[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 39 ประชุม

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 39 ประชุม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 39

ประชุม

 

   จากการที่นักบวชมังกร เซเลน เข้านั่งร่วมโต๊ะเจรจา เป็นผลให้เหล่าหัวหน้าหมู่บ้านเอลฟ์ทั้งหลายตัดสินใจเดินทางมาที่เฮลิฟาเต้ ถึงเป้าหมายหลักของพวกเขาคือการสักการะนักบวชมังกร ไม่ใช่การเจรจาก็ตาม ตัวแทนของเอลฟ์จากแต่ละหมู่บ้านได้เข้าร่วมยี่สิบคน นำโดยกีและซานา ได้ออกเดินทางสู่โลกภายนอกที่พวกเขาไม่เคยย่างกราย

 

   หลังจากออกมาถึงชายป่าของป่าสีขาว ก็ได้พบกับมนุษย์ร่างหนาคล้ายหมี รอต้อนรับพวกเขาอยู่ เมื่อได้พบกับมนุษย์ที่สวมชุดที่ไม่เคยเห็น ไว้หนวดเครารุงรัง มาดักรอ ก็ทำให้กีกับคนอื่นๆเพิ่มความระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่ามากับรถม้าที่มีสัญลักษณ์นกอินทรีตัวใหญ่ประดับไว้ก็สบายใจขึ้นมาได้ เพราะเครื่องแต่งกายของมิลานรวมถึงสินค้าที่เขานำมามอบให้ก็มีตราที่เหมือนกันนี้ประดับอยู่

 

“ไม่ทราบว่า ใช่ท่านกีหรือเปล่าขอรับ? ข้าน้อยได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับท่านมามาก ”

“นายเป็นคนของมิลานเหรอ?”

“ถูกต้องขอรับ ข้าน้อยมีนามว่าคุมะฮาจิ เป็นคนที่องค์ชายมอบหมายให้มานำทางคณะทูตแห่งเอลฟ์ให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”

 

   ชายชื่อคุมะฮาจิแนะนำตัวต่อพวกเขาอย่างสุภาพแตกต่างจากรูปร่างหน้าตาที่เห็น และเขากำลังนั่งอยู่บนสิ่งมีชีวิตขนสีน้ำตาล ขนหางยาว ใบหน้ายาวและขาก็ยาว

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอรบกวนด้วยก็แล้วกัน ว่าแต่ ไอ้นั่นมันตัวอะไร?”

“สัตว์นี้คือม้าขอรับ มนุษย์เลี้ยงไว้ใช้ขี่และลากรถ แบบเดียวกับสกิงค์ของท่านกี”

“หืม หน้าตามันตลกดีนะ เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ”

“ข้าน้อยเองก็ไม่เคยเห็นอะไรหลายๆอย่างในดินแดนของท่านเช่นกัน เดี๋ยวข้าน้อยจะคอยแนะนำพวกท่านเอง เชิญตามมาได้เลยขอรับ”

 

   เอลฟ์ทั้งหมดขึ้นรถม้าตามคำเชิญของคุมะฮาจิ เอลฟ์ที่เดินทางด้วยสกิงค์จนมาถึงตอนนี้ก็ฝากให้ซานาช่วงต่อดูแลพวกมันต่อ และเธอก็พาพวกมันทั้งฝูงเดินผ่านพื้นที่ราบ

 

   ผู้ที่เกิดและโตอยู่แต่ในป่าสีขาวเช่นเอลฟ์ ย่อมเห็นต้นหญ้าธรรมดาสีเขียวเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ และระหว่างทางยังมีทุ่งดอกลิลลี่หลากสีสันบานสะพรั่งไปไกลสุดสายตา 

 

“นี่ เมืองมนูษย์เป็นสถานที่แบบไหนเหรอ? มิลานก็อยู่ในที่ที่เรียกว่าราชวังนั่นด้วยใช่ไหม?”

“ถูกต้องขอรับ ท่านมิลานกำลังเตรียมการต้อนรับคณะทูตของท่านกีอยู่ที่พระราชวังขอรับ”

“แล้วที่พระราชวัง มีเซเลนอยู่ด้วยหรือเปล่า?”

 

  กีโผล่หน้าออกมานอกรถม้า เรียกคุมะฮาจิมากระซิบถามเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน

 

“อย่าลืมนะ ว่านอกจากผมกับซานาแล้วก็ไม่มีใครมองมนุษย์ในแง่ดีนัก พวกที่มาด้วยกันก็มีแต่มาเพราะอยากมาเห็นนักบวชมังกรเท่านั้น ไม่มีใครคิดว่ามาเพื่อสร้างสัมพันธ์เลยสักคน พวกนายคิดว่าจะรับมือได้ไหม?”

 

  กีพูดย้ำให้เข้าใจเพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาใดๆ เขาไม่ได้ขอให้เซเลนทำอะไรเป็นพิเศษนอกจากมาร่วมงานด้วยเท่านั้น และความประทับใจแรกพบคือสิ่งสำคัญ จะให้เธอเรียกมังกรมาให้ดูก็ไม่ได้ อย่างเลวร้ายที่สุดก็จะกลายเป็นว่า ไปถึงแล้วเจอแค่เด็กมนุษย์คนหนึ่ง เพราะฉะนั้น เขาจึงอยากได้สิ่งยืนยันอะไรก็ตามที่สามารถทำให้คนอื่นๆเห็นได้ว่าเธอแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไปจริงๆ

 

  แต่คุมะฮาจิก็ยิ้มและหัวเราะให้กับความกังวลของกี

 

“เมื่อถึงเวลา ข้าน้อยเชื่อว่าแม้แต่ท่านกีก็ยังต้องทึ่งอย่างแน่นอน”

“จะจริงเหรอ? ไม่รู้ว่ามั่นใจแค่ไหนหรอกนะ ถ้าแค่แต่งกายด้วยชุดสีขาวแบบเดียวกับของพวกผมล่ะก็ไม่พอแน่”

“รอดูได้เลยขอรับ”

 

   หลังจากกียอมรับคำตอบนั้นได้ก็กลับเข้าไปนั่งข้างในรถม้าแล้ว

คุมะฮาจิก็เร่งขึ้นนำหน้าอีกครั้ง ถ้าให้มิลานคนนั้นจัดการก็คงวางใจได้ระดับหนึ่ง ในเมื่อเขาอ้างชื่อนักบวชมังกรเพื่อรวบรวมเอลฟ์จากหมู่บ้านอื่นๆมาได้ไกลถึงขั้นนี้แล้ว หากไปถึงแล้วเกิดเสียงด่าทอขึ้นมาว่า ‘เด็กนี่เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาชัดๆ’ ความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมาก็อาจจะไม่มีเหลืออีกเลย

 

 

“อืม แล้วไอ้ต้นไม้ที่ชื่อปราสาทในพระราชวังนั่นมันจะใหญ่สักแค่ไหนกัน? ต้นที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านก็ใส่คนเข้าไปได้ยี่สิบคนเอง ไม่ต้องพูดถึงคนทางฝั่งมิลานเลย”

“บ้าหรือเปล่า ไม่ใช่ที่ป่าสีขาวสักหน่อย มันต้องไม่มีต้นไม้ใหญ่ขนาดนั้นอยู่แล้ว”

 

  แม้ในถิ่นฐานของเอลฟ์ก็เป็นเรื่องยากที่จะหาต้นไม้ขนาดใหญ่พอสำหรับอาศัยได้หลายคน แต่ได้ยินมาว่าภายในพระราชวังมีปราสาทเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์จำนวนมาก ซานาตอบกีที่เริ่มสงสัยในเรื่องแปลกๆระหว่างหยุดพัก

 

“แต่มนุษย์ก็น่าจะมีต้นไม้เหมือนกันแหละน่า อาจจะต้องแบ่งเป็นกลุ่มละประมาณห้าคน ยุ่งยากหน่อยแต่ก็ช่วยไม่ได้”

“อย่างงี้นี่เอง! เพราะมนุษย์อยู่บนที่ราบที่มีต้นไม้น้อย ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละ ท่าจะลำบากนะ…”

“…อืม ให้พวกท่านเห็นด้วยตาน่าจะเข้าใจได้ง่ายกว่าให้ข้าน้อยอธิบายนะขอรับ”

 

  คุมะฮาจิตอบเพียงแค่นั้นก่อนจะออกเดินทางต่อไปยังเฮลิฟาเต้ หลังจากนั้นอีกห้าวัน เหล่าหัวหน้าหมู่บ้านของเอลฟ์ก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงของเฮลิฟาเต้ และแน่นอนว่าพวกเขาแสดงประหลาดใจกับสิ่งก่อสร้างที่ทำจากหินที่ถูกตัดจนมีขนาดพอดีมาเรียงซ้อนกัน

 

 

 

“คุณกี ยินดีต้อนรับสู่ประเทศของผมครับ”

“อือ มาถึงได้อย่างปลอดภัย ทางนี้เองก็ขอขอบคุณ”

 

  มิลานทักทายกีด้วยคำพูดสั้นๆและยื่นมือออกไป และทั้งสองก็ได้จับมือกัน ทั้งกีและมิลานนั้น เป็นทั้งผู้นำที่มีความสามารถและนักรบที่ยอดเยี่ยมด้วยกันทั้งคู่ ได้ก้าวข้างความแตกต่างของเผ่าพันธุ์จนยอมรับเป็นสหาย และจนถึงบัดนี้ก็ได้เป็นพันธมิตรกันแล้ว

 

“มนุษย์นี่สุดยอดไปเลยน้า เอาหินมาประกอบให้เป็นที่อยู่อาศัยได้… ดูท่าจะเป็นงานหนักเลยนะเนี่ย”

“เพราะดินแดนนี้ไม่มีต้นไม้ใหญ่พอที่จะเข้าไปอยู่ได้แบบในป่าสีขาวนั่นแหละครับ”

“หืม… จะว่ายังไงดีล่ะ เป็นมนุษย์นี่ดูท่าจะลำบากนะ”

 

   หัวหน้าหมู่บ้านทั้งหลายไม่เว้นแม้แต่กี ต่างประหลาดใจกับความใหญ่โตและแข็งแรงของปราสาทเฮลิฟาเต้ แต่ซานาสนใจงานศิลปะและของตกแต่งมากกว่า เธอถูกทหารที่เฝ้ายามตามจุดต่างๆตักเตือนทุกครั้งที่เธอพยายามหยิบจับงานศิลปะเหล่านั้น

 

“ไว้จะแนะนำท่านพ่อท่านแม่กับน้องสาวให้รู้จักในภายหลัง ก่อนอื่น ให้เหล่าตัวแทนได้ผ่อนคลายกันก่อนดีกว่าครับ”

“อือ เรื่องเดินชมสถานที่ก็เอาไว้ที่หลังได้ ทางเซเลนเรียบร้อยดีใช่ไหม?”

“ไม่มีปัญหาครับ”

 

   การต้อนรับของเฮลิฟาเต้ในครั้งนี้ ทำให้เอลฟ์ทั้งหมดลดความระมัดระวังลงมาบ้างแล้วเมื่อเทียบกับตอนที่พวกเขาอยู่ระหว่างการเดินทาง แต่ก็เห็นได้ว่าพวกเขายังไม่ไว้วางใจและยังมีความระแวงอยู่ เพราะไม่ว่ายังไง สำหรับพวกเขาแล้วที่นี่คือถิ่นของศัตรู 

 

“จริงๆแล้วควรจะเลื่อนประชุมเป็นวันพรุ่งนี้แล้วให้พวกคุณได้พักผ่อนกันก่อน แต่ผมคิดว่าเริ่มให้เร็วน่าจะดีกว่านะครับ”

“เอาตามนั่นแหละ”

 

   มิลานกับกีคิดว่าจะเป็นการดีกว่าที่จะให้เวลาพักผ่อนเพียงช่วงสั้นๆและเริ่มการประชุมระหว่างมนุษย์กับตัวแทนของเอลฟ์ต่อภายในวันนี้ เหล่าเอลฟ์ถูกพาไปที่ห้องรับรองก็ได้ใช้เวลาไปกับความอยากรู้อยากเห็นกับสิ่งรอบตัวที่แปลกใหม่ แต่ก็ยังเรียกไม่ได้ว่าผ่อนคลาย

 

“ได้เวลาอันสมควรแก่การประชุมแล้วครับ ผู้แทนเอลฟ์ทุกท่าน โปรดย้ายห้องตามผมมาด้วยครับ”

 

  เมื่อเห็นว่าพร้อมแล้ว มิลานก็มาเรียกพวกเขาให้ไปยังห้องถัดไป และทั้งหมดก็ตามไปจนถึงโถงกว้างที่อยู่ในส่วนลึกของปราสาท เป็นห้องที่ปรกติจะใช้จัดงานเลี้ยงให้แขกระดับสูงเท่านั้น ผนังจะใช้โทนสีที่อ่อนลง พื้นปูพรมสีแดงเข้มคุณภาพสูงเนื้อเนียนเรียบ และยังมีงานเครื่องเคลือบดินเผาสีขาวบริสุทธิ์ กับของตกแต่งอื่นๆอีกมากมาย

 

  ผู้เข้าร่วมทางฝั่งเอลฟ์มีประมาณยี่สิบคน หากรวมมิลานกับนักเจรจาทางการค้า นักเศรษฐศาสตร์ และนักวิชาการชั้นยอดที่ถูกเลือกมาร่วมงานในครั้งนี้ด้วยแล้ว ก็ยังมีเพียงสามสิบกว่าคนเท่านั้น กับห้องโถงที่รองรับแขกได้นับร้อยคนจึงดูเหมือนเป็นการฟุ่มเฟือย เพราะน่าจะใช้ห้องที่มีขนาดเล็กกว่านี้ แต่การต้อนรับตัวแทนของเอลฟ์เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นพิเศษ จึงต้องปฏิบัติต่อพวกเขาให้ยิ่งใหญ่ที่สุด

 

  โคมระย้าและตะเกียงถูกติดตั้งไว้ทั่วเพื่อต่อต้านกับความมืดหลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า กลางห้องมีโต๊ะยาวพร้อมเก้าอี้หลายสิบที่นั่ง เอลฟ์ทั้งหลายนั่งลงตามคำเชิญ ในใจยังคงตึงเครียดด้วยความรู้สึกเหมือนเข้ามาในถ้ำขนาดใหญ่กลางเขาวงกต

 

“อย่างที่ได้เรียนให้ทราบ การประชุมครั้งนี้จะมีนักบวชมังกร เซเลน เข้ามาร่วมด้วยในฐานะสัญลักษณ์แห่งสันติภาพระหว่างสองเผ่าพันธุ์ ภายใต้การเฝ้ามองของนักบวชมังกร ผมขอสาบานว่าจะใช้เวลาที่ร่วมกันนี้เพื่อประโยชน์และความเจริญรุ่งเรื่องของทั้งสองฝ่าย”

 

   มิลานสรรเสริญเยินยอเซเลนเกินกว่าปรกติ เพราะต้องแสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่การขอซื้อขายแลกเปลี่ยนตามปรกติ แต่เป็นการกระทำอันศักดิ์สิทธิ์ภายใต้การจับตามองของนักบวชมังกร เป็นการสาบานกับมังกร เทพเจ้าของเอลฟ์ทุกคน ให้พวกเขาได้เข้าใจว่าจะไม่มีความอยุติธรรมหรือความรุนแรงเกิดขึ้น

 

“ถ้าอย่างนั้น เชิญนักบวชมังกร เซเลน เข้ามาได้”

 

  เมื่อมิลานพูดเช่นนั้น ประตูคู่บานใหญ่ก็ถูกเปิดโดยคนรับใช้สองคนที่รอคำสั่งอยู่

 

“…เอ๋”

“สวยจัง…”

 

  กีและซานายังต้องตะลึงเมื่อเห็นเซเลนที่ปรากฏตัวออกมา ปฏิกิริยาของเอลฟ์คนอื่นๆนั้นชัดเจนยิ่งกว่า พวกเขาโน้มตัวชะโงกหน้ามองเพื่อให้ได้เห็นเซเลนได้ชัดๆ

 

“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะ”

 

   เซเลนเอ่ยคำทักทายที่ไม่คุ้นเคย ชุดที่เธอสวมก็ไม่ใช่ชุดสีขาวที่ใส่อยู่เป็นประจำ แต่เป็นชุดคลุมสีชมพูอ่อนที่ห่มทับหลายชั้น คล้องไว้ด้วยผ้าคลุมไหล่เนื้อบางติดลายลูกไม้ เป็นเครื่องแต่งกายคุณภาพสูงจนอาจเผลอมองเป็นอาภรณ์สวรรค์

 

  เซเลนที่ตามปรกติแล้วจะไม่ใส่เครื่องประดับ ครั้งนี้มีรัดเกล้าสีทองประดับหยกสวมไว้ที่ศีรษะ ประกายสีทองและแสงสะท้อนสีเขียวเข้ม ช่วยเสริมให้ผิวสีขาวกับดวงตาสีทับทิมของเซเลนดูสวยงามเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ในมือมีคฑาเงินห้อยกระพรวนที่ส่งเสียงตามจังหวะทุกก้าวเดินของเซเลน

 

“นี่น่ะหรือ นักบวชมังกร…”

 

  หัวหน้าหมู่บ้านเอลฟ์คนหนึ่งพูดออกมาเพียงแค่นั้น ที่เหลือก็ได้แต่นิ่งเงียบ หรือเรียกได้ว่า ไม่สามารถสรรหาคำพูดใดๆได้ ช่วงเวลานี้ ทุกคนต่างตกตะลึงไปกับรูปลักษณ์อันงดงามของเซเลนจนลืมแม้กระทั่งความเกลียดชังที่มีให้กับมนุษย์ เด็กสาวผู้งดงามคนนี้คือผู้ส่งสารของมังกร เทพเจ้าที่เคารพบูชา  และวันนี้ที่สายตาคู่นั้นกำลังเฝ้ามองอยู่ ทำให้เอลฟ์ ณ ที่นี้สงบใจได้มากกว่าที่มิลานวางแผนไว้เสียอีก

 

   กียกนิ้วโป้งให้มิลาน มิลานก็ยิ้มและพยักหน้าโดยที่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ขั้นตอนนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี แม้เซเลนจะเป็นมนุษย์แต่ก็มีสีผม ผิวพรรณ และดวงตาที่เหมือนกับลักษณะของเอลฟ์ ทำให้เธอเป็นตัวเชื่อมระหว่างมนุษย์และเอลฟ์ได้อย่างสมบูรณ์

 

  หลังจากกล่าวคำทักทายสั้นๆ เซเลนเดินไปที่นั่งตำแหน่งหัวโต๊ะ หรือเรียกว่าที่นั่งประธาน เก้าอี้ก็เป็นของที่ถูกทำขึ้นมาสำหรับเธอโดยเฉพาะ มีแท่นเหยียบให้เซเลนที่เป็นเด็กตัวเล็กๆขึ้นไปนั่งด้วยตังเองได้ ละเซเลนก็หย่อนตัวนั่งลงไปอย่างสบายอารมณ์

 

“(เดิน ยากชะมัด…)”

 

  แม้ท่วงท่าจะสง่างาม แต่เซเลนก็ไม่ได้ตั้งใจรักษากิริยามารยาท เป็นเพราะเธอแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ไม่คุ้นเคยจึงทำให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้า แต่ก็ทำให้ทุกคนมองเธออย่างชื่นชมที่เธอยังเป็นเด็กแต่ก็วางตัวได้อย่างสุภาพเรียบร้อย

 

   และแล้ว การประชุมระหว่างเผ่าพันธุ์ก็ได้เริ่มขึ้น มนุษย์นั่งเรียงกันที่โต๊ะยาวด้านหนึ่ง กับเอลฟ์ที่นั่งเรียงอยู่อีกด้านของโต๊ะ และเซเลนที่นั่งกึ่งกลางที่หัวโต๊ะ จากที่เห็นจะดูเหมือนเซเลนอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของการประชุมในครั้งนี้ แต่หลังจากที่เธอทักทายอย่างง่ายๆไปเพียง ‘สายัณห์สวัสดิ์’ แค่หนึ่งคำ ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ของเธอครบเกือบทั้งหมดแล้ว

 

“ตอนนี้จะขอเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางในอนาคตเลยนะครับ เอลฟ์ทุกท่านคงจะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง เพราะฉะนั้น เนื้อหาอาจจะรวบรัดไปบ้าง”

 

  มิลานพูดเปิดการประชุมเมื่อเห็นท่าทีของเอลฟ์สงบเสงี่ยมพร้อมรับฟังหลังจากที่พวกเขาได้พบกับเซเลน และพวกเขาก็เห็นว่ามิลานกับคนทางฝั่งมนุษย์แสดงความใส่ใจให้เห็น ตรงข้ามกับการมุ่งร้ายของนักผจญภัยที่เคยได้พบเจอ และที่สำคัญที่สุด การที่นักบวชมังกรมาร่วมเป็นสักขีพยาน ทำให้เอลฟ์รู้สึกอุ่นใจได้อย่างมาก

 

“นอกจากวัตถุดิบเวทมนตร์แล้ว ผมอยากขอให้เพิ่มสกิงค์ในรายการด้วยครับ”

“สกิงค์เนี่ยนะ? ม้าของพวกนายก็ใช้ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

“มันมีความทนทานสูงกว่าใช่ไหมล่ะครับ? ม้าจะเดินทางได้รวดเร็วกว่าในพื้นที่โล่งกับทางเรียบ แต่ถ้าเป็นถิ่นทุรกันดารหรือการเดินทางบนภูเขา การดูแลสัตว์ชนิดนั้นจะทำได้ง่ายกว่า ไม่ใช่ข้อเรียกร้องจากผม เป็นคำขอจากกลุ่มพ่อค้าครับ”

“เข้าใจแล้ว แล้วทางเราจะได้อะไรล่ะ? ม้าพวกนั้นได้รับผลกระทบจากพลังเวทย์ ใช้ในป่าสีขาวไม่ได้”

“เครื่องเทศที่ใช้กันในดินแดนของมนุษย์ล่ะครับ? หลังการประชุมจะมีการเลี้ยงอาหารค่ำ หวังว่าคงถูกปากพากท่าน และหากนำเครื่องเทศกลับไปในรูปแบบของเมล็ดพืช ก็อาจจะทำการเพาะปลูกในป่าสีขาวได้”

“อืม เข้าท่า! งั้นก็ต้องขอให้สอนวิธีทำอาหารของมนุษย์ให้ด้วยสิ!”

“ถ้าอาหารดีจริงล่ะก็นะ จะเอาสกิงค์ไปสักสองคู่ก็ได้ ต้องขอดูข้อตกลงกันก่อน”

 

   เริ่มจากกีและซานา เจรจากันตามปรกติกับมิลานเหมือนที่ผ่านๆมา เอลฟ์คนอื่นๆที่ยังรอดูท่าทีก็ค่อยๆเริ่มมีการตอบสนอง หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มให้ความสนใจและนำเสนอ เช่น ‘หมู่บ้านของเรามีของที่ดีกว่า’ กันบ้างแล้ว

 

“(ยังไปได้สวย)”

 

   คุ่เจรจาของมิลานยังคงเป็นกี แต่ในจุดนี้ กีไม่จำเป็นต้องพูดในส่วนของคนอื่นแล้ว การพูดคุยเพื่อทำสัญญาซื้อขายด้วยตัวเองย่อมแตกต่างจากการฟังแต่ข้อสรุปจากคนอื่น เอลฟ์จากหมู่บ้านอื่นก็มีความต้องการเครื่องมือของมนุษย์มากพอๆกับความสนใจในวิทยาการเหล่านั้น เมื่อพวกเขาเอ่ยปากพูดไปแล้วครั้งหนึ่งก็จะได้รับการตอบกลับจนเกิดเป็นการเจรจา

 

  มิลานหันไปมองเซเลน บุคคลที่เป็นเบื้องหลังความสำเร็จในครั้งนี้ เซเลนนั่งอยู่บนเก้าอี้และเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ การเจรจาของผู้ใหญ่นั้น ยังเร็วเกินไปที่เด็กแปดขวบจะทำได้ แต่เธอก็ตั้งใจฟังและเรียนรู้อย่างเต็มที่

 

“(เธอเข้าใจประเด็นของการประชุมในครั้งนี้สินะครับ)”

 

    เซเลนเป็นเด็กฉลาดที่เข้าใจเรื่องต่างๆได้ในทันที นั่นคือสิ่งที่มิลานรู้ ถึงจะไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่เธอคิดได้จากสีหน้าที่สงบนิ่งของเธอ แต่เธอก็ไม่ได้เป็นแค่ตุ๊กตาที่ไร้อารมณ์อย่างแน่นอน หากเป็นน้องสาว มารี แค่สังเกตจากท่าทางก็พอจะเดาได้แล้วว่าเธอคิดจะทำอะไร ซึ่งมิลานไม่สามารถใช้วิธีเดียวกันนี้ได้กับเซเลน

 

“ร-รินโกะ…ก-โกะลิรา…ร-ราคุดะ” (แอปเปิ้ล, กอริลลา, อูฐ)

 

   ในตอนนี้ ความเบื่อทำให้จิตใจของเซเลนล่องลอยไปเล่นต่อคำในโลกส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าอีกต่อไป ตามที่ตกลงกันไว้ว่าจะนั่งเฉยๆ ก็เลยนั่งเฉยๆตรงตามตัวอักษรโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือให้ความสนใจ

 

  การที่เหล่าหัวหน้าหมู่บ้านเอลฟ์เปิดอกพูดคุยกันได้อย่างเต็มที่ก็ถือเป็นการดี แต่ก็กลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้ เมื่อมีคนมากก็ย่อมมีเรื่องที่จะพูดมากตามไปด้วย จนถึงตอนนี้ แต่ละคนก็คิดอยากจะให้หมู่บ้านของตัวเองได้รับสิทธิพิเศษ ทางฝั่งของมนุษย์ก็ไม่ยอมให้เรียกร้องอยู่ฝ่ายเดียว จนบรรยากาศที่เคยเงียบจนน่าอึดอัดก็กลายมาเป็นส่งเสียงกันเซ็งแซ่ แต่ในทางที่ไม่ค่อยจะดีนัก

 

“ทุกท่านครับ วันนี้ขอให้…”

 

   ขณะที่มิลานพยายามยุติการประชุมก่อนจะเกิดการทะเลาะกัน ก็มีเสียงกระพรวนดังสะท้อนไปทั้งห้องแทรกขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเอลฟ์หรือมนุษย์ก็หยุดพูดเมื่อได้ยินเสียงนั้น และหันไปมองตามทิศทางของเสียง

 

“พอได้แล้ว”

 

  คนที่ส่งเสียงและพูดออกมานั้นคือเซเลน เซเลนขัดจังหวะการประชุมได้อย่างไม่ลังเล เสียงกระพรวนในมือของเธอกับน้ำเสียงที่เย็นชาทำให้ทั้งมนุษย์และเอลฟ์รู้สึกเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็น หลังจากต่างฝ่ายก้มหัวขอโทษกันและกัน การประชุมในวันนี้ก็จบลง

 

“ขอบคุณมากครับ เซเลน”

“เอ๋?”

“เธอทำให้พวกเขาไว้ใจพวกเราได้สำเร็จ และที่หยุดเอาไว้ในตอนท้ายนั่นด้วย”

“เกือบไปแล้ว”

“ใช่ครับ ถ้าการโต้เถียงรุนแรงมากขึ้น จะกระทบกับความสัมพันธ์ในอนาคตแน่”

 

  การที่เซเลนพูดแทรกออกมาตรงๆได้นั้น มิลานมีความเห็นว่าเซเลนต้องใช้ความกล้าพอสมควร แค่ให้มาอยู่ท่ามกลางการกลุ่มผู้ใหญ่ที่กำลังเจรจาเรื่องสำคัญกันก็เป็นเรื่องที่ชวนให้เครียดได้มากพอแล้ว และการที่จะเอ่ยปากตำหนิผู้ใหญ่ที่กำลังสนทนาอย่างดุเดือด ย่อมไม่ใช้เรื่องง่ายๆ

 

  แต่ในมุมมองของเซเลนที่ไม่ได้อ่านบรรยากาศในตอนนั้น เธอก็แค่ไม่อยากทำงานล่วงเวลาเท่านั้น

 

   เวลานอนอันมีค่า สิบสามชั่วโมงต่อวัน ต้องมาเสียไปเพราะเอลฟ์พวกนี้ และก่อนหน้านี้ยังถูกกลุ่มสาวใช้รุมจับแต่งคอสเพลย์อีก ง่วงถึงขั้นสัปหงกจนเผลอพูดอะไรแปลกๆออกไป ถ้านานกว่านี้ก็อาจหลับคาโต๊ะไปจริงๆแล้วก็ได้ เกือบไปแล้วไง

 

“เซเลน ท่านพี่ เหนื่อยหน่อยนะคะ!”

“อือ มารี”

 

  ขณะที่เซเลนเดินลากชายกระโปรงไปตามโถงทางเดิน ก็เจอกับมารีที่ยืนพิงอยู่หลังเสา เห็นได้ชัดว่าเธอมารอเวลาเลิกประชุมอยู่ใกล้ๆตรงนี้มาสักพักแล้ว

 

“เป็นยังไงบ้าง? เรียบร้อยดีไหม?”

“อือ ก็ดี”

 

  จริงๆแล้วเซเลนแค่นั่งอยู่บนเก้าอี้เฉยๆกับเล่นต่อคำอยู่ในโลกส่วนตัวมาตลอด จึงไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ คำตอบของเซเลนจึงออกมาแบบกำกวม แต่มารีก็ยังเดินตามพวกเธอต่อไป

 

“นี่ นี่ ฉันเองก็อยากเข้าไปด้วยเหมือนกัน พรุ่งนี้ขอตามไปด้วยได้ไหม?”

“อย่าเลย”

 

  มิลานที่ฟังอยู่ด้วยได้ตอบก่อนที่เซเลนจะพูดอะไร มารีที่ได้ยินก็หันไปหามิลานและงอนแก้มป่อง

 

“หึ! ท่านพี่กับเซเลนยังเข้าไปได้เลย ทำไมถึงมีแต่หนูที่ต้องรออยู่ข้างนอกล่ะคะ!”

“ไม่ใช่งานเลี้ยงสักหน่อย ไม่มีอะไรน่าสนุกหรอก เธอจะเบื่อเอาน่ะสิ ส่วนเซเลน ถูกขอให้เข้าไปช่วยงานเฉยๆ”

“งั้นเหรอ เข้าใจแล้ว…”

 

   ยังดีที่มารียอมเข้าใจ แต่ก็ดูเหมือนยังไม่ยอมแพ้ เซเลนคือตัวตนที่สูงส่งสำหรับพวกเอลฟ์ แต่ฐานะของมารีไม่มีความหมายสำหรับพวกเขาเหล่านั้น

 

   ยิ่งไปกว่านั้น หากนำน้องสาวที่มีนิสัยชอบเอะอะเสียงดังเข้าไปในที่ประชุม เธอจะนั่งฟังเรื่องที่ไม่เข้าใจจนรู้สึกเบื่อและเริ่มอยู่ไม่สุขหรืออาจจะออกจากห้องไปกลางคันเลยก็ได้ และไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ไม่ใช่เรื่องที่อีกฝ่ายจะชื่นชมอย่างแน่นอน แต่จริงๆแล้ว การที่เด็กแปดขวบ เข้าไปนั่งเฉยๆโดยไม่บ่นอะไรแบบเซเลนต่างหาก ที่ถือว่าแปลก

 

“แต่ว่านะ! ท่านพี่กับเซเลนมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับคนสำคัญของเอลฟ์ ส่วนหนูแค่อยากแนะนำตัวยังทำไม่ได้ ไม่ยุติธรรมเลยค่ะ!”

“ถ้าเป็นการประชุมผมคงจะให้อนุญาตไม่ได้ แต่ถ้าเป็นการเลี้ยงอาหารค่ำก็ไม่น่ามีปัญหานะ จะไปไหมล่ะ?

“ทำอย่างกับหนูเป็นตัวสำรองไปได้! ไม่เป็นไร! คิดอะไรดีๆออกแล้ว!”

 

  มารีเดินจากไปทันทีที่พูดจบ

 

“เซเลนก็ไปพักผ่อนเถอะครับ เดี๋ยวจะให้คนนำอาหารค่ำไปให้ที่ห้อง”

“ได้”

 

   เซเลนพยักหน้าให้มิลานและรีบกลับไปที่ห้องของเธออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ให้สาวใช้ช่วยถอดชุดที่สวมอยู่ตอนนี้ เนื่องจากเธอไม่สามารถสวมใส่หรือถอดชุดอันหรูหรานี้ด้วยตัวเองได้ แล้วจึงเปลี่ยนเป็นชุดหลวมๆที่ใช้ใส่นอนเป็นประจำ

 

  ท้องฟ้าที่มองเห็นผ่านหน้าต่างได้เปลี่ยนเป็นสีเข้มมาสักพัก และพระจันทร์เต็มดวงก็เริ่มโผล่รับช่วงต่อจากพระอาทิตย์แล้ว ตามปรกติจะเป็นช่วงเวลาที่เซเลนจะตื่นอย่างเต็มที่ แต่เวลานอนของวันนี้ถูกรบกวนไปมากจนทำให้รู้สึกง่วงนอน

 

“นอนได้…”

 

  เซเลนทิ้งตัวลงบนเตียง พรุ่งนี้มิลานยังคงออกไปฝึกซ้อมตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงตามปรกติ จึงต้องทำข้าวกล่องอันตรายไปให้ตามปรกติเช่นกัน เพราะฉะนั้น ต้องตื่นให้ทันก่อนมื้อเที่ยง ทำอาหาร ไปวางยา กลับมานอน และตื่นมานั่งประชุมต่อในตอนเย็น

 

“วุ่นวายจัง”

 

   เซเลนนึกถึงสิ่งที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้แล้วถอนหายใจ หรือจะไปร้องเรียนเรื่องใช้แรงงานเด็กกับกรมคุ้มครองแรงงานดี แต่โลกนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ด้วยสิ ถึงจะไม่ได้ทำงานจริงๆก็เถอะ แต่ถ้าต้องทำล่วงเวลาต่ออีกเท่าตัวล่ะก็ ได้กระอักเลือดตายแน่ เซเลนนอนคิดไปตามเรื่องราว

 

“เซเลน!”

 

  ขณะที่เซเลนบ่นถึงตารางงาน มารีก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง สาวใช้ที่อยู่ใกล้ๆหยุดมารีเอาไว้ได้ไม่นานแต่ก็ถือว่าทำได้ดีที่สุดแล้ว  มารีเดินเข้ามาหาเซเลนที่เตียง ในมือมีของเธอถือของบางอย่างไว้

 

“มีอะไร?”

“ขอโทษที่มารบกวน แต่อยากให้เธอช่วยหน่อย”

“ได้”

 

  เซเลนลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง รอฟังคำขอของมารี ถ้าเป็นคนอื่น โดยเฉพาะเจ้าชาย คงจะแกล้งหลับไปแล้ว แต่จะทรยศต่อความคาดหวังของโลลิผมทองอย่างมารีไม่ได้เด็ดขาด

 

“นี่ไง! ฉันทำเองเลยนะ! สวยใช่ไหมล่ะ?”

“โห”

 

   มารียื่นพวงดอกไม้ที่เธอนำมาด้วยให้เซเลนได้เห็น เป็นพวงดอกไม้สำหรับคล้องคอคล้ายๆกับของฮาวาย แต่ใช้สีที่ดูสดใสกว่า มีโทนสีหลักคือแดงกับเหลือง ตามรสนิยมของมารี และจากที่เคยเห็นมารีถักเส้นผมของเซเลนให้เป็นแหวน ทำให้รู้ได้ว่ามารีมีพรสวรรค์ทางด้านงานฝีมือประเภทนี้

 

“ดอกไม้แสนสำคัญจากแปลงดอกไม้ของฉันเอง”

“แล้ว?”

“ฝากเธอเอาไปให้เอลฟ์พวกนั้นให้หน่อย บอกไปว่า ‘เป็นการต้อนรับจากเจ้าหญิงแห่งเฮลิฟาเต้ มารีเบล’ ”

“เข้าใจแล้ว”

 

  เธอต้องการจะฝากชื่อของเธอให้เหล่าหัวหน้าของเอลฟ์ได้จดจำ เป็นเรื่องปรกติของมารีที่ชอบความโดดเด่น

 

“พวกนั้นมากันประมาณยี่สิบคนใช่ไหม นี่เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น ฉันจะตั้งใจทำเต็มที่ให้ทันภายในเย็นวันพรุ่งนี้!”

“ให้ช่วย ไหม?”

“…ขอรับไว้แค่ความรู้สึกก็พอ”

 

  มารีรู้ดีว่าความสามารถทางด้านศิลปะของเซเลนนั้นเข้าขั้นน่าสงสาร จึงปฏิเสธโดยที่ยังรักษาน้ำใจไว้ หลังจากจบเรื่องนี้ เซเลนก็เข้านอนอีกครั้ง ตื่นมาอีกทีก่อนเที่ยงในวันรุ่งขึ้นเพื่อทำอาหารให้เจ้าชายตามปรกติและกลับมานอนต่อจนถึงเย็น

 

“ก่อนที่จะเริ่มประชุมต่อจากเมื่อวาน ผมทราบมาว่ามีการจัดเตรียมของที่ระลึกพิเศษให้กับพวกท่าน เชิญเลยครับ”

“นี่ ของขวัญ”

 

  เซเลนในเครื่องแต่งกายแบบเดียวกับเมื่อวาน ได้อุ้มดอกไม้ช่อใหญ่มาในวันนี้ด้วย เมื่อได้เห็นใกล้ๆแล้ว จึงรู้ว่ามันไม่ใช่ช่อดอกไม้ แต่เป็นพวงดอกไม้สำหรับห้อยคอจำนวนมาก เซเลนนำพวกมันมาคล้องคอให้กับเอลฟ์ทุกคน และพวกเขาก็รับไปอย่างยินดี โดยเฉพาะซานาที่เข้ามาพูดคุยกับเซเลนเพราะดูเหมือนจะชื่นชอบของขวัญชิ้นนี้เป็นพิเศษ

 

“ดอกไม้สายมากเลย! ทำออกมาได้ดีด้วย! ขอบคุณท่านนักบวชมังกรที่ประทานสิ่งนี้ให้!”

“จาก มารี”

 

   เซเลนบอกไปว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เจ้าหญิงมารีเบลฝากมามอบให้ ถึงจะออกมาไม่เต็มประโยคแต่ก็ได้พูดออกไปแล้ว

 

“หืม ทำจากดอกไม้ที่ชื่อว่ามารีสินะ…”

 

   เอลฟ์ทั้งหลายจับพวงดอกไม้อันสวยงามที่คอขึ้นมาพิจารณา บรรยากาศการประชุมเมื่อวานส่อแววไม่ค่อยจะดีนัก เด็กสาวคนนี้มีหน้าที่เป็นคนกลางของทั้งสองฝ่ายจึงได้พยายามแก้ไขโดยการนำดอกไม้ ‘มารี’ นี้ มามอบให้เพื่อบรรเทาสถานการณ์

 

   พวกเรามัวแต่ทำอะไรกัน ทำไมต้องทำให้เด็กสาวคนนี้คอยเป็นห่วง ทั้งเอลฟ์และมนุษย์ต่างละอายใจ มัวแต่กลัวจะเสียเปรียบจนไม่คิดจะยอมใคร สิ่งสำคัญไม่ได้มีแต่เรื่องของผลประโยชน์และกำไรสักหน่อย แต่เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ต่างหาก ต้องขอบคุณที่ทำให้นึกขึ้นมาได้ และแล้วการประชุมก็ดำเนินไปได้อย่างสงบและจบลงได้อย่างราบรื่น ส่วนเซเลนที่เป็นบุคคลที่มีความสำคัญที่สุดก็นั่งนับเลขจำนวนเฉพาะอยู่ในใจจนจบงาน

 

  หลังจากออกมาจากห้องประชุม มารีวิ่งเข้ามาหาเซเลนที่เดินลากชายกระโปรงเหมือนเมื่อวาน

 

“พวงดอกไม้ของฉันเป็นยังไงบ้าง?”

“ทุกคน ชอบ”

“จริงเหรอ ดีจังเลย…”

 

   มารีลูบอกโล่งใจ เธอไม่ได้เห็นปฏิกิริยาของผู้รับด้วยตัวเอง จึงเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ เพราะพวงดอกไม้พวกนั้นคือสิ่งที่เธอพยายามทำออกมาให้ดีที่สุด

 

“ไม่ลืมบอกไปด้วยว่า ‘เป็นของขวัญจากมารีเบล’ ใช่ไหม?”

“บอกไปแล้ว”

“ดีแล้ว ดีแล้วล่ะ เท่านี้เอลฟ์ก็รู้จักชื่อของฉันแล้ว! ต้องรีบทำเพิ่มสำหรับพรุ่งนี้ด้วย!”

 

  มารีกลับไปทำงานของเธอต่ออย่างร่าเริง มั่นใจว่าเอลฟ์ทั้งหลายจะต้องรับรู้ถึงตัวเธออย่างแน่นอน

 

   ดอกไม้ชนิดนี้จะถูกนำกลับไปปลูกไว้ตามหมู่บ้านเอลฟ์ในภายหลังในชื่อ ‘ดอกมารี’ และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีการค้นพบว่าชื่อของดอกไม้ชนิดนี้มีต้นกำเนิดมาจากเจ้าหญิงมารีเบล ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 39 ประชุม

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 39 ประชุม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 39

ประชุม

 

   จากการที่นักบวชมังกร เซเลน เข้านั่งร่วมโต๊ะเจรจา เป็นผลให้เหล่าหัวหน้าหมู่บ้านเอลฟ์ทั้งหลายตัดสินใจเดินทางมาที่เฮลิฟาเต้ ถึงเป้าหมายหลักของพวกเขาคือการสักการะนักบวชมังกร ไม่ใช่การเจรจาก็ตาม ตัวแทนของเอลฟ์จากแต่ละหมู่บ้านได้เข้าร่วมยี่สิบคน นำโดยกีและซานา ได้ออกเดินทางสู่โลกภายนอกที่พวกเขาไม่เคยย่างกราย

 

   หลังจากออกมาถึงชายป่าของป่าสีขาว ก็ได้พบกับมนุษย์ร่างหนาคล้ายหมี รอต้อนรับพวกเขาอยู่ เมื่อได้พบกับมนุษย์ที่สวมชุดที่ไม่เคยเห็น ไว้หนวดเครารุงรัง มาดักรอ ก็ทำให้กีกับคนอื่นๆเพิ่มความระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่ามากับรถม้าที่มีสัญลักษณ์นกอินทรีตัวใหญ่ประดับไว้ก็สบายใจขึ้นมาได้ เพราะเครื่องแต่งกายของมิลานรวมถึงสินค้าที่เขานำมามอบให้ก็มีตราที่เหมือนกันนี้ประดับอยู่

 

“ไม่ทราบว่า ใช่ท่านกีหรือเปล่าขอรับ? ข้าน้อยได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับท่านมามาก ”

“นายเป็นคนของมิลานเหรอ?”

“ถูกต้องขอรับ ข้าน้อยมีนามว่าคุมะฮาจิ เป็นคนที่องค์ชายมอบหมายให้มานำทางคณะทูตแห่งเอลฟ์ให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”

 

   ชายชื่อคุมะฮาจิแนะนำตัวต่อพวกเขาอย่างสุภาพแตกต่างจากรูปร่างหน้าตาที่เห็น และเขากำลังนั่งอยู่บนสิ่งมีชีวิตขนสีน้ำตาล ขนหางยาว ใบหน้ายาวและขาก็ยาว

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอรบกวนด้วยก็แล้วกัน ว่าแต่ ไอ้นั่นมันตัวอะไร?”

“สัตว์นี้คือม้าขอรับ มนุษย์เลี้ยงไว้ใช้ขี่และลากรถ แบบเดียวกับสกิงค์ของท่านกี”

“หืม หน้าตามันตลกดีนะ เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ”

“ข้าน้อยเองก็ไม่เคยเห็นอะไรหลายๆอย่างในดินแดนของท่านเช่นกัน เดี๋ยวข้าน้อยจะคอยแนะนำพวกท่านเอง เชิญตามมาได้เลยขอรับ”

 

   เอลฟ์ทั้งหมดขึ้นรถม้าตามคำเชิญของคุมะฮาจิ เอลฟ์ที่เดินทางด้วยสกิงค์จนมาถึงตอนนี้ก็ฝากให้ซานาช่วงต่อดูแลพวกมันต่อ และเธอก็พาพวกมันทั้งฝูงเดินผ่านพื้นที่ราบ

 

   ผู้ที่เกิดและโตอยู่แต่ในป่าสีขาวเช่นเอลฟ์ ย่อมเห็นต้นหญ้าธรรมดาสีเขียวเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ และระหว่างทางยังมีทุ่งดอกลิลลี่หลากสีสันบานสะพรั่งไปไกลสุดสายตา 

 

“นี่ เมืองมนูษย์เป็นสถานที่แบบไหนเหรอ? มิลานก็อยู่ในที่ที่เรียกว่าราชวังนั่นด้วยใช่ไหม?”

“ถูกต้องขอรับ ท่านมิลานกำลังเตรียมการต้อนรับคณะทูตของท่านกีอยู่ที่พระราชวังขอรับ”

“แล้วที่พระราชวัง มีเซเลนอยู่ด้วยหรือเปล่า?”

 

  กีโผล่หน้าออกมานอกรถม้า เรียกคุมะฮาจิมากระซิบถามเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน

 

“อย่าลืมนะ ว่านอกจากผมกับซานาแล้วก็ไม่มีใครมองมนุษย์ในแง่ดีนัก พวกที่มาด้วยกันก็มีแต่มาเพราะอยากมาเห็นนักบวชมังกรเท่านั้น ไม่มีใครคิดว่ามาเพื่อสร้างสัมพันธ์เลยสักคน พวกนายคิดว่าจะรับมือได้ไหม?”

 

  กีพูดย้ำให้เข้าใจเพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาใดๆ เขาไม่ได้ขอให้เซเลนทำอะไรเป็นพิเศษนอกจากมาร่วมงานด้วยเท่านั้น และความประทับใจแรกพบคือสิ่งสำคัญ จะให้เธอเรียกมังกรมาให้ดูก็ไม่ได้ อย่างเลวร้ายที่สุดก็จะกลายเป็นว่า ไปถึงแล้วเจอแค่เด็กมนุษย์คนหนึ่ง เพราะฉะนั้น เขาจึงอยากได้สิ่งยืนยันอะไรก็ตามที่สามารถทำให้คนอื่นๆเห็นได้ว่าเธอแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไปจริงๆ

 

  แต่คุมะฮาจิก็ยิ้มและหัวเราะให้กับความกังวลของกี

 

“เมื่อถึงเวลา ข้าน้อยเชื่อว่าแม้แต่ท่านกีก็ยังต้องทึ่งอย่างแน่นอน”

“จะจริงเหรอ? ไม่รู้ว่ามั่นใจแค่ไหนหรอกนะ ถ้าแค่แต่งกายด้วยชุดสีขาวแบบเดียวกับของพวกผมล่ะก็ไม่พอแน่”

“รอดูได้เลยขอรับ”

 

   หลังจากกียอมรับคำตอบนั้นได้ก็กลับเข้าไปนั่งข้างในรถม้าแล้ว

คุมะฮาจิก็เร่งขึ้นนำหน้าอีกครั้ง ถ้าให้มิลานคนนั้นจัดการก็คงวางใจได้ระดับหนึ่ง ในเมื่อเขาอ้างชื่อนักบวชมังกรเพื่อรวบรวมเอลฟ์จากหมู่บ้านอื่นๆมาได้ไกลถึงขั้นนี้แล้ว หากไปถึงแล้วเกิดเสียงด่าทอขึ้นมาว่า ‘เด็กนี่เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาชัดๆ’ ความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมาก็อาจจะไม่มีเหลืออีกเลย

 

 

“อืม แล้วไอ้ต้นไม้ที่ชื่อปราสาทในพระราชวังนั่นมันจะใหญ่สักแค่ไหนกัน? ต้นที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านก็ใส่คนเข้าไปได้ยี่สิบคนเอง ไม่ต้องพูดถึงคนทางฝั่งมิลานเลย”

“บ้าหรือเปล่า ไม่ใช่ที่ป่าสีขาวสักหน่อย มันต้องไม่มีต้นไม้ใหญ่ขนาดนั้นอยู่แล้ว”

 

  แม้ในถิ่นฐานของเอลฟ์ก็เป็นเรื่องยากที่จะหาต้นไม้ขนาดใหญ่พอสำหรับอาศัยได้หลายคน แต่ได้ยินมาว่าภายในพระราชวังมีปราสาทเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์จำนวนมาก ซานาตอบกีที่เริ่มสงสัยในเรื่องแปลกๆระหว่างหยุดพัก

 

“แต่มนุษย์ก็น่าจะมีต้นไม้เหมือนกันแหละน่า อาจจะต้องแบ่งเป็นกลุ่มละประมาณห้าคน ยุ่งยากหน่อยแต่ก็ช่วยไม่ได้”

“อย่างงี้นี่เอง! เพราะมนุษย์อยู่บนที่ราบที่มีต้นไม้น้อย ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละ ท่าจะลำบากนะ…”

“…อืม ให้พวกท่านเห็นด้วยตาน่าจะเข้าใจได้ง่ายกว่าให้ข้าน้อยอธิบายนะขอรับ”

 

  คุมะฮาจิตอบเพียงแค่นั้นก่อนจะออกเดินทางต่อไปยังเฮลิฟาเต้ หลังจากนั้นอีกห้าวัน เหล่าหัวหน้าหมู่บ้านของเอลฟ์ก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงของเฮลิฟาเต้ และแน่นอนว่าพวกเขาแสดงประหลาดใจกับสิ่งก่อสร้างที่ทำจากหินที่ถูกตัดจนมีขนาดพอดีมาเรียงซ้อนกัน

 

 

 

“คุณกี ยินดีต้อนรับสู่ประเทศของผมครับ”

“อือ มาถึงได้อย่างปลอดภัย ทางนี้เองก็ขอขอบคุณ”

 

  มิลานทักทายกีด้วยคำพูดสั้นๆและยื่นมือออกไป และทั้งสองก็ได้จับมือกัน ทั้งกีและมิลานนั้น เป็นทั้งผู้นำที่มีความสามารถและนักรบที่ยอดเยี่ยมด้วยกันทั้งคู่ ได้ก้าวข้างความแตกต่างของเผ่าพันธุ์จนยอมรับเป็นสหาย และจนถึงบัดนี้ก็ได้เป็นพันธมิตรกันแล้ว

 

“มนุษย์นี่สุดยอดไปเลยน้า เอาหินมาประกอบให้เป็นที่อยู่อาศัยได้… ดูท่าจะเป็นงานหนักเลยนะเนี่ย”

“เพราะดินแดนนี้ไม่มีต้นไม้ใหญ่พอที่จะเข้าไปอยู่ได้แบบในป่าสีขาวนั่นแหละครับ”

“หืม… จะว่ายังไงดีล่ะ เป็นมนุษย์นี่ดูท่าจะลำบากนะ”

 

   หัวหน้าหมู่บ้านทั้งหลายไม่เว้นแม้แต่กี ต่างประหลาดใจกับความใหญ่โตและแข็งแรงของปราสาทเฮลิฟาเต้ แต่ซานาสนใจงานศิลปะและของตกแต่งมากกว่า เธอถูกทหารที่เฝ้ายามตามจุดต่างๆตักเตือนทุกครั้งที่เธอพยายามหยิบจับงานศิลปะเหล่านั้น

 

“ไว้จะแนะนำท่านพ่อท่านแม่กับน้องสาวให้รู้จักในภายหลัง ก่อนอื่น ให้เหล่าตัวแทนได้ผ่อนคลายกันก่อนดีกว่าครับ”

“อือ เรื่องเดินชมสถานที่ก็เอาไว้ที่หลังได้ ทางเซเลนเรียบร้อยดีใช่ไหม?”

“ไม่มีปัญหาครับ”

 

   การต้อนรับของเฮลิฟาเต้ในครั้งนี้ ทำให้เอลฟ์ทั้งหมดลดความระมัดระวังลงมาบ้างแล้วเมื่อเทียบกับตอนที่พวกเขาอยู่ระหว่างการเดินทาง แต่ก็เห็นได้ว่าพวกเขายังไม่ไว้วางใจและยังมีความระแวงอยู่ เพราะไม่ว่ายังไง สำหรับพวกเขาแล้วที่นี่คือถิ่นของศัตรู 

 

“จริงๆแล้วควรจะเลื่อนประชุมเป็นวันพรุ่งนี้แล้วให้พวกคุณได้พักผ่อนกันก่อน แต่ผมคิดว่าเริ่มให้เร็วน่าจะดีกว่านะครับ”

“เอาตามนั่นแหละ”

 

   มิลานกับกีคิดว่าจะเป็นการดีกว่าที่จะให้เวลาพักผ่อนเพียงช่วงสั้นๆและเริ่มการประชุมระหว่างมนุษย์กับตัวแทนของเอลฟ์ต่อภายในวันนี้ เหล่าเอลฟ์ถูกพาไปที่ห้องรับรองก็ได้ใช้เวลาไปกับความอยากรู้อยากเห็นกับสิ่งรอบตัวที่แปลกใหม่ แต่ก็ยังเรียกไม่ได้ว่าผ่อนคลาย

 

“ได้เวลาอันสมควรแก่การประชุมแล้วครับ ผู้แทนเอลฟ์ทุกท่าน โปรดย้ายห้องตามผมมาด้วยครับ”

 

  เมื่อเห็นว่าพร้อมแล้ว มิลานก็มาเรียกพวกเขาให้ไปยังห้องถัดไป และทั้งหมดก็ตามไปจนถึงโถงกว้างที่อยู่ในส่วนลึกของปราสาท เป็นห้องที่ปรกติจะใช้จัดงานเลี้ยงให้แขกระดับสูงเท่านั้น ผนังจะใช้โทนสีที่อ่อนลง พื้นปูพรมสีแดงเข้มคุณภาพสูงเนื้อเนียนเรียบ และยังมีงานเครื่องเคลือบดินเผาสีขาวบริสุทธิ์ กับของตกแต่งอื่นๆอีกมากมาย

 

  ผู้เข้าร่วมทางฝั่งเอลฟ์มีประมาณยี่สิบคน หากรวมมิลานกับนักเจรจาทางการค้า นักเศรษฐศาสตร์ และนักวิชาการชั้นยอดที่ถูกเลือกมาร่วมงานในครั้งนี้ด้วยแล้ว ก็ยังมีเพียงสามสิบกว่าคนเท่านั้น กับห้องโถงที่รองรับแขกได้นับร้อยคนจึงดูเหมือนเป็นการฟุ่มเฟือย เพราะน่าจะใช้ห้องที่มีขนาดเล็กกว่านี้ แต่การต้อนรับตัวแทนของเอลฟ์เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นพิเศษ จึงต้องปฏิบัติต่อพวกเขาให้ยิ่งใหญ่ที่สุด

 

  โคมระย้าและตะเกียงถูกติดตั้งไว้ทั่วเพื่อต่อต้านกับความมืดหลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า กลางห้องมีโต๊ะยาวพร้อมเก้าอี้หลายสิบที่นั่ง เอลฟ์ทั้งหลายนั่งลงตามคำเชิญ ในใจยังคงตึงเครียดด้วยความรู้สึกเหมือนเข้ามาในถ้ำขนาดใหญ่กลางเขาวงกต

 

“อย่างที่ได้เรียนให้ทราบ การประชุมครั้งนี้จะมีนักบวชมังกร เซเลน เข้ามาร่วมด้วยในฐานะสัญลักษณ์แห่งสันติภาพระหว่างสองเผ่าพันธุ์ ภายใต้การเฝ้ามองของนักบวชมังกร ผมขอสาบานว่าจะใช้เวลาที่ร่วมกันนี้เพื่อประโยชน์และความเจริญรุ่งเรื่องของทั้งสองฝ่าย”

 

   มิลานสรรเสริญเยินยอเซเลนเกินกว่าปรกติ เพราะต้องแสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่การขอซื้อขายแลกเปลี่ยนตามปรกติ แต่เป็นการกระทำอันศักดิ์สิทธิ์ภายใต้การจับตามองของนักบวชมังกร เป็นการสาบานกับมังกร เทพเจ้าของเอลฟ์ทุกคน ให้พวกเขาได้เข้าใจว่าจะไม่มีความอยุติธรรมหรือความรุนแรงเกิดขึ้น

 

“ถ้าอย่างนั้น เชิญนักบวชมังกร เซเลน เข้ามาได้”

 

  เมื่อมิลานพูดเช่นนั้น ประตูคู่บานใหญ่ก็ถูกเปิดโดยคนรับใช้สองคนที่รอคำสั่งอยู่

 

“…เอ๋”

“สวยจัง…”

 

  กีและซานายังต้องตะลึงเมื่อเห็นเซเลนที่ปรากฏตัวออกมา ปฏิกิริยาของเอลฟ์คนอื่นๆนั้นชัดเจนยิ่งกว่า พวกเขาโน้มตัวชะโงกหน้ามองเพื่อให้ได้เห็นเซเลนได้ชัดๆ

 

“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะ”

 

   เซเลนเอ่ยคำทักทายที่ไม่คุ้นเคย ชุดที่เธอสวมก็ไม่ใช่ชุดสีขาวที่ใส่อยู่เป็นประจำ แต่เป็นชุดคลุมสีชมพูอ่อนที่ห่มทับหลายชั้น คล้องไว้ด้วยผ้าคลุมไหล่เนื้อบางติดลายลูกไม้ เป็นเครื่องแต่งกายคุณภาพสูงจนอาจเผลอมองเป็นอาภรณ์สวรรค์

 

  เซเลนที่ตามปรกติแล้วจะไม่ใส่เครื่องประดับ ครั้งนี้มีรัดเกล้าสีทองประดับหยกสวมไว้ที่ศีรษะ ประกายสีทองและแสงสะท้อนสีเขียวเข้ม ช่วยเสริมให้ผิวสีขาวกับดวงตาสีทับทิมของเซเลนดูสวยงามเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ในมือมีคฑาเงินห้อยกระพรวนที่ส่งเสียงตามจังหวะทุกก้าวเดินของเซเลน

 

“นี่น่ะหรือ นักบวชมังกร…”

 

  หัวหน้าหมู่บ้านเอลฟ์คนหนึ่งพูดออกมาเพียงแค่นั้น ที่เหลือก็ได้แต่นิ่งเงียบ หรือเรียกได้ว่า ไม่สามารถสรรหาคำพูดใดๆได้ ช่วงเวลานี้ ทุกคนต่างตกตะลึงไปกับรูปลักษณ์อันงดงามของเซเลนจนลืมแม้กระทั่งความเกลียดชังที่มีให้กับมนุษย์ เด็กสาวผู้งดงามคนนี้คือผู้ส่งสารของมังกร เทพเจ้าที่เคารพบูชา  และวันนี้ที่สายตาคู่นั้นกำลังเฝ้ามองอยู่ ทำให้เอลฟ์ ณ ที่นี้สงบใจได้มากกว่าที่มิลานวางแผนไว้เสียอีก

 

   กียกนิ้วโป้งให้มิลาน มิลานก็ยิ้มและพยักหน้าโดยที่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ขั้นตอนนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี แม้เซเลนจะเป็นมนุษย์แต่ก็มีสีผม ผิวพรรณ และดวงตาที่เหมือนกับลักษณะของเอลฟ์ ทำให้เธอเป็นตัวเชื่อมระหว่างมนุษย์และเอลฟ์ได้อย่างสมบูรณ์

 

  หลังจากกล่าวคำทักทายสั้นๆ เซเลนเดินไปที่นั่งตำแหน่งหัวโต๊ะ หรือเรียกว่าที่นั่งประธาน เก้าอี้ก็เป็นของที่ถูกทำขึ้นมาสำหรับเธอโดยเฉพาะ มีแท่นเหยียบให้เซเลนที่เป็นเด็กตัวเล็กๆขึ้นไปนั่งด้วยตังเองได้ ละเซเลนก็หย่อนตัวนั่งลงไปอย่างสบายอารมณ์

 

“(เดิน ยากชะมัด…)”

 

  แม้ท่วงท่าจะสง่างาม แต่เซเลนก็ไม่ได้ตั้งใจรักษากิริยามารยาท เป็นเพราะเธอแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ไม่คุ้นเคยจึงทำให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้า แต่ก็ทำให้ทุกคนมองเธออย่างชื่นชมที่เธอยังเป็นเด็กแต่ก็วางตัวได้อย่างสุภาพเรียบร้อย

 

   และแล้ว การประชุมระหว่างเผ่าพันธุ์ก็ได้เริ่มขึ้น มนุษย์นั่งเรียงกันที่โต๊ะยาวด้านหนึ่ง กับเอลฟ์ที่นั่งเรียงอยู่อีกด้านของโต๊ะ และเซเลนที่นั่งกึ่งกลางที่หัวโต๊ะ จากที่เห็นจะดูเหมือนเซเลนอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของการประชุมในครั้งนี้ แต่หลังจากที่เธอทักทายอย่างง่ายๆไปเพียง ‘สายัณห์สวัสดิ์’ แค่หนึ่งคำ ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ของเธอครบเกือบทั้งหมดแล้ว

 

“ตอนนี้จะขอเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางในอนาคตเลยนะครับ เอลฟ์ทุกท่านคงจะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง เพราะฉะนั้น เนื้อหาอาจจะรวบรัดไปบ้าง”

 

  มิลานพูดเปิดการประชุมเมื่อเห็นท่าทีของเอลฟ์สงบเสงี่ยมพร้อมรับฟังหลังจากที่พวกเขาได้พบกับเซเลน และพวกเขาก็เห็นว่ามิลานกับคนทางฝั่งมนุษย์แสดงความใส่ใจให้เห็น ตรงข้ามกับการมุ่งร้ายของนักผจญภัยที่เคยได้พบเจอ และที่สำคัญที่สุด การที่นักบวชมังกรมาร่วมเป็นสักขีพยาน ทำให้เอลฟ์รู้สึกอุ่นใจได้อย่างมาก

 

“นอกจากวัตถุดิบเวทมนตร์แล้ว ผมอยากขอให้เพิ่มสกิงค์ในรายการด้วยครับ”

“สกิงค์เนี่ยนะ? ม้าของพวกนายก็ใช้ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

“มันมีความทนทานสูงกว่าใช่ไหมล่ะครับ? ม้าจะเดินทางได้รวดเร็วกว่าในพื้นที่โล่งกับทางเรียบ แต่ถ้าเป็นถิ่นทุรกันดารหรือการเดินทางบนภูเขา การดูแลสัตว์ชนิดนั้นจะทำได้ง่ายกว่า ไม่ใช่ข้อเรียกร้องจากผม เป็นคำขอจากกลุ่มพ่อค้าครับ”

“เข้าใจแล้ว แล้วทางเราจะได้อะไรล่ะ? ม้าพวกนั้นได้รับผลกระทบจากพลังเวทย์ ใช้ในป่าสีขาวไม่ได้”

“เครื่องเทศที่ใช้กันในดินแดนของมนุษย์ล่ะครับ? หลังการประชุมจะมีการเลี้ยงอาหารค่ำ หวังว่าคงถูกปากพากท่าน และหากนำเครื่องเทศกลับไปในรูปแบบของเมล็ดพืช ก็อาจจะทำการเพาะปลูกในป่าสีขาวได้”

“อืม เข้าท่า! งั้นก็ต้องขอให้สอนวิธีทำอาหารของมนุษย์ให้ด้วยสิ!”

“ถ้าอาหารดีจริงล่ะก็นะ จะเอาสกิงค์ไปสักสองคู่ก็ได้ ต้องขอดูข้อตกลงกันก่อน”

 

   เริ่มจากกีและซานา เจรจากันตามปรกติกับมิลานเหมือนที่ผ่านๆมา เอลฟ์คนอื่นๆที่ยังรอดูท่าทีก็ค่อยๆเริ่มมีการตอบสนอง หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มให้ความสนใจและนำเสนอ เช่น ‘หมู่บ้านของเรามีของที่ดีกว่า’ กันบ้างแล้ว

 

“(ยังไปได้สวย)”

 

   คุ่เจรจาของมิลานยังคงเป็นกี แต่ในจุดนี้ กีไม่จำเป็นต้องพูดในส่วนของคนอื่นแล้ว การพูดคุยเพื่อทำสัญญาซื้อขายด้วยตัวเองย่อมแตกต่างจากการฟังแต่ข้อสรุปจากคนอื่น เอลฟ์จากหมู่บ้านอื่นก็มีความต้องการเครื่องมือของมนุษย์มากพอๆกับความสนใจในวิทยาการเหล่านั้น เมื่อพวกเขาเอ่ยปากพูดไปแล้วครั้งหนึ่งก็จะได้รับการตอบกลับจนเกิดเป็นการเจรจา

 

  มิลานหันไปมองเซเลน บุคคลที่เป็นเบื้องหลังความสำเร็จในครั้งนี้ เซเลนนั่งอยู่บนเก้าอี้และเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ การเจรจาของผู้ใหญ่นั้น ยังเร็วเกินไปที่เด็กแปดขวบจะทำได้ แต่เธอก็ตั้งใจฟังและเรียนรู้อย่างเต็มที่

 

“(เธอเข้าใจประเด็นของการประชุมในครั้งนี้สินะครับ)”

 

    เซเลนเป็นเด็กฉลาดที่เข้าใจเรื่องต่างๆได้ในทันที นั่นคือสิ่งที่มิลานรู้ ถึงจะไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่เธอคิดได้จากสีหน้าที่สงบนิ่งของเธอ แต่เธอก็ไม่ได้เป็นแค่ตุ๊กตาที่ไร้อารมณ์อย่างแน่นอน หากเป็นน้องสาว มารี แค่สังเกตจากท่าทางก็พอจะเดาได้แล้วว่าเธอคิดจะทำอะไร ซึ่งมิลานไม่สามารถใช้วิธีเดียวกันนี้ได้กับเซเลน

 

“ร-รินโกะ…ก-โกะลิรา…ร-ราคุดะ” (แอปเปิ้ล, กอริลลา, อูฐ)

 

   ในตอนนี้ ความเบื่อทำให้จิตใจของเซเลนล่องลอยไปเล่นต่อคำในโลกส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าอีกต่อไป ตามที่ตกลงกันไว้ว่าจะนั่งเฉยๆ ก็เลยนั่งเฉยๆตรงตามตัวอักษรโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือให้ความสนใจ

 

  การที่เหล่าหัวหน้าหมู่บ้านเอลฟ์เปิดอกพูดคุยกันได้อย่างเต็มที่ก็ถือเป็นการดี แต่ก็กลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้ เมื่อมีคนมากก็ย่อมมีเรื่องที่จะพูดมากตามไปด้วย จนถึงตอนนี้ แต่ละคนก็คิดอยากจะให้หมู่บ้านของตัวเองได้รับสิทธิพิเศษ ทางฝั่งของมนุษย์ก็ไม่ยอมให้เรียกร้องอยู่ฝ่ายเดียว จนบรรยากาศที่เคยเงียบจนน่าอึดอัดก็กลายมาเป็นส่งเสียงกันเซ็งแซ่ แต่ในทางที่ไม่ค่อยจะดีนัก

 

“ทุกท่านครับ วันนี้ขอให้…”

 

   ขณะที่มิลานพยายามยุติการประชุมก่อนจะเกิดการทะเลาะกัน ก็มีเสียงกระพรวนดังสะท้อนไปทั้งห้องแทรกขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเอลฟ์หรือมนุษย์ก็หยุดพูดเมื่อได้ยินเสียงนั้น และหันไปมองตามทิศทางของเสียง

 

“พอได้แล้ว”

 

  คนที่ส่งเสียงและพูดออกมานั้นคือเซเลน เซเลนขัดจังหวะการประชุมได้อย่างไม่ลังเล เสียงกระพรวนในมือของเธอกับน้ำเสียงที่เย็นชาทำให้ทั้งมนุษย์และเอลฟ์รู้สึกเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็น หลังจากต่างฝ่ายก้มหัวขอโทษกันและกัน การประชุมในวันนี้ก็จบลง

 

“ขอบคุณมากครับ เซเลน”

“เอ๋?”

“เธอทำให้พวกเขาไว้ใจพวกเราได้สำเร็จ และที่หยุดเอาไว้ในตอนท้ายนั่นด้วย”

“เกือบไปแล้ว”

“ใช่ครับ ถ้าการโต้เถียงรุนแรงมากขึ้น จะกระทบกับความสัมพันธ์ในอนาคตแน่”

 

  การที่เซเลนพูดแทรกออกมาตรงๆได้นั้น มิลานมีความเห็นว่าเซเลนต้องใช้ความกล้าพอสมควร แค่ให้มาอยู่ท่ามกลางการกลุ่มผู้ใหญ่ที่กำลังเจรจาเรื่องสำคัญกันก็เป็นเรื่องที่ชวนให้เครียดได้มากพอแล้ว และการที่จะเอ่ยปากตำหนิผู้ใหญ่ที่กำลังสนทนาอย่างดุเดือด ย่อมไม่ใช้เรื่องง่ายๆ

 

  แต่ในมุมมองของเซเลนที่ไม่ได้อ่านบรรยากาศในตอนนั้น เธอก็แค่ไม่อยากทำงานล่วงเวลาเท่านั้น

 

   เวลานอนอันมีค่า สิบสามชั่วโมงต่อวัน ต้องมาเสียไปเพราะเอลฟ์พวกนี้ และก่อนหน้านี้ยังถูกกลุ่มสาวใช้รุมจับแต่งคอสเพลย์อีก ง่วงถึงขั้นสัปหงกจนเผลอพูดอะไรแปลกๆออกไป ถ้านานกว่านี้ก็อาจหลับคาโต๊ะไปจริงๆแล้วก็ได้ เกือบไปแล้วไง

 

“เซเลน ท่านพี่ เหนื่อยหน่อยนะคะ!”

“อือ มารี”

 

  ขณะที่เซเลนเดินลากชายกระโปรงไปตามโถงทางเดิน ก็เจอกับมารีที่ยืนพิงอยู่หลังเสา เห็นได้ชัดว่าเธอมารอเวลาเลิกประชุมอยู่ใกล้ๆตรงนี้มาสักพักแล้ว

 

“เป็นยังไงบ้าง? เรียบร้อยดีไหม?”

“อือ ก็ดี”

 

  จริงๆแล้วเซเลนแค่นั่งอยู่บนเก้าอี้เฉยๆกับเล่นต่อคำอยู่ในโลกส่วนตัวมาตลอด จึงไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ คำตอบของเซเลนจึงออกมาแบบกำกวม แต่มารีก็ยังเดินตามพวกเธอต่อไป

 

“นี่ นี่ ฉันเองก็อยากเข้าไปด้วยเหมือนกัน พรุ่งนี้ขอตามไปด้วยได้ไหม?”

“อย่าเลย”

 

  มิลานที่ฟังอยู่ด้วยได้ตอบก่อนที่เซเลนจะพูดอะไร มารีที่ได้ยินก็หันไปหามิลานและงอนแก้มป่อง

 

“หึ! ท่านพี่กับเซเลนยังเข้าไปได้เลย ทำไมถึงมีแต่หนูที่ต้องรออยู่ข้างนอกล่ะคะ!”

“ไม่ใช่งานเลี้ยงสักหน่อย ไม่มีอะไรน่าสนุกหรอก เธอจะเบื่อเอาน่ะสิ ส่วนเซเลน ถูกขอให้เข้าไปช่วยงานเฉยๆ”

“งั้นเหรอ เข้าใจแล้ว…”

 

   ยังดีที่มารียอมเข้าใจ แต่ก็ดูเหมือนยังไม่ยอมแพ้ เซเลนคือตัวตนที่สูงส่งสำหรับพวกเอลฟ์ แต่ฐานะของมารีไม่มีความหมายสำหรับพวกเขาเหล่านั้น

 

   ยิ่งไปกว่านั้น หากนำน้องสาวที่มีนิสัยชอบเอะอะเสียงดังเข้าไปในที่ประชุม เธอจะนั่งฟังเรื่องที่ไม่เข้าใจจนรู้สึกเบื่อและเริ่มอยู่ไม่สุขหรืออาจจะออกจากห้องไปกลางคันเลยก็ได้ และไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ไม่ใช่เรื่องที่อีกฝ่ายจะชื่นชมอย่างแน่นอน แต่จริงๆแล้ว การที่เด็กแปดขวบ เข้าไปนั่งเฉยๆโดยไม่บ่นอะไรแบบเซเลนต่างหาก ที่ถือว่าแปลก

 

“แต่ว่านะ! ท่านพี่กับเซเลนมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับคนสำคัญของเอลฟ์ ส่วนหนูแค่อยากแนะนำตัวยังทำไม่ได้ ไม่ยุติธรรมเลยค่ะ!”

“ถ้าเป็นการประชุมผมคงจะให้อนุญาตไม่ได้ แต่ถ้าเป็นการเลี้ยงอาหารค่ำก็ไม่น่ามีปัญหานะ จะไปไหมล่ะ?

“ทำอย่างกับหนูเป็นตัวสำรองไปได้! ไม่เป็นไร! คิดอะไรดีๆออกแล้ว!”

 

  มารีเดินจากไปทันทีที่พูดจบ

 

“เซเลนก็ไปพักผ่อนเถอะครับ เดี๋ยวจะให้คนนำอาหารค่ำไปให้ที่ห้อง”

“ได้”

 

   เซเลนพยักหน้าให้มิลานและรีบกลับไปที่ห้องของเธออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ให้สาวใช้ช่วยถอดชุดที่สวมอยู่ตอนนี้ เนื่องจากเธอไม่สามารถสวมใส่หรือถอดชุดอันหรูหรานี้ด้วยตัวเองได้ แล้วจึงเปลี่ยนเป็นชุดหลวมๆที่ใช้ใส่นอนเป็นประจำ

 

  ท้องฟ้าที่มองเห็นผ่านหน้าต่างได้เปลี่ยนเป็นสีเข้มมาสักพัก และพระจันทร์เต็มดวงก็เริ่มโผล่รับช่วงต่อจากพระอาทิตย์แล้ว ตามปรกติจะเป็นช่วงเวลาที่เซเลนจะตื่นอย่างเต็มที่ แต่เวลานอนของวันนี้ถูกรบกวนไปมากจนทำให้รู้สึกง่วงนอน

 

“นอนได้…”

 

  เซเลนทิ้งตัวลงบนเตียง พรุ่งนี้มิลานยังคงออกไปฝึกซ้อมตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงตามปรกติ จึงต้องทำข้าวกล่องอันตรายไปให้ตามปรกติเช่นกัน เพราะฉะนั้น ต้องตื่นให้ทันก่อนมื้อเที่ยง ทำอาหาร ไปวางยา กลับมานอน และตื่นมานั่งประชุมต่อในตอนเย็น

 

“วุ่นวายจัง”

 

   เซเลนนึกถึงสิ่งที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้แล้วถอนหายใจ หรือจะไปร้องเรียนเรื่องใช้แรงงานเด็กกับกรมคุ้มครองแรงงานดี แต่โลกนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ด้วยสิ ถึงจะไม่ได้ทำงานจริงๆก็เถอะ แต่ถ้าต้องทำล่วงเวลาต่ออีกเท่าตัวล่ะก็ ได้กระอักเลือดตายแน่ เซเลนนอนคิดไปตามเรื่องราว

 

“เซเลน!”

 

  ขณะที่เซเลนบ่นถึงตารางงาน มารีก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง สาวใช้ที่อยู่ใกล้ๆหยุดมารีเอาไว้ได้ไม่นานแต่ก็ถือว่าทำได้ดีที่สุดแล้ว  มารีเดินเข้ามาหาเซเลนที่เตียง ในมือมีของเธอถือของบางอย่างไว้

 

“มีอะไร?”

“ขอโทษที่มารบกวน แต่อยากให้เธอช่วยหน่อย”

“ได้”

 

  เซเลนลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง รอฟังคำขอของมารี ถ้าเป็นคนอื่น โดยเฉพาะเจ้าชาย คงจะแกล้งหลับไปแล้ว แต่จะทรยศต่อความคาดหวังของโลลิผมทองอย่างมารีไม่ได้เด็ดขาด

 

“นี่ไง! ฉันทำเองเลยนะ! สวยใช่ไหมล่ะ?”

“โห”

 

   มารียื่นพวงดอกไม้ที่เธอนำมาด้วยให้เซเลนได้เห็น เป็นพวงดอกไม้สำหรับคล้องคอคล้ายๆกับของฮาวาย แต่ใช้สีที่ดูสดใสกว่า มีโทนสีหลักคือแดงกับเหลือง ตามรสนิยมของมารี และจากที่เคยเห็นมารีถักเส้นผมของเซเลนให้เป็นแหวน ทำให้รู้ได้ว่ามารีมีพรสวรรค์ทางด้านงานฝีมือประเภทนี้

 

“ดอกไม้แสนสำคัญจากแปลงดอกไม้ของฉันเอง”

“แล้ว?”

“ฝากเธอเอาไปให้เอลฟ์พวกนั้นให้หน่อย บอกไปว่า ‘เป็นการต้อนรับจากเจ้าหญิงแห่งเฮลิฟาเต้ มารีเบล’ ”

“เข้าใจแล้ว”

 

  เธอต้องการจะฝากชื่อของเธอให้เหล่าหัวหน้าของเอลฟ์ได้จดจำ เป็นเรื่องปรกติของมารีที่ชอบความโดดเด่น

 

“พวกนั้นมากันประมาณยี่สิบคนใช่ไหม นี่เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น ฉันจะตั้งใจทำเต็มที่ให้ทันภายในเย็นวันพรุ่งนี้!”

“ให้ช่วย ไหม?”

“…ขอรับไว้แค่ความรู้สึกก็พอ”

 

  มารีรู้ดีว่าความสามารถทางด้านศิลปะของเซเลนนั้นเข้าขั้นน่าสงสาร จึงปฏิเสธโดยที่ยังรักษาน้ำใจไว้ หลังจากจบเรื่องนี้ เซเลนก็เข้านอนอีกครั้ง ตื่นมาอีกทีก่อนเที่ยงในวันรุ่งขึ้นเพื่อทำอาหารให้เจ้าชายตามปรกติและกลับมานอนต่อจนถึงเย็น

 

“ก่อนที่จะเริ่มประชุมต่อจากเมื่อวาน ผมทราบมาว่ามีการจัดเตรียมของที่ระลึกพิเศษให้กับพวกท่าน เชิญเลยครับ”

“นี่ ของขวัญ”

 

  เซเลนในเครื่องแต่งกายแบบเดียวกับเมื่อวาน ได้อุ้มดอกไม้ช่อใหญ่มาในวันนี้ด้วย เมื่อได้เห็นใกล้ๆแล้ว จึงรู้ว่ามันไม่ใช่ช่อดอกไม้ แต่เป็นพวงดอกไม้สำหรับห้อยคอจำนวนมาก เซเลนนำพวกมันมาคล้องคอให้กับเอลฟ์ทุกคน และพวกเขาก็รับไปอย่างยินดี โดยเฉพาะซานาที่เข้ามาพูดคุยกับเซเลนเพราะดูเหมือนจะชื่นชอบของขวัญชิ้นนี้เป็นพิเศษ

 

“ดอกไม้สายมากเลย! ทำออกมาได้ดีด้วย! ขอบคุณท่านนักบวชมังกรที่ประทานสิ่งนี้ให้!”

“จาก มารี”

 

   เซเลนบอกไปว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เจ้าหญิงมารีเบลฝากมามอบให้ ถึงจะออกมาไม่เต็มประโยคแต่ก็ได้พูดออกไปแล้ว

 

“หืม ทำจากดอกไม้ที่ชื่อว่ามารีสินะ…”

 

   เอลฟ์ทั้งหลายจับพวงดอกไม้อันสวยงามที่คอขึ้นมาพิจารณา บรรยากาศการประชุมเมื่อวานส่อแววไม่ค่อยจะดีนัก เด็กสาวคนนี้มีหน้าที่เป็นคนกลางของทั้งสองฝ่ายจึงได้พยายามแก้ไขโดยการนำดอกไม้ ‘มารี’ นี้ มามอบให้เพื่อบรรเทาสถานการณ์

 

   พวกเรามัวแต่ทำอะไรกัน ทำไมต้องทำให้เด็กสาวคนนี้คอยเป็นห่วง ทั้งเอลฟ์และมนุษย์ต่างละอายใจ มัวแต่กลัวจะเสียเปรียบจนไม่คิดจะยอมใคร สิ่งสำคัญไม่ได้มีแต่เรื่องของผลประโยชน์และกำไรสักหน่อย แต่เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ต่างหาก ต้องขอบคุณที่ทำให้นึกขึ้นมาได้ และแล้วการประชุมก็ดำเนินไปได้อย่างสงบและจบลงได้อย่างราบรื่น ส่วนเซเลนที่เป็นบุคคลที่มีความสำคัญที่สุดก็นั่งนับเลขจำนวนเฉพาะอยู่ในใจจนจบงาน

 

  หลังจากออกมาจากห้องประชุม มารีวิ่งเข้ามาหาเซเลนที่เดินลากชายกระโปรงเหมือนเมื่อวาน

 

“พวงดอกไม้ของฉันเป็นยังไงบ้าง?”

“ทุกคน ชอบ”

“จริงเหรอ ดีจังเลย…”

 

   มารีลูบอกโล่งใจ เธอไม่ได้เห็นปฏิกิริยาของผู้รับด้วยตัวเอง จึงเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ เพราะพวงดอกไม้พวกนั้นคือสิ่งที่เธอพยายามทำออกมาให้ดีที่สุด

 

“ไม่ลืมบอกไปด้วยว่า ‘เป็นของขวัญจากมารีเบล’ ใช่ไหม?”

“บอกไปแล้ว”

“ดีแล้ว ดีแล้วล่ะ เท่านี้เอลฟ์ก็รู้จักชื่อของฉันแล้ว! ต้องรีบทำเพิ่มสำหรับพรุ่งนี้ด้วย!”

 

  มารีกลับไปทำงานของเธอต่ออย่างร่าเริง มั่นใจว่าเอลฟ์ทั้งหลายจะต้องรับรู้ถึงตัวเธออย่างแน่นอน

 

   ดอกไม้ชนิดนี้จะถูกนำกลับไปปลูกไว้ตามหมู่บ้านเอลฟ์ในภายหลังในชื่อ ‘ดอกมารี’ และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีการค้นพบว่าชื่อของดอกไม้ชนิดนี้มีต้นกำเนิดมาจากเจ้าหญิงมารีเบล ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+