้ว ดังนั้นจึงหาทางออกโดย ‘ใช้เป็นข้ออ้างเข้าไปนอนด้วยกันซะเลย! ยะฮู้ว!’ จึงได้ลงเอยในสภาพนี้

 

   สำหรับเซเลน จะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กผู้หญิงนอนเตียงเดียวกันจะนอนกอดกัน และเมื่อกอดกัน ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ใบหน้าอยู่ตรงกับหน้าอก ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยแม้แต่น้อย…

 

  และเนื่องจากชินนิยังอยู่ในวัยเจริญเติบโต หน้าอกจึงยังไม่ปรากฏออกมามากนัก แต่เนินเพียงเล็กน้อยนั้นก็ยังถูกตรวจพบโดยเซเลนจนได้

 

“ดีขึ้นแล้ว?”

“อ-อือ… ขอบคุณที่ช่วยดูแล”

 

  ดูเหมือนอีกฝ่ายยังไม่รู้ว่าเป้าหมายของชินนิคืออะไร แต่เธอก็ยังต้องการเวลาฟื้นตัวก่อนจะมีพลังเพียงพอสำหรับลงมือสังหารเซเลน จนกว่าจะถึงตอนนั้น เธอต้องหลอกใช้ความใจดีของเจ้าหญิงแสงจันทร์ไปก่อน เพื่อให้ได้ได้รับความไว้วางใจเข้าสักวัน นี่คือแผนสำหรับตอนนี้

 

“ถ้างั้น ไปกัน”

“จะพาไปไหน…?”

“อาบน้ำ”

 

   เซเลนลงมืออย่าเร่งรีบ ไม่ยอมเสียเวลา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 55

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 55 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 55

สัมผัสอันอบอุ่น

 

 

   เจ้าหญิงแสงจันทร์ เซเลน ยังมีชีวิตอยู่ แม้ขั้นตอนกับเหตุผลที่คิดไว้จะผิดกับความเป็นจริงอยู่แทบทุกประการ แต่อย่างน้อยคำตอบนี้ก็ถูกต้อง ชินนิมีชีวิตชีวามากขึ้นตั้งแต่ได้รู้ว่าศัตรูคู่แค้นของเธอยังคงเป็นสิ่งที่จับต้องได้ แค่ได้รู้เพียงเท่านี้ก็ทำให้ชินนิพร้อมจะเดินหน้าต่อไป

 

   เมื่อหมดธุระแล้วก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่สุสานนักบุญเซเลนอีก ชินนิไม่ได้ขึ้นรถม้ากลับไปเฮลิฟาลเต้ แต่ขึ้นรถม้าสำหรับเอลฟ์อีกคันที่มีปลายทางคือป่าสีขาว เพราะทุ่งดอกลิลลี่ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานนักบุญเซเลน อยู่กึ่งกลางระหว่างเฮลิฟาลเต้กับป่าสีขาว เท่ากับว่าเธอมาได้ครึ่งทางแล้ว

 

   ในช่วงปีที่ผ่านมา แรกเริ่มมีแค่เอลฟ์ที่เดินทางมาแสวงบุญ ต่อมามนุษย์ก็เดินทางไปยังป่าสีขาวมากขึ้น รวมถึงเอลฟ์ทั่วไปก็เดินทางมาที่ดินแดนของมนุษย์มากขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้ชินนิสามารถขึ้นรถม้าสำหรับเอลฟ์ไปยังป่าสีขาวได้โดยไม่เป็นจุดเด่น

 

   พื้นที่ป่าสีขาวทั้งหมดเป็นอาณาเขตของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ ป่าที่มีพลังเวทย์ปกคลุมหนาแน่น มนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังเวทย์อยู่ในตัวจะถูกพลังเวทย์ของป่าเข้าแทรกแซงร่างกายจนล้มป่วยและอาจจะถึงตายเมื่ออาศัยอยู่ในป่าเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงหลังๆนี้ ทำให้มนุษย์ที่ไม่มีพลังเวทย์เข้าไปอาศัยอยู่ร่วมกับเอลฟ์ในหมู่บ้านได้โดยไม่เป็นอันตราย

 

   ชุดสวมใส่สำหรับป้องกัน ทำจากหนังของสกิงค์ สัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์ซึ่งเป็นสัตว์ในท้องถิ่นของป่าสีขาว แต่ก็ประสบความสำเร็จในการทดลองขยายพันธุ์ในดินแดนของมนุษย์ จากโครงการที่ร่วมมือกันระหว่างเจ้าชายมิลานแห่งเฮลิฟาลเต้และเอลฟ์ระดับผู้นำอีกหลายคน

 

  เนื่องจากสกิงค์มีถิ่นกำเนิดในป่าสีขาว ผิวหนังของพวกมันจึงมีความต้านทานพลังเวทย์ อีกทั้งพวกมันยังเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งหมายความว่าพวกมันเติบโตผ่านการลอกคราบ ผิวหนังที่สกิงค์ลอกออกมายังคงมีคุณสมบัติเดิม จึงทำการแปรรูปเป็นเสื้อคลุมสำหรับสวมใส่ไว้ด้านนอกเสื้อผ้า

 

   ทั้งรูปร่างและการใช้งานจะคล้ายกับเสื้อกันฝนแบบโปร่งแสง เมื่อสวมทับไว้ชั้นนอกสุดของเครื่องแต่งกาย มันก็จะทำให้คนที่ไม่มีพลังเวทย์สามารถทนต่อพลังเวทย์จากภายนอกได้ระดับหนึ่ง

 

   จากนั้น จึงได้ส่งช่างตีเหล็กมืออาชีพเข้าไปอาศัยอยู่ตามหมู่บ้านของเอลฟ์ เอลฟ์จึงได้รับเทคโนโลยีการแปรรูปโลหะซึ่งไม่เคยมีมาก่อน และด้วยเหตุผลบางอย่าง หัวหน้าหมู่บ้านเอลฟ์แห่งหนึ่งดูเหมือนจะสนับสนุนการผลิตหม้อโลหะมากเป็นพิเศษ

 

   สำหรับเผ่าพันธุ์เอลฟ์ พวกเขามีความใกล้ชิดกับเวทมนตร์มาอย่างช้านาน ได้รับสืบทอดความรู้ในการควบคุมพลังเวทย์เพื่อนำมาใช้งานได้หลากหลาย จึงมีตัวแทนที่เรียกกันว่าผู้ฝึกสอนเวทมนตร์ ถูกส่งตัวมายังสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้ นำโดยเอลฟ์หญิงที่ชื่อซานา มีตำแหน่งเป็นอาจารย์พิเศษ ซึ่งชินนิไม่เคยได้พบกับพวกเขาโดยตรงเลยสักครั้ง

 

   ชินนิในตอนนี้คิดได้แต่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น คือการไปหาเจ้าหญิงแสงจันทร์ผู้ที่รอคอยการกลับคืนสู่ดินแดนของมนุษย์อยู่ที่ยอดเขามังกร และลงมือสังหารคนคนนั้นด้วยตนเอง

 

“จากตรงนี้ไปก็ถอยไม่ได้แล้ว…”

 

   ผ่านมาหลายวันตั้งแต่ชินนิตัดสินใจมาที่ป่าสีขาว ก่อนที่จะเข้าไปในอาณาเขตของป่าสีขาว ชินนิกับโคคุมารุหลบหลีกสายตาของกลุ่มที่เดินทางมาด้วยกันและปลีกตัวออกมาได้สำเร็จ

 

[“แน่ใจแล้วนะ ว่าจะไปจริงๆ? มนุษย์ที่ไปถึงยอดเขามังกรได้ ยังไม่เคยมีเลยสักคน”]

“พวกนั่นมันมนุษย์ธรรมดาไม่ใช่เหรอ? ถ้าเป็นมนุษย์ที่จะสังหารเจ้าหญิงแสงจันทร์ผู้ยิ่งใหญ่ลงได้สำเร็จ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

[“นี่ไม่ใช้เวลามาพูดจายอกย้อนนะ เด็กตัวกะเปี๊ยกคนเดียวไม่มีทางไปถึงแน่”]

 

  ชินนิเป็นมนุษย์ที่เกิดมาพร้อมกับพลังเวทย์ จึงไม่จำเป็นต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันพิเศษ แต่ถึงอย่างไร เธอก็เป็นเด็กผู้หญิงตัวคนเดียวที่จะเข้าไปกลางป่า และยิ่งเป็นป่าสีขาวที่มีสัตว์ป่าดุร้ายหลายชนิดที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก ในสมัยที่นักผจญภัยจากวัลเบิร์ตบุกรุกเข้ามา ยังต้องเป็นการรวมกลุ่มของผู้แข็งแกร่งหลายคน

 

“ไม่ได้ไปคนเดียวสักหน่อย แกก็ไปด้วยนี่นา”

[“หา!? ทำไมข้าต้องตามไปด้วยล่ะ!?”]

“ไม่เห็นจะแปลก น่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องไปด้วยกัน”

[“อย่ามาพูดบ้าๆนะ! ข้าไม่ยอมเดือดร้อนเพราะเรื่องของแกหรอก! ไม่เข้าไปในไอ้ป่าลึกลับนี่แน่!”]

“ไม่มีทางอื่นให้เลือกหรอก จำเอาไว้ว่าถ้าฉันตายขึ้นมา แกจะเดือดร้อน”

 

   เมื่อพูดจบ ชินนิก็ยิ้มอย่างชั่วร้าย เพราะสำหรับโคคุมารุ ชินนิเป็นเหล่งพลังงานเพียงเหล่งเดียวเท่านั้น หากไม่มีชินนิ เขาจะค่อยๆสูญเสียพละกำลัง ความรู้ ความสามารถ และอัตตา กลายเป็นอีกาโง่ๆธรรมดา เมื่อหมดสิ้นความเป็นตัวของตัวเองที่มีอยู่ในตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับตาย 

 

[“หนอย… ไอ้เด็กเวร! ชีวิตของตัวเองยังเอามาเป็นตัวประกัน!”]

“ถ้าพูดรู้เรื่องแล้วก็ไปกันเถอะ เสบียงที่ได้มาจากร้านรอบๆสุสานมีจำกัด ต้องเร่งมือหน่อย”

 

  ความจริงควรจะกลับไปที่เฮลิฟาลเต้ก่อนสักครั้งเพื่อเตรียมพร้อมให้มากกว่านี้… แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าการขอลาหยุดอีกครั้งจะได้รับการอนุมัติ

 

   เนื่องจากชินนิใช้เหตุผลในการลาครั้งนี้ว่า ‘อยากไปขอบคุณเซเลนโดยตรงที่สุสาน เพราะซาบซึ้งที่ได้รับทุนจากมูลนิธินักบุญเซเลน’ เป็นข้ออ้างที่ไม่สามารถใช้ซ้ำได้

 

   ดังนั้น ของที่ชินนิพกติดตัวจึงมีเพียงอาหารสำหรับไม่กี่วันที่หามาได้จากรอบๆสุสานนักบุญเซเลน และยาต่างๆ กับมีดที่เก็บไว้ในกระเป๋าสะพายสำหรับเด็กผู้หญิงที่ติดตัวมาตั้งแต่แรก ด้วยเสบียงเพียงเท่านี้ การเดินทางจะยากยิ่งกว่านรก

 

[“ประมาทเกินไป น่าจะใช่งานพวกนักผจญภัย…”]

“จะเอาอะไรไปจ้าง? แล้วยังเหตุผลอีก ถ้ามีเด็กอายุสิบสองมาบอกว่า ‘ช่วยไปฆ่าเจ้าหญิงแสงจันทร์ที่ยอดเขามังกรด้วยกันหน่อย’ คนที่ได้ฟังเขาจะคิดยังไง?” 

[“…อย่างมาก แกก็ถูกมองเป็นเด็กบ้าๆบอๆคนหนึ่งเท่านั้นแหละน่า”]

“เอาเถอะ อย่าเสียเวลาอีกเลย ฟังให้ดีนะ โคคุมารุ ฉันจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อที่จะไม่ตาย ไม่เผชิญหน้ากับอันตราย พวกเราจะไปให้ถึงยอดเขามังกรด้วยเวลาที่เร็วที่สุด”

[“โธ่เว้ย! เอางั้นก็ได้! ไปก็ไป! เป็นไงเป็นกัน! อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด!”]

 

  โคคุมารุตะโกนเสียงดังและบินขึ้นไปบนท้องฟ้า และชินนิก็เดินเข้าไปในอาณาเขตของป่าสีขาว

 

   ในแง่ของระยะทาง มันมีความเป็นไปได้ที่จะไปให้ถึงยอดเขามังกรด้วยการเดินเท้าจากชายป่าของป่าสีขาว แต่ก็ยังมีอีกหลายเหตุผลที่ทำให้การเดินทางผ่านป่าสีขาวเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

 

   สาเหตุที่ใหญ่ที่สุด คือพลังเวทย์หนาแน่นที่ปกคลุมป่าสีขาว แม้ในตอนนี้ชินนิกับโคคุมารุจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้ แต่การใช้พลังเวทย์ที่อยู่ในตัวของสิ่งมีชีวิตเพื่อต้านทานนั้นยังมีข้อจำกัด มันจะลดลงและหมดไปได้เมื่อถูกใช้งาน ทางเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ คือต้องไปถึงที่หมายให้เร็วที่สุด

 

   รองลงมาคือ การขาดข้อมูลภายในพื้นที่ของป่าสีขาว แม้แต่ป่าทึบธรรมดาก็ยังทำให้มนุษย์หลงทางได้อย่างง่ายๆ และที่แห่งนี้คือป่าสีขาวที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์

 

  สำหรับเผ่าพันธุ์เอลฟ์จะเป็นข้อยกเว้น แต่พวกเขาบูชามังกรในฐานะตัวแทนของเทพเจ้า และไม่คิดจะเข้าใกล้ยอดเขามังกรซึ่งเป็นดินแดนของเทพเจ้า ดังนั้นจึงไม่สามารถคาดหวังความร่วมมือจากพวกเขาได้ ถึงอย่างนั้น――

 

“โคคุมารุ! รายงานล่ะ?”

[“ข้างหน้ามีแต่หนองน้ำ ผ่านไม่ได้ ต้องอ้อมไปทางขวา”]

“ดี เดี๋ยวอีกระยะหนึ่งค่อยออกไปดูให้อีกทีนะ”

[“ไม่น่ารับปากว่าจะช่วยเลย… บินวนจนเหนื่อยแล้วเนี่ย…”]

 

  โคคุมารุบินลงมาเกาะอยู่บนไหล่ของชินนิขณะบ่นออกมาให้ได้ยิน นี่คือเหตุผลหลักที่ชินนิต้องการให้โคคุมารุติดตามมาด้วย เพื่อใช้ในการตรวจสอบเส้นทางของแต่ละพื้นที่ ด้วยการมองจากมุมสูง โคคุมารุจึงเป็นระบบนำทางที่มีประโยชน์อย่างมาก

 

   เพราะโคคุมารุเป็นสัตว์ปีก จึงสามารถมองเห็นเส้นทางได้จากบนท้องฟ้า และเลือกสันทางที่ผ่านได้ง่ายที่สุด อีกทั้งเมื่อเห็นสัตว์ป่าที่ดูแล้วน่าจะเป็นอันตรายก็จะแจ้งเตือนเพื่อให้หลีกเลี่ยง

 

   ด้วยเหตุนี้ ชินนิจึงเดินทางภายในป่าสีขาวได้อย่างราบรื่น โดยที่มนุษย์นักผจญภัยส่วนใหญ่จะหลงทาง ถูกสัตว์ป่าจู่โจม และถูกเอลฟ์ขับไล่ จนต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ในป่านี้หลายคน

 

“โคคุมารุ หาเส้นทางต่อไปให้ที”

[“ล้อเล่นใช่ไหม!? นี่มันจะรอบที่ห้าสิบได้แล้วมั้ง!? แกนี่มันใจดำกับนกยิ่งกว่ายายแก่อีก…”]

 

  ผู้ที่ทำงานหนักที่สุดจึงเป็นโคคุมารุ เขาต้องออกบินหลบหลีกกิ่งไม้ต้นไม้ขึ้นไปบนที่สูงเพื่อบินวนเพื่อเก็บข้อมูลอยู่บนยอดไม้ ก่อนจะร่อนลงมารายงานให้กับชินนิ… และเขายังต้องกระทำการซ้ำๆเช่นนี้ต่อเนื่องกันหลายสิบครั้ง

 

   เมื่อนานมาแล้ว เขาเคยถูกใช้ให้บินไป-กลับระหว่างวัลเบิร์ตและเฮลิฟาลเต้ แต่ครั้งนั้นเป็นการบินเป็นเส้นตรงไร้สิ่งกีดขวาง จึงเหนื่อยล้าไม่ถึงครึ่งของการบินขึ้น-ลงพร้อมกับใช้ประสาทสัมผัสอย่างเต็มที่หลายๆครั้ง และแต่ละครั้งก็ยังพักไม่ทันได้หายเหนื่อย

 

 ―แต่คนที่กำลังลำบากไม่ได้มีแต่โคคุมารุเท่านั้น

 

“แฮ่ก… แฮ่ก…”

[“เฮ้ย ไหวหรือเปล่านั่น? หายใจหอมมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”]

“ไม่เป็นไร… ถ้ารู้แบบนี้น่าจะฝึกร่างกายเอาไว้บ้างก็ดี”

 

   นับจากวันที่เข้ามาในอาณาเขตของป่าสีขาวก็ผ่านมาแล้วหนึ่งสัปดาห์ ชินนิก้าวเดินอย่างยากลำบาก ปาดเหงื่อที่ท่วมใบหน้าเป็นระยะ แม้เป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดและง่ายที่สุดในการไปยอดเขามังกร แต่ชินนิก็ไม่ได้มีร่างกายแข็งแรง หากไม่นับหิ่งห้อยเงาที่เป็นเวทมนตร์เฉพาะตัวเของเธอ ก็จะเป็นแค่เด็กสาวบอบบางธรรมดา

 

   ยิ่งไปกว่านั้น การเดินทางครั้งนี้ สิ้นเปลืองพลังงานยิ่งกว่าที่คิดไว้ เพราะในตอนกลางวันต้องออกเดินทางให้ได้ระยะไกลที่สุด และในตอนกลางคืนก็ต้องใช้หิ่งห้อยเงาปกคลุมร่างกายเพื่อพรางตัวในความมืดพร้อมกับโคคุมารุ เพื่อป้องกันสัตว์ป่าที่ออกหากินตอนกลางคืน ซึ่งก็หมายความว่า พลังกายจะถูกใช้ในตอนกลางวัน และพลังเวทย์จะถูกเผาผลาญในตอนกลางคืน อีกทั้งเสบียงที่เตรียมมาก็ใกล้หมดเต็มที จึงต้องจำกัดจำนวนมื้ออาหารต่อวัน

 

   ชินนิกำลังถูกสภาพแวดล้อมเฉพาะตัวของป่าสีขาวไล้ต้อนให้จนมุมอย่างช้าๆ แต่เธอก็ไม่คิดจะหยุด ทั้งหมดก็เพื่อ เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของอาจารย์ กับความยึดติดที่มีให้กับเจ้าหญิงแสงจันทร์

 

   ณ สุดขอบของป่าสีขาวในส่วนที่ลึกที่สุด แม้แต่เอลฟ์ยังไม่เคยเข้ามาถึง แต่ชินนิได้ฝืนทั้งร่างกายและจิตใจจนถึงที่สุดและมาถึงที่ตรงนี้ได้สำเร็จ และก็เป็นขีดจำกัดของเธอเช่นเดียวกัน ลมหายใจติดขัด ร่างกายหนักอึ้ง จนในที่สุด ชินนิก็ล้มลงไปกับพื้น

 

[“เฮ้ย! ชินนิ! อย่ามาตายเอาตอนนี้! ถ้าแกตายแล้วใครจะเลี้ยงข้า!?”]

“โธ่เว้ย… อีกแค่นิดเดียว…”

 

   เธอรวบรวมพลังทั้งหมดเพื่อลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แต่ก็ทำได้เพียงพลิกตัวเล็กน้อย ไม่สามารถขยับไปได้มากกว่านี้อีก

 

[“หยุดเดี๋ยวนี้! ไอ้โง่! อย่าเพิ่งตาย! คิดจะทิ้งข้าไว้ตัวเดียวหรือไง!”]

“เฮอะ…”

 

   ชินนิหมอบคุดคู้อยู่บนพื้น ส่งเสียงเย้ยหยันให้กับสภาพของตนเองที่ตอนนี้คงดูน่าสมเพชเป็นที่สุด

 

“ไม่ยอมตายเด็ดขาด… ไม่ยอมตายก่อนคนคนนั้นหรอก”

 

   ความน่าสมเพชของเธอถูกแทนที่ด้วยความโกรธ มันเป็นความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อศัตรูที่ทำลายสิ่งสำคัญของเธอ ซึ่งคนคนนั้นอาศัยอยู่ที่ยอดเขามังกรข้างหน้านี้

 

  เธอยอมบุกฝ่าเข้ามาในดินแดนลี้ลับในป่าสีขาวเพื่อฆ่าคนคนนั้น แต่คนที่กำลังจะตายกลับเป็นตัวเธอเอง กลายเป็นสารอาหารให้ผืนป่าโดยไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครสนใจ และไม่มีใครแก้ไขได้

 

“ไหวไหม?”

 

   แต่แล้วก็มีหญิงสาวผมยาวสีขาวเข้ามาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้า ก้มมองลงมา ทำให้เผลอคิดไปว่านางฟ้าบนสวรรค์มารับตัวเธอแล้ว แต่ก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น

  หากมีใครสักคนมารับตัวคนอย่างเธอ จะต้องเป็นปีศาจจากนรกต่างหาก

 

   สติเลือนรางกับดวงตาพร่ามัวของชินนิทำให้เธอเข้าใจว่าเป็นภาพหลอนที่ว่ากันว่าคนใกล้ตายจะมองเห็นกัน และเมื่อหญิงสาวสีขาวเอื้อมมือมาลูบแก้มของเธอ ก็ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นจากผู้อื่นที่ไม่ได้สัมผัสมานาน

 

“(เซเลน อาร์คุยล่า!)”

 

   ในที่สุดก็ได้เจอเสียที ในที่สุดโอกาสก็มาถึง เพื่อที่จะฆ่าคนคนนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ชินนิก็ทำได้แค่ประคองสติเอาไว้ แค่ขยับตัวยังทำไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงวิธีโจมตีด้วยซ้ำ น่าโมโหเหลือเกิน

 

“แก… ต้องฆ่า… ให้ได้…!”

 

   และแล้ว สติของชินนิก็จมดิ่งสู่ห้วงลึก

 

 

   ◆ ◇◆ ◇ ◆ ◇ ◆ ◇ ◆ ◇ ◆

 

 

“ฉัน… รอดแล้ว?”

 

   ไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหน ชินนิลืมตาตื่นขึ้นมาและรวบรวมสติ ในตอนนี้เธออยู่ในถ้ำ แม้เธอจะอยู่ห่างจากปากถ้ำแต่กลับมีแสงส่องสว่างออกมาจากทุกที่ จึงมองเห็นได้ชัด

   สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือ เธอเจ็บปวดไปทั่วร่างและล้มลง แต่ตอนนี้ร่างกายรู้สึกเบาสบาย คาดว่าคงหมดสติไปอย่างน้อยก็หนึ่งวันเต็มๆ

 

“หน้าอก…”

“หืม?”

 

   ตั้งแต่ได้สติ ชินนิก็มัวแต่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองจนไม่ทันได้รู้ตัว เธอได้ยินคำพูดแปลกๆกับรู้สึกถึงความอ่อนนุ่มและความอบอุ่นตั้งแต่ช่วงหน้าอกของเธอลงไป เธอจึงได้ก้มลงไปมอง

 

“อะไรเนี่ย!? เซเลนเหรอ!?”

“…โอ๊ะ?”

 

   ชินนิตะโกนออกมาสุดเสียง เธอไม่ได้นอนอยู่บนพื้นถ้ำ แต่เป็นที่นอนทำจากขนนกอย่างดี และที่น่าตกใจที่สุดก็ตอนที่ก้มลงไปแล้วมองเห็นเส้นผมยาวสลวยสีขาวบริสุทธิ์ส่องประกายคล้ายแสงจันทร์

 

  ไม่ต้องรอให้ใครมาบอกก็รู้ว่านี่คือผู้หญิงที่เธอเห็นก่อนหมดสติ เซเลน

 

  เซเลนนอนกอดชินนิเอาไว้แน่นจนใบหน้าของเธอแนบชิดกับหน้าอกของชินนิราวกับหมอนข้าง การที่ชินนิตะโดนเสียงดังกับสะดุ้งอย่างแรงก็ทำให้เซเลนลืมตาตื่น

 

“เซเลน อาร์คุยล่า… เหรอ?”

“ใช่”

 

  เสียงที่ตอบกลับมาของเซเลนฟังดูเหมือนยังสะลึมสะลือ อาจจะยังไม่ตื่นดี ก่อนหมดสติเธอจำได้ว่าถูกช่วยไว้โดยเจ้าหญิงแสงจันทร์ผู้อ่อนโยน แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเข้ามากอดกัน

   หรือก็คือ ชินนิกำลังสับสนว่า เซเลนเข้ามานอนกอดเธอด้วยเหตุผลอะไร

 

“(หรือว่า… เพื่อให้ร่างกายได้รับความอบอุ่น?)”

 

   เพราะการอดอาหารทำให้ชินนิค่อนข้างซูบผอม และอากาศหนาวเย็นทำให้ร่างกายผอมบางของเธอสูญเสียความร้อนได้ง่าย การให้ความอบอุ่นด้วยร่างกายจึงช่วยเยียวยาได้มาก ถึงอย่างนั้น การนอนกอดคนแปลกหน้าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมก็ไม่มีใครคิดจะทำกัน

 

“(นี่สินะ จิตใจของคนที่ยอมเสียสละเพื่อผู้อื่น)”

 

  ถึงจะฟังดูดีแต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเซเลนให้ชินนิใช้เตียงของเธอโดยที่ได้มารู้ตัวที่หลังว่า ไม่เหลือที่นอนสำหรับตนเองแล้ว ดังนั้นจึงหาทางออกโดย ‘ใช้เป็นข้ออ้างเข้าไปนอนด้วยกันซะเลย! ยะฮู้ว!’ จึงได้ลงเอยในสภาพนี้

 

   สำหรับเซเลน จะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กผู้หญิงนอนเตียงเดียวกันจะนอนกอดกัน และเมื่อกอดกัน ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ใบหน้าอยู่ตรงกับหน้าอก ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยแม้แต่น้อย…

 

  และเนื่องจากชินนิยังอยู่ในวัยเจริญเติบโต หน้าอกจึงยังไม่ปรากฏออกมามากนัก แต่เนินเพียงเล็กน้อยนั้นก็ยังถูกตรวจพบโดยเซเลนจนได้

 

“ดีขึ้นแล้ว?”

“อ-อือ… ขอบคุณที่ช่วยดูแล”

 

  ดูเหมือนอีกฝ่ายยังไม่รู้ว่าเป้าหมายของชินนิคืออะไร แต่เธอก็ยังต้องการเวลาฟื้นตัวก่อนจะมีพลังเพียงพอสำหรับลงมือสังหารเซเลน จนกว่าจะถึงตอนนั้น เธอต้องหลอกใช้ความใจดีของเจ้าหญิงแสงจันทร์ไปก่อน เพื่อให้ได้ได้รับความไว้วางใจเข้าสักวัน นี่คือแผนสำหรับตอนนี้

 

“ถ้างั้น ไปกัน”

“จะพาไปไหน…?”

“อาบน้ำ”

 

   เซเลนลงมืออย่าเร่งรีบ ไม่ยอมเสียเวลา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+